ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่บ้าง ระหว่างความหมายของ “ไดนามิกเร้นจ์” กับ “ความดัง” ซึ่งทั้งสองคำนี้มีความหมายต่างกัน
“ความดัง” – เป็นผลที่เกิดขึ้นกับเสียงอันเนื่องมาจากการเพิ่มปริมาณวอลลุ่ม (อัตราขยายเสียง) ของแอมปลิฟายให้สูงขึ้น (เสียงโดยรวมจะดังขึ้น) หรือ ปรับลดปริมาณวอลลุ่ม (อัตราขยายเสียง) ให้ต่ำลง (เสียงโดยรวมจะเบาลง)
“ไดนามิกเร้นจ์” – หมายถึงระดับความแตกต่างระหว่างจุดที่ “เบาที่สุด” ของเสียง กับจุดที่ “ดังที่สุด” ของเสียงในเพลงเดียวกัน เป็นคุณสมบัติที่ได้มาจากสตูดิโอตอนทำมาสเตอร์
การปรับเปลี่ยนปริมาณวอลลุ่มของแอมปลิฟาย จะส่งผลโดยตรงกับ “ความดัง” ของเพลง คือดังมากขึ้นเมื่อเพิ่มปริมาณวอลลุ่ม และเบาลงเมื่อลดปริมาณวอลลุ่ม แต่การปรับเปลี่ยนปริมาณวอลลุ่มจะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิกเร้นจ์” ของเพลงนั้น เนื่องจาก การปรับเปลี่ยนปริมาณวอลลุ่มของแอมปลิฟายจะไปส่งผลกับจุดที่เบาที่สุดและจุดที่ดังที่สุดของเพลงนั้น “เท่าๆ กัน” จึงทำให้ความแตกต่างของจุดที่เบาที่สุดกับจุดที่ดังที่สุดของเพลง (หรืออัลบั้ม) นั้นยังคงอยู่ในอัตราส่วนเท่าเดิม
ดูจากภาพตัวอย่างข้างต้น จะเห็นว่า สัญญาณเสียงเพลงของอัลบั้ม “The Four Season” จะมีไดนามิกเร้นจ์ (A) เฉลี่ยอยู่ที่ 14dB หมายความว่า อัตราเฉลี่ยของจุดที่เบาสุดกับจุดที่ดังที่สุดของอัลบั้ม The Four Season จะมีความดังต่างกันเท่ากับ 14dB ในขณะที่ อัตราไดนามิกเร้นจ์เฉลี่ยของอัลบั้ม “Hi-Fi Dance” (A) อยู่ที่ 7dB นั่นก็คือ ไดนามิกเร้นจ์ของอัลบั้มชุด “The Four Season” สามารถสวิงความดังจากเบาสุดไปดังสุดได้กว้างกว่าอัลบั้มชุด “Hi-Fi Dance” ถึง 7dB
ส่วนสเปคตรัมที่ตำแหน่ง (B) ของทั้งสองอัลบั้มนี้ แสดงให้เห็นถึงระดับ “ความดัง” ของสัญญาณเพลง ซึ่งจะเห็นว่า อัลบั้ม “Hi-Fi Dance” ให้เกนของสัญญาณ “แรงกว่า” อัลบั้ม “The Four Season” อยู่มาก นั่นคือ ถ้าคุณเปิดเพลงทั้งสองอัลบั้มนี้ฟังกับซิสเต็มเดียวกัน และใช้ระดับวอลลุ่มของแอมป์เท่ากัน คุณจะพบว่า อัลบั้ม “Hi-Fi Dance” ให้ความดังของเสียงออกมาสูงกว่าอัลบั้มชุด “The Four Season” อย่างชัดเจน /
********************