รีวิวเครื่องเสียง Accuphase รุ่น E-4000 โซลิดสเตท สเตริโอ อินติเกรตแอมปลิฟายระดับไฮเอ็นด์

แอคคิวเฟส ปล่อยอินติเกรตแอมป์รุ่น E-480 ออกมาเมื่อ ปี 2018 (REVIEW) ซึ่งขณะนั้น E-480 เป็นอินติเกรตแอมป์รุ่นใหญ่สุดในกลุ่มของอินติเกรตแอมป์ ไฮพาวเวอร์ ที่พวกเขาจัดไว้ในอนุกรม E-x80 ต่อมาเมื่อ ปี 2022 เป็นปีที่ Accuphase ฉลองอายุของแบรนด์ที่กำเนิดมาครบ 50 ปี (เริ่มต้นเมื่อ ปี 1972) ด้วยการอัพเกรดผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่เดิมทั้งหมด ซึ่งอนุกรม x80 ก็เช่นกัน แต่ละรุ่นที่เคยใช้รหัสเลขสามตัวลงท้ายด้วย E-x80 ได้ถูกอัพเกรดด้วยดีไซน์ใหม่และเปลี่ยนรหัสรุ่นมาใช้เป็นเลข 4 ตัว คือ E-x000 แทนของเดิม โดยออกแบบรุ่นเรือธงของซีรี่ย์นี้ขึ้นมาด้วย คือรุ่น E-5000 เมื่อปี 2022 ซึ่งผมได้ทำรีวิวไปแล้ว (E-5000 REVIEW)

E-4000 เวอร์ชั่นที่มาแทนที่ E-480

ทิ้งช่วงมาครึ่งทศวรรต E-480 ก็ถูกแทนที่ด้วย E-4000 เวอร์ชั่นฉลอง 50 ปี ของ Accuphase ที่ออกตามรุ่น E-5000 มาติดๆ

เมื่อพิจารณาจากรูปร่างหน้าตาของรุ่น E-480 เปรียบเทียบกับ E-4000 แล้วคุณจะพบว่ามันแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ถ้าตั้งใจมองหาความแตกต่างจริงๆ จะพบว่ารุ่น E-4000 ทำหน้าจอใหญ่กว่ารุ่น E-480 นิดนึง ตัวมิเตอร์เข็มก็ใหญ่กว่านิดนึง ทว่า สิ่งที่ไม่เหมือนกันมากๆ กลับไปปรากฏอยู่ด้านใน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตำแหน่งที่ถูกทำให้แตกต่างนั้นมันคือจุดสำคัญ เป็นกล่องดวงใจของแอมปลิฟายที่ส่งผลกับ เสียงอย่างมาก นั่นคือ ส่วนของ ภาคปรีแอมป์และ ภาคขยายหรือภาคเพาเวอร์แอมป์นั่นเอง

ภาคขยายในรุ่น E-480 ใช้เซมิคอนดักเตอร์ประเภท มอสเฟต” (MOS-FET) จำนวน 3 คู่ต่อแชนเนล ทำหน้าที่ขยายสัญญาณเพื่อสร้างกำลังขับที่ระดับ 180W ต่อแชนเนล ในขณะที่รุ่น E-4000 ใช้เซมิคอนดักเตอร์ประเภท ไบโพล่าร์” (bipolar) จำนวน 4 คู่ต่อแชนเนล ทำหน้าที่ขยายสัญญาณเพื่อสร้างกำลังขับที่ระดับ 180W ต่อแชนเนล เท่ากัน และย่านความถี่ที่สร้างขึ้นมาก็อยู่ในย่านเดียวกันคือ 20Hz – 20kHz เหมือนกัน แต่รุ่น E-4000 ถูกปรับจูนในหลายๆ จุดสำคัญ ทำให้ได้ค่าแด้มปิ้ง แฟคเตอร์ที่สูงกว่า คืออยู่ที่ 800 ในขณะที่แด้มปิ้ง แฟคเตอร์ของรุ่น E-480 อยู่ที่ 600 ซึ่งคุณสมบัติทางด้าน damping factor ที่ว่านี้จะแสดงถึงความสามารถในการ ควบคุมการสั่นของกรวยลำโพง ซึ่งจะส่งผลกับเสียงของลำโพงทั้งทางด้านคุณภาพเสียง และโทนหรือลักษณะเสียงอย่างมาก

อ่าา… พวกเขาทำอะไรลงไปกับ E-4000 บ้าง.? ก่อนที่เราจะไปลงลึกกับเรื่องนี้ เรามาย้อนดูหน้าตาของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้กันก่อนดีกว่า..

ไม่ว่าจะรุ่นไหน.. ใหญ่หรือเล็ก Accuphase ก็ยังคงเป็น Accuphase เสมอ.!

ผมเชื่อเลยว่า ถ้ามีการจัดประกวดความงามของแอมปลิฟาย Accuphase น่าจะได้ถ้วยไปครองแน่ๆ เพราะใครๆ ก็รู้ว่า ถ้าคุณมองหาความสวย ความหรูหรา และความเนี้ยบ ความเฉียบที่มาพร้อมความบึกบึน คุณจะพบกับคุณสมบัติทั้งหมดนี้ได้จากแอมปลิฟายของ Accuphase แบบครบๆ ไม่ว่าจะเป็นปรี+เพาเวอร์ หรืออินติเกรตแอมป์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่หรือรุ่นเล็ก พวกเขาไม่เคยลดราวาศอกกับการผลิตตัวถังที่มีความสวยงามเสมอกัน

E-4000 ตัวนี้ก็ยังคงอยู่ในกรอบเดิมของ Accuphase ทั้งด้านรูปแบบและสีสัน การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากรุ่น E-480 มาถึง E-4000 มีแค่จุดเล็กๆ เท่านั้น แต่ถ้าเอา E-4000 ไปเทียบกับรุ่นที่เล็กลงมาอย่าง E-280 (REVIEW) ที่ผมเพิ่งจะทดสอบไป จะเห็นได้ชัดว่า ความแตกต่างที่ชัดเจนมากที่สุดก็คือความสูงของตัวถัง นอกจากนั้น มาในทรงเดียวกันแทบจะทุกจุด สรุปคือ ไม่ว่าคุณจะลงทุนกับแอมป์ของ Accuphase รุ่นไหน เล็กหรือใหญ่ นอกจากสมรรถนะเท่านั้นที่ต่างกัน ส่วนสิ่งที่คุณจะได้รับกลับไปเท่าๆ กันก็คือ ความปราณีตของงานผลิตที่อยู่ในระดับเดียวกันทุกรุ่น.!

แผงหน้า

1 = ปุ่มหมุนเลือกอินพุต
2 = จอแสดงผล
3 = จอเล็ก แสดงความถี่แซมปลิ้ง / ระดับวอลลุ่ม
4 = ปุ่มวอลลุ่ม หมุนปรับระดับความดัง
5 = รูเสียบแจ๊คหูฟังขนาดมาตรฐาน 6.3mm
6 = ปุ่มกด ลดความดัง
7 = ปุ่มกด เปิดฝา
8 = ฝาปิด
9 = ปุ่มกดและปุ่มหมุนปรับฟังท์ชั่นใช้งานที่ซ่อนอยู่ใต้ปุ่ม
10 = ปุ่มกดเปิด/ปิดเครื่อง

เอกลักษณ์หนึ่งของ Accuphase ก็คือจอแสดงผล (2) ที่มีมิเตอร์เข็มที่กระดิกไปตามปริมาณของกำลังขับที่ส่งออกไปที่ลำโพง ในรุ่น E-4000 ตัวมิเตอร์ได้ถูกปรับให้มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่น E-480 เล็กน้อย และยังปรับให้เข็มมิเตอร์มีความไวมากขึ้นด้วย แสดงผลได้แม่นยำมากขึ้น สามารถกระดิกให้รู้เมื่อมีกำลังขับส่งออกไปทางเอ๊าต์พุตได้ถึง -50dB

อินติเกรตแอมป์ หรือปรีแอมป์ของแบรนด์นี้ที่อยู่ในระดับกลางขึ้นมาถึงรุ่นท็อปจะซ่อนปุ่มปรับฟังท์ชั่นต่างๆ (9) ไว้ใต้ฝา (8) ที่มีกลไกในการเปิดด้วยวิธีกดปุ่ม (7) ซึ่งก็เป็นจุดเด่นอีกจุดหนึ่งที่แบรนด์อื่นไม่มี

ฟังท์ชั่นที่ซ่อนอยู่ใต้ฝาปิด

A = ปุ่มหมุนเลือกเอ๊าต์พุตของลำโพง ซึ่งมีให้เลือก 4 อ๊อปชั่น คือ A, B, A+B และ OFF
B = ปุ่มปรับทุ้มแหลมพร้อมปุ่ม Tone สำหรับบายพาสฟังท์ชั่นนี้
C = ปุ่มปรับเฟสของขั้วต่อ XLR
D = ปุ่มปรับเอ๊าต์พุตให้เป็นโมโน
E = ปุ่มเปิดใช้ฟังท์ชั่น Loudness
F = ปุ่มเลือกใช้อินพุตของแผงอ๊อปชั่น DAC
G = ปุ่มเลือกภาคขยายหัวเข็มระหว่าง MM กับ MC
H = ปุ่มกดเปิด/ปิดไฟหน้าจอแสดงผล
I = ปุ่มหมุนปรับบาลานซ์ซ้าย/ขวา
J = ปุ่มหมุนเลือกช่องอินพุตกรณีใช้ภาคขยายในตัว E-4000 ร่วมกับปรีแอมป์ภายนอก
K = ฟังท์ชั่น Recorder ที่ใช้บันทึกเสียง

การเลือกอ๊อปชั่นของปุ่ม SPEAKER นี้จะสอดคล้องกับการเชื่อมต่อลำโพงที่ขั้วต่อสายลำโพงที่อยู่บนแผงหลังของตัวเครื่อง ซึ่งจากภาพด้านบนจะเห็นว่า E-4000 ให้ขั้วต่อสายลำโพงมาทั้งหมด 4 คู่ หรือ 2 ชุด โดยที่ขั้วต่อ 4 ขั้ว (- +, + ) ที่อยู่แถวบนคือชุด A ส่วนแถวล่างคือชุด B ถ้าคุณใช้การเชื่อมต่อแค่ชุดเดียว จะเป็นชุด A หรือชุด B ก็ให้หมุนปุ่มไปที่ตำแหน่งตรงกัน ซึ่งโหลดที่ภาคขยายในตัว E4000 มองเห็นจะเท่ากับ 8 โอห์ม แต่ถ้าคุณต่อเชื่อมลำโพงพร้อมกันทั้งสองชุด (อาจจะเป็นการต่อลำโพง 2 คู่ หรือต่อลำโพงไบไวร์แบบแยกสายลำโพงสองชุด) จะมีผลกับโหลดที่ภาคขยายมองเห็นเป็น 16 โอห์ม

ขั้วต่อ Input / Output ที่แผงหลัง

E-4000 ให้ช่องต่ออินพุตมาครบมากๆ ทั้งอินพุตที่ให้มาสำหรับแหล่งต้นทางสัญญาณ (source) ที่มีมาให้มากถึง 7 ช่อง แยกเป็นขั้วต่อแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ (กรอบสีแดง) 5 ช่อง และอินพุตที่ติดขั้วต่อบาลานซ์ XLR (กรอบสีฟ้า) อีก 2 ช่อง

นอกจากนั้น E-4000 ยังเปิดโอกาสให้คุณอัพเกรดประสิทธิภาพในอนาคตได้อีก 2 ช่องทาง ทางแรกคือ ใช้ปรีแอมป์ภายนอกที่มีคุณภาพสูงกว่า หรือมีแนวเสียงที่ต่างจากภาคปรีแอมป์ใน E-4000 เข้ามาใช้งานร่วมกับภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-4000 โดยผ่านสัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอกเข้ามาทางช่อง ‘Main Inซึ่งมีมาให้ครบทั้งสัญญาณบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ XLR (กรอบสีเขียว) และสัญญาณอันบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ RCA (กรอบสีม่วง) ส่วนอีกช่องทางคือ เอาสัญญาณภาคปรีฯ ในตัว E-4000 ไปใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ภายนอกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-4000 โดยมีช่องทางเชื่อมสัญญาณมาให้ใช้ 2 ช่องทาง คือทางขั้วต่อ RCA (กรอบสีส้ม) และทางขั้วต่อ XLR (กรอบสีเหลือง)

เนื่องจากช่องอินพุตและเอ๊าต์พุต XLR ของ Accuphase ใช้วิธีเชื่อมสัญญาณตามมาตรฐานญี่ปุ่น คือ เชื่อมต่อสัญญาณซีก + เข้าที่ ขาหมายเลข 3 และเชื่อมต่อสัญญาณซีก เข้าที่ ขาหมายเลข 2 โดยที่ใช้ ขาหมายเลข 1 ต่อสัญญาณกราวนด์ ด้วยเหตุนี้ ถ้าเอาอินพุตหรือเอ๊าต์พุตบาลานซ์ของ Accuphase ไปใช้งานร่วมกับเครื่องเสียงปรีแอมป์หรือเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อสัญญาณที่ช่อง XLR ตามมาตรฐานอเมริกันซึ่งเชื่อมต่อสัญญาณซีก + เข้าที่ ขาหมายเลข 2 และเชื่อมต่อสัญญาณซีก ไว้ที่ ขาหมายเลข 3 ซึ่ง ตรงข้ามกันหากเชื่อมต่อกันตรงๆ โดยไม่มีการแก้ไข สัญญาณเสียงที่ออกมาจากลำโพงจะผิดเฟส ทาง Accuphase จึงออกแบบฟังท์ชั่นที่ใช้แก้ปัญหานี้ด้วยการสับสวิทช์โยกเลือกรูปแบบการเชื่อมต่อเพื่อให้ตรงกันได้… นี่แหละความละเอียดของคนญี่ปุ่นโดยแท้..!!!

รับทราบมาถึงตรงนี้แล้ว จะมีใครแย้งมั้ย ถ้าผมจะสรุปว่า E-4000 เป็นอินติเกรตแอมป์ที่มีความเพรียบพร้อมสำหรับการใช้งานมากที่สุดตัวหนึ่งในตลาดทุกวันนี้..!!!

ดีไซน์เด่นๆ

ผู้ผลิตแจงไว้ชัดเจนว่า E-4000 คือผลผลิตที่ ต่อยอดมาจากรุ่น E-480 ที่เป็นเจนเนอเรชั่นก่อนหน้า ดังนั้น ถ้าจะพิจารณาถึงแนวทางการออกแบบของรุ่น E-4000 ก็คงต้องพิจารณาเชิงเปรียบเทียบกับดีไซน์ที่มีอยู่ในรุ่น E-480 จึงจะเห็นภาพได้ชัด

ถ้าถามว่า ดีไซน์จุดไหนของ E-4000 ที่แตกต่างจาก E-480 มากที่สุด.? พิจารณาจากข้อมูลที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ในเอกสาร Technical Information พบว่า เพาเวอร์แอมป์คือส่วนของ E-4000 ที่แตกต่างจากรุ่น E-480 มากกว่าส่วนอื่นๆ

กลับมาดูตารางนี้อีกที ตารางข้างบนคือ คุณสมบัติหลักๆ ของภาคเพาเวอร์แอมป์รุ่น E-480 เทียบกับรุ่น E-4000 จะเห็นว่า ข้อที่ต่างกันมีอยู่ 2 คุณสมบัติ คือข้อแรก ประเภทและจำนวนของทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในภาคขยาย กับอีกข้อคือ แด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แสดงถึงความสามารถในการควบคุมลำโพง

รุ่น E-480 ใช้ทรานซิสเตอร์ MOS-FET ข้างละ 3 คู่ คือ 6 ตัว (สองข้างรวมกันเท่ากับ 12 ตัว) เพื่อช่วยกันสร้างกำลังขับ 180 วัตต์ต่อข้าง ในขณะที่รุ่น E-4000 พวกเขาเปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์แบบ Bipolar ข้างละ 4 คู่ คือ 8 ตัว (สองข้างรวมกันเท่ากับ 16 ตัว) นี่คือความแตกต่างที่ชัดเจนมากที่สุดระหว่างสองรุ่นนี้ และเป็นส่วนหนึ่งของต้นเหตุที่ทำให้รุ่น E-4000 มีแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์สูงถึง 800 มากกว่ารุ่น E-480 ที่ทำได้แค่ 600 ซึ่งแน่นอนว่า ทั้งประเด็นชนิดของทรานซิสเตอร์ที่ต่างกันและค่าแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ที่ต่างกัน ทั้งสองประเด็นนี้จะส่งผลต่อ คุณภาพเสียงและ บุคลิกเสียงของรุ่น E-4000 อย่างแน่นอน ไม่มาก-ก็น้อย

อ้อ.. ดูจากข้อมูลใน Technical Information ที่ทางแอคคิวเฟสชี้แจงไว้ในเว็บไซต์ ยังมีการออกแบบอีกประเด็นที่น่าจะมีส่วนกับเสียง นั่นคือส่วนของ วอลลุ่มซึ่งในรุ่น E-480 นั้น ทางแอคคิวเฟสใช้ระบบวอลลุ่มที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ ชื่อว่า AAVA (Accuphase Analog Vari-gain Amplifier) ซึ่งเป็นระบบวอลลุ่มที่ก้าวล้ำกว่าวอลลุ่มแบบคาร์บอนในอดีตอย่างมาก รวมถึงระบบวอลลุ่มที่ใช้ตัวรีซีสเตอร์เข้ามาขวางทางเดินสัญญาณด้วย อันมีผลให้สัญญาณเสียงสูญเสียความบริสุทธิ์ลงไป ซึ่งระบบวอลลุ่ม AAVA ที่แอคคิวเฟสคิดค้นขึ้นมาไม่ได้ใช้รีซีสเตอร์เข้ามาลดทอนสัญญาณอินพุต แต่ใช้บัฟเฟอร์แอมปลิฟายเข้ามาทำหน้าที่แทน ซึ่งระบบวอลลุ่ม AAVA ทำให้เกิดข้อดีคือช่วยขจัดรีซีสเตอร์ที่เข้ามาขวางเส้นทางของสัญญาณออกไปได้อย่างเด็ดขาด ทำให้สัญญาณเสียงยังคงรักษาความบริสุทธิ์ไว้ได้เหมือนต้นฉบับ สิ่งที่เปลี่ยนไปจะมีแค่ ความดังในขณะที่ ความเพี้ยนที่แปดเปื้อนจากรีซีสเตอร์จะหายไปโดยสิ้นเชิง.!!

โมดูลวอลลุ่ม AAVA ในรุ่น E-4000

โมดูลวอลลุ่ม AAVA ในรุ่น E-480

ระบบวอลลุ่ม AAVA ในรุ่น E-480 ใช้วงจรบัฟเฟอร์แอมปลิฟายจำนวน 5 ชุด ต่อขนานกันเพื่อทำหน้าที่เป็นวอลลุ่ม ในขณะที่ระบบวอลลุ่ม AAVA ที่ใช้ในรุ่น E-4000 ได้ถูกปรับจูนใหม่ 2-3 จุด จุดแรกคือทำการย้ายวงจรบัฟเฟอร์ที่เคยฝังตัวเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในโมดูล AAVA ออกไปอยู่ใกล้กับอินพุตที่สัญญาณเข้ามา จุดที่สองคือเพิ่มวงจร ANCC (Accuphase Noise and Distortion Cancelling Circuit) ซึ่งเป็นวงจรแอมปลิฟาย เสริม” (sub-amplifier) เข้าไปทำหน้าที่ลดสัญญาณรบกวน (noise) ในวงจร AAVA อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งในรุ่น E-480 ไม่มีวงจร ANCC ตัวนี้ เมื่อรวมๆ ผลที่เกิดจากการทำงานของโมดูล AAVA ในรุ่น E-4000 ที่มีการปรับปรุงทั้งสองจุดนี้แล้ว ทำให้สามารถลดปริมาณสัญญาณรบกวน (noise) โดยรวมของ E-4000 ลงไปได้มากถึง 20% เมื่อเทียบกับโมดูล AAVA ที่ใช้ในรุ่น E-480 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้

ทดสอบด้วยการแม็ทชิ่ง

หลังจากพิจารณาหน้าตาและดีไซน์เด่นๆ กันไปแล้ว เรามาพิจารณาสเปคฯ ของ E-4000 และทดลองแม็ทชิ่งกับลำโพงกันดูหน่อย

ผมทดสอบประสิทธิภาพของ E-4000 ด้วยการทดลองแม็ทชิ่ง E-4000 เข้ากับลำโพง 3 คู่ ที่มีอยู่ในห้องฟังขณะนั้น เป็นลำโพงสองทางวางขาตั้ง 2 คู่กับตั้งพื้นอีกหนึ่งคู่ เริ่มจากยี่ห้อ Usher Audio รุ่น SD-500 ราคาประมาณเจ็ดหมื่นกว่า คู่ที่สองเป็นลำโพงตั้งพื้น 2.5 ทางยี่ห้อ Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW) ราคาประมาณหนึ่งแสนบาท และคู่ที่สามยี่ห้อ Totem Acoustic รุ่น Element ‘FIRE’ v2 ราคาประมาณสองแสนปลายๆ เป็นแบบวางขาตั้ง ซึ่งลำโพงทั้งสามคู่มีสเปคฯ สำคัญๆ ตามตารางข้างบนนี้

จับคู่กับลำโพง Usher Audio รุ่น SD-500

จับคู่กับลำโพง Audio Physic รุ่น Classic 8

ระหว่างที่ทดลองฟัง E-4000 กับ SD-500 และ Classic 8 มีปรากฏการณ์บางอย่างที่น่าสนใจเกิดขึ้น ซึ่งสะท้อนความจริงที่ว่า ถ้าพูดถึงเรื่อง ขับง่าย vs ขับยากเราจะมองกันที่ “รูปแบบ” และ ขนาดของลำโพงอย่างเดียวไม่ได้ คือมันไม่เสมอไปนะว่า ลำโพงสองทางที่มีตัวตู้ขนาด เล็กจะขับง่ายกว่าลำโพงตั้งพื้นที่มีขนาดใหญ่กว่า เมื่อลองฟังเพลงเดียวกัน จากอัลบั้มเดียวกัน ผมพบว่า SD-500 ต้องใช้พละกำลังจาก E-4000 เยอะกว่า Classic 8 แบบที่รู้สึกได้เลย

ดูยังไง.? ปกติแล้ว ถ้าลำโพงถูกขับด้วยกำลังขับที่มากพอ จะได้เสียงออกมาเต็มที่ คือโดยรวมจะมีลักษณะที่เปิดกระจ่าง วงแผ่ออกมาเต็มพื้นที่ ถ้าเซ็ตตำแหน่งลงตัวด้วย นอกจากเวทีเสียงจะแผ่เต็มแล้ว ไดนามิกของเสียงก็จะสวิงได้กว้าง รู้สึกได้ถึงความเป็นอิสระในการขยับเคลื่อนตัวของแต่ละชิ้นดนตรีได้อย่างเต็มเหนี่ยว แต่ถ้าลำโพงถูกขับด้วยกำลังขับที่ น้อยเกินความต้องการของลำโพงเสียงโดยรวมจะหุบ ทั้งเวทีเสียงและไดนามิก ฟังแล้วเหมือนนุ่มแต่ขาดความสด ถึงแม้ว่าจะเร่งวอลลุ่มมากขึ้นก็จะได้แค่เสียงโดยรวมที่ดังขึ้น แต่ไม่ได้ให้แรงปะทะเพิ่มขึ้น ขาดอรรถรสในการฟัง

จากความหมายของคำว่า ขับออกข้างต้น ผมสรุปได้เบื้องต้นว่า กำลังขับที่ 180 วัตต์ต่อข้าง ของ E-4000 สามารถขับทั้ง SD-500 และ Classic 8 ออกมาได้อย่างเต็มที่ทั้งสองคู่ โดยที่ SD-500 บริโภคกำลังของ E-4000 มากกว่า Classic 8 ซึ่งดูแล้วอาจจะสวนความรู้สึก เพราะ Classic 8 เป็นลำโพงตั้งพื้น ตัวใหญ่กว่า แต่กลับกินกำลังจาก E-4000 น้อยกว่า SD-500 ที่เป็นลำโพงวางขาตั้ง ส่วนคำถามว่า.. ระหว่าง E-4000 + SD-500 กับ E-4000 + Classic 8 เสียงออกมาต่างกันอย่างไร.?

อัลบั้ม : Bizet, Beethoven, Pachelbel & Berlioz (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The All Star Percussion Ensemble
สังกัด : FIM (First Impression Music)

ณ สภาวะเต็มที่ของทั้งสองคู่ ผมพบว่าเมื่อใช้ E-4000 ขับ SD-500 ผมแฮ้ปปี้กับเสียงในย่านกลางขึ้นไปแหลมที่กระจายตัวออกมามากเป็นพิเศษ ที่เด่นมากคือ รายละเอียดที่กระจ่างพร่างพรายสุดๆ อันนี้ต้องยกเครดิตให้กับทวีตเตอร์ของ SD-500 ผนวกกับพลังขับของ E-4000 ที่สามารถดันรายละเอียดของทวีตเตอร์ตัวนี้ออกมาได้อย่างหมดเปลือก แม้ว่าความต้านทานของ SD-500 จะอยู่ในระดับต่ำเพียงแค่ 86dB เท่านั้น แต่เสียงแหลมที่ได้ยินจากทวีตเตอร์ไดม่อนด์ DMD ของ SD-500 เป็นอะไรที่สะกดความรู้สึกมาก พลังของ E-4000 ช่วยดันหางเสียงของเครื่องดนตรีเพอร์คัสชั่นในอัลบั้มนี้ให้แผ่กังวานจากทวีตเตอร์ไดม่อนด์ของ SD-500 ออกมาพริ้วไสวเป็นระลอกคลื่นที่สวยงามมาก แด้มปิ้งแฟ็กเตอร์ที่ระดับ 800 ของ E-4000 ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ในการควบคุมการสั่นไหวของไดอะแฟรมของทั้งตัวทวีตเตอร์และมิด/วูฟเฟอร์ได้นิ่งสนิท เสียงตลอดย่านจึงมีความกระชับ สะอาด และเมื่อเรโซแนนซ์ของไดอะแฟรมถูกแด้มปิ้งฯ ของแอมป์ควบคุมไว้ได้สนิท จึงส่งผลให้เสียงที่เกิดจากการทำงานของไดเวอร์ทั้งสองตัว หลุดตู้แตกกระจายออกไปได้อย่างอิสระ เป็นผลดีต่อคุณสมับิตทางด้านเวทีเสียง แม้ว่าจะเปิดดังมากจนได้สนามเสียงที่แผ่เต็มห้อง ก็ยังรู้สึกได้ถึง ความนิ่งของเวทีเสียงและตำแหน่งของชิ้นดนตรีที่สถิตย์อยู่กับที่อย่างมั่นคงโดยไม่มีอาการวูบวาบเลย.. แสดงถึงกำลังสำรองของ E-4000 ที่ควบคุม SD-500 ได้อย่างเบ็ดเสร็จจริงๆ.!

แต่พอยก SD-500 ออกมาแล้วสลับเอา Classic 8 เข้าไปแทนที่โดยคงอย่างอื่นไว้ เสียงที่ออกมาปรับเปลี่ยนไปคนละโทน ฉีกหนีกันไปอย่างชัดเจน (แสดงถึงความเป็นกลางของ E-4000) โดยที่โทนเสียงโดยรวมของ Classic 8 + E-4000 จะเด่นไปทางท่อนล่าง คือให้ ปริมาณของความถี่ในย่านกลางลงทุ้มออกมา มากกว่าท่อนบนคือกลางขึ้นไปแหลม เทียบสัดส่วนคร่าวๆ อยู่ที่ 60 (กลางลงทุ้ม) : 40 (กลางขึ้นแหลม) ส่งผลให้โทนคัลเลอร์ของเสียงโดยรวมเอนไปทาง dark คือเด่นไปทางด้านกลางลงไปทุ้มเล็กน้อย และด้วยพลังของ E-4000 ที่รู้สึกได้ว่ามากเกินพอสำหรับ Classic 8 มีส่วนอย่างมากที่ส่งให้เสียงทุ้มของ Classic 8 ออกมาดีเกินตัว ดีเกินราคาค่าตัวไปมาก หัวเบสออกมาคมและแน่น ในขณะที่บอดี้ก็อิ่มและมีเนื้อเข้ม ส่วนหางเสียงก็แผ่ลงลึกและครอบคลุมพื้นที่ในห้องได้ทั่วถึง ฐานเบสของ Classic 8 เมื่อขับด้วย E-4000 มันแยกตัวออกจากหัวโน๊ตต่ำๆ ได้อย่างน่าทึ่ง ซึ่งนี่ก็คงเป็นเพราะอิทธิพลของ damping factor ที่ระดับ 800 ของ E-4000 อีกเช่นกันที่ชำแหละรายละเอียดในย่านกลางลงมาทุ้มของ Classic 8 ออกมาได้อย่างน่าชื่นชม

อัลบั้ม : Asian Roots (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : TaKeDaKe with Neptune
สังกัด : Denon

ผมทดลองฟังเพลงที่โชว์เสียงเบสเด่นๆ กับ Classic 8 + E-4000 หลายเพลง ที่สะดุดหูมากๆ ก็คืออัลบั้มชุด “Asian Rootsที่ Classic 8 ถ่ายทอดเสียงเพอร์คัสชั่นและเสียงฟลุ๊ทไม้ไผ่ฮารากูชิออกมาได้ดีเหลือเชื่อ อิมเมจและมวลแผ่ใหญ่ เนื้อมวลมีความหนาและนุ่ม ดูเกินตัวลำโพงไปมาก ถ้าไม่ได้ พลังของ E-4000 เข้ามาช่วยหนุน คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของลำโพงสัญชาติเยอรมันคู่นี้..!!!

จับคู่กับลำโพง Totem Acoustic รุ่น Element ‘FIRE’ v2

หลังจากยก Classic 8 ออกไปแล้วยก Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 พร้อมขาตั้งของมันเองเข้ามาแทนที่ แค่โน๊ตแรกหลุดพ้นลำโพงออกมาผมก็บอกได้เลยว่า คู่นี้แหละ.. perfect matching ดีสุดสำหรับงบนี้แล้ว.!!

E-4000 + Element ‘FIRE’ v2 ให้เสียงที่กระโจนข้ามลำโพงอีกสองคู่ก่อนหน้านี้ไปหลายกิโล.! ทุกคุณสมบัติของเสียง แอมป์+ลำโพงคู่นี้ทำออกมาได้ดีมาก ทุกอย่างมันออกมาฟังดูพอดีๆ ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของรายละเอียดที่กระจ่างชัดออกมาพอกันตลอดทั้งย่าน ตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ถ้าจะขาดไปหน่อยก็คือทุ้มลึกๆ ที่บางไปนิด ซึ่งก็เป็นปกติของลำโพงสองทางวางขาตั้งที่มีขนาดตู้ประมาณนี้ แต่มันก็แลกมาด้วยมิติ-เวทีเสียงที่แผ่กว้างและหลุดตู้เป็นอิสระสุดๆ

ในช่วงท้ายๆ ของการทดสอบ E-4000 ผมได้รับ DAC ยี่ห้อ Rockna รุ่น Wavedream DAC เข้ามาร่วมทดสอบ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมใช้วิธีเล่นไฟล์เพลงด้วย Roon nucleus+ แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปที่อินพุต Ethernet ของ Bluesound ‘New’ NODE (REVIEW) แล้วดึงสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จากช่อง coaxial ของ New NODE ไปเข้าที่อินพุตบอร์ดอ๊อปชั่น DAC-50 ที่ติดตั้งอยู่บนตัว E-4000 (ภาพด้านบน ลูกศรชี้สีเขียว) พอได้ Rockna Wavedream DAC เข้ามา ทำให้ผมมีโอกาสทดสอบประสิทธิภาพช่องอินพุต XLR ของ E-4000 ไปในตัว หลังจากติดตั้ง Wavedream DAC เสร็จ ผมก็จัดการเชื่อมต่อเอ๊าต์พุตบาลานซ์ของ Wavedream DAC เข้ากับอินพุตบาลานซ์ XLR ของ E-4000 โดยใช้สายสัญญาณรุ่น Gold MK II ของ Life Audio ยาว 6 เมตร ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมสัญญาณ

หลังจากเชื่อมสายสัญญาณเสร็จ ก่อนจะเริ่มทดลองฟังเสียง สิ่งแรกที่ต้องทำคือกดปุ่ม ‘Invert Phase’ (ศรชี้ในภาพข้างบน) ที่หน้าปัดของ E-4000 เพื่อสลับเฟสสัญญาณของ Wavedream DAC ที่รับเข้ามาทางช่องอินพุต XLR ให้ได้เฟสที่ถูกต้องซะก่อน..

พอได้ source ที่ดีขึ้น เสียงของ E-4000 + Element ‘FIRE’ v2 ก็เหมือนติดปีก คุณภาพเสียงที่ดีอยู่แล้วขยับขึ้นไปอีกหลายเท่า อะไรที่ดีอยู่แล้ว มันดีขึ้นไปอีกขั้น อย่างที่เคยบอกไว้ที่ว่า เสียงดีเป็นเรื่องของประสบการณ์ ยากที่จะนึกเอาเองได้ ต้องได้ยินด้วยหูตัวเองเท่านั้นถึงจะรู้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน อย่างแรกที่พุ่งออกมาสัมผัสกับโสตประสาทของผมก่อนเลยก็คือ สนามเสียงที่เปิดโล่งสุดๆ โล่งแบบไม่มีความรู้สึกของขอบเขตเข้ามาจำกัด ซึ่ง สนามเสียงที่ว่านี้คือลักษณะความเปิดโล่งที่แอมป์กับลำโพงสร้างขึ้นมาในห้อง เป็นคนละประเด็นกับ เวทีเสียงที่ซาวนด์เอ็นจิเนียร์สร้างจำลองขึ้นมาในเพลง ในแง่ของสนามเสียงของซิสเต็มยิ่งเปิดกว้างยิ่งดี จะทำให้เรารับรู้ได้ถึงลักษณะความกว้างแคบ และรูปวงของเวทีเสียงที่แต่ละเพลงถูกมิกซ์มาจากสตูดิโอ ซิสเต็มที่ให้สนามเสียงเปิดกว้างมากๆ จะทำให้เรารับรู้ถึงความแตกต่างของลักษณะเวทีเสียงของเพลงแต่ละเพลงที่กว้างแคบไม่เท่ากัน และเมื่อได้แหล่งต้นทางที่ถ่ายทอดสัญญาณต้นทางที่มีความเที่ยงตรงสูง ก็จะทำให้เรา มองเห็นลักษณะรูปวงของเพลงนั้นๆ ได้อย่างชัดเจน เป็นไปตามลักษณะรูปวงที่มิกซ์มาจากสตูดิโอมากที่สุด

ถัดจาก สนามเสียงที่เปิดโล่งสุดๆ ก็มาถึงคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของ สปีดและ น้ำหนักเสียงในแง่ของสปีดพิจารณาจากอัตราเร็วของการสวิงความดังระหว่างเบาไปดังและจากดังลงมาเบา (ทรานเชี้ยนต์จะเร็ว ส่วนคอนทราสน์จะช้า) ซึ่ง E-4000 ทำออกมาได้ไร้ที่ติ..

อัลบั้ม : Carl Orff: Carmina Burana (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Prague Festival Orchestra / Pavel Urbanek – conductor
สังกัด : Laser Light Digital

ตลอดเวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสามนาทีที่ผมนั่งฟังอัลบั้มชุดนี้ผ่านลำโพง Element ‘FIRE’ v2 โดยมี E-4000 คอยจ่ายกำลังให้มันทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ เพราะเสียงที่ได้ยินออกมาจากอัลบั้มนี้มันเข้าไปลบล้างความทรงจำเกี่ยวกับน้ำเสียงของ Accuphase ในอดีตเก่าๆ ออกไปจนหมดเกลี้ยง เสียงของ E-4000 ตัวนี้ไม่มีภาพของเสียงที่นุ่มนิ่มและช้าเฉื่อยเหมือนรุ่นเก่าๆ อยู่เลย ใครที่เคยฟังเสียงของแอมป์ยี่ห้อนี้ในอดีตกาลแล้วรู้สึกไม่ชอบแนวเสียงที่เน้นหนักไปทางนุ่มนิ่มจนเกินไป คุณจะไม่ได้ยินอะไรแบบนั้นจาก E-4000 ตัวนี้ ตรงกันข้าม.. สิ่งที่ E-4000 ถ่ายทอดออกมามันคือความสด กระชับ เปิด กระจ่าง ให้เสียงที่ดีดตัว มีน้ำหนัก ฉับไวและรุนแรง ซึ่งเหล่านี้เป็นแนวเสียงที่ผมไม่เคยได้ยินจากแอมป์สัญชาติญี่ปุ่นแบรนด์นี้มาก่อน..!

แม้ว่าผมจะเคยทดสอบแอมป์ของ Accuphase มาแล้วหลายตัวในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นรุ่น E-480, E-5000, E-800 และ E-280 ซึ่งยอมรับว่า เสียงของรุ่นเหล่านั้นก็เริ่มมีบุคลิกของความสดเข้ามาผสมอยู่กับความนุ่มเนียนบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ชัดเจนเด็ดขาดเท่ากับที่ผมกำลังฟังจากรุ่น E-4000 ตัวนี้ ซึ่งบอกเลยว่า ผมชอบมาก..!! เพราะโดยส่วนตัวผมชอบเสียงที่สด กระจ่าง มีเอนเนอร์จี้ เพราะความสดนำมาซึ่งความสมจริงของเสียง และความสมจริงของเสียงนำมาซึ่งอรรถรสของเพลงที่ใกล้เคียงกับการบรรเลงสดๆ นั่นเอง

หลังจากฟังด้วยอัลบั้ม ‘Carmina Buranaชุดนี้แล้ว ผมสรุปได้เลยว่า E-4000 ให้เสียงที่สด เร็ว และให้การย้ำเน้นของอิมแพ็คที่มีน้ำหนัก มันสามารถถ่ายทอดความน่าสะพรึงของบทเพลงในอัลบั้มชุดนี้ออกมาได้อย่างชวนขนลุก มันทำให้ผมเชื่อว่า ถ้าผมเข้าไปนั่งอยู่ในฮอลล์ที่ใช้บันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้ ซึ่งเป็นการบันทึกแบบ Live Recording ด้วยเทคโนโลยีดิจิตัล ผมก็จะได้ยินเสียงแบบนี้นี่แหละ เพราะเสียงที่ E-4000 นำเสนอออกมามันเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เป็นเสียงที่เจือความดิบที่ไร้การปรุงแต่ง E-4000 มันขุดออกมาให้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงไอจามของนักร้อง ทุกเสียงที่ได้ยินเหมือนเสียงจริงมากๆ ถ้าแอมป์ไม่ตอบสนองไวจริงๆ เสียงที่พุ่งผ่านลำโพงออกมาคงจะไม่สดและสมจริงมากขนาดนี้.! (ลำโพง Element ‘FIRE’ v2 โดดเด่นอยู่แล้วในแง่ของการตอบสนองที่เร็วและไม่อั้น เพราะตัววูฟเฟอร์ไม่มีเน็ทเวิร์ค)

สรุป

คุณภาพเสียงของซิสเต็มขึ้นอยู่กับ ประสิทธิภาพของลำโพง พูดง่ายๆ ก็คือ ลำโพงเป็นตัวกำหนดคุณภาพเสียงโดยรวมของซิสเต็มนั่นเอง ซึ่งการที่จะทำให้ลำโพงแสดงศักยภาพของมันออกมาได้อย่างเต็มที่จริงๆ จำเป็นต้องอาศัยประสิทธิภาพของ แอมปลิฟายเป็นตัวหนุน หลีกเลี่ยงเป็นอื่นไปไม่ได้ ถ้าจะเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างลำโพงกับแอมป์ให้เห็นภาพชัดๆ ก็คงจะเปรียบได้กับความสัมพันธ์ระหว่างตัวถังรถยนต์ (ลำโพง) กับเครื่องยนต์ (แอมป์) นั่นเอง

เมื่อแอมปลิฟายกับลำโพงทำงานร่วมกัน เป็นระบบที่แยกขาดจากกันไม่ได้ แอมป์กับลำโพงทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง สนามเสียงหนึ่งเดียวออกมา แบบนี้แล้ว เราจะประเมินคุณภาพของแอมป์แยกออกมาจากลำโพงได้อย่างไร.?

ส่วนตัวผมแยกมองออกเป็น 2 ประเด็น ประเด็นแรกมองที่ ความสามารถหรือคุณสมบัติในการควบคุมลำโพง ซึ่งคุณสมบัตินี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเลขกำลังขับเพียงของแอมป์อย่างเดียว ยังมีคุณสมบัติอีกตัวคือ แด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ที่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอยู่มาก ในแง่มุมนี้ผมมองว่า แอมป์ที่สามารถขับลำโพงได้ดี ไม่เว้นว่าจะเป็นลำโพงวางหิ้งหรือตั้งพื้น ไม่ว่าจะเป็นลำโพงความไวสูงหรือความไวต่ำ ไม่ว่าจะเป็นลำโพงราคาถูกหรือราคาแพง แอมป์ที่มีคุณภาพดีจะต้องสามารถขับลำโพงที่กล่าวถึงข้างต้นได้ทั้งหมด ซึ่ง Accuphase E-4000 ตัวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในแง่นี้ของมันแล้ว จากการทดลองขับลำโพงทั้งสามคู่ที่ผมมีอยู่ออกมาได้อย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขกำลังขับ 180W ต่อข้างกับตัวเลขแด้มปิ้ง แฟ็กเตอ์ที่ระดับ 800 ของมันเป็นคุณสมบัติที่นำมาใช้งานได้จริง.!!!

ส่วนประเด็นที่สองที่ผมใช้พิจารณาเพื่อประเมินคุณภาพของแอมป์ก็คือ คุณภาพเสียง” (Sound Quality) ซึ่งถ้าเป็นอุปกรณ์ประเภทแอมป์ผมจะให้ความสำคัญกับคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกมากหน่อย เพราะไดนามิกของเสียงที่ดีนั้น ไม่ว่าจะเป็นทรานเชี้ยนต์ ไดนามิก หรือคอนทราสน์ ไดนามิก จำเป็นต้องอาศัยพลังของแอมป์กับคุณสมบัติทางด้านแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์ในการสร้างขึ้นมา กรณีที่แอมป์สามารถควบคุมลำโพงได้อยู่หมัด แอมป์ตัวนั้นจะควบคุมไดเวอร์ของลำโพงให้ปลดปล่อย ไดนามิกของเสียงออกมาได้อย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นคือจุดเริ่มต้นของ คุณภาพเสียงที่ดีที่สุดเท่าที่ลำโพงคู่นั้นจะให้ออกมาได้ ซึ่ง E-4000 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า มันสามารถขยับคุณภาพเสียงของตัวมันเองให้สูงขึ้นไปตามประสิทธิภาพของลำโพงได้หลายระดับ ตั้งแต่ SD-500 (ต่ำกว่าแสน), Classic 8 (แสนต้นๆ) จนถึง Element ‘FIRE’ v2 (เฉียดสามแสน) E-4000 ทำให้ลำโพงทั้งสามคู่นี้ให้เสียงออกมาได้ดีน่าพอใจมากเมื่อเทียบกับระดับราคาของตัวลำโพงเอง

ใครที่ชอบฟังเพลงคลาสสิก คุณจะต้องชอบ E-4000 เพราะมันจะทำให้คุณเอนจอยไปกับเพลงคลาสสิกได้อย่างเต็มที่ ไม่เสียอรรถรสในการฟังเพลงแนวนี้ ซึ่งนักเล่นเครื่องเสียงรู้ดีว่า เพลงคลาสสิกเป็นแนวเพลงที่ ผ่านด่านได้ยาก ถ้าลำโพง+แอมป์ไม่ดีจริงก็ไปไม่รอด และเมื่อผ่านด่านเพลงคลาสสิกไปได้แล้ว เพลงแนวอื่นๆ ก็กลายเป็นขนมไปเลย.!

ถ้าใครถามหาอินติเกรตแอมป์ที่มีคุณสมบัติทั้งทางด้านกำลังขับและน้ำเสียงที่สามารถจับคู่กับลำโพงไปได้ไกลถึงระดับไฮเอ็นด์ฯ ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 300,000 บาท ผมจะรีบแนะนำ Accuphase E-4000 ตัวนี้ให้เป็นอันดับแรกเลย.!!! /

*************************
ราคา : 290,000 บาท / ตัว
*************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Hi-END AUDIO
โทร. 02-101-1988

facebook: @hiendaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า