ข้อดีอีกข้อหนึ่งของเทคโนโลยีดิจิตัลคือทำให้เกิด “ความเสมอภาค” ในวงการเครื่องเสียง คือทำให้คนที่มีทุนน้อยก็สามารถเสพสุขกับการเล่นเครื่องเสียงได้ และถ้าตั้งใจค้นหากันจริงๆ แล้ว เครื่องเสียงราคาไม่แพงบางชิ้นนั้น อาจจะให้คุณภาพเสียงที่ “ดีเกินราคา” ไปมากทีเดียว.!
ผมได้รับคำร้องขอจากแฟนเพจ 2-3 คนให้ช่วยทดลองฟังชุดลำโพง 2.1 ch ของ Edifier ตัวนี้ให้หน่อย พวกเขาพูดเป็นคำเดียวกันว่า “ผมลองฟังมาแล้ว ผมว่ามันดีมาก แต่ไม่มั่นใจ รบกวนอาจารย์ช่วยไปฟังให้หน่อย..” เอาซิครับ.. เรื่องแค่นี้ จะเป็นไรไป!
มีอะไรในกล่อง ?

อุปกรณ์ทุกชิ้นถูกแพ็คมาในกล่องกระดาษขนาดใหญ่ใบเดียว น้ำหนักเยอะเอาเรื่อง แกะกล่องออกมาแล้ว ในนั้นจะพบอุปกรณ์หลักๆ อยู่ 4 ชิ้น คือ ลำโพงสเตริโอซ้าย–ขวา 1 คู่, ลำโพงซับวูฟเฟอร์ 1 ตัว และรีโมทไร้สาย 1 ตัว นอกจากนั้นก็เป็นแอคเซสซอรี่อื่นๆ อาทิ สายที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างตัวลำโพงคู่หน้ากับลำโพงซับวูฟเฟอร์ กับสายไฟเอซี
S350DB
ลำโพง Sub Sat สมัยใหม่!
หลังจากพิจารณาดูแล้ว พื้นฐานของ S350DB ตัวนี้ก็คือชุดลำโพง Sub Sat Speaker System นั่นเอง ซึ่งเป็นชุดลำโพงประเภทที่นิยมกันมากตั้งแต่ยุค ’70 ใช้ประโยชน์ได้ทั้งฟังเพลงและดูหนังจากม้วนวิดีโอเทป ยี่ห้อที่ผมเคยฟังและชอบมากๆ คือ MK ของ Ken Kreisel

ลำโพงซับ-แซทฯ ในอดีตนั้นรองรับแต่สัญญาณเสียง analog อย่างเดียว แต่ S350DB ตัวนี้รองรับทั้งสัญญาณ analog และ digital แถมยังรองรับสัญญาณเสียงทางอากาศผ่านคลื่น Bluetooth ได้ด้วย สมกับเป็น Sub Sat ยุคปัจจุบันจริงๆ
Active 2.1 ch
+ Subwoofer
การทำงานของ S350DB ค่อนข้างซับซ้อน เพราะมันเอาภาคโทนคอนโทรลไปซ่อนไว้ในลำโพงข้างขวา (Right Channel) และซ่อนภาคอินพุต กับภาคเพาเวอร์แอมป์ stereo ไปไว้ในลำโพงซับวูฟเฟอร์ นั่นทำให้ต้องมีสายสัญญาณเชื่อมต่อระหว่างลำโพงข้างขวากับลำโพงซับวูฟเฟอร์เพื่อส่งผ่านข้อมูลการปรับแต่งโทนเสียง (ปรับทุ้ม–แหลม) ของเสียง กับการเลือกแหล่งอินพุต ที่ควบคุมจากปุ่มกดและปุ่มหมุนที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างของตัวลำโพงข้างขวา

ลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ซ้าย–ขวาเป็นลำโพงสองทางขนาดกระทัดรัด ส่วนสัด กว้าง x ลึก x สูง อยู่ที่ 5 x 6 x 8.75 นิ้ว วางบนหิ้ง บนโต๊ะทำงาน หรือบนโต๊ะวางทีวีในห้องรับแขกได้สบาย ไม่เกะกะพื้นที่มาก หน้าตาก็ทำมาสวย ดูดีเลย แม้ว่าจะไม่มีหน้ากากปิด แต่ก็สามารถโชว์หน้าตาได้ ไม่ขี้เหร่ ไดอะแฟรมของตัวทวีตเตอร์ (A) ทำมาจากโลหะไตตาเนี่ยม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ¾ นิ้ว ตอบสนองความถี่สูงขึ้นไปถึง 20kHz ส่วนตัวมิดเร้นจ์ (B) ขับเสียงกลางเป็นไดเวอร์ทรงกรวยแบบไดนามิก ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของไดอะแฟรมเท่ากับ 3 นิ้ว ตอบสนองความถี่ของเสียงกลางสูงที่เชื่อมต่อกับทวีตเตอร์ ลงมาถึงเสียงในย่านกลางต่ำที่ระดับ 160Hz

ปุ่มควบคุมการทำงานสามปุ่ม ติดตั้งอยู่ด้านข้างของลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ตัวขวา ปุ่มบนสุดใช้หมุนปรับเพิ่ม/ลดปริมาณเสียงในย่านสูง (treble) ตัวกลางใช้หมุนปรับเพิ่ม/ลดปริมาณเสียงในย่านทุ้ม (Bass) ซึ่งทั้งสองย่านเสียงนั้นมี range ให้ปรับค่อนข้างกว้าง คือตั้งแต่ -6dB ถึง +6dB ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับจูนโทนเสียงเพื่อชดเชยกับสัญญาณจากแต่ละอินพุตที่ออกมาถูกใจคนฟัง
ส่วนปุ่มล่างสุดใช้งาน 3 อย่าง คือถ้ากดลงไปจะเป็นการเลือกอินพุต, กดค้างเป็นการปิด (standby) แต่ถ้าหมุนจะเป็นการปรับเพิ่ม/ลดความดัง

ที่แผงหลังของลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองตัวมีรูระบายอากาศ (C) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเกือบสองนิ้วติดตั้งอยู่เพื่อขยายฐานความถี่ด้านล่างให้ลาดลงด้วยความนุ่มนวล ลำโพงทั้งสองข้างจะสลับตำแหน่งกันไม่ได้นะครับ เพราะแต่ละข้างมันถูกล็อคมาด้วยจุดเชื่อมต่อที่พิมพ์กำกับแชนเนลมาเสร็จสรรพ จุดเชื่อมต่อข้างซ้าย (B) ในภาพบนใช้ต่อเชื่อมกับสายลำโพงที่ให้มา เชื่อมต่อระหว่างลำโพงซ้ายกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ ส่วนจุดเชื่อมต่อข้างขวา (A) เป็นทั้งสายลำโพงและสายคอนโทรลที่ต่อเชื่อมจากลำโพงขวาไปที่ซับวูฟเฟอร์

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่ให้มามีขนาดใหญ่มาก งานประกอบและวัสดุก็แข็งแรงและแน่นหนาดูดีทีเดียว น้ำหนักก็เยอะ แสดงว่าแม่เหล็กน่าจะใหญ่เอาเรื่อง วูฟเฟอร์ที่ใช้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 160Hz ลงไปถึง 40Hz ก่อนจะค่อยๆ ปล่อยหางเสียงทุ้มให้ลาดต่ำลงไปอย่างนุ่มนวลผ่านออกทางท่อระบายอากาศขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านข้าง ..

อินพุตของ S350DB มีทั้งสำหรับสัญญาณ analog และ digital ส่วนที่เป็นสัญญาณอะนาลอก มีขั้วต่อ RCA ให้เชื่อมต่ออยู่ 2 ชุด (A) พิมพ์ระบุว่า PC กับ AUX ส่วนสัญญาณขาเข้าที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัล มีขั้วต่อให้ใช้งานอยู่ 2 ช่อง (B) คือ OPT (อ๊อฟติคัล) กับ COX (โคแอ็กเชี่ยล) ต่อมาคือขั้วต่อ VGA (C) ที่ใช้เชื่อมต่อกับลำโพงข้างขวานั้นเป็นทางเชื่อมสัญญาณเสียงและสัญญาณคำสั่งในการเลือกอินพุต และคำสั่งในการปรับตั้งเสียงแหลมและเสียงทุ้มที่ควบคุมจากปุ่มหมุนที่ติดตั้งอยู่บนลำโพงข้างขวา ถัดมาขั้วต่อ DIN 5 pin (D) นั้นใช้สำหรับเชื่อมต่อกับลำโพงข้างซ้าย เพื่อนำพาสัญญาณเสียงจากภาคแอมป์ในตัวซับวูฟเฟอร์ไปที่ลำโพงข้างซ้าย และที่ด้านล่างมุมซ้ายเป็นสวิทช์เปิด/ปิด (E) กับขั้วต่อสายไฟเอซีแบบสองขา (F)

รีโมทไร้สายที่แถมมาก็เท่ห์มาก ทำเป็นทรงกลม ขนาดเหมาะมือ ปุ่มกดต่างๆ ก็มีให้เท่าที่จำเป็น ขนาดใหญ่ กดใช้สะดวก
เซ็ตอัพ
ผมทดลองฟังเสียงของ S350DB อยู่ 3 ลักษณะ ขั้นแรกคือลองเอาไปเซ็ตอัพฟังแบบลำโพง stereo 2 ch ที่ใช้กับชุดเครื่องเสียงในห้องรับแขกที่บ้านผม หน้ากว้าง 5 เมตร ลึกสิบกว่าเมตร นั่งฟังทางด้านกว้าง โดยใช้สัญญาณเสียงทั้งอะนาลอกและดิจิตัลจากเครื่องเล่นไฟล์เพลงด้วยเน็ทเวิร์คของ Cambridge Audio รุ่น CXN ป้อนให้กับ S350DB หลังจากลองเซ็ตอัพตำแหน่งวางดูแล้ว ผมพบว่า ระยะห่างระหว่างลำโพงข้างขวากับข้างซ้ายถูกจำกัดด้วยความยาวของสายสัญญาณและสายลำโพงที่ให้มากับ S350DB แต่ก็พอเซ็ตอัพให้เสียงที่ลงตัวกันได้โดยที่ลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองข้างถูกวางอยู่บนแผ่นไม้ที่ทำเป็นโต๊ะ สูงจากพื้นประมาณ 68 ซ.ม. มีระยะห่างจากกันประมาณ 110 ซ.ม. ส่วนลำโพงซับวูฟเฟอร์วางอยู่บนพื้น ระหว่างลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสอง โดยมีระยะห่างจากลำโพงข้างขวาอยู่ประมาณ 60 ซ.ม. และห่างจากลำโพงข้างซ้ายประมาณ 90 ซ.ม. ทั้งลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองและลำโพงซับวูฟเฟอร์ถูกวางห่างจากผนังด้านหลัง 80 ซ.ม.
ด้วยลักษณะการเซ็ตอัพข้างต้น ผมพบว่า S350DB ทำหน้าที่แทนชุดเครื่องเสียงบ้านในส่วนของ “แอมป์+ลำโพง” ได้ค่อนข้างน่าพอใจ ซึ่งในการเซ็ตอัพ+ปรับจูนลำโพงเซ็ตนี้ ผมมุ่งเป้าไปที่ “โทนัลบาลานซ์” มากกว่าอย่างอื่น ให้ความสำคัญเรียงลำดับตามนี้คือ โทนัลบาลานซ์ > ไดนามิก > เนื้อเสียง > เวทีเสียง ซึ่งเหตุผลที่ผมเอาเรื่องเวทีเสียงไว้หลังสุดก็เพราะว่า ย่านเสียงตั้งแต่ 160Hz ลงไปที่เป็นของทั้งสองแชนเนลถูกตัดไปสร้างขึ้นโดยลำโพงซับวูฟเฟอร์ออกมาเป็นสัญญาณโมโน ซึ่งย่านความถี่ตั้งแต่ 160Hz ลงมาถึง 40Hz นั้น เป็นย่านความถี่ต่ำที่ประสาทหูของเรายังสามารถตรวจจับตำแหน่งที่มาของเสียงได้ โดยเหตุนี้ ตำแหน่งของชิ้นดนตรีในเวทีเสียงจึงถูกผูกติดอยู่กับตำแหน่งการวางลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปโดยปริยาย คือถ้าคุณวางลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองข้างให้อยู่ในลักษณะที่ฉีกห่างจากกันมากเกินไป เสียงหัวโน๊ตของเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ในย่านที่ “สูงกว่า” 160Hz – 40Hz ก็จะไม่กลืนกับเสียงฮาร์มอนิกของมัน
ด้วยเหตุนี้ ลักษณะเวทีเสียงที่ได้จากชุดลำโพงซับ–แซทฯ S350DB ตัวนี้จึงไม่ได้ออกแนวฉีกกว้างได้เท่ากับลำโพงสองทางเพียวๆ ความพยายามวางลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ให้ฉีกห่างจากกันให้มากขึ้น แล้วเร่งเสียงทุ้มจากซับวูฟเฟอร์ขึ้นมาชดเชยระยะห่าง ไม่ได้ช่วยทำให้เวทีเสียงดีขึ้นนะครับ ช่วยได้แค่ปรับโทนัลบาลานซ์ของเสียงให้สมดุลกันเท่านั้น
มีหลักการง่ายๆ ในการปรับเซ็ตและปรับจูนเสียงของ S350DB ให้ออกมาดี หลังจากจัดวางตำแหน่งของทั้งลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์และลำโพงซับวูฟเฟอร์ได้แล้ว แนะนำให้ทดลองด้วยการเปิดเพลงอะไรก็ได้ที่เป็นเพลงร้อง และมีเสียงเครื่องดนตรีครบๆ ทั้งทุ้ม–กลาง–แหลม ในการปรับจูนนั้น ให้เริ่มด้วยการปรับตั้งความดังที่ปุ่ม treble กับ bass บนตัวลำโพงข้างขวาไว้ที่ตำแหน่งตรงกลางก่อน จากนั้นก็ให้เร่งความดังของเสียงโดยรวมขึ้นมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับที่คุณต้องการฟัง จากนั้นจึงค่อยทำการปรับเพิ่ม/ลดเสียงทุ้มจากปุ่ม bass เอาตามที่คุณชอบ ถ้าต้องการทราบว่าตำแหน่งที่ปรับจูนไว้ มีความ “ลงตัว” จริงๆ แล้วยัง ให้ลองฟังที่เสียงทุ้ม คือต้องไม่รู้สึกว่าเสียงทุ้มที่คุณกำลังฟังนั้นดังมาจากตัวซับวูฟเฟอร์ และต้องสามารถแยกแยะทุกเสียงในเพลงออกจากกันได้ ตั้งแต่แหลม–กลาง–ทุ้ม ไม่มั่วหรืออื้ออึงจนแยกแยะไม่ออก แบบนี้ก็ถือว่าปรับจูนได้ดีแล้ว สำหรับคนที่ชื่นชอบการฟังเพลงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้ใช้ความรู้สึกที่มีต่อเสียงเพลง (music appreciation) ที่ฟังเป็นตัววัด ถ้าทำให้ฟังเพลงแล้วรู้สึกว่ามีความไพเราะ ได้อารมณ์ไปตามเพลง แบบนี้ก็ถือว่าปรับจูนได้ดีแล้วเช่นกัน
หลังจากทดลองฟังในลักษณะแทนที่ลำโพง 2 ch แล้ว ผมก็ลองเอา S350DB มาฟังบนโต๊ะทำงาน ในลักษณะของการเซ็ตอัพแบบ nearfield พบว่ามันลงตัวกว่ามาก ในการเซ็ตอัพ ผมได้ระยะห่างระหว่างลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์อยู่ที่ 75 ซ.ม. ตามข้อจำกัดความกว้างของชั้นวางของหน้าโต๊ะทำงานของผม ในขณะที่ตัวซับวูฟเฟอร์ถูกวางอยู่บนพื้นใต้ชั้นวางของ ต่ำลงไปจากระนาบของลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ประมาณสองฟุต
ณ. จุดนี้ผมทดลองป้อนสัญญาณเสียงให้กับอินพุตของ S350DB ครบทุกรูปแบบ ทั้งทาง Bluetooth แบบไร้สายจาก iPhone 7 ของผม (ใช้แอพฯ Onkyo HF Player เป็นเพลเยอร์), เชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอกจากช่อง Analog Headphone Out ของ Mac mini โดยเล่นเพลงจากโปรแกรม roon ดึงไฟล์เพลงจาก external HDD ที่เสียบอยู่กับ Mac mini และสุดท้ายคือเชื่อมต่อด้วยสัญญาณดิจิตัลและสัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์จากเครื่องเล่นยูนิเวอร์แซล บลูเรย์ฯ Cambridge Audio รุ่น Azur 751BD ที่ใช้เล่นแผ่นเพลงต่างๆ อาทิ CD, SACD และ Blu-ray Pure Audio

ซึ่งเสียงของ S350DB ที่ได้จากการทดลองใช้งานบนโต๊ะทำงานออกมาดีมาก เสียงแผ่ออกมาเต็ม และอิ่มหนา สังเกตได้ว่า เสียงกลาง–แหลมจากลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองตัวมีความกลมกลืนกันดีมาก แม้ว่าจะมีการทับซ้อนของความถี่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้รายละเอียดของเสียงขาดหายไปถึงระดับวิกฤตที่ทำให้กระทบถึงอรรถรสของเพลง ผมสามารถเพลิดเพลินไปกับเสียงเพลงที่ฟังได้อย่างน่าพอใจ ในระดับความดังที่มากพอโดยไม่ทำให้เสียงกลาง–แหลมจากตัวแซทเทิ้ลไล้ท์เข้าไปใกล้กับจุดพีคจนเกินไป
สุดท้ายผมลองเอา S350DB ไปฟังคู่กับทีวีเพื่อเปรียบเทียบเสียงที่ได้จากตัวทีวี LED 55 นิ้วของ Samsung ที่ผมใช้อยู่ ผมทดลองฟังโดยการทดลองเชื่อมต่อสัญญาณเสียงอะนาลอกจากกล่อง TrueVision สลับกับดึงสัญญาณอะนาลอก 2ch Downmix จากเครื่องเล่นยูนิเวอร์แซล บลูเรย์ฯ Cambridge Audio รุ่น Azur 751BD ที่ใช้เล่นแผ่นหนังมาเข้าที่อินพุต PC ของตัว S350DB
พบว่า S350DB ช่วยให้เสียงที่ได้จากทีวีฟังดีขึ้นมากมาย ทั้งแน่นขึ้น กลาง–แหลมเป็นตัวเป็นตนมากกว่าเสียงจากทีวีหลายเท่า น้ำหนักเสียงก็ดีขึ้นมาก เรียกว่าดีขึ้นทุกด้านจนกลับไปฟังเสียงจากทีวีตรงไม่ได้อีกต่อไป!
ความเห็นของผม
S350DB ไม่เปิดโอกาสให้คุณปรับเลือกจุดตัด crossover ระหว่างลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ จุดตัดถูกกำหนด fixed มาในวงจร มันจึงค่อนข้างจำกัดในแง่ของการจัดวาง แต่นั่นก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าเป็นเพราะคนออกแบบตั้งใจให้ใช้งาน S350DB ในลักษณะพื้นที่ที่ไม่เปิดกว้างมาก มีพื้นที่เซ็ตอัพระยะค่อนข้างจำกัดนั่นเอง การจัดวางลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองข้างให้ห่างจากกันมากเกินไป จะทำให้สมดุลเสียงด้อยลงไปมาก การนำไปใช้งานในพื้นที่ที่มีความกว้างมาก นั่งฟังไกลและเร่งเสียงดังมากๆ จะทำให้เสียงกลาง–แหลมจากลำโพงแซทเทิ้ลไล้ท์ทั้งสองตัวถูกเร่งจนเกินกำลัง เสียงจะออกมาไม่ดี
เมื่อนำ S350DB ไปใช้งานในสภาพที่ตรงกับลักษณะของตัวผลิตภัณฑ์ คือฟังใกล้ตัวแบบ nearfield จึงพบว่า S350DB ให้คุณภาพเสียงออกมาดีมาก ให้ค่าเฉลี่ยในแง่คุณภาพของเสียงเป็นที่น่าพอใจ /
***************
ราคาชุดละ : 9,900 บาท
***************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
บริษัท แอล เอ็น ที ประเทศไทยฯ
โทร. 081-839-2006 (คุณไรวิน)
***************
หาซื้อ Online ได้ที่ :
Mercular.com | Link
HiFiLover | Link



