รีวิว Klipsch รุ่น The Three Plus

ในยุคของ ความหลากหลายเหมือนอย่างปัจจุบัน การวัด คุณค่าของอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้นจึงต้องมองไปที่ ฟังท์ชั่นการใช้งานที่ตรงกับวัตถุประสงค์เป็นประเด็นแรก คุณสมบัติด้านอื่นก็รองๆ ลงมา ส่วนเรื่องของ คุณภาพเสียงสำหรับคนที่มีพื้นฐานในการเล่นเครื่องเสียงมาก่อนก็จะให้ความสำคัญมากเป็นพิเศษ ในขณะที่คนทั่วไปที่เป็นแค่คนชอบฟังเพลง ไม่เคยเล่นเครื่องเสียงมาก่อน ก็มักจะมอง คุณภาพเสียงเป็นเรื่องรอง บางคนถึงขนาดบอกว่าไม่สำคัญซะด้วยซ้ำ เหตุผลก็เพราะว่าเขาฟังความแตกต่างระหว่างเสียงของลำโพงบลูทูธแต่ละเครื่องไม่ออก บอกไม่ได้ว่าต่างกันยังไง?

ปัจจุบัน ลำโพง all-in-one ตัวเดียวจบ ที่รองรับการสตรีมไฟล์เพลงผ่าน Bluetooth นอกจากจะได้รับความนิยมสำหรับคนเมืองที่อาศัยอยู่ตามคอนโดแล้ว ลำโพงตัวเดียวจบแบบนี้ยังได้ถูกเลือกใช้ให้ทำหน้าที่เป็น ระบบเครื่องเสียงสำหรับธุรกิจ SME จำนวนมากอีกด้วย ไม่ว่าจะใช้ในร้านอาหาร, ร้านเสริมสวย, ร้านตัดผม, ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ฯลฯ เพราะนอกจากจะสะดวกดีแล้ว ลำโพงบลูทูธแบบตัวเดียวจบลักษณะนี้ ในปัจจุบันก็ได้รับการพัฒนาให้มีความครบเครื่องมากยิ่งขึ้น ทั้งทางด้านรูปลักษณ์ที่สวยงามและทางด้านคุณภาพเสียงก็ได้รับการปรับปรุงขึ้นมากว่ายุคแรกๆ มาก

KlipschThe Three Plus
ดีไซน์สวย.!

Klipsch รุ่น The Three Plus ตัวนี้ เป็น all-in-one ที่เพิ่งออกมาใหม่ล่าสุด พัฒนามาจากรุ่น The Three II ที่ได้รับความนิยมสูง เพราะมีความ ครบเครื่องทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านรูปลักษณ์ที่สวยงาม โดยเฉพาะรุ่น The Three Plus ตัวนี้ ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความโค้งมนมากขึ้น ภายนอกถูกตั้งใจทำให้ดูคลาสสิกแนววินเทจ ตลอดไปถึงการออกแบบที่เลือกใช้วัสดุไม้และผ้าที่ดูแล้วเกิดความรู้สึกอบอุ่น สบายตา

ด้านบนของตัวตู้ปิดทับด้วยแผ่นไม้แปะลายธรรมชาติที่มีให้เลือก 2 สี คือ วอลนัทออกโทนน้ำตาล กับ อีโบนี่สีดำ ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบตัวนี้เป็นไม้สีน้ำตาล งานสวย เก็บงานเรียบร้อย ความปราณีตในเนื้องานยกให้ห้าดาวเต็มไปเลย.!

ที่มุมบนด้านขวาส่วนหน้าของตัวถังมีแผ่นโลหะที่กว้าง 3.5 .. x ยาวประมาณ 12.5 .. แปะทับอยู่บนแผ่นไม้และคาดเลยมาที่แผงหน้าโดยพับเป็นมุมฉากลงมาแล้วตัดปลายให้โค้งมน ซึ่งตรงส่วนที่พับลงมาบนแผงด้านหน้านั้นมีโลโก้ของ Klipsch พร้อมปีเกิด 1946 และแหล่งกำเนิดคือ USA พิมพ์กำกับด้วยตัวหนังสือสีโลหะบนพื้นดำอยู่ตรงนั้น เป็นการออกแบบป้ายยี่ห้อที่ดูเท่มาก.! แต่ที่เท่มากกว่านั้นก็คือสวิทช์หมุนปรับความดัง ซึ่งทำเป็นปุ่มหมุนขนาดใหญ่ที่ฝังอยู่ในตัวตู้ โผล่บางส่วนของปุ่มขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใช้สามาถใช้ปลายนิ้วเลื่อนหมุนปุ่มไปด้านบน (ด้านที่มีเครื่องหมายบวกกำกับอยู่) เพื่อปรับเพิ่มความดัง หรือหมุนปรับลงมาด้านล่าง (ด้านที่มีเครื่องหมายลบกำกับอยู่) เพื่อลดความดังได้

A = ปุ่มวอลลุ่ม
B = ปุ่มมัลติฟังท์ชั่น
C = ไฟ LED แสดงอินพุต

หลังจากคุณเสียบสายไฟเอซีเข้าที่ตัวเครื่อง The Three Plus จะเข้าสู่โหมด On พร้อมทำงานทันที ตรงไฟ LED (C) จะสว่างขึ้นเป็นสีแทนอินพุตที่คุณใช้อยู่ตอนปิดเครื่อง และเมื่อคุณกดลงไปที่ปุ่มมัลติฟังท์ชั่น (B) แต่ละครั้ง สีของ LED จะเปลี่ยนสลับไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่า คุณใช้อินพุตช่องไหนอยู่ก่อนปิดเครื่อง เมื่อเปิดขึ้นมา อินพุตจะเริ่มจากอินพุตก่อนปิดเครื่องวนไป สมมุติว่าก่อนปิดเครื่อง คุณใช้อินพุต Optical อยู่ ซึ่งแทนด้วยสีแดง ดังนั้น เมื่อคุณกดปุ่มมัลติฟังท์ชั่นเพื่อเปิดเครื่องขึ้นมา สีของ LED จะเริ่มด้วยสีแดงซึ่งเป็นอินพุต Optical ก่อน ถ้าต้องการเปลี่ยนอินพุต ก็กดลงไปที่ปุ่มมัลติฟังท์ชั่น ซึ่งสีของไฟ LED จะเปลี่ยนไปทุกครั้งที่คุณกดปุ่ม โดยวนสีไปตามลำดับ จาก สีแดง” (อินพุต Optical) ไปเป็น สีขาวหรือ สีเหลืองคืออินพุต USB-C คือถ้ากรณีที่คุณรับสัญญาณมาจากอุปกรณ์ภายนอกเข้ามาที่อินพุต USB-C อย่างเช่นจากคอมพิวเตอร์หรือสตรีมเมอร์ ไฟ LED จะเป็นสีขาว แต่ถ้าคุณเสียบ USB แฟรชไดร้ที่มีไฟล์เพลงไว้ที่ช่อง USB-C ไฟ LED จะแสดงเป็นสีเหลือง

ถ้าคุณกดปุ่มมัลติฟังท์ชั่นลงไปแล้วไฟ LED เปลี่ยนเป็น สีชมพูแสดงว่าอินพุต Phono/Line Input กำลังถูกเลือกใช้ แต่ถ้ากดปุ่มมัลติฟังท์ชั่นลงไปแล้วไฟ LED เปลี่ยนเป็น สีฟ้าแสดงว่าอินพุต Bluetooth กำลังถูกเลือกใช้

นอกจากมีไว้ใช้เลือกแหล่งของสัญญาณอินพุตแล้ว ปุ่มมัลติฟังท์ชั่น (B) ของ The Three Plus ยังมีอีก 2 หน้าที่ คือเป็นช่องทางในการเปิด/ปิดเครื่อง คือถ้าต้องการปิด (ไฟเข้า) เครื่อง ให้กดที่ปุ่มมัลติฟังท์ชั่นค้างไว้ประมาณ 5-6 วินาที พอไฟ LED ดับมืดลงเครื่องก็หยุดทำงาน เมื่อต้องการเปิดเครื่องขึ้นมาใช้งานก็แค่กดลงไปที่ปุ่มมัลติฟังท์ชั่นปุ่มเดิมค้างไว้รอจนไฟ LED สว่างขึ้น เครื่องก็พร้อมทำงานทันที ณ อินพุตที่คุณเล่นค้างไว้ก่อนปิดเครื่อง

อีกหน้าที่ของปุ่มมัลติฟังท์ชั่นก็คือใช้สำหรับเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกผ่านเข้าทางอินพุต Bluetooth เมื่อคุณกดปุ่มมัลติฟังท์ชั่นจนไฟ LED สว่างเป็นสีฟ้า จากนั้นให้กดปุ่มมัลติฟังท์ชั่นซ้ำลงไปและคาไว้ประมาณ 3 วินาที ไฟ LED สีฟ้าจะกระพริบ จากนั้นให้เข้าไปที่เมนู settings > Bluetooth ของอุปกรณ์ตัวที่ต้องการเชื่อมต่อ Bluetooth กับ The Three Plus เมื่อปรากฏชื่อ Klipsch The Three Plusขึ้นมาในรายชื่ออุปกรณ์ Bluetooth ของอุปกรณ์ภายนอกตัวนั้น ให้จิ้มเลือกไปที่ชื่อ Klipsch The Three Plusเพื่อทำการเชื่อมต่อ เมื่อการเชื่อมต่อ Bluetooth สมบูรณ์ ไฟ LED ที่เป็นสีฟ้าจะหยุดกระพริบ ซึ่ง Bluetooth ที่ใช้ใน The Three Plus เป็นเวอร์ชั่น 5.3 ให้การเชื่อมต่อง่าย มีความเสถียรสูง

ทดลองเล่นไฟล์ที่เก็บอยู่บน iPhone 12 ด้วยแอพฯ Onkyo HF Player แล้วส่งผ่าน AirPlay มาที่ The Three Plus เสียงออกมาดีมาก.. รายละเอียดดี เสียงมีมวลไม่แห้ง

คราวนี้ลองสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL เป็นไฟล์ไฮเรซฯ ‘MAXมาเล่นบนแอพฯ TIDAL บน iPhone 12 แล้วส่งสัญญาณผ่าน AirPlay มาที่ The Three Plus เสียงก็ออกมาดีน่าพอใจ รายละเอียดดี เสียงไม่แห้ง ความนิ่งเป็นรองเล่น local ไฟล์ที่อยู่ในฮาร์ดดิสของ iPhone 12 ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ถึงกับวูบวาบมาก ฟังเพลินๆ พอรับได้

อินพุตให้มาครบๆ

1. เต้ารับสำหรับสายไฟเอซี
2. ช่องอินพุต USB-C
3. ช่องอินพุต Optical
4. สวิทช์เลื่อนสำหรับเลือกฟังท์ชั่นของอินพุต RCA
5. อินพุต RCA สำหรับสัญญาณอะนาลอกขาเข้า
6. ปุ่มกดสำหรับโหมด pairing ร่วมกับ The Three Plus ตัวอื่น (กด 2ที) และ Factory Reset (กดค้าง 5 วินาที)
7. จุดเชื่อมต่อกราวนด์จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง

ถึงจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ระดับตำนาน แต่เมื่อ Klipsch ตั้งใจทรานสฟอร์มตัวเองเข้าสู่ยุคใหม่ พวกเขาก็ทำการบ้านมาอย่างดี รู้ว่ายุคสมัยนี้นักฟังเพลงมีรูปแบบในการฟังเพลงลักษณะไหนกันบ้าง นอกจากจะใส่อินพุต Bluetooth มาให้แล้ว พวกเขายังได้เอาภาคขยายหัวเข็ม MM สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่กำลังเป็นกระแสนิยมในปัจจุบันใส่มาให้ด้วย..

ที่ด้านหลังของ The Three Plus มีอินพุต RCA มาให้หนึ่งชุด (5) ซึ่งอินพุตนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับสัญญาณอะนาลอกจากภายนอกได้ทั้งสัญญาณระดับ High Gain จากเอ๊าต์พุตภาคไลน์ของเครื่องเล่นประเภทต่างๆ ที่มีความแรงสัญญาณประมาณ 2V และอาศัยช่องทางอินพุตเดียวกันนี้สำหรับเอ๊าต์พุตจากหัวเข็มของเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่มีความแรงสัญญาณแบบ Low Gain ระดับมิลลิโวลต์ เพื่อไปขยายเพิ่มด้วยภาคโฟโนที่อยู่ภายในตัว The Three Plus

ที่ข้างขั้วต่อ RCA จะมีสวิทช์เลื่อนอันเล็กๆ (4) สำหรับเลื่อนสลับอินพุตที่เสียบเข้าที่ช่อง RCA ระหว่าง LINE กับ PHONO และทางขวามือสุดของแผงหลังจะมีขั้วต่อกราวนด์ (7) ติดตั้งอยู่หนึ่งจุด ใช้สำหรับเชื่อมต่อสายกราวนด์ของเครื่องเล่นแผ่นเสียง

ยังมีอีกอินพุต ซึ่งถ้าไม่มีก็ไม่นับว่าครบ นั่นคืออินพุต USB-C (2) ซึ่งเป็นอินพุตที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กับสัญญาณดิจิตัล โดยกำหนดให้ทำหน้าที่ถึง 2 ลักษณะในตัวเดียวกัน คือทั้ง รองรับสัญญาณเอ๊าต์พุตที่เล่นบนคอมพิวเตอร์เข้ามาผ่านภาค DAC ในตัว The Three Plus กับทำหน้าที่ ดึงไฟล์เพลงจากแฟรชไดร้เข้ามาเล่นในตัว The Three Plus

ผมใช้โปรแกรม Roon บน Macbook Pro เล่นไฟล์เพลงแล้วส่งผ่านเอ๊าต์พุตมาเข้าที่อินพุต USB-C ของ The Three Plus โดยไม่ต้องลงไดเวอร์ใดๆ ซึ่งโปรแกรม Roon ก็มองเห็น The Three Plus เป็นเอ๊าต์พุตทันที (ในกรอบสีแดง)

The Three Plus ยอมเปิดโหมด Exclusive ให้ Roon เข้าไปควบคุมภายในได้อย่างเบ็ดเสร็จ จึงมั่นใจได้ว่าไฟล์เพลงที่เล่นจาก Roon จะถูกส่งเข้าไปถึงภาค DAC ในตัว The Three Plus ในลักษณะที่เป็น Bit-perfect โดยไม่ถูกทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งจากการทดลองพบว่าเสียงออกมาดีมาก เป็นกรรมวิธีการเล่นไฟล์เพลงกับ The Three Plus ที่ให้คุณภาพเสียงออกมาดีที่สุดเมื่อเทียบกับอินพุตอื่นๆ

ส่วนอินพุต Optical นั้นเหมาะมากกับการใช้รับสัญญาณมาจากทีวี..

ซึ่ง The Three Plus สามารถอัพเกรดเสียงของทีวี Sony OLED ขนาด 65 นิ้ว รุ่น A8F ในห้องรับแขกของผมให้ดีขึ้นไปได้มากกว่าที่คิด เสียงพูด เสียงสนทนามีลักษณะที่เปิดและลอยออกมามากกว่าลำโพงของทีวีที่ให้เสียงจมลงไปกับหน้าจอ รายละเอียดเสียงของ The Three Plus เมื่อใช้กับทีวีมันออกไปทางกระจ่างชัด เปิดได้ดังเต็มพื้นที่ห้องรับแขกขนาดประมาณ 20 ตรม. ความถี่ออกมาเต็ม ทุ้มมีเนื้อไม่บาง กลางชัด แหลมเปิดกระจ่าง ดูหนังมันส์กว่าลำโพงของทีวีมาก..!!

สมรรถนะ

ในแง่สมรรถนะก็ไม่ธรรมดา ระบบเสียงส่งผ่านออกมาจากไดเวอร์ที่ทำงานพร้อมกันถึง 5 ตัว ช่วยกันขับขานรายละเอียดเสียงตั้งแต่ 45Hz ขึ้นไปถึง 20kHz ครอบคลุมโน๊ตเพลงจากเครื่องดนตรีได้เกือบครบทุกประเภท โดยปล่อยเสียงทุ้มผ่านซับวูฟเฟอร์ขนาด 5.25 นิ้ว หนึ่งตัวบวกกับไดเวอร์แบบ passive radiators ขนาด 5.25 นิ้ว อีก 2 ตัว ทำงานในลักษณะ dual opposite ช่วยกันสร้างความถี่ต่ำที่ “จริง” เกินขนาดของตัวลำโพง ส่วนเสียงกลางขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดถูกกำหนดให้กระจายเสียงผ่านไดเวอร์ฟูลเร้นจ์ขนาด 2.25 นิ้ว ที่ทำงานพร้อมกัน 2 ตัว โดยมีแอมปลิฟาย 120W ทำหน้าที่จ่ายกำลังขับให้กับไดเวอร์ทุกตัว เมื่อไดเวอร์ทั้งหมดทำงานพร้อมกัน จึงทำให้เกิดสนามเสียงที่เปิดกว้าง รายละเอียดพร่างพราย ระยิบระยับ ไดนามิกมาครบทั้งต่อเนื่องและฉับพลัน เกินมาตรฐานของลำโพง alll-in-one ที่มีตัวตู้ขนาดนี้

ปรับตั้งการทำงานภายในผ่านแอพลิเคชั่น

มีแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘Klipsch Connectออกมาให้ใช้เพื่อการควบคุมการทำงานและปรับตั้งฟังท์ชั่นต่างๆ ของ The Three Plus ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android ให้ดาวน์โหลดมาใช้ฟรีโดยไม่ต้องซื้อ

ในแอพฯ มีอะไรให้ปรับตั้งเยอะ ขณะที่คุณกำลังฟังเพลง อย่างเช่น สตรีมไฟล์เพลงจากสมาร์ทโฟนเข้าไปที่อินพุต Bluetooth ของ The Three Plus คุณจะสามารถควบคุมการเล่นไฟล์เพลงผ่านทางหน้าแอพฯ นี้ได้ จะกดหยุดชั่วคราว (pause) ขยับไปเพลงข้างหน้าหรือย้อนกลับไปเพลงที่ผ่านมาก็สั่งได้ จะเลือกเล่นอินพุตอื่นๆ, จะเข้าไปปรับเสียง, ปรับวอลลุ่ม ก็ทำได้ที่หน้านี้ทั้งหมด รวมถึงเข้าไปปรับตั้งค่าต่างๆ ในตัวเครื่องผ่านทางปุ่ม ‘Settings’ (ที่เป็นรูปเฟือง)

ในการปรับวอลลุ่มผ่านแอพฯ ตัวนี้สามารถได้ด้วยการเลื่อนวอลลุ่มสไลด์ที่อยู่ด้านล่างของแอพฯ แต่ต้องระวังนิดนึง คือตอนที่ใช้ปลายนิ้วสไลด์วอลลุ่มไปนั้น เสียงจะไม่ดังตาม จะดังออกมาตามระดับวอลลุ่มที่ปรับตั้งใหม่ก็ตอนที่ยกปลายนิ้วออกมา ซึ่งอาจจะดังมากจนตกใจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้ ผมหันไปใช้วิธีปรับความดังผ่านการกดปุ่มปรับวอลลุ่มบนตัวสมาร์ทโฟนแทน เพราะมันสามารถกดเพิ่มความดังเป็นสเต็บได้

นี่เป็นหน้าแอพฯ ตอนเลือกอินพุต ต้องการใช้อินพุตไหนก็จิ้มเลือกได้เลย..

นี่เป็นหน้าแอพฯ ของเมนูปรับตั้งเสียง ซึ่งมีลักษณะเสียงที่ปรับตั้งสำเร็จมาให้จิ้มเลือกทั้งหมด 5 รูปแบบ เริ่มจาก Flat (เท่ากับทุกความถี่), Vocal (เน้นเพลงร้อง), Bass (เน้นเสียงทุ้ม), Treble (เน้นเสียงแหลม), Rock และมี Custom ไว้ให้บันทึกค่าที่คุณปรับตั้งเองอีก 1 รูปแบบ

เมื่อจิ้มลงไปที่ปุ่ม Settings หน้าตาของแอพฯ จะเปลี่ยนมาเป็นแบบข้างบน ซึ่งในนั้นมีหัวข้อเมนูที่มีทั้งข้อมูลที่แจ้งไว้ให้รู้เฉยๆ อย่างเช่น Product Information, Product Registration เป็นต้น กับหัวข้อที่ให้เราเข้าไปปรับตั้งค่าได้ อาทิเช่น Name (เปลี่ยนชื่อได้), Updates (อัพเดตเฟิร์มแวร์ที่นี่ได้), Auto Power (ถ้าตั้งเปิดใช้งานฟังท์ชั่นนี้ กรณีที่ไม่มีการเล่นเพลงนานถึง 15 นาที เครื่องจะปิดการทำงานเองอัตโนมัติ สามารถปิดได้)

สรุป

ไม่ใช่จะสวยอย่างเดียว แต่ The Three Plus ยังมาพร้อมฟังท์ชั่นใช้งานที่ตอบโจทย์ความนิยมในปัจจุบันได้อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการใช้งานร่วมกับเครื่องเล่นแผ่นเสียง, มีอินพุตที่ใช้งานร่วมกับทีวีได้, ต่อกับคอมพิวเตอร์ได้ และแน่นอนว่า รองรับการสตรีมไฟล์เพลงผ่านทาง Bluetooth ได้ด้วยบลูทูธเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุด v.5.3

แต่สิ่งที่อยากจะขอแสดงความชื่นชมกับ The Three Plus ตัวนี้ก็คือ คุณภาพเสียงที่บอกเลยว่า ดีเกินคาดมาก.!! มันให้เสียงที่ฟังง่าย เปิดกระจ่าง ชัดเจนแต่ไม่จัด ทุกเสียงมีพลังตั้งแต่ทุ้มขึ้นไปถึงแหลม แสดงถึงคุณภาพของไดเวอร์กับภาคแอมป์ในตัว (ลำโพง 5 ตัว + กำลังขับถึง 120 วัตต์) ที่สมกับคำว่า ‘Premiumเรียกว่าไม่เสียชื่อของแบรนด์ระดับตำนานอย่าง Klipsch จริงๆ .!!!

****************************
Highly Recommended.!!!
****************************
ราคา : 19,900 บาท / ตัว
**********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
Sound Republic
โทร. 02-448-5489, 02-448-5465-6
facebook : sound-republic.com

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า