รีวิวเครื่องเสียง : Shunyata Research รุ่น Venom RCA + Venom SP สายสัญญาณ + สายลำโพง จากประเทศสหรัฐอเมริกา

มีคำถามหนึ่งที่เริ่มได้ยินหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงปีสองปีหลังๆ มานี้ นั่นคือคำถามที่ว่า ระหว่าง ใช้สายกับ ไร้สายแบบไหนดีกว่ากัน.? ก่อนอื่นต้องย้อนกลับมาพูดถึงเรื่องของ ตัวสัญญาณเสียงกันก่อน นั่นคือถ้าคุยกันเรื่อง ไร้สายก็ต้องเข้าใจกันก่อนว่า เรากำลังคุยกันถึงสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณ digital ล้วนๆ เพราะสัญญาณ analog มันรับ/ส่งแบบไร้สายในชุดเครื่องเสียงของเราไม่ได้

ดังนั้น ถ้าโฟกัสลงไปที่ คุณภาพเสียงเป็นหลัก ก็ต้องตอบว่า ใช้สายเสียงดีกว่าครับ เพราะการส่งผ่านสัญญาณเสียงดิจิตัลระหว่างเครื่องถึงเครื่องด้วยวิธีไร้สายในปัจจุบัน ซึ่งมีอยู่ 2 ช่องทาง คือ 1) อาศัยคลื่น Bluetooth กับ 2) อาศัยคลื่น Wi-Fi เป็นพาหะนำพาสัญญาณไปนั้น มันมีข้อจำกัดทางด้าน “แบนด์วิธ” หรือความสามารถในการนำพาสัญญาณเป็นอุปสรรคอยู่ คือการรับ/ส่งสัญญาณที่มีความละเอียดสูงๆ และรับ/ส่งไปในระยะทางไกลๆ จะต้องขึ้นอยู่กับ แบนด์วิธของคลื่น Bluetooth หรือคลื่น Wi-Fi ด้วย

ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าคุณเล่นไฟล์เพลงระดับ Hi-Res Audio ระดับ 24bit/192kHz ด้วยเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบพกพา (DAP) ที่ภาค DAC ในตัวสามารถรองรับสัญญาณ 24bit/192kHz ได้ ถ้าคุณเลือกส่งสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นไฟทางไร้สายด้วยคลื่น Bluetooth ไปที่ตัวรับคลื่น Bluetooth ในหูฟังหรือบนเครื่องเล่นที่รองรับคลื่นบลูทูธ กรณีนี้อย่างเก่ง คุณก็ส่งไปได้แค่ระดับ 24bit/96kHz ถ้าเป็นเครื่องเล่น DAP ของ Sony ซึ่งตัวรับ Bluetooth ที่หูฟังหรือที่เครื่องเล่นไฟล์เพลงของคุณจะต้องมีดีโค๊ดเดอร์ LDAC ของ Sony อยู่ในตัวด้วยถึงจะรองรับได้ถึงระดับ 24bit/96kHz หรือถ้าตัวรับ Bluetooth ในหูฟังหรือในเครื่องเล่นไฟล์เพลงใช้มาตรฐานดีโค๊ดเดอร์ของ AptX ก็จะรับ/ส่งกันได้สูงสุดแค่ระดับ CD quality หรือ 16bit/44.1kHz เท่านั้น ไม่สามารถส่งผ่านสัญญาณเสียงออกไปได้เต็มที่ตามต้นฉบับที่ระดับ 24bit/192kHz ถ้าไปทางไร้สายด้วย Bluetooth

กรณีข้างต้น ถ้าใช้วิธีเล่นไฟล์เพลง 24bit/192kHz บนเครื่องเล่น DAP ตัวนั้นที่ใช้ชิป DAC ที่รองรับสัญญาณถึงระดับ 24bit/192kHz อยู่แล้ว สัญญาณ 24bit/192kHz นั้นก็จะถูกแปลงเป็นอะนาลอกออกมาครบถ้วนตรงตามต้นฉบับ และส่งออกสัญญาณอะนาลอกไปทางช่องเอ๊าต์พุต analog out ของ DAP ตัวนั้น เมื่อคุณเชื่อมต่อสัญญาณขาออกทางช่อง analog out ไปที่แอมป์ คุณก็จะได้คุณภาพของสัญญาณออกมาเต็มตามสัญญาณต้นฉบับ รายละเอียดไม่หาย แต่อย่างไรก็ดี การรับ/ส่งสัญญาณเสียงอะนาลอกผ่านสายอาจจะมีความผิดเพี้ยนทางด้านสีสันของเสียงปะปนออกมาบ้างตามลักษณะพฤติกรรมทางด้าน Resistant, Capacitance และ L หรือคอยซ์ รวมถึงผลจากคลื่น RFI, EMI และผลจากการออกแบบโครงสร้างของสาย + วัสดุตัวนำและฉนวนที่ใช้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อสัญญาณเสียงอะนาลอกที่วิ่งไปบนตัวนำในสายนั่นเอง

สรุปแล้ว การรับ/ส่งสัญญาณ analog ระหว่างอุปกรณ์เครื่องเสียงในซิสเต็มทุกวันนี้ก็ยังคงต้องอาศัยการส่งผ่านทางสายเชื่อมต่อกันอยู่ ยังไม่มีระบบการรับ/ส่งสัญญาณ analog ในซิสเต็มเครื่องเสียงด้วยวิธีไร้สายให้เลือกใช้ ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องเลือกก็คือ สายสัญญาณและ/หรือสายลำโพงที่มี คุณภาพทางเสียงและ บุคลิกทางเสียงที่ต้องตามรสนิยมของคุณเท่านั้น

Shunyata Research
ชื่อใหม่ในวงการ
.?

หามิได้ครับ.? ชื่อ Shunyata Research เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้วในแวดวงเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ ในกลุ่มของอุปกรณ์ประเภท Power Dristribution, Power Conditioner และสายไฟเอซี ขณะที่กลุ่มผลิตภัณฑ์ประเภทสายสัญญาณกับสายลำโพงพวกเขาก็เคยทำออกมา เพียงแต่ว่ายังไม่ได้ตั้งใจบุกอย่างจริงๆ จังๆ เท่านั้นเอง

ก่อนจะไปลงรายละเอียดกันที่ตัวผลิตภัณฑ์ ผมขออนุญาติพูดถึงผู้ก่อตั้งแบรนด์นี้สักหน่อย เขาคนนี้มีอะไรน่าสนใจมากทีเดียว ชื่อของเขาคือ Caelin Gabriel ตัวตนของเขาคือนักวิทยาศาสตร์ที่พัฒนาเทคโนโลยีให้กับกิจการทหาร เป็นงานเกี่ยวกับการพัฒนาระบบป้องกันข้อมูลที่มีความสำคัญไม่ให้เสียหายจากการรบกวนของระบบไฟฟ้าที่มาจากสาเหตุต่างๆ และด้วยพื้นฐานจากงานเดิมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าและ noise หรือสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้าของเขานี่เอง ทำให้เทคโนโลยีที่เขานำมาใช้ในการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ Shunyata Research ของเขา เป็นเทคโนโลยีชั้นสูงที่มีหลักวิชาการรองรับ และเขายังได้อาศัยพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในเรื่องของไฟฟ้าและสัญญาณรบกวนรูปแบบต่างๆ มาออกแบบคิดค้นพัฒนาเป็นเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาและจดสิทธิบัตรเอาไว้มากมาย และเทคโนโลยีเหล่านั้นได้ถูกนำมาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเขาทั้งหมด รวมทั้งสายสัญญาณและสายลำโพงที่ผมกำลังจะทดสอบด้วย

A Design Perspective
มุมมองในการออกแบบ

เราทราบกันมานานแล้วว่า สายสัญญาณ, สายลำโพง และสายไฟเอซี เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงที่สร้างความกังขาให้กับนักเล่นฯ มาตลอด พวกเขาไม่ได้กังขาว่ามันจะมีผลต่อเสียงหรือไม่ ข้อนั้นมันผ่านการพิสูจน์ด้วยหูของคนฟังจนยอมรับโดยทั่วกันมานานแล้วว่า สายสัญญาณ, สายลำโพง และสายไฟเอซี รวมถึงสายดิจิตัลทั้งหลายมีผลต่อเสียงจริง แต่ที่พวกเขารู้สึกกังขาก็คือเทคโนโลยีและวิธีการที่ผู้ผลิตสายเหล่านี้นำมาใช้อ้างในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างหากล่ะ โดยเฉพาะกับสายออดิโอ เคเบิ้ลที่ตั้งราคาขายสูงๆ ซึ่งผู้ผลิตบางเจ้าอวดอ้างทฤษฎีแปลกๆ ที่ไม่สามารถตรวจวัดได้ด้วยเครื่องมือใดๆ

การพัฒนาของแบรนด์ Shunyata Research (ต่อไปในรีวิวนี้ผมจะขอเรียกชื่อแบรนด์สั้นๆ ว่า SR) เจ้านี้เริ่มต้นด้วยการกำหนดปรัชญาในการออกแบบไว้เป็นเป้าหมายก่อน คือ Preserve and protect the signalหรือ do no harm ไม่ทำร้ายสัญญาณ (ใช้ do no harm เหมือนสโลแกนของ Audioquest เลย.!) เพราะทีมงานของ SR มองว่า เมื่อสัญญาณเสียงถูกทำให้เสียหายลงไป แม้เพียงเล็กน้อย ก็ไม่อาจจะทำให้เหมือนเดิมได้อีก เพราะสายออดิโอเคเบิ้ลในซิสเต็มแต่ละชิสเต็มมีความยาวมาก เป็นเส้นทางที่สัญญาณต้องเดินผ่านไป ถ้าออกแบบไม่ดีจริงๆ จะส่งผลเสียต่อสัญญาณเสียงมากมายมหาศาล

ก่อนจะป้องกันได้ เราต้องทำความรู้จักกับศัตรูซะก่อนผมกล่าวไว้เอง.. สายออดิโอ เคเบิ้ลทั้งหลายมีสถานะเป็น passive device ไม่มีไฟเลี้ยง ดังนั้น มันจะส่งผลต่อสัญญาณเสียงในแง่ของ filter แน่ๆ เพราะมีคุณสมบัติทางด้าน capacitive และ inductive อยู่ในตัว ซึ่งผลเสียที่เกิดกับสัญญาณในกรณีนี้ที่เห็นชัดก็คือทำให้สัญญาณต้องสูญเสีย gain ไปบางส่วน ในเวลาเดียวกัน ขณะที่สัญญาณเดินทางไปในตัวนำภายในสาย ยังมีผู้ประสงค์ร้ายรอบๆ ที่คอยแทรกตัวเข้ามาสร้างมลทินให้กับสัญญาณ ที่เรารู้จักกันดีก็มี RFI หรือ Radio Frequency Interference คือสัญญาณคลื่นวิทยุที่เข้ามาแทรกกวน กับ EMI หรือ Electro Magnetic Interference คือการแทรกกวนจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้า และปัญหา skin effect ที่เกิดขึ้นระหว่างสัญญาณกับฉนวนอีก ฯลฯ

ถ้า Caelin Gabriel รู้จักต้นเหตุของความเพี้ยนเพียงแค่ที่ผมกล่าวมาข้างต้นนั้น ก็คงจะไม่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขามีอะไรให้น่าสนใจเป็นพิเศษ แต่หลังจากได้อ่านบทความเรื่อง A Design Perspective ในเว็บไซต์ shunyata.com แล้ว ผมก็ยอมรับว่า แกเบรียลเขาทำการบ้านมาดีมาก เพราะเขาค้นพบต้นเหตุของความเพี้ยนรูปแบบอื่นๆ ที่ผมไม่เคยเห็นผู้ผลิตสายออดิโอ เคเบิ้ลยี่ห้อไหนหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงมาก่อน อาทิเช่น dielectric absorption, current resonance และ electromagnetic polarization distortion ซึ่งแกเบรียลระบุว่า ความเพี้ยนที่เกิดขึ้นจากต้นเหตุเหล่านี้อยู่ในระดับ micro คือดูเหมือนเป็นความผิดเพี้ยนเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็ส่งผลให้สัญญาณต้องสูญเสียความเป็นไฮไฟเดลิตี้ลงไปได้เช่นกัน..

ประมาณว่า เขาตั้งใจโชว์เหนือว่า บรรดาสัญญาณหรือมูลเหตุที่รบกวนสัญญาณรูปแบบต่างๆ ที่ชาวบ้านรู้จักกันเขาก็จัดการได้หมดแหละ.. แต่ยังมีมูลเหตุอื่นๆ ตามที่เขาระบุมาอีก ซึ่งเขารู้จักและจัดการได้ในขณะที่ชาวบ้านชาวช่องเจ้าอื่นไม่มีใครรู้จัก อะไรประมาณนั้น .. (ผมสรุปเอง 555 ปกติแล้ว ท่าทีของคุณแกเบรียลแกค่อนข้างสุภาพ พูดน้อย ไม่ได้คุยโอ่อย่างที่ผมสรุปหรอก!)

สายสัญญาณ Venom RCA interconnect
& สายลำโพง Venom XLR interconnect

ปัจจุบัน SR มีสายสัญญาณ + สายลำโพงอยู่ 4 ซีรี่ย์ (เขาใช้ชื่อเรียกว่า Looms) เรียงลำดับจากเล็กๆไปหาใหญ่คือ Venom, Delta, Alpha และซีรี่ย์สูงสุด Sigma ซึ่งสินค้าในแต่ละซีรี่ย์มีครบหมด ตั้งแต่สายสัญญาณ, สายลำโพง, สายโฟโน, สายดิจิตัล AES/EBU, สายดิจิตัล S/PDIF, สายดิจิตัล USB และสายกราวนด์ครบทุกประเภท และสายสัญญาณอะนาลอกก็มีขั้วต่อให้เลือกทั้งสองแบบคือ RCA (อันบาลานซ์) กับ XLR (บาลานซ์)

ตัวที่ผมยืมมาทดสอบเป็นสายสัญญาณ RCA และ XLR อย่างละคู่ ยาวคู่ละ 1 เมตร เอามาพร้อมกับสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลยาวข้างละ 2.5 เมตรอีกสองเส้นซ้ายขวา

สายสัญญาณอันบาลานซ์ ขั้วต่อ RCA

ลักษณะหัวแจ๊ค RCA ที่ติดมากับสายสัญญาณตัวนี้ ดูดีมาก แค่เห็นก็รู้เลยว่าน่าจะทำขึ้นมาเป็นพิเศษเฉพาะของเขาเอง เพราะมีโลโก้พิมพ์กำกับไว้บนปลอกด้านนอกด้วย

************************************************
VDO Venom Interconnect Preview

************************************************
เส้นผ่าศูนย์กลางของตัวสายประมาณ 1 .. ผิวนอกหุ้มด้วยตาข่ายแข็งๆ สีเทาตลอดทั้งเส้น มีปลอกพลาสติกกำกับทิศทางของสายหุ้มอยู่บนตัวสาย ที่หัวแจ๊คแยกเป็น 2 ชิ้น ชิ้นในเป็นส่วนที่เชื่อมต่อกับเส้นตัวนำสัญญาณ กับส่วนที่เชื่อมต่อกับกราวนด์ ซึ่งชิ้นในนี้ชุบเคลือบผิวเป็นสีทอง ชิ้นนอกทำเป็นปลอกโลหะบางๆ ชุบสีบลอนซ์เงิน ขันเกลียวยึดเข้ากับชิ้นใน

เมื่อได้สัมผัสตัวจริงของสายตัวนี้แล้ว ต้องยอมรับว่า รูปร่างภายนอกมันสวยมาก ดูดี เนื้องานผลิตเนี๊ยบพอสมควร ให้ความรู้สึกถึงความเป็นสายไฮเอ็นด์ที่ชัดเจน หัวแจ๊ค RCA ก็ยึดตรึงกับแจ๊ตตัวเมียของตัวเครื่องได้อย่างแนบและแน่น กระชับ ไม่หลวม ไม่คลอน

ก่อนฟังเสียงของมัน มาดูเทคโนโลยีต่างๆ ที่ถูกใช้ในการผลิตและสร้างสายสัญญาณเส้นนี้ขึ้นมาดีกว่า ซึ่งผมชอบใจการนำเสนอข้อมูลของค่ายนี้มากเป็นพิเศษ พวกเขาทำเรื่องยากๆ ให้ออกมาดูง่าย จัดรายละเอียดทั้งหมดแยกไว้เป็นสัดส่วน มีการทำสัญลักษณ์กำกับให้ดูง่ายขึ้น

เริ่มด้วยวัสดุตัวนำที่เอามาใช้ทำเส้นตัวนำในสาย เป็นทองแดงอัลลอยด์ OFE 101 (Oxygen-Free Elctrolytic) ที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% และมีคุณสมบัติของความเป็นตัวนำอยู่ที่ระดับ 101% IACS ก่อนจะนำมาผลิตเป็นเส้นทองแดงตัวนำโดยใช้กรรมวิธีผลิตเส้นทองแดงที่เรียกว่า Ohno copper wire processing ซึ่งใช้ความร้อนในการหลอมทองแดงลงไปในเบ้า ทำให้ได้เส้นทองแดงที่มีเนื้อเชื่อมต่อกันเป็นชิ้นเดียวกันทั้งเส้น ไม่มีช่องว่างหรือรอยต่อเกิดขึ้นภายในเนื้อทองแดง มีผลทำให้การส่งผ่านสัญญาณเสียง (ที่อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า) เดินผ่านไปตามสายตัวนำได้อย่างราบรื่น

เส้นตัวนำทองแดงที่ใช้ในสายสัญญาณรุ่น Venom นี้มีขนาดหน้าตัดอยู่ที่ 16 AWG จัดโครงสร้างภายในตามรูปแบบที่ผู้ผลิตเรียกว่า VTX หรือ Virtual Tubes เพื่อลดปัญหา skin effects และปัญหา eddy currents ชีลด์ป้องกันคลื่นรบกวนจากภายนอกด้วยตะแกรงโลหะถักเคลือบด้วยเงิน

สายสัญญาณ Venom ที่เป็นเวอร์ชั่นบาลานซ์ XLR รูปร่างของตัวสายภายนอกเหมือนกับเวอร์ชั่นอันบาลานซ์ ส่วนเส้นตัวนำภายในก็ใช้แบบเดียวกับเวอร์ชั่นอันบาลานซ์ แต่จัดโครงสร้างตัวนำข้างในไม่เหมือนกัน ในเวอร์ชั่นอันบาลานซ์จัดแบบ coaxial คือเส้นตัวนำสัญญาณ (+) จะอยู่ใจกลางของตัวสาย โดยมีตะแกรงตาข่ายห่อหุ้มอยู่ด้านนอก ส่วนเวอร์ชั่นบาลานซ์จัดเส้นตัวนำ 2 เส้นตีเกลียว

ขั้วต่อ XLR ทำออกมาได้น่าเกรงขามมาก ดูดีและแข็งแรง ชิ้นส่วนที่สัมผัสกับการรับ/ส่งสัญญาณ อย่างเช่น pin กับ ground plate ชุบทอง ส่วนที่ไม่ได้ใช้ในการรับ/ส่งสัญญาณชุบเคลือบด้วยสีบลอนซ์เงิน

สายลำโพง Venom SP speaker cable

สายลำโพงของ SR ตัว Venom SP นี้ถูกออกแบบมาให้เข้าชุดกับสายสัญญาณและสายประเภทอื่นๆ ที่อยู่ในซีรี่ย์ Venom ด้วยกัน รูปลักษณ์ภายนอกจึงเหมือนกัน กลมกลืนกัน ฉนวนตาข่ายแข็งๆ ที่ห่อหุ้มตัวสายช่วยลดปัญหาไฟฟ้าสถิตย์ได้ ตัวนำภายในก็ใช้เส้นทองแดงเกรดเดียวกับที่ใช้ในสายสัญญาณ ผลิตด้วยเทคนิค Ohno แบบเดียวกัน เพียงแต่ว่าที่ใช้ในสายลำโพงมีขนาดพื้นที่หน้าตัดมากกว่าที่ใช้ในสายสัญญาณ คืออยู่ที่ 10 AWG จัดโครงสร้างด้วยวิธีตีเกลียวตลอดเส้นทาง

ตัวสายมีขนาดใหญ่พอสมควร น้ำหนักก็เยอะพอสมควร แต่อ่อนตัว ให้ความยืดหยุ่นในการใช้งานดี ที่พิเศษมากสำหรับสายลำโพงตัวนี้ก็คือสามารถเปลี่ยนตัว “ขั้วต่อ” ได้ ซึ่งทาง SR ใช้ตัวย่อเรียกคุณสมบัติข้อนี้ว่า STIS มาจากคำว่า Speaker Terminal Interchangeable System คือตรงส่วนปลายของสายทั้งสองด้าน เขาจะทำเป็นแท่งโลหะยางยื่นออกมา ตรงปลายแท่งโลหะจะทำเกลียวเอาไว้ คุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้ขั้วต่อแบบไหน ระหว่าง banana กับ spade หรือหางปลา

********************************************************************
VDO Venom SP “Interchanfeable Terminal” Preview |
********************************************************************
เซ็ตอัพ

ผมชอบขั้วต่อของทั้งตัวสายสัญญาณ และสายลำโพงของ SR รุ่นนี้มาก เพราะมันให้การเสียบยึดที่ตรึงแน่นกำลังพอดีต้องเน้นว่า “กำลังพอดี” เพราะที่ผ่านๆ มา ผมเคยเจอขั้วต่อสายที่ทำมาแน่นเกินไป เสียบยากและเวลาดึงออกจะทำให้ขั้วต่อตัวเมียมีตำหนิ บางตัวนั้นเลวร้ายถึงขนาดดึงปลอกโลหะที่เป็นกราวนด์ของขั้วต่อตัวเมียหลุดติดมาด้วยก็มี

ขั้วต่อก้ามปูของสายลำโพงก็ดีมาก เคยสังเกตมั้ยครับว่า ขั้วต่อก้ามปูที่ติดมากับสายลำโพงที่มีคุณภาพสูง.. ผมขอเน้นคำว่า ที่มีคุณภาพสูงมักจะให้ความรู้สึก หนึบมากกว่าขั้วต่อก้ามปูที่มีราคาถูกๆ ซึ่งเบื้องหลังของประสบการณ์นี้มีคำอธิบายที่พอเข้าใจได้ สาเหตุก็เป็นเพราะลักษณะของ วัสดุที่ใช้ทำขั้วต่อนั้น บวกกับลักษณะของ การเคลือบทับลงไปบนผิวนอกของตัวขั้วต่อนั้นครับ ซึ่งการจับยึดที่ดีนั้นช่วยทำให้สัญญาณเสียงเดินทางได้ดีด้วย แน่นอนว่าส่งผลต่อเสียง

ตัวสายสัญญาณและสายลำโพงมีความนุ่มและยืดหยุ่นไปกับสถานที่ใช้งานได้ง่าย..

ทดลองฟังเสียง

ผมได้รับสายสัญญาณ + สายลำโพงของ SR ชุดนี้มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว ได้ทดลองใช้งานร่วมกับแอมป์ + ลำโพงอยู่ 2-3 ชุด ทั้งชุดเล็กและชุดกลาง โชคดีว่า ตอนที่ผมกำลังจะสรุปผลเพื่อเขียนรีวิวนี้ ผมมีลำโพงวางหิ้งระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์เข้ามารอคิวทดสอบอยู่ 2 คู่คือ Dynaudio รุ่น Contour 20 กับยี่ห้อ Audiovector รุ่น SR 1 Avantgarde เลยมีโอกาสวัดความสามารถของสายออดิโอเคเบิ้ลตัวนี้กับโจทย์โหดๆ ไปในตัว โดยฟังเทียบกับสายสัญญาณ + สายลำโพงของ Nordost รุ่น Valhalla ที่ผมใช้อยู่เอง

จริงๆ แล้ว ถ้าดูจากในเว็บไซต์ของ SR จะเห็นว่า ตัวสายลำโพงมีแบบไบไวร์ฯ ให้เลือกด้วย แต่ที่ผมได้รับมาทดสอบนี้เป็นแบบซิงเกิ้ลฯ ผมจึงต่อกับลำโพงที่ให้ขั้วต่อสองชุดด้วยวิธีการสลับเสียบขั้วต่อของตัวสายลำโพงทั้งสองเข้ากับเทอร์มินัลของตัวลำโพงรูปแบบต่างๆ แล้วเลือกรูปแบบที่ให้เสียงออกมาดีที่สุด (ในเว็บไซต์บอกว่าทำสายจั๊มเปอร์สำหรับสายลำโพงออกมาด้วย ใครสนใจลองสอบถามทางตัวแทนจำหน่ายหรือผู้นำเข้าดูนะครับ)(*นำเข้าโดยบริษัท Deco2000 โทร. 02-256-9700)

หลังจากทดลองฟังสายสัญญาณ + สายลำโพงชุดนี้มานานเกือบสองเดือน กับซิสเต็มหลายชุด ผมก็พอจะจับแนวทางเสียงของมันออกมาได้ คำแรกที่ผุดขึ้นมาในมโนภาพของผมก็คือ สะอาดมากคำที่สองคือ ดาร์คนิดๆคำที่สามคือ เป็นดนตรีมากคำที่สี่ เป็นความรู้สึกอุปมาอุปมัยมากกว่าความหมายจริงๆ นั่นคือ เสียงแบบอะนาลอก

พูดถึงแนวเสียงของสายออดิโอเคเบิ้ลของ SR ชุดนี้ ทำให้ผมนึกถึงอะไรได้อย่างหนึ่ง ในอดีต ถอยหลังไปสัก 15-20 ปี คนที่เล่นสายสัญญาณและสายลำโพงในช่วงนั้นแทบทุกคนจะรู้จักสายของ Kimber Kable และ Cardas Audio ซึ่งเป็นแบรนด์ของอเมริกันทั้งคู่ ทุกคนที่เคยเล่นสายของสองยี่ห้อนี้มาก่อน ต่างก็รู้ดีว่า สายทั้งสองยี่ห้อนี้ต่างยืนอยู่คนละปลายของแนวเสียง ทางด้าน Kimber Kable นั้นไปอยู่ทางด้านโปร่ง กระจ่าง สว่างใส ในขณะที่ Cardas Audio นั้นตั้งมั่นอยู่ทางด้านมืดสลัว แน่น หนัก สุขุม ซึ่งคนเล่นที่ชอบแนวเสียงของยี่ห้อหนึ่งก็มักจะไม่ชอบแนวเสียงของอีกยี่ห้อหนึ่ง

ช่วงท้ายๆ ตอนที่ผมทดลองฟังเปรียบเทียบเสียงของ Shunyata Research กับสายของ Nordost ถ้าไม่เทียบกันในแง่คุณภาพของเสียง เอาเฉพาะโทนเสียงหรือบุคลิกของเสียงอย่างเดียว Nordost นั้นโทนเสียงจะไปทางเดียวกับคิมเบอร์ในขณะที่ Shunyata Research นั้นโทนเสียงไปทางเดียวกับคาร์ดาส

เสียงสะอาดมาก.. คือตลอดการทดลองฟังด้วยอัลบั้มเพลงหลากหลายแนวจำนวนมากที่ผ่านมา แทบจะไม่ปรากฏอาการหยาบกร้านของเสียงออกมาให้ได้ยินเลย แม้แต่อัลบั้มเพลงตลาดๆ ทั่วไปก็ออกมานวลเนียนมากเป็นพิเศษ ตอนลองฟังกับลำโพง ATC รุ่น SCM 7 เวอร์ชั่นเก่า* อายุเกินสิบห้าปี ตอบสนองความถี่ระหว่าง 60Hz – 22,000Hz เสียงที่ออกมาเหมือนจะไม่เปิดโปร่งมาก คล้ายๆ ว่าเสียงแหลมมันไปไม่ไกล แต่ที่ไหนได้ พอเปลี่ยนมาฟังในซิสเต็มที่ใช้ลำโพงยุคใหม่ๆ อย่าง Audiovector รุ่น SR 1 Avantgarde* ที่ตอบสนองความถี่กว้างกว่ามากๆ คือ 39Hz – 52kHz เสียงแหลมที่ออกมาก็เปลี่ยนไปแทบจะเป็นหนังคนละม้วน คือมีปริมาณมากขึ้น และทอดปลายหางเสียงออกไปได้ยาวกว่าตอนใช้ในซิสเต็มที่ใช้ SCM 7 อย่างชัดเจน แสดงว่าอาการเสียงแหลมที่เหมือนไปไม่ไกลนั้นเกิดขึ้นเพราะเน็ทเวิร์คของลำโพงมันตัดปลายเสียงแหลมทิ้งไปซะก่อนนั่นเอง

และพอลองเล่นไฟล์เพลงไฮเรซฯ อย่าง DSF64, DSF128, WAV24/192 ผ่านสายสัญญาณ+สายลำโพงชุดนี้ ปลายเสียงแหลมที่พร่างพรายและทอดยาวก็ปรากฏออกมาให้ได้ยินมากกว่าตอนฟังไฟล์ WAV16/44.1 อย่างชัดเจน แสดงว่าสายสัญญาณและสายลำโพงของ SR รุ่นนี้ไม่ได้ทำให้เสียงแหลมหายไปไหน แต่มันให้บุคลิกของเสียงแหลมออกมาในลักษณะที่มี ความสลัวปกคลุมอยู่รอบๆ เสียงแหลมนั้น คือไม่ได้ดีดเสียงแหลมให้พุ่งออกมาข้างหน้า (forward) แต่ดึงเสียงแหลมให้ลงไปอยู่ในระดับเดียวกับเสียงหลางและทุ้ม ตอนฟังช่วงแรกๆ จะรู้สึกเหมือนเสียงแหลมไม่เปิดออกมามาก แต่หลังจากฟังไปจนเริ่มชินจึงรู้ว่าเสียงแหลมของสายสัญญาณ+สายลำโพงชุดนี้มันอยู่ในโทน dark หน่อยๆ กลมกลืนไปกับเสียงในย่านอื่นๆ นั่นเอง

โทนเสียง dark มันเป็นแบบไหนกันแน่.? – คลิ๊กอ่านที่ลิ้งค์นี้  |  Link 

เสียงกลางของสายสัญญาณและสายลำโพงชุดนี้มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ อย่างแรกที่ผมรู็สึกพอใจมากคือความอิ่มแน่นของมวลเนื้อเสียงกลาง ซึ่งฟังแล้วมันทำให้รู้สึกถึงความเข้มข้น สัมผัสได้ถึงรายละเอียดในย่านกลางที่แสดงคุณสมบัติในส่วนของ รูปทรงของตัวเสียงออกมาเป็นสามมิติได้เลาๆ โดยเฉพาะกับเพลงที่บันทึกเสียงร้องของนักร้องชายที่มีโทนกลางถึงกลางต่ำเด่นๆ อย่างเสียงของ Ingram Washington จากอัลบั้มชุด What A Difference A Day Makes, เสียงของ Harry Belafonte จากอัลบั้มแสดงสดชุดดัง Belafonte At Carnegie Hall หรือเสียงของ Nat ‘King’ Cole ในอัลบั้มชุด Love Is The Thing เวอร์ชั่น Mono ที่ทางค่าย Analogue Productions ทำเป็นแผ่น SACD ออกมา ผมริปเป็นไฟล์ DSD64 ออกมา ลองฟังกับซิสเต็มที่ใช้สายสัญญาณ+สายลำโพงชุดนี้แล้ว รู้สึกได้เลยว่าเสียงร้องของ Nat ‘King’ Cole ในอัลบั้มนี้ออกมามีทรวดมีทรงมากกว่าที่เคย ความหนาเข้มของเนื้อเสียงสะใจมาก เสียงลูกคอของลุงแน็ทมี vibrate มาเป็นระลอก ได้อารมณ์ย้อนยุคดี

ไม่แค่เสียงร้องนะครับ เสียงของเครื่องดนตรีที่ให้โทนเสียงอยู่ในย่านใกล้ๆ กันนี้ อย่างเช่นเสียงเบสกีต้าร์ของ Jaco Pastorius (Epic Records/DSD) กับเสียงเทเนอร์แซ็กฯ ของ Benny Carter ในอัลบั้มชุด Jazz Giant (Analogue Productions/DSD) ก็ออกมาเข้มข้นและมีมวลหนาแน่นไม่แพ้กัน

ด้วยบุคลิกของสายสัญญาณ+สายลำโพงแนว dark ที่เน้นเนื้อหนาแน่นแบบนี้กลายเป็นคุณสมบัติเด่นเมื่อนำมาใช้ในซิสเต็มที่ใช้ source เป็นไฟล์ดิจิตัล ใครที่ฟังเสียงของไฟล์ไฮเรซฯ แล้วมีความรู้สึกว่าได้รายละเอียดีแต่ติเนื้อเสียงว่าบาง แนะนำให้ลองเอาสายสัญญาณกับสายลำโพงของ Shunyata Research รุ่นนี้ไปลองใช้ดู (ถ้าเป็นซิสเต็มที่ใหญ่ ให้ลองเป็นซีรี่ย์ที่ใหญ่กว่านี้ อย่าง Sigma หรือ Alpha จะได้คุณภาพเสียงโดยรวมที่ดีกว่ารุ่น Venom ขึ้นไปอีกระดับ) ในการทดสอบครั้งนี้ผมก็ใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คของ Cambridge Audio รุ่น CXN ราคาแค่สองหมื่นปลายๆ ต่อสายสัญญาณ Venom RCA ไปเข้าที่อินติเกรตแอมป์ Moon รุ่น 240i เสียงที่ได้ก็ออกมาเนียนและหนาน่าพอใจแล้ว แต่ถ้าแอมป์รองรับการเชื่อมต่อด้วยสายบาลานซ์ XLR จะยิ่งได้ความสะอาดและน้ำหนักเสียงที่ดีขึ้นไปอีก ผมได้ยินอะไรแบบนี้ตอนลองจับ CXN กับอินติเกรตแอมป์รุ่น CXA80 ของ Cambridge Audio เอง

* ขับกับปรีแอมป์ Audible Illusion : Modulus M3A + เพาเวอร์แอมป์ VTL : Monoblock MB125

สรุป

การปรับจูนเสียงเป็นศิลปะชั้นสูงหลังจากได้ทดลองฟังสายสัญญาณ+สายลำโพงของ Shunyata Research ชุดนี้ไปแล้ว ผมมีความรู้สึกเชิงบวกกับสายชุดนี้พอสมควรนะ เนื่องจากในซิสเต็มของผม ผมเน้นฟังจาก source ที่เป็นดิจิตัลเป็นหลัก คือเล่นจากคอมฯ บ้าง เล่นจากเครื่องเล่นเน็ทเวิร์คบ้าง ผมพบว่า ลักษณะเสียงของสายสัญญาณและสายลำโพงของ Shunyata Research ชุดนี้ มีส่วนช่วยทำให้เสียงจากไฟล์เพลงบางอัลบั้มที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีซึ่งมีความละเอียดแค่ระดับ CD quality 16/44.1 ฟังดีขึ้นมาก โดยเฉพาะเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปที่ไม่ใช่แผ่นไฮเอ็นด์ มันทำให้ได้เนื้อเสียงที่สะอาดนวล และมีเนื้อมีหนังมากขึ้น แม้ว่าจะมีบุคลิกที่ติด dark นิดๆ ก็รับได้ เพราะภายใต้โทนเสียงที่สลัวๆ นั้นมันยังคงมีรายละเอียดออกมาครบ ไม่ได้จมหายไปไหน

บางคนอาจจะจินตนาการคำว่า darkไปทางทึบ ขุ่น ซึ่งขอบอกว่าไม่ใช่นะครับ โทน dark คือเสียงแหลมมันไม่พุ่งสว่างโพลนขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่ความโปร่งใสในเวทีเสียง (transparency) ยังคงมีอยู่ ถ้าทวีตเตอร์ของลำโพงของคุณสามารถปลดปล่อยความถี่สูงส่วนที่เป็น atmosphere ออกมาได้ นั่นคือ ความทึบกับความขุ่นไม่ได้ออกมาจากสายสัญญาณและสายลำโพงตัวนี้ แต่เกิดจากความสามารถในการถ่ายทอดความถี่สูงของลำโพง ของแอมป์ หรือของตัวไฟล์เพลงเอง

มีอยู่ช่วงหนึ่งของการทดสอบ ผมทดลองใช้สายลำโพง Nordost รุ่น Heimdall เวอร์ชั่นเก่าที่เป็นไบไวร์ฯ เชื่อมต่อระหว่าง output ของอินติเกรตแอมป์ Moon 240i เพื่อขับลำโพง Totem Acoustics รุ่น The One แล้วลองเอาสายสัญญาณ Venom ตัวอันบาลานซ์ (RCA) เชื่อมต่อจากเอ๊าต์พุตของเครื่องเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คไปที่อินพุตของอินติเกรตแอมป์ Moon 240i ลองฟังสลับกับสายสัญญาณของ Nordost รุ่น Quatro Fil (อันบาลานซ์ RCA) ที่ผมใช้อยู่ ผมพบว่า สายสัญญาณ Shunyata research Venom ตัวนี้มันสามารถใช้ผสมเพื่อจูนเสียงของซิสเต็มได้ หลังจากนั้น ผมก็ลองสลับไปใช้สายลำโพง Venom SP ทดลองปรับจูนเสียงของซิสเต็มดูบ้าง มันก็สามารถปรับเปลี่ยนโทนเสียงของซิสเต็มได้เหมือนกัน แต่สายลำโพงจะส่งผลกับโทนเสียงของซิสเต็มมากกว่าสายสัญญาณในซิสเต็มข้างต้น ซึ่ง Moon 240i ให้เสียงกลางกับทุ้มที่มีเนื้อมีหนังอยู่แล้ว ผมชอบโทนเสียงจากการผสมสายสัญญาณ Venom + สายลำโพง Heimdall มากกว่า

ใครที่กำลังรู้สึกว่าโทนเสียงของซิสเต็มตัวเองมีลักษณะที่ สว่างโพลนเกินไป ผมแนะนำให้ลองเอาเฉพาะสายสัญญาณ Shunyata Research รุ่นนี้ไปเปลี่ยนเฉพาะสายสัญญาณดูก่อน มันจะช่วยปรับลดความสว่างโพลนของโทนเสียงของซิสเต็มลงมาได้ระดับหนึ่งที่เห็นผลมาก ถ้ายังไม่เพียงพอต่อความต้องการ ค่อยลองเอาสายลำโพงมาเพิ่ม

เป็นสายสัญญาณและสายลำโพงที่ให้แนวเสียงออกมาตรงกับความต้องการในยุคนี้จริงๆ.! /

************************************
ราคา :
สายสัญญาณ Venom อันบาลานซ์ RCA ยาว 1 เมตร = 16,000 บาท / คู่
สายสัญญาณ Venom บาลานซ์ XLR ยาว 1 เมตร = 16,000 บาท / คู่
สายลำโพง Venom SP ยาว 2.5 เมตร = 35,000 บาท / คู่

************************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
บริษัท Deco2000 โทร. 02-256-9700
************************************
ข้อมูลเพิ่มเติม | Link

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า