คนทั่วไปอาจจะมองว่ารูปทรงของลำโพงไร้สาย Cabasse รุ่นนี้ดูทันสมัย กิ๊ปเก๋ ล้ำยุค แต่ถ้าเคยศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับศาสตร์การออกแบบลำโพงมาบ้าง มองปร๊าดเดียวก็รู้ว่า การทำตัวตู้ให้มีลักษณะกลมเป็นผลส้มแบบนี้มันมีนัยยะทางด้านเสียงแอบซ่อนอยู่ เพราะตัวตู้ที่มีลักษณะทรงกลมแบบนี้มีคุณลักษณะที่ดีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ช่วยลดผลกระทบจากปัญหา diffraction ที่เกิดจากเสียงของไดเวอร์ตกกระทบบนแผงหน้าของตู้ลำโพงที่มีลักษณะทรงสี่เหลี่ยมแล้วสะท้อนย้อนกลับไปรบกวนเสียงที่พุ่งตรงออกมาจากไดเวอร์ ทำให้เกิดความผิดเพี้ยนของเสียงตรงจากไดเวอร์ที่เราต้องการฟัง ส่วนข้อดีอีกข้อของตัวตู้ลำโพงที่มีลักษณะกลมก็คือช่วยลดปัญหาเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้ลงไปได้ เนื่องจากผนังด้านในของตัวตู้ทรงกลมมีลักษณะที่ไม่ขนานกันนั่นเอง
Cabasse แบรนด์ฝรั่งเศส
Cabasse เป็นบริษัทผู้ผลิตลำโพงสำหรับวงการไฮไฟฯ มานานกว่า 70 ปี (เริ่มปี 1950) ปัจจุบัน Cabasse ได้กลายเป็นบริษัทย่อยอยู่ในเครือของ Cabasse Group ซึ่งเป็นกลุ่มของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับบ้านอัจฉริยะยุคใหม่ที่เรียกว่า “Smart Home” มีฐานอยู่ในประเทศฝรั่งเศส แกนหลักของกลุ่มบริษัทนี้ก็คือเทคโนโลยีซอฟท์แวร์ที่ใช้ทำให้อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านสามารถควบคุมสั่งงานได้ง่ายขึ้น ซึ่งเดิมทีนั้น สองโปรแกรมเมอร์ที่เป็นหุ้นส่วนก่อตั้ง Cabasse Group คือ Alain Molinie กับ Eric Lavigne ทำงานอยู่กับบริษัท Smartcode เขียนซอฟท์แวร์ให้กับสมาร์ทโฟน จนถึงปี 2003 พวกเขาทั้งสองจึงร่วมกันก่อตั้งบริษัท AwoX เพื่อพัฒนาซอฟท์แวร์เกี่ยวกับ Smart Home ขึ้นมา และเมื่อได้ผู้ผลิตลำโพงอย่าง Cabasse เข้าไปเสริม ผนวกกับซอฟท์แวร์ที่ Alain กับ Eric สร้างสรรขึ้นมา จึงทำให้เกิดเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงประเภทลำโพงไร้สายอัจฉริยะที่สามารถควบคุมสั่งงานผ่านทางเน็ทเวิร์คออกมาอย่างที่เห็นนี่เอง
จนถึงขณะนี้ Cabasse มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 4 กลุ่ม คือ HiFi, Home Cinema Systems, The Pearl และ Wireless-Speakers ซึ่งรุ่น “The Pearl Akoya” ที่ผมนำมาพูดถึงนี้ เป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่ม The Pearl ซึ่งในกลุ่มนี้มีผลิตภัณฑ์อยู่ทั้งหมด 5 ตัว ได้แก่ The Pearl Pelegrina (วางขาตั้งรุ่นท็อป), The Pearl (รุ่นกลาง), The Pearl Akoya (รุ่นเล็ก), The Pearl Keshi (ชุดลำโพง 2.1 แชนเนล) และ The Pearl Sub (แอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์)
ดีไซน์สะดุดตา.!
ลำโพงไร้สายของ Cabasse คู่นี้พาเราหลีกหนีจากตู้สี่เหลี่ยมตันๆ ซึ่งเป็นรูปทรงของลำโพงแบบดั้งเดิมไปสู่ตู้ลำโพงทรงกลมที่ดูล้ำยุค เส้นผ่าศูนย์กลางของลำโพงคู่นี้อยู่ที่ 226 ม.ม. ขนาดประมาณลูกวอลเล่ย์บอล น้ำหนักอยู่ที่ 6 กิโลกรัม เมื่อลองยกดูจะรู้สึกได้ว่าหนักกว่าที่ตาเห็น
ด้านหน้า (ซ้าย) จะมีตระแกรงโปร่งโค้งๆ ปิดอยู่ด้านหน้าของไดเวอร์กลาง/แหลม ส่วนด้านหลัง (ขวา) เป็นช่องเปิดโล่งที่มองเห็นวูฟเฟอร์ขับทุ้มที่ยิงความถี่ต่ำออกไปทางด้านหลังฝั่งตรงข้างกับกลาง/แหลม
จัดไดเวอร์กลาง/แหลมแบบ coaxial
เมื่อแกะเอาตระแกรงที่ปิดคลุมด้านหน้าออก จะพบไดเวอร์มิดเร้นจ์ขนาด 5 นิ้ว ที่มีทวีตเตอร์ขนาด 0.52 นิ้ว (13 ซ.ม.) ฝังตัวอยู่ตรงกลาง ดูแปลกตาไม่เหมือนลำโพงทั่วไป ซึ่งรูปแบบการติดตั้งทวีตเตอร์ฝังไว้ตรงใจกลางของตัวมิดเร้นจ์แบบที่เห็นนี้เป็นรูปแบบที่วิศวกรของ Cabasse คิดค้นขึ้นมาและได้จดสิทธิบัตรไว้แล้ว ที่แปลกกว่าทั่วไปคือ coaxial driver ของคนอื่นตัวไดอะแฟรมจะโค้งเว้าเป็นกรวยลงไปทางด้านหลัง ในขณะที่มิดเร้นจ์ ไดอะแฟรมของ The Pearl Akoya มีลักษณะโค้งนูนออกมาข้างหน้า ไปในทิศทางเดียวกับความโค้งนูนของไดอะแฟรมของโดมทวีตเตอร์… ตรงนี้ถือว่าเป็นความพิเศษของการดีไซน์ที่น่าจะส่งผลดีกับเสียงในแง่ของเฟส ที่มีผลกับความกลมกลืนของความถี่สูงจากทวีตเตอร์ที่เชื่อมต่อกับความถี่ในย่านกลางของมิดเร้นจ์
Tri-Coaxial Design หัวใจสำคัญของ The Pearl Akoya
วูฟเฟอร์ขนาด 7 นิ้ว ติดตั้งอยู่ที่ด้านหลัง เซ็นเตอร์ของตัววูฟเฟอร์จะอยู่ในแนวแกนเดียวกับตัวมิดเร้นจ์+ทวีตเตอร์ เป็นดีไซน์ที่ทาง Cabasse ใช้ชื่อเรียกว่า “Tri-Coaxial Design” คือไดเวอร์ทั้งสามตัวได้แก่ วูฟเฟอร์ขับเสียงทุ้ม, มิดเร้นจ์ขับเสียงกลาง และทวีตเตอร์ที่ขับเสียงแหลม ถูกติดตั้งให้อยู่บนแนวแกนเดียวกัน ส่วนวงจรอิเล็กทรอนิคและภาคจ่ายไฟจะถูกแพ็คแทรกไว้ระหว่างไดเวอร์กลาง–แหลมกับวูฟเฟอร์ ตรงพื้นที่ส่วนที่เป็นลายเส้นที่ตัวลำโพง เห็นโครงสร้างภายในตัว The Pearl Akoya แล้วต้องบอกเลยว่าทึ่งฝีมือการออกแบบของทีม Cabasse มาก เพราะหากดูเข้าไปในในสเปคฯ อย่างละเอียด คุณจะพบว่า ในตัว The Pearl Akoya มีเพาเวอร์แอมป์มากถึง 1050 วัตต์.! แยกเป็น 3 แชนเนล ทำหน้าที่ขับไดเวอร์แต่ละตัวอิสระจากกันอย่างเด็ดขาด โดยตัวที่ใช้ขับทวีตเตอร์มีกำลังมากถึง 300 วัตต์ (พีคได้สูงสุดถึง 600 วัตต์), ตัวที่สองที่ใช้ขับไดเวอร์มิดเร้นจ์ก็มีกำลังมากถึง 300 วัตต์ เช่นกัน (พีคได้สูงสุดถึง 600 วัตต์) ส่วนตัวที่สามที่ใช้ขับวูฟเฟอร์ที่ยิงความถี่ต่ำออกทางด้านหลังมีกำลังสูงถึง 450 วัตต์ (พีคได้สูงสุดถึง 900 วัตต์).!!!
รองรับสัญญาณได้ทั้งแบบใช้สายและแบบไร้สาย
ไม่น่าเชื่อว่าพวกเขาจะเอาเพาเวอร์แอมป์ทั้งสามตัวเข้าไปอัดอยู่ในตัวลำโพงกลมๆ ได้หมด และไม่ใช่แค่นั้น นอกจากเพาเวอร์แอมป์แล้ว บนพื้นที่ที่จำกัดจำเกี่ยนั้น ยังต้องติดตั้งฮาร์ดแวร์ที่เกี่ยวกับ “อินพุต” ไว้รับสัญญาณจากภายนอกเข้าไปอีกด้วย ซึ่งก็ไม่ใช่แค่อินพุตเดียว แต่ให้มาครบทั้งอะนาลอกและดิจิตัล ทั้งแบบไร้สายและใช้สาย
1 = ปุ่มกดเพื่อ reset การเชื่อมต่อเน็ทเวิร์คเพื่อกลับไปสู่ค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน
2 = ไฟแอลอีดีแสดงสถานะในการเชื่อมต่อกับ Network (Ethernet/WiFi) และแสดงอินพุตที่กำลังใช้
3 = อินพุต Optical
4 = อินพุต Ethernet
5 = เต้ารับปลั๊กไฟเอซี
6 = สวิทช์เปิด/ปิดเครื่อง
7 = ช่องเสียบอะแด๊ปเตอร์ Micro-USB > USB-A ที่แถมมาให้
8 = ช่องอินพุตสำหรับสายอะแด๊ปเตอร์ Mini 3.5mm > RCAx2 ที่แถมมาให้
9 = ไฟแอลอีดีแสดงสถานะการเชื่อมต่อ Bluetooth
10 = ปุ่มกดเพื่อเปิดรับการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นผ่านทางคลื่น Bluetooth
แอพลิเคชั่น “StreamCONTROL”
Cabasse มีแอพลิเคชั่นที่ใช้ในการควบคุมสั่งงานและปรับตั้งฟังท์ชั่นต่างๆ ของ The Pearl Akoya มาให้คุณโหลดใช้ฟรี ชื่อว่า StreamCONTROL ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android
ในแอพฯ มีหัวข้อเมนูให้ปรับตั้งค่าอยู่ทั้งหมด 4 กลุ่ม อยู่ที่ด้านล่างของหน้าแอพฯ เรียงตามลำดับจากซ้ายไปขวาคือ Favorites, Music, Players และ Settings โดยเมนูที่ใช้ปรับตั้งค่าต่างๆ เกี่ยวกับตัวเครื่องจะเก็บอยู่ในหัวข้อ “Settings” (ศรชี้) ซึ่งในนั้นนอกจากการปรับตั้งการทำงานของตัว The Pearl Akoya แล้ว ยังมีหัวข้อการปรับตั้งสำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพเสียงอยู่ในนั้นด้วย นั่นคือหัวข้อ “Audio customization” (ศรชี้)
ในหัวข้อ Audio customization จะมีหัวข้อย่อยที่ใช้ในการปรับตั้งเสียงของ The Pearl Akoya อยู่ทั้งหมด 4 หัวข้อ คือ (1) “Automatic calibration” = ฟังท์ชั่น room correction ที่ใช้ปรับจูนเสียง The Pearl Akoya ให้ทำงานร่วมกับสภาพห้องได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเป็นการปรับจูนอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยี Digital Enhancement Acoustical Performances หรือ DEAP ที่ทีมวิศวกรของ Cabasse คิดค้นขึ้นมา, (2) “Sound optimization” = เป็นรูปแบบของ EQ ที่ทาง Cabasse ออกแบบเอาไว้ให้เลือกใช้ร่วมกับการทำ room correction ซึ่งปัจจุบันมีรูปแบบให้เลือกอยู่ 2 รูปแบบคือ Original รูปแบบดั้งเดิมกับ GEN2 รูปแบบใหม่ ซึ่งทั้งสองรูปแบบนี้จะให้เสียงออกมาต่างกัน ให้ทดลองสลับฟังแล้วเลือกรูปแบบที่คุณชอบ, (3) “Audio spectrum” = เป็นการปรับตั้งโทนัลบาลานซ์ของเสียง..
ซึ่งมีหัวข้อให้ปรับตั้งทั้งหมด 5 ระดับ ไล่จากเน้นไปทางแหลมมากๆ ไล่ลงไปถึงโหมดที่เน้นความถี่ต่ำ ได้แก่ High Tone, Neutral Tone (HiFi Mode), Low Tone, Very Low Tone และเน้นความถี่ต่ำมากที่สุดคือ Extream Low Tone (Outdoor Mode) และหัวข้อที่ (4) ที่ใช้ปรับตั้งเสียงของ The Pearl Akoya ก็คือ “Dynamic Fidelity Enhancer” = เป็นการปรับจูนเสียงโดยยกความดังในย่านทุ้มและแหลมเพิ่มขึ้นขณะที่เปิดเบาๆ เพื่อรักษารายละเอียดในย่านต่ำและแหลมเอาไว้ (คล้ายๆ Loudness นั่นเอง)
การเชื่อมต่อระบบ
The Pearl Akoya ถูกออกแบบมาให้ใช้งานแค่ตัวเดียวในโหมดเสียง Mono ร่วมกับแหล่งต้นทางสัญญาณ (source) ที่ใช้ระบบเสียงสเตริโอได้ แต่ The Pearl Akoya ทุกตัวก็พร้อมรองรับการใช้งานในโหมด Stereo ได้ด้วย ถ้าคุณต้องการใช้งานในโหมดสเตริโอ ต้องหา The Pearl Akoya มาเพิ่มอีกตัว แล้วลิ้งค์ The Pearl Akoya ทั้งสองตัวเข้าด้วยกันโดยให้ตัวหนึ่งทำหน้าที่กระจายเสียงแชนเนล “ขวา” (Right) ส่วนอีกตัวกระจายเสียงแชนเนล “ซ้าย” (Left)
ส่วนแหล่งต้นทางสัญญาณเสียง หรือ source ก็มีให้เลือกใช้ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นไฟล์เพลงบนอุปกรณ์พกพาแล้วส่งสัญญาณมาที่ The Pearl Akoya ทางคลื่น Bluetooth (Android) หรือ AirPlay (iPhone/Tablet) หรือจะใช้วิธีเก็บไฟล์เพลงลงในแฟรชไดร้ USB แล้วนำไปเสียบที่ช่อง Micro-USB แล้วใช้แอพ StreamCONTROL ของ Cabasse ดึงมาเล่น นอกจากนั้น ถ้าคุณมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ และอยากจะเล่นแผ่นเสียงไปออกที่ The Pearl Akoya ก็สามารถทำได้ แต่ต้องหาสายสัญญาณอะนาลอกที่แปลงจาก RCA (L/R) ออกมาเป็นขั้วต่อ mini 3.5mm เพื่อเสียบเข้าที่อินพุต analog 3.5mm ของ The Peral Akoya
ลองฟังเพลงด้วยวิธีสตรีมไฟล์เพลง
แต่ไฮไล้ท์ของ The Pearl Akoya อยู่ที่การฟังเพลงผ่านการสตรีมไฟล์เพลงจาก NAS และสตรีมไฟล์เพลงจากผู้ให้บริการค่ายต่างๆ อาทิ TIDAL และ Spotify ซึ่งแหล่งต้นทางสัญญาณเหล่านั้นได้ถูกบรรจุไว้ในหัวข้อ “Music” ของแอพ StreamCONTROL ทั้งหมดแล้ว
ผมทดลองสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาฟังผ่าน The Pearl Akoya ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น ดีสเพลย์ของหน้าแอพบน iPhone 12 ปรากฏสไลด์ที่ใช้ปรับระดับวอลลุ่มให้ใช้ด้วย (ศรชี้) สะดวกมาก เสียงที่ออกมาจาก The Pearl Akoya มีโทนบาลานซ์ที่ดีมาก กลาง–แหลมเปิดกระจ่างและลอยตัวออกมานอกตัวตู้ของลำโพงอย่างชัดเจน ตัวเสียงกลางและแหลมมีความเข้มข้น เป็นตัวเป็นตน ในขณะที่มีความถี่ต่ำรองรับเป็นฐานอยู่ที่ด้านล่าง ทำให้โทนของเสียงโดยรวมออกมาน่าฟัง มีจังหวะจะโคนที่หนักแน่น เบสเกินตัวมาก.!!! ผมไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงทุ้มที่หนักและลงลึกจากลำโพงเล็กๆ ตัวนี้.. น่าทึ่งมาก.!
ผมลองเล่นไฟล์ที่ผมโหลดไว้ในแอพฯ Onkyo HF Player แล้วยิงสัญญาณตรงเข้าที่ The Pearl Akoya ผ่านทาง AirPlay เสียงก็ออกมาดีมากเช่นกัน โทนบาลานซ์ออกมาดี น้ำหนักเสียงดี เสียงกลางต่ำและเสียงทุ้มมีความอิ่มหนา มีเนื้อมีมวล ไม่แห้งแม้ว่าไฟล์ที่เล่นจะเป็นแค่ WAV 16/44.1 ที่ริปมาจากแผ่นซีดี แต่รายละเอียดออกมาดีมาก ที่น่าพอใจมากๆ คือน้ำหนักเสียง ซึ่งลำโพงไร้สายในท้องตลาดส่วนใหญ่จะให้เสียงออกไปทางโปร่งบาง ผิดกับ The Pearl Akoya ตัวนี้ที่ให้เนื้อเสียงไปทางอิ่มหนา มวลเข้ม ผิดแผกไปจากลำโพงไร้สายทั่วไป
ใช้งานร่วมกับทีวี ดูหนัง + ดูละคร + ดูคอนเสิร์ตบน YouTube
การเชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากทีวีมาที่ The Pearl Akoya ต้องใช้ช่องอินพุต Optical ที่ให้มา ซึ่งทีแรกที่เปิดทีวีขึ้นมาหลังจากเชื่อมต่อเสร็จ พบว่าไม่มีเสียงออก ไล่ไปไล่มาจึงพบว่าผมต้องเข้าไปเปลี่ยนระบบเสียงที่ทีวีส่งออกมา จากเดิมตั้งไว้ที่ Dolby เพราะก่อนหน้านี้ผมส่งออกไปที่ AVR เมื่อใช้กับ The Pearl Akoya ผมต้องเข้าไปเปลี่ยนในเมนูของทีวีให้ทีวีส่งออกมาเป็นสัญญาณ PCM ก่อน หลังจากเปลี่ยนแล้วก็มีเสียงออกมาปกติ ซึ่งน้ำเสียงที่ได้ออกมามันสะดุดหูมาก.!! อย่างแรกที่รู้สึกชัดมากคือลักษณะของเสียงที่ “หลุดลอย” ออกมาในอากาศเหมือนผีหลอก..!! ผมใช้ The Pearl Akoya สองตัว ตั้งให้ทำงานพร้อมกันในโหมด Stereo ปรากฏว่ามิติเสียงดีมาก.!! ทุกเสียงหลุดลอยออกมาจากตัวลำโพง กลายเป็นสนามเสียงที่แผ่กว้างครอบคลุมพื้นที่อากาศในห้องรับแขกที่ผมใช้ดูทีวีและดูหนังจาก Netflix ซึ่งให้ความรู้สึกเหมือนฟังเสียงเซอร์ราวนด์ ทั้งๆ ที่ใช้ลำโพงแค่ 2 ตัว..!!!
บางคนอาจจะสงสัยว่า การเชื่อมต่อสัญญาณจากทีวีเข้าอินพุต Optical จะมีปัญหาดีเลย์ของเสียงที่ไม่ตรงกับภาพบ้างมั้ย.? โดยพื้นฐานแล้วมีโอกาสจะเกิดกับอินพุต Optical ได้มากเพราะเป็นอินพุตที่ส่งสัญญาณทางเดียวคือจากทีวีไปที่ The Pearl Akoya ไม่มีการทวนคำสั่งกลับจากปลายทางไปที่ทีวีเหมือนการเชื่อมต่อผ่าน HDMI ทว่า.. ทาง Cabasse คำนึงถึงปัญหานี้ จึงได้จัดฟังท์ชั่นปรับหน่วงเวลาเสียงให้ออกมาตรงกับสัญญาณภาพบนจอทีวีมาให้ด้วย อยู่ในแอพลิเคชั่น ซึ่งปรับได้มากถึง 1000 มิลลิเซคัล ผมลองดูแล้ว มันเวิร์คจริง ค่อยๆ ปรับทีละนิดจนเสียงของภาพตรงกันสนิทเมื่อผลปรับ Latency ไปที่ 200ms ซึ่งวิธีปรับก็ง่ายๆ เลย คือผมเปิดช่องข่าว และใช้ตาดูไปที่ปากของผู้อ่านข่าวในขณะที่มือก็ทำการค่อยๆ เพิ่ม Latency ขึ้นไปเรื่อยๆ สังเกตเสียงพูดของผู้ประกาศข่าวที่ออกมาจากลำโพงประกบกับภาพบนจอ ค่อยๆ ปรับจนภาพปากกับเสียงพูดไปพร้อมกันมากที่สุด
กรณีที่ใช้ลำโพง The Pearl Akoya พร้อมกัน 2 ตัวในโหมดสเตริโอ ในคู่มือของ The Pearl Akoya แจ้งว่ามีวิธีเชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากทีวีมาที่ The Pearl Akoya โดยไม่ให้เกิดปัญหาลิปซิ้งค์อยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือให้ต่อสาย Optical จากทีวีมาที่ The Pearl Akoya แยกกัน ซึ่งต้องมีอุปกรณ์เสริมที่เรียกว่า Optical Switch เข้ามาช่วยแยกสัญญาณ Optical จากทีวีให้ออกมาเป็น 2 เส้น หรืออีกวิธีก็ใช้สายสัญญาณอะนาลอก ต่อจากทีวี (ถ้าทีวีมีเอ๊าต์พุตอะนาลอก) แยกไปที่ลำโพงแต่ละข้างๆ ละแชนเนล ซึ่งการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงจากทีวีมาที่ The Pearl Akoya ทั้งสองวิธีข้างต้นจะไม่มีปัญหาลิปซิ้งค์เลย (ผมไม่ได้ทดลองทำแบบที่เขาว่า)
ทางผู้ผลิต Cabasse มีรีโมทไร้สายหน้าตาเก๋ๆ มาให้ใช้กับ The Pearl Akoya ด้วย ตัวรีโมททำเป็นทรงกลมแบนๆ หนาประมาณหนึ่งนิ้ว บอดี้ทำด้วยโลหะ น้ำหนักดี รีโมทตัวนี้เชื่อมต่อกับ The Pearl Akoya ด้วยคลื่นบลูทูธ บนตัวรีโมทมีฟังท์ชั่นควบคุมการทำงานอยู่ 2 อย่าง คือ ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง กับเลือกอินพุต แต่การเลือกอินพุตอาจจะดูยากนิดนึง เพราะบนตัวรีโมทไม่มีจอแสดงผล ในขณะที่บนตัวลำโพงเองก็ไม่มีจอ การเลือกอินพุตจะไปแสดงผลที่ “สี” ของไฟ LED ที่อยู่ด้านหลังตัวลำโพง หลังจากเปิดเครื่องขึ้นมาแล้ว ก่อนจะเริ่มเล่น source ไปที่ The Pearl Akoya แนะนำให้หมุนหรี่วอลลุ่มที่ตัวรีโมทลงไปให้สุดก่อน (หมุนวนไปทางซ้าย)
The Pearl Akoya ทุกตัวมาพร้อมกระเป๋าหิ้วที่ออกแบบมาเฉพาะ ทำให้คุณสามารถหิ้วลำโพงไร้สายตัวนี้ไปสร้างความบันเทิงให้กับตัวเองได้ทุกที่
สรุป
ผมชอบเสียงของลำโพงไร้สายตัวนี้มาก..! มันออกมาเข้มข้นน่าฟัง ดีไซน์แต่ละอย่างที่วิศวกรของ Cabasse ใส่เข้าไปใน The Pearl Akoya ล้วนแสดงผลออกมากับคุณภาพเสียงที่ได้ยินออกมาอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นดีไซน์ไดเวอร์แบบ Tri-Coaxial กับรูปแบบตัวตู้ทรงกลม ไปจนถึงกำลังขับที่อัดแน่นเข้าไปมากถึง 1050 วัตต์ต่อข้าง ซึ่งถือว่า “มากเกินพอ” แต่ได้ผลดีตรงที่สามารถควบคุมลำโพงได้อย่างแม่นยำ และสามารถสร้างความถี่ต่ำลงไปได้ลึกและแน่น เป็นความสามารถที่พูดได้ว่า “เกินตัว” เมื่อพิจารณาที่ขนาดของตัวลำโพง
การเชื่อมต่อกับแหล่งต้นทางสัญญาณที่รองรับได้หลากหลายก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างของ The Pearl Akoya ตัวนี้ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการใช้งานได้มากทีเดียว ไม่ว่าคุณจะเก็บไฟล์เพลงไว้ที่ไหน คุณก็สามารถนำมาใช้เล่นกับ The Pearl Akoya ได้ทุกช่องทาง.. ใครที่กำลังมองหาลำโพงไร้สายที่ถึงพร้อมทั้งดีไซน์ที่เก๋ไก๋ดูทันสมัย และให้คุณภาพเสียงในระดับที่ “นักฟังเพลง” ที่พิถีพิถันกับคุณภาพเสียงยอมรับ แนะนำให้ไปหาโอกาสทดลองสัมผัสกับ Cabasse รุ่น The Pearl Akoya ตัวนี้ดูสักหน่อย คุณอาจจะถูกใจมันตั้งแต่ยังไม่ได้ยินเสียงของมันก็ได้นะ..!!! /
********************
ราคา : 79,000 บาท / ตัว
(โปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 99,000 บาท/ตัว)
********************
สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ
Audio Force โทร. 090-004-2380
เฟซบุ๊ค : AudioForceTH
ไลน์ อ๊อฟฟิเชี่ยล : @audioforce