“สปีด” คือหัวใจสำคัญของเครื่องเล่นแผ่นเสียง ถ้าสปีดของรอบหมุนแผ่นมีความผิดเพี้ยนไปจากมาตรฐาน 33 1/3 rpm (รอบต่อนาที) หรือ 45 rpm (รอบต่อนาที) เสียงที่ออกมาจะแย่ลงไปมากในทุกด้าน ในระบบเพลย์แบ็คของสัญญาณดิจิตัล ออดิโอที่ใช้การสตรีมสัญญาณเสียงผ่านเน็ทเวิร์คก็มีเรื่องของ “สปีด” เข้ามาเกี่ยวข้องเหมือนกัน
สัญญาณดิจิตัล ออดิโอในแพ็คเกจไฟล์ฟอร์แม็ตต่างๆ ที่เดินทางอยู่ในวงเน็ทเวิร์คจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งจะถูกควบคุม “สปีด” ที่ใช้ในการเดินทางด้วยสัญญาณนาฬิกาที่สร้างขึ้นด้วย crystal oscillators (คือ clock ในภาพด้านบน) เพื่อให้สัญญาณดิจิตัล ออดิโอที่ส่งเข้าถึงภาค DAC ในขั้นตอนสุดท้ายมี “สปีด” ที่ตรงกับอัตรา “sample rate” ของสัญญาณนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเล่นไฟล์เพลง PCM ที่มีแซมปลิ้งเรตเท่ากับ 44.1kHz บนเน็ทเวิร์ค ไม่ว่าสัญญาณนั้นจะเดินทางไกลแค่ไหน และผ่านอุปกรณ์อื่นๆ สักกี่ตัว แต่เมื่อสัญญาณนั้นเดินทางไปถึงภาคดีทูเอ คอนเวิร์ตเตอร์ มันจะต้องถูกลำเลียงเข้าสู่ชิป DAC ด้วยจำนวนสัญญาณ 44,100 ตัวอย่างต่อวินาที อย่าง “ต่อเนื่อง, คงที่ และ ตลอดเวลา” จึงจะทำให้เอ๊าต์พุตที่ถูกสร้างออกมาจากชิป DAC ตัวนั้นเป็นสัญญาณอะนาลอกที่เหมือนกับสัญญาณอะนาลอกต้นฉบับก่อนที่จะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตัลในสตูดิโอ
ในกรณีที่เกิดความคลาดเคลื่อนของ “สปีด” ในการลำเลียงสัญญาณเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่จุดใดจุดหนึ่งในระบบเน็ทเวิร์ค จะทำให้มีปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้น ความคลาดเคลื่อนในแง่ของคาบเวลาที่ข้อมูลแต่ละหน่วยเดินทางเข้าไปที่ชิป DAC เป็นเหตุให้มีความผิดเพี้ยนทางด้านเฟส (time) ของเสียงเกิดขึ้นในขั้นตอนการแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นอะนาลอกของภาค DAC ซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียงที่หยาบกร้าน ถ้าปริมาณความคลาดเคลื่อนในแง่ของคาบเวลา (เรียกรวมๆ ว่าปัญหา “jitter”) ยิ่งมีมาก สัญญาณเสียงอะนาลอกที่ได้ออกมาก็จะยิ่งแย่มากขึ้น ซึ่ง “คุณภาพ” ของคริสตัล ออสซิเลเตอร์ที่สร้างสัญญาณ clock เพื่อควบคุมสปีดในการลำเลียงสัญญาณดิจิตัลไปบนเน็ทเวิร์คนี่แหละคือต้นเหตุ
เน็ทเวิร์ค สวิทช์ ระดับออดิโอ เกรด!
นักเล่นเครื่องเสียงในปัจจุบันเริ่มรู้จักกับ “เน็ทเวิร์ค สวิทช์” (Network Switch) มากขึ้นแล้ว (ถ้าคุณยังไม่รู้จัก แนะนำให้อ่าน บทความนี้) และการรับรู้ถึงประสิทธิภาพของการใช้อุปกรณ์ประเภทเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่เข้ามาช่วยทำให้เสียงของการสตรีมไฟล์เพลงมีคุณภาพที่ดีขึ้นก็เริ่มแพร่หลายในกลุ่มของนักเล่นเครื่องเสียงที่ใช้แหล่งต้นทางมิวสิค สตรีมมิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือเหตุผลที่พบว่ามีการทำอุปกรณ์ประเภทเน็ทเวิร์ค สวิทช์ระดับ audio grade ออกมาจำหน่ายมากขึ้น มีให้เลือกหลายระดับราคามากขึ้น
ยุคแรกที่ผลิตภัณฑ์ประเภท Network Bridge ปรากฏกายเข้ามาในตลาดเครื่องเสียง ราคาเปิดตัวจะอยู่ที่ระดับ 10,000 กลางๆ ขึ้นไปไม่เกิน 20,000 บาท ส่วนใหญ่จะเป็นผลผลิตของแบรนด์ทางฝั่งเอเซียคือจีน (Silent Angel) กับไต้หวัน (NuPrime) และของไทยก็มีแบรนด์ Fidelizer หลังจากนั้น ผลิตภัณฑ์ประเภทเน็ทเวิร์ค สวิทช์ก็เริ่มมีระดับราคาที่ขยับสูงขึ้น ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่สูงขึ้นอย่างเช่นของแบรนด์ Ediscreation จากประเทศฮ่องกง และรุ่น Qnet ของ Nordost เป็นต้น
StreamBRIDGE
เน็ทเวิร์ค สวิทช์ ระดับออดิโอ เกรดของไทย
ตัวนี้เป็นเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่เพิ่งออกมาใหม่ เป็นแบรนด์ของไทยคือ Clef Audio ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยอมรับว่าได้รับความสนใจอย่างสูงหลังจากเปิดตัวออกมาครั้งแรกเมื่อไม่นานมานี้ เป็นปรากฏการณ์ที่มีปัจจัยพื้นฐานเกื้อหนุนอยู่หลายประเด็นที่ทำให้เน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนี้ได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนจะไปพูดถึงปัจจัยเด่นเหล่านั้น เรามาพิจารณาตัวเครื่องใกล้ๆ กันดูก่อน…
ปกติแล้ว อุปกรณ์ประเภท Network Switch ที่มีมาก่อนหน้านี้มักจะมีขนาดตัวเครื่องเล็กกระทัดรัด น้ำหนักเบา ลักษณะเป็นกล่องเล็กๆ แบนๆ หน้ากว้างไม่เกิน 20 ซ.ม. สูงไม่ถึง 3 ซ.ม. แต่ตัว StreamBRIDGE ของ Clef Audio ตัวนี้มีขนาดที่ใหญ่กว่าขึ้นมาอีกนิด หน้ากว้างอยู่ที่ 20.5 ซ.ม. x ลึก 12.5 ซ.ม. และสูง 5.0 ซ.ม. ส่วนน้ำหนักก็มากกว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวอื่นๆ ที่เคยมีออกมา
สาเหตุที่ทำให้ตัวเครื่อง StreamBRIDGE ของ Clef Audio ตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าและมีน้ำหนักมากกว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ของแบรนด์อื่นๆ ก็เพราะว่ามันมีภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ฯ รวมอยู่ในตัวนั่นเอง ซึ่งของแบรนด์อื่นจะใช้ภาคจ่ายไฟแบบสวิทชิ่งที่แยกออกมาภายนอก ลักษณะเป็นเอซี อะแด๊ปเตอร์ตัวเล็กๆ
StreamBRIDGE เป็นเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่มีช่องแยกสาย LAN จำนวน 5 ช่อง (หรือ 5 port) อยู่ที่ด้านหลังของตัวเครื่อง ซึ่งแต่ละช่องรองรับสปีดการรับ/ส่งข้อมูลได้สูงสุดถึงระดับกิกะบิต 10/100/1000 นอกจากช่องเสียบสาย LAN แล้วก็มีช่องเสียบปลั๊กไฟสำหรับสายไฟเอซีแบบ 3 ขาแยกกราวนด์อีกช่องเดียวเท่านั้น
เคล็ดลับการออกแบบที่ส่งผลกับเสียง
มีเคล็ดลับในการออกแบบอยู่ 3 ประเด็น ที่เกี่ยวข้องกับเสียงโดยตรง ได้แก่ 1) ออกแบบภาคจ่ายไฟขึ้นมาสำหรับ StreamBRIDGE ตัวนี้โดยเฉพาะ, 2) ใช้ crystal oscillator แบบ TCXO, 3) ตัวตู้ที่เป็นโลหะ
พูดถึงลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลาย (LPS) สำหรับเน็ทเวิร์ค สวิทช์นี่ก็มีประเด็น เพราะจากประสบการณ์ของนักเล่นฯ (รวมถึงผมด้วย) ที่ได้ทดลองใช้งานภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์ฯ เทียบกับแบบสวิชชิ่งแล้ว ต่างก็สรุปไปทางเดียวกันว่า เพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์มีส่วนช่วยทำให้เสียงของเน็ทเวิร์ค สวิทช์ดีขึ้นจริง คือดีกว่าการใช้เพาเวอร์ซัพพลายแบบสวิทชิ่งที่แถมมาให้ ซึ่งผู้ผลิตแบรนด์อื่นๆ ต่างก็มีทำเพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์ออกมาขายแยกต่างหากเพื่อให้นักเล่นฯ ซื้อไปอัพเกรดด้วย เมื่อมองประเด็นนี้ก็ต้องนับว่าเป็นจุดเด่นของ StreamBRIDGE ตัวนี้ที่ให้เพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์มาในตัวเสร็จสรรพ ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม แถมการติดตั้งเพาเวอร์ซัพพลายอยู่ในตัวเครื่องน่าจะมีข้อดีอีกอย่าง ตรงที่ช่วยลดการเชื่อมต่อลงไปได้หนึ่งช่วง ซึ่งส่งผลต่อการจ่ายไฟที่ดีกว่าแบบเสียบผ่านสายด้วย นอกจากนั้น ทางผู้ผลิตคือ Clef Audio ยังให้ข้อมูลมาว่า ภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่อยู่ภายในตัวของ StreamBRIDGE นั้นก็ไม่ใช่ลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลายแบบธรรมดา แต่เป็นแบบ “Ultra Linear Power Supply” ที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเพื่อเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนี้โดยเฉพาะซะด้วย
จุดที่สองที่น่าจะส่งผลกับเสียงไม่น้อยกว่าภาคเพาเวอร์ซัพพลายคือระบบ clock ซึ่งทางเคลฟ เลือกใช้ clock แบบ TCXO เป็นระบบ clock ที่ใช้วงจรอิเล็กทรอนิคในการควบคุมความถี่ของ clock ไม่ให้เหวี่ยงไปตามอุณหภูมิ (Temperature Compensated Oscillators) ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับที่ใช้กับระบบนำร่อง (GPS) ในแง่ form factor แล้ว คล็อก TCXO จะมีขนาดเล็กกว่าและราคาต่ำกว่าแบบ OCXO เนื่องจาก OCXO ต้องมีเตาอุ่นเลี้ยงอุณหภูมิให้กับระบบคล็อกด้วย ส่วนตัวถังที่ทำด้วยโลหะนั้นมีส่วนช่วยประสิทธิภาพในการดักสัญญาณรบกวนจากภายนอกไม่ให้แทรกเข้าไปรบกวนการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิคภายใน (network switch ราคาถูกๆ ที่ใช้ในงาน IT ส่วนมากตัวถังจะทำด้วยพลาสติก)
ทดลองใช้งาน StreamBRIDGE กับการสตรีมไฟล์เพลงสำหรับชุดเครื่องเสียง
ผมทดลองใช้งาน StreamBRIDGE ในชุดเครื่องเสียงที่ผมใช้ source เป็นซิสเต็มสตรีมมิ่งโดยมี Roon รุ่น Nucleus+ ทำหน้าที่เป็น Network Transport ดึงไฟล์เพลงจาก NAS เข้ามาเล่นและส่งแพ็คเกจต่อไปที่ Primare รุ่น NP5 MK II (REVIEW) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเน็ทเวิร์ค บริดจ์ (endpoint ของ roon) เพื่อแตกแพ็คเกจไฟล์ให้ออกมาเป็นสัญญาณเสียง PCM แล้วป้อนให้กับภาค DAC ในตัว Accuphase รุ่น E-280 อีกทอดหนึ่ง
ผมเอา StreamBRIDGE เข้ามาทดลองใช้กับชุดสตรีมมิ่งข้างต้นเป็น 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือใช้ StreamBRIDGE เข้าไปคั่นระหว่าง router กับอุปกรณ์ทั้ง 3 ชิ้นในระบบเน็ทเวิร์ค โดยใช้สาย LAN จำนวน 3 เส้น แยกกันเชื่อมต่อตัว Nucleus+, NAS และ NP5 MK II มาที่ตัว StreamBRIDGE แล้วใช้สาย LAN อีกเส้นเชื่อมต่อจากตัว StreamBRIDGE ไปที่ router ซึ่งเท่ากับว่า วิธีนี้ผมใช้งาน port ของ StreamBRIDGE ทั้งหมด 4 พอร์ตพร้อมกัน
การทดลองฟังลักษณะที่สอง ผมใช้ StreamBRIDGE เข้าไปคั่นระหว่าง router กับ NP5 MK II ส่วนตัว Nucleus+ กับ NAS ต่อตรงเข้าที่ router ซึ่งในกรณีที่สองนี้เท่ากับว่าผมใช้งาน port ของ StreamBRIDGE เพียงแค่ 2 ช่องเท่านั้น
ผลการทดลองฟัง
ตอนแรกที่เอา StreamBRIDGE เข้ามาทดลองใช้ในระบบมิวสิค สตรีมมิ่งของผมโดยต่อเชื่อมระหว่าง router กับอุปกรณ์อื่นๆ ทั้งสามชิ้น (แบบแรก) ผมรู้สึกได้ว่ามี “ความแตกต่าง” เกิดขึ้นเมื่อเทียบกับการต่ออุปกรณ์ในระบบมิวสิค สตรีมมิ่งทั้งหมดนั้นเข้าที่ตัว router โดยตรง
เมื่อใช้ตัว StreamBRIDGE เข้ามาในระบบ ลักษณะของ “ความแตกต่าง” ที่เอ่ยถึงข้างต้นก็คือความรู้สึกโปร่งโล่งที่ดีขึ้น กับเสียงโดยรวมที่มีความสะอาดหูมากขึ้น ซึ่งปริมาณของ “ความแตกต่าง” ที่เกิดขึ้นนี้อาจจะไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผมได้ยินรายละเอียดเสียงต่างๆ ที่ลอยชัดออกมาจากพื้นเสียงมากขึ้น และเมื่อผมลองเปลี่ยนเอาตัว StreamBRIDGE ไปต่อคั่นระหว่าง router กับ NP5 MK II (แบบที่สอง) ผมพบว่า ผลที่เกิดขึ้นกับเสียงก็เป็นไปในแนวทางเดียวกับการเชื่อมต่อแบบแรก แต่ผลที่เกิดขึ้นมีเปอร์เซ็นต์ที่ “สูงกว่า” การเชื่อมต่อแบบแรกอย่างเห็นได้ชัด..!! รับรู้ถึงความโปร่งโล่งของพื้นเสียงได้มากกว่า และรับรู้ได้ชัดว่า ทุกเสียงที่อยู่ในเพลงที่ฟังมีลักษณะที่ “เด้ง” ลอยออกมาจากพื้นเสียงมากขึ้น..!!!
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับเสียงของซิสเต็มไม่ได้เกิดขึ้น “ทันที” ที่เชื่อมต่อ StreamBRIDGE เข้าไปในระบบ จากการทดลองเสียบเข้า–ถอดออกหลายรอบ ผมพบว่า เสียงจะค่อยๆ เปลี่ยนไปทีละนิด ซึ่งต้องใช้เวลาสักพักผลลัพธ์เหล่านั้นถึงจะออกมาเต็มที่ นิ่ง และคงที่ไปตลอด
เพื่อคอนเฟิร์มผลลัพธ์ของ StreamBRIDGE ตอนท้ายๆ ผมทดลองเปลี่ยนตัวเน็ทเวิร์ค บริดจ์ NP5 MK II เป็นออล–อิน–วันของ Audiolab รุ่น Omnia เข้ามาแทน ปรากฏว่า ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการใช้งานร่วมกับตัว StreamBRIDGE ก็ยังคงเป็นไปในทิศทางเดิมทุกอย่าง
อัลบั้ม : Shine (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Mary Black
สังกัด : (1997) Curb Records D2-77888
นอกจากความสะอาดใสของพื้นเสียง (หรือที่ถูกควรจะต้องพูดว่า เป็นเพราะความสะอาดใสของพื้นเสียง.?) ยังมีลักษณะของการสวิงไดนามิกที่มีไทมิ่งที่แม่นยำมากขึ้นด้วย ทั้งการสวิงจากดังลงมาเบาและจากเบาขึ้นไปดัง รวมถึงความฉับพลันทันทีของทรานเชี้ยนต์ไดนามิกด้วย ซึ่งนั่นก่อให้เกิดผลทางด้านอารมณ์ของเพลงที่พุ่งเข้ามากระทบกับจิตใจมากขึ้น แต่ละเสียงในเพลงมันแทรกเข้ามากระตุ้นความสนใจของเรามากขึ้น ตัวอย่างเช่นเมื่อลองฟังแทรคแรกคือเพลง ‘Shine’ จากผลงานอัลบั้มปี 1997 ของ Mary Black หลังจากเสริมตัว StreamBRIDGE เข้ามา ผมพบว่า แต่ละเสียงในเพลงนี้มันฉีกตัวห่างจากกันมากกว่าก่อนใช้สตรีมบริดจ์อย่างที่สามารถรับรู้ได้ชัด สามารถเพ่งลงไปที่เสียงแต่ละเสียงได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้สามารถขยับตำแหน่งลำโพงเพื่อไฟน์จูนให้ได้ “โฟกัส” ของเสียงที่แม่นยำมากขึ้น และเมื่อเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงได้โฟกัสที่แม่นยำ สิ่งที่ตามมาก็คือ “น้ำหนัก” ของอิมแพ็คหรือสัมผัสแรกของหัวเสียงของโน๊ตแต่ละตัวที่กระชับ เร็ว และมีน้ำหนัก แค่เสียงกลองของ Jerry Marotta ในแทรคก็เป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนมากในแง่นี้ เสียงสแนร์ที่คมและเสียงกระเดื่องที่แน่น ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงพลังที่เจอร์รี่กระแทกย้ำลงไปที่หนังหน้ากลองที่หนักหน่วง ให้อารมณ์ที่เด็ดขาดมาก..!!!
อัลบั้ม : Mercy Now (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Mary Gauthier
สังกัด : (2005) Lost Highway Records B0003570-02
ใครที่คุ้นเคยกับการใช้ clock กับภาค DAC จะรู้ดีว่า ระบบ clock ดีๆ จะทำให้เสียงที่ได้จากการเพลย์แบ็คด้วยระบบดิจิตัลผ่าน DAC มีความถูกต้องแม่นยำ ตัวเสียงจะออกมาชัด พื้นเสียงจะใส โทนโดยรวมจะออกไปทางกระจ่าง สดและสมจริง ซึ่งที่ว่ามาข้างต้นนี้คือสิ่งที่ผมได้ยินจากการเพิ่ม StreamBRIDGE เข้ามาในระบบสตรีมมิ่งของผม เสียงร้องของ Mary Gauthier ในเพลง ‘Mercy Now’ แทรคที่ 2 ในอัลบั้มชื่อเดียวกันนี้ หลุดออกมาจากลำโพงได้อย่างสมบูรณ์แบบมาก ใสและลอย ได้อารมณ์ดิบๆ สดๆ ดีมาก ไทมิ่งของเพลงก็ลื่นไหล ไม่ช้าและไม่เร็ว ฟังแล้วไม่สะดุดเลย
สรุป
ฟังไป–ฟังมา กลายเป็นขาดไม่ได้ซะแล้วสำหรับอุปกรณ์เสริมตัวนี้ ใครที่ใช้ระบบมิวสิค สตรีมมิ่งเป็นแหล่งต้นทางสัญญาณอยู่ในซิสเต็ม ผมขอแนะนำให้หาอุปกรณ์ประเภทเน็ทเวิร์ค สวิทช์แบบนี้มาใช้เลย มันช่วยทำให้เสียงโดยรวมดีขึ้นอย่างชัดเจน แม้ว่าผลลัพธ์ของมันจะค่อยๆ ปรากฏออกมาหลังจากเชื่อมต่อเข้าไปในซิสเต็ม หลังจากระบบ clock ในตัว StreamBRIDGE ปรับจูนเข้ากับระบบมิวสิค สตรีมมิ่งแล้ว การรับ–ส่งสัญญาณดิจิตัลในระบบจะมีความแม่นยำมากขึ้น ส่งผลให้การทำงานของภาค DAC มีความผิดพลาดน้อยลง เสียงอะนาลอกที่ได้ออกมาจากภาค DAC จึงมีคุณภาพที่ดีขึ้นใน “ทุกด้าน” รับรู้ได้ชัด
ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามาก กับงบประมาณแค่ 6,500 บาท เท่านั้น.. ไม่เชียร์ก็ไม่รู้จะว่าไงแล้วล่ะครับสำหรับ StreamBRIDGE ตัวนี้ /
HIGHLY RECOMMENDED.!!!
*********************
ราคา : 6,500 บาท / ตัว
*********************
ผลิตและจัดจำหน่ายโดย
Clef Audio
*********************
สนใจติดต่อ–สอบถาม
facebook/ClefAudio