ชื่อของ Dynaudio ปรากฏขึ้นมาบนแผนที่ของวงการเครื่องเสียงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1977 ในนามของผู้ออกแบบและผลิตไดเวอร์สำหรับทำลำโพงให้กับทุกวงการ ทั้งโปรเฟสชั่นแนล, พีเอฯ, รถยนต์ และโฮมยูส โดยมีรุ่น “Contour” ที่ออกมาครั้งแรกเมื่อปี 1989 เป็นซีรี่ย์สร้างชื่อให้กับ Dynaudio ในแวดวงของคนเล่นเครื่องเสียงบ้าน
————————————————
*** ลิ้งค์วิดีโอ | The All New Contour
————————————————
The 3rd Generation ‘Contour’
ประมาณ ปี 1925 มีนักประดิษฐ์สองคนคือ Edward Washbern Kellog กับ Chester Williams Rice ได้ร่วมกันพัฒนาคิดค้นไดเวอร์แบบไดนามิกที่ใช้หลักการดูดและผลักระหว่างวอยซ์คอยกับสนามแม่เหล็กขึ้นมาเป็นผลสำเร็จ หลังจากนั้น ลำโพงที่ใช้ฟังเพลงในบ้าน ในโรงภาพยนตร์ และในงานพีเอฯ ส่วนใหญ่จะใช้ไดเวอร์แบบนี้แทบทั้งหมด
นับจากนั้น จนถึงปัจจุบัน รูปแบบของไดเวอร์แบบ dynamic ก็ยังคงมีโครงสร้างการทำงานเหมือนเมื่อยุคแรกที่มันถูกประดิษฐ์ขึ้นมาแทบจะไม่ผิดเพี้ยน ตลอดเวลาเกือบร้อยปี (1925 – 2018) นับตั้งแต่ไดเวอร์แบบไดนามิกถูกคิดค้นขึ้นมาเป็นครั้งแรก พัฒนาการเกือบทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับไดเวอร์ประเภทนี้จะมุ่งไปอยู่ที่การพัฒนาวัสดุที่ใช้ในการผลิตส่วนประกอบต่างๆ ในโครงสร้างหลักของตัวไดเวอร์เท่านั้น
“ไดนาวดิโอ้” เป็นแบรนด์ของประเทศเดนมาร์ก ถือกำเนิดมาจากบริษัทผู้ออกแบบและผลิตไดเวอร์ และลำโพงให้กับทุกวงการมาช้านานอย่างที่เกริ่นมาตั้งแต่ตอนต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ผู้ผลิตลำโพงที่ใช้ไดเวอร์ที่ออกแบบเองและผลิตด้วยตัวเองทั้งหมด และนี่คือจุดแข็งของ Dynaudio เพราะทำให้พวกเขามีทักษะที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับตัวไดเวอร์มากเป็นพิเศษ จนสามารถนำเอาความรู้และเข้าใจเหล่านั้นมาพัฒนาในการออกแบบและผลิตไดเวอร์ให้มีประสิทธิภาพตามที่ผู้ออกแบบลำโพงต้องการได้
หลังจากลำโพง Dynaudio อนุกรม Contour ปรากฏขึ้นบนโลกครั้งแรกเมื่อ ปี 1989 มันก็ได้รับความนิยมอย่างสูง ทำให้ Contour กลายเป็นอนุกรมที่มีชีวิตยืนยาวมาจนถึงปัจจุบัน เมื่อ ปี 2003 ทีมวิจัยของ Dynaudio ได้พัฒนาไดเวอร์ขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขึ้นมาก เพื่อใช้ในอนุกรม Confidence ซึ่งเป็นอนุกรมที่สูงกว่า Contour และเทคโนโลยีเหล่านั้นก็ได้ถูกนำมาใช้ในการผลิตไดเวอร์สำหรับอนุกรม Contour ด้วย กลายเป็น Contour generation 2 จากนั้นผ่านมาอีกยี่สิบเจ็ดปี ใน ปี 2016 ได้มีไอเดียที่จะทำการอัพเกรดลำโพงอนุกรม Contour ขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองวาระที่ Dynaudio ดำเนินกิจการมาครบ 40 ปีในปี 2017 และนั่นคือที่มาของ Contour generation 3 อย่างที่เห็นอยู่ในทุกวันนี้
————————————————
*** ลิ้งค์วิดีโอ | Contour 20 ‘Product Preview’
————————————————
Contour 20
น้องเล็กของอนุกรม
ลำโพง Contour เจนเนอเรชั่นที่สามมีออกมาทั้งหมด 4 รุ่น คือ รุ่น Contour 60 กับรุ่น Contour 30 เป็นลำโพงตั้งพื้น และรุ่น Contour 20 ที่ผมกำลังทดสอบอยู่นี้เป็นลำโพงสองทางวางขาตั้ง ส่วนรุ่นที่สี่คือ Contour 25C ซึ่งถูกออกแบบให้ทำหน้าที่เป็นลำโพงเซ็นเตอร์สำหรับชุดเซอร์ราวนด์มัลติแชนเนล
ความพิเศษของ Contour 20 อยู่ที่ความใหม่สดของทุกจุด เนื่องจากตอนที่วิศวกรของ Dynaudio เริ่มต้นคิดในการอัพเกรด Contour ให้เป็นเจนเนอเรชั่นสามนั้น พวกเขาตั้งใจที่จะเริ่มด้วยการคิดใหม่ตั้งแต่ต้น ไม่ใช่การเอาผลิตภัณฑ์เก่ามาอัพเกรดแค่บางจุด ดังนั้น แม้ว่าโดยรูปโฉมภายนอกของ Contour 20 จะทำให้แฟนเก่าของไดนาวดิโอ้ดูแล้วรู้สึก “คุ้นตา” อยู่บ้าง แต่แท้จริงแล้ว แทบจะทุกตารางนิ้วบนตัว Contour 20 คือสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ทั้งหมด
ทวีตเตอร์ Esotar2
ทวีตเตอร์ Esotar สร้างชื่อให้กับ Dynaudio เป็นอย่างมากในฐานะของผู้ออกแบบและผลิตไดเวอร์เสียงแหลมที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดตัวหนึ่งของโลก มันได้ถูกพัฒนาปรับปรุงขึ้นมาอีกระดับเป็น Esotar2

ตัวทวีตเตอร์ถูกผนึกด้วยน็อตตรึงอยู่กับแผ่น metal baffle ซึ่งเป็นเทคนิคที่ใช้มาตั้งแต่รุ่นเดิม แต่ในเวอร์ชั่นใหม่นี้ วัสดุที่ใช้ทำแผ่น metal baffle นี้ได้ถูกเปลี่ยนจากเหล็กมาเป็นอะลูมิเนียมที่ให้คุณสมบัติทางด้าน damping ที่ต่างไปจากเดิม แน่นอนว่ามีผลต่อเสียงด้วย
ทวีตเตอร์ Esotar2 ถูกผนึกตรึงอยู่บนฟร้อนต์แพลทอะลูมิเนียมหนารูปสี่เหลี่ยมแบบเดียวกับที่อยู่บนรุ่น Confidence C1 ไดอะแฟรมทรงโดมโค้งครึ่งวงกลมของมันถูกผลักดันด้วยพลังของแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยม ตัวบอดี้ด้านหลัง (chamber) ถูกเจาะรูระบายอากาศไว้ด้วย เพื่อลดแรงต้านจากมวลอากาศในแชมเบอร์ขณะที่ไดอะแฟรมเคลื่อนขยับตัวด้วยความรุนแรง ทำให้สามารถตอบสนองความถี่สูงได้ดียิ่งขึ้น ด้วยระดับความเพี้ยนที่ต่ำลงอย่างมาก
มิด / วูฟเฟอร์
คนที่สังเกตจะพบว่า ตัวตู้ของ Contour 20 มีความสูงกว่าลำโพงสองทางวางหิ้งส่วนใหญ่ในท้องตลาดอยู่พอสมควร เหตุผลนั้นมาจากความคิดที่ว่า ถ้าต้องการเพิ่มคุณภาพในย่านเสียงทุ้มให้กับลำโพงสองทางวางขาตั้ง คือทำให้ตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ลึกมากขึ้น และให้ปริมาณเสียงทุ้มที่มากขึ้นในเวลาเดียวกัน โดยไม่ทำให้ ความถี่ในย่านกลางด้อยลง คุณต้องทำสองอย่างนี้ นั่นคือ เพิ่มขนาดของวูฟเฟอร์ให้ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปถึงปริมาตรอากาศในตัวตู้ก็ต้องเพิ่มขึ้นไปด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ตัวตู้ของ Contour 20 มีขนาดใหญ่กว่าขนาดโดยเฉลี่ยทั่วไปของลำโพงวางขาตั้งตัวอื่นๆ


และคนที่เป็นแฟนของ Dynaudio รุ่น Contour ทั้งหมดคงจะเห็นแล้วว่า แม้ว่าไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้กับ Contour 20 จะใช้วัสดุเหมือนเดิมคือ MSP (Magnesium Silicate Polymer) แต่ขนาดและรูปทรงจะไม่เหมือนกับไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้ใน Contour เวอร์ชั่นก่อนหน้า มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้ในรุ่น Contour 20 คือรุ่น 18W55 ส่วนต้นเหตุที่ทำให้หน้าตาของไดเวอร์เสียงทุ้มตัวนี้ดูแปลกไปเป็นผลมาจากมันถูกทำให้มีขนาดของไดอะแฟรมที่ใหญ่ขึ้นกว่าตัวที่ใช้ในเจนเนอเรชั่นสองประมาณ 20% และเพื่อให้ไดอะแฟรมตัวนี้สามารถปั๊มอากาศสร้างความถี่ต่ำออกมาได้ลึกและมีปริมาณมากขึ้น วิศวกรของ Dynaudio ได้เพิ่มความสูงของวงแหวนยางที่ยึดรอบไดอะแฟรมให้มากขึ้นเป็น 7.6 มิลลิเมตร พร้อมทั้งเพิ่มความยาวของกระบอกวอยซ์คอยขึ้นไปอีก 24% ด้วยสองจุดนี้ ทำให้ช่วงชักของไดอะแฟรมสามารถขยับได้ระยะยาวขึ้นกว่าเดิม และสุดท้ายที่วิศวกรของ Dynaudio ทำคือ ลดความหนาของแผ่นไดอะแฟรมลงเพื่อชดเชยกับขนาดพื้นที่ที่ใหญ่ขึ้น จากเดิมหนา 0.5 ม.ม. ลงมาเหลือ 0.4 ม.ม. ทำให้น้ำหนักรวมของแผ่นไดอะแฟรมไม่ต่างจากเดิมมาก ทั้งหมดทั้งเพนี้ก็เพื่อตอบโจทย์ที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพทางด้านความถี่ต่ำให้กับ Contour 20 ให้เหนือกว่าเจนเนอเรชั่นที่สองโดยที่ไม่ทำให้เสียงกลางแย่ลงนั่นเอง


spider เป็นชิ้นส่วนสำคัญของไดเวอร์ที่ช่วยรองรับการขยับตัวของไดอะแฟรม มันถูกผนึกติดอยู่กับกระบอกวอยซ์คอยซึ่งมีผลกับลักษณะการขยับเดินหน้า–ถอยหลังของกระบอกวอยซ์คอยโดยตรง ยิ่งวอยซ์คอยขยับตัวเด้งเข้าเด้งออกด้วยช่วงชักที่ยาวมากขึ้น ตัวสไปเดอร์ก็ยังมีผลมากขึ้นตามไปด้วย เพื่อให้สไปเดอร์สามารถควบคุมการเคลื่อนตัวของกระบอกวอยซ์คอยให้มีความสมดุลในการขยับตัวให้มากที่สุด วิศวกรของ Dynaudio ได้ทำการเพิ่มลอนคลื่นเข้าไปที่ตัวสไปเดอร์โดยอาศัยการคำนวนทางคณิตศาสตร์เชิงซ้อนที่เรียกว่า FEM analysis (Finite Element Method) ทำให้ได้ระยะห่างและความสูงของลอนคลื่นที่ส่งผลดีมากที่สุด ต่อการขยับตัวของกระบอกวอยซ์คอยในแต่ละระยะ ดูในภาพหน้าตัด (ด้านบน) จะเห็นว่าลอนคลื่นแต่ละจุดบนสไปเดอร์จะมีลักษณะต่างกัน

โครงสร้างของไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์รุ่น 18W55 ที่ใช้ในลำโพง Contour 20 ตัวนี้
A. ขอบยางเซอร์ราวนด์
B. ไดอะแฟรม (กรวย)
C. กระบอกวอยซ์คอย
D. สไปเดอร์
E. โครงโลหะ
F. แม่เหล็กคู่
ไฮไล้ท์อีกจุดหนึ่งของมิด/วูฟเฟอร์ตัวนี้คือใช้แม่เหล็กประเภท ferrite สองตัวในการผสานงานกับวอยซ์คอยซึ่งทำด้วยอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถเพิ่มจำนวนเส้นในการพันวอยซ์คอยเข้าไปได้มากกว่าทองแดงที่มีน้ำหนักมากกว่า จึงทำให้ได้กำลังในการผลักและดูดกับแม่เหล็กได้ดีกว่า
จะเห็นว่า ทีมออกแบบของ Dynaudio ใช้แนวคิดในการออกแบบที่อิงกับตรรกะความเป็นจริงและอาศัยหลักการที่เป็นเหตุเป็นผล+เทคนิคและเทคโนโลยีที่เป็นวิทยาศาตร์สามารถอธิบายที่มาที่ไปได้ในการแก้ปัญหาเพื่อให้บรรลุถึงความต้องการ ฟังดูแล้วรู้สึกดีมากกับลำโพงคู่นี้!

และเพื่อให้ไดเวอร์ทั้งสองตัวผนึกแน่นอยู่กับตัวตู้อย่างมั่นคง แม้ในขณะทำงานด้วยความดังสูง ทีมผู้ออกแบบของ Dynaudio ได้ทำการติดตั้งไดเวอร์ทั้งสองไว้บนแผงอะลูมิเนียมหนาอีกหนึ่งชั้นก่อนจะผนึกลงไปบนตัวตู้

ขั้วต่อสายลำโพงของ Contour 20 เป็นแบบซิงเกิ้ลไวร์ขนาดใหญ่ ไม่ได้ใช้ขั้วต่อแบบไบ-ไวร์ฯ เหมือนที่นิยมกันทั่วไป เหตุผลนั้นพวกเขาระบุไว้ในโบรชัวร์ว่า พวกเขาออกแบบวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คด้วยความพิถีพิถันดีแล้ว เรื่องแยกขั้วต่อเพื่อการเชื่อมต่อแบบไบ–ไวร์ หรือไบ–แอมป์จึงไม่จำเป็น ซึ่งผมเห็นด้วยนะ เพราะแอมป์วัตต์สูงๆ คุณภาพดีสมัยนี้มีเยอะ อีกอย่าง ขั้วต่อซิงเกิ้ลไวร์มีข้อดีอีกข้อคือลงทุนกับสายลำโพงดีๆ ได้เต็มงบมากกว่า ไม่ต้องแบ่งงบ–ลดเกรดสาย
หน้าสัมผัสสัญญาณของตัวขั้วต่อชุบทอง ตัวขันยึดมีความแข็งแรง ขนาดใหญ่เหมาะมือ หมุนยึดและคลายเกลียวได้ง่าย ให้การจับยึดที่แน่นหนามาก รองรับการเชื่อมต่อสายลำโพงได้ทุกรูปแบบ ทั้งขั้วต่อแบบบานานา, ก้ามปู หรือปอกสายเปลือย


ตัวตู้ของ Contour 20 ทำงานในระบบตู้เปิด มีท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้วอยู่ที่แผงด้านหลัง 1 ท่อ และแถมแท่งฟองน้ำมาสองแท่ง ขนาด 1.8 x 4 นิ้ว ไว้ใช้อุดรูระบายอากาศ เอามาใช้ในสภาพแวดล้อมที่ทำให้ปริมาณเสียงทุ้มมากเกินต้องการเท่านั้น หรือกรณีที่ต้องการควบคุมเสียงทุ้มให้มีลักษณะที่เก็บตัวเร็วขึ้น กระชับมากขึ้น แท่งโฟมที่ให้มาเป็นแบบ 2 ชั้น เป็นอ๊อปชั่นให้คุณเลือกใช้ 2 ลักษณะ แบบแรกคือใช้ลดขนาดของท่อลง จาก 1¾ นิ้ว ให้เหลือ 1¼ นิ้ว ด้วยการดึงแท่งเล็กที่สอดไส้ออก กับอีกแบบคือปิดรูไปเลย
ส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบใช้เทคนิคนี้ เพราะแม้ว่าแท่งโฟมจะช่วยลดปริมาณและเพิ่มความกระชับของเสียงทุ้มได้จริง แต่มันก็มักจะทำให้คอนทราสน์ไดนามิกแย่ลงไปได้นิดนึง ความทอดพลิ้วของเสียงหดกระชับเข้ามามากเกินไป ผมแนะนำให้ขยับหาตำแหน่งให้ลงตัวที่สุดกับพื้นที่ของคุณซะก่อน ถ้าพื้นที่ของคุณมีปัญหาอะคูสติกที่ทำให้เบสโด่ง–แหลมตก เสียงดาร์ก แนะนำให้แก้ที่สภาพอะคูสติกก่อน ไม่ไหวจริงๆ ค่อยใช้แท่งโฟมเหล่านี้เป็นตัวช่วย
แม็ทชิ่ง
ในสเปคฯ ของ Contour 20 ระบุความไวเอาไว้ที่ 86dB โดยมีวงเล็บต่อท้าย 2.83V / 1m แสดงว่าเป็นค่าที่วัดในห้องไร้เสียงสะท้อน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว พอเอามาใช้ในสภาพของบ้านที่อยู่อาศัยของคนจริงๆ มักจะได้ความไวสูงกว่านั้นเสมอ ส่วนความต้านทานของ Contour 20 กำหนดไว้ที่ 4 โอห์ม, ความสามารถรองรับกำลังขับสูงสุดอยู่ที่ 180W

หากพิจารณาจากสเปคฯ ของ Contour 20 ที่ระบุไว้ ก็ถือว่าเป็นลำโพงที่มีความไวอยู่ในเกณฑ์ค่อนไปทางต่ำ คือต่ำกว่าตัวเลขเฉลี่ยของความไวปานกลางคือระหว่าง 88 – 90dB ลงมานิดหน่อย แต่อย่างที่กล่าวมาข้างต้น ตัวเลข 86dB วัดในห้องไร้เสียงสะท้อนที่ดูดกลืนพลังงานเสียงเยอะกว่าห้องที่พักอาศัยทั่วไปมากเป็นพิเศษ เมื่อนำมาใช้งานในบ้านคนเรา ความไวมักจะวัดได้สูงขึ้นกว่าตัวเลขนี้ประมาณ 2 – 3dB โดยประมาณ ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องน่าหนักใจอะไร โดยเฉพาะกับแอมปลิฟายยุคใหม่ๆ ที่ให้ตัวเลข S/N ratio สูงกว่าสมัยก่อนมาก คือสามารถใช้กำลังขับได้เต็มตามตัวเลขมากขึ้น
ส่วนที่ทำให้คำนวนกำลังขับของแอมป์ค่อนข้างยาก ก็คือตัวเลข IEC Power Handling ที่ระบุไว้ที่ 180W เพราะเป็นตัวเลขของกำลังขับที่ “ใช้จริง” ซึ่งต้องวัด ณ ขณะกำลังเปิดฟังจริงเท่านั้น และเนื่องจากสัญญาณเสียงมีลักษณะเป็นสัญญาณที่มีการสวิงความดังไปตลอดเวลา จึงไม่สามารถระบุได้ว่า ต้องดูตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่ระบุไว้ในสเปคฯ ที่เท่าไหร่จึงจะเหมาะสมกับลำโพงคู่นี้ ที่พออาศัยคาดเดาได้ก็ต้องดูจากข้อเท็จจริงที่ว่า ต้องเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับ “สูงกว่า” 180W ขึ้นไปจึงจะสามารถจ่ายกำลังขับออกมาได้ 180W
งั้นลองมาคำนวนคร่าวๆ กันดู ก่อนอื่น ขอแปลงตัวเลขสูงสุดของกำลังขับที่ลำโพงคู่นี้รับได้ออกมาเป็น 8 โอห์มมาตรฐานเครื่องบ้านก่อน นั่นคือเท่ากับ 90W ที่ 8 โอห์ม ซึ่งแอมป์ที่จ่ายกำลังออกมาที่ 90W (8 โอห์ม) ได้อย่างมีสเถียรภาพ ไม่มีอาการวูบวาบ ก็ควรจะเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับสำรองอยู่ในตัว “สูงกว่า” ตัวเลข 90W ขึ้นไปสักสองหรือสามเท่า นั่นคือ 180W ที่ 4 โอห์ม หรือ 270W ที่ 8 โอห์ม นั่นเอง
แต่ในการใช้งานจริงแล้วนั้น อย่างที่ผมเกริ่นมาข้างต้น จากประสบการณ์ ผมพบว่า แอมป์ที่มีกำลังขับอยู่ในเกณฑ์ 100W ที่ 8 โอห์ม หรือต่ำกว่าลงหน่อยก็พอขับลำโพงสเปคฯ ใกล้เคียงกันนี้ออกมาได้คุณภาพเสียงในระดับที่ยอมรับได้โดยอยู่ภายใต้ภายใต้เงื่อนไขสองข้อคือ ไม่ได้เปิดดังมากและต้องเป็นแอมป์ที่มีกำลังสำรองมากพอสมควร ซึ่งจากการทดลองขับด้วยอินติเกรตแอมป์ 2 ตัวคือ Moon : 240i กับ Cambridge Audio : CXA80 ผมพบว่า กำลังขับของอินติเกรตแอมป์ทั้งสองตัวนี้ถือว่ามากพอทำให้ Contour 20 ร้องเพลงให้เราฟังแบบ “ส่วนตัว” ได้บนพื้นที่ที่ไม่กว้างใหญ่มาก
เซ็ตอัพ + ปรับจูน
ความถี่ตอบสนองของ Contour 20 เริ่ม ตั้งแต่ 39Hz ขึ้นไปจนถึง 23kHz และเมื่อเปิดคู่มือของ Contour 20 ขึ้นมาดู พบว่า ทางผู้ผลิตแนะนำรูปแบบการเซ็ตอัพเอาไว้ในลักษณะการฟังแบบ nearfield


คือแนะนำให้วางลำโพงทั้งสองข้างให้ห่างกัน “ประมาณ 2 เมตร” (คือระยะ A ตามภาพข้างบน) ส่วนระยะนั่งฟังจะเห็นว่าอยู่เหนือระนาบการจัดวางลำโพงขึ้นมา “เท่ากับ หรือ มากกว่า” ระยะห่างระหว่างลำโพงทั้งสอง นั่นคือ B = หรือ >A ซึ่งก็คือจุด sweet spot สำหรับการเซ็ตอัพแบบ nearfield นั่นเอง และยังได้แนะนำเทคนิคการ fine tune เสียงเอาไว้ด้วย อย่างเช่นแนะนำให้เอียงหน้าลำโพงยิงเข้าหาตำแหน่งนั่งฟังเล็กน้อย (เรียกว่า toe-in) เพื่อเพิ่มความคมชัดของชิ้นดนตรีที่อยู่ระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง และได้ให้คำแนะนำสำหรับคนที่พิถีพิถันมากๆ ต้องการรีดคุณภาพเสียงออกมาจาก Contour 20 แบบสุดๆ จริงๆ เขาก็แนะนำให้วางลำโพงบนขาตั้งที่ทำมาเป็นพิเศษสำหรับ Contour 20 โดยเฉพาะ โดยคำนึงถึงความสูง–ความมั่นคง และลักษณะเรโซแนนซ์ไปในตัว ที่แพลทบนของขาตั้งมีรูขันสกรูขึ้นไปยึดใต้ฐานของลำโพงให้ตรึงแน่นอยู่บนขาตั้งอย่างมั่นคงสุดๆ ด้วย เสียงจะนิ่งขึ้นและได้โฟกัสที่นิ่งสนิทมากขึ้น

จากการทดสอบในห้องรับแขกของผมเองพบว่า ลำโพงคู่นี้สามารถใช้ฟังในพื้นที่เล็กๆ ได้ดีมาก ผมพบระยะลงตัวระหว่างลำโพงซายและขวาในห้องรับแขกที่บ้านผมอยู่ที่ 189 ซ.ม. ส่วนจุดนั่งฟังที่ลงตัว (เฟสลงตัว = อ้างอิงกับซาวนด์สเตจ, โทนัลบาลานซ์ลงตัว = อ้างอิงกับปริมาณทุ้ม–กลาง–แหลม) อยู่ตรงตำแหน่งที่วัดได้ 2.5 ม. ที่ห่างจากระนาบของลำโพงทั้งสองออกมาในแนวตั้งฉาก

ซึ่งผมพบว่า การเซ็ตอัพตำแหน่งของ Contour 20 ณ จุดนั้น ผมสามารถฟังกับอินติเกรตแอมป์ Moon : 240i ได้อรรถรสที่น่าพอใจ ณ จุดนั้น ผมสามารถรับรู้ถึงเลเยอร์ของซาวนด์สเตจได้ชัดเจน สามารถแยกแยะชิ้นดนตรีในระนาบเดียวกันออกมาได้ชัด รวมถึงสามารถแยกแยะชิ้นดนตรีที่เรียงลดหลั่นลงไปเป็นเลเยอร์ที่ลึกเข้าไปด้านหลังระนาบลำโพงออกมาได้ชัดเจนพอสมควรด้วย และเมื่อปรับเปลี่ยนมาใช้ชุดปรี+เพาเวอร์ฯ ที่ใหญ่ขึ้น (Modulus M3A + VTL MB125) ผมก็พบว่า ผมยังคงสามารถนั่งฟังที่ตำแหน่งเดิมได้ แต่ต้องขยับถ่างระยะห่างของลำโพงทั้งสองออกมาอีกนิด มาลงตัวอยู่ที่ระยะ 194 ซ.ม. ในขณะที่จุดนั่งฟังยังอยู่ที่เดิม การรับรู้ที่เปลี่ยนไปคือ “น้ำหนักเสียง” ที่เข้มข้นมากขึ้น “การย้ำเน้น” ของตัวโน๊ตที่หนักแน่นมากขึ้น “รายละเอียด” ถูกขับให้มีความเด่นชัดขึ้นมามากขึ้น จนสามารถรับรู้ลึกลงไปถึงระดับ inner detail ของแต่ละตัวเสียงได้ชัดขึ้น แยกแยะระหว่างตัวเสียง (sound image) กับความกังวานของหางเสียง (harmonic) ได้ชัดขึ้น จนถึงระดับที่สามารถรับรู้ลงไปถึง structure harmonic ของแต่ละเสียงได้ด้วยเมื่อทดลองฟังเพลงที่บันทึกรายละเอียดเหล่านี้มาได้ อย่างเช่นเพลงของค่าย Opus3 และค่าย Proprius เป็นต้น
เสียงของ Contour 20
ถ้าสังเกต คุณจะเห็นว่า เมื่อเทียบสเปคฯ ของ Contour 20 คู่นี้กับลำโพงสองทางวางขาตั้งตัวอื่นๆ ในตลาดแล้ว จะพบว่า มีลำโพงสองทางวางขาตั้งหลายคู่ที่สามารถตอบสนองความถี่แผ่ออกไปได้กว้างกว่านี้ ทั้งๆ ที่บางคู่นั้นมีขนาดตัวตู้ที่เล็กกว่าซะด้วยซ้ำไป ถ้าจะให้แปลเจตนา ผมมองว่า ทีมออกแบบของ Dynaudio ต้องการทำให้ Contour 20 แจกแจงคุณภาพของความถี่เสียงในย่านที่ครอบคลุมความสามารถในการได้ยินของหูมนุษย์เอาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่ไดเวอร์แค่สองตัวจะสามารถทำได้ แทนที่จะมุ่งเป้าไปในทิศทางที่พยายามขยายแบนด์วิธของการตอบสนองความถี่ให้ครอบคลุมไปถึงสเปคฯ ของมาตรฐาน Hi-Res Audio ในปัจจุบัน
ข้อดี.? มาตรฐาน Hi-Res Audio คือการขยายแบนด์วิธของทั้งระบบขึ้นไปจากมาตรฐานเดิม 20Hz – 20kHz ที่ใช้กันมานานหลายสิบปี ไปสู่ 0Hz – 40kHz ซึ่งการที่ลำโพงสักคู่จะสามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างมากๆ จนครบทั้งแบนด์วิธมาตรฐานของ Hi-Res Audio จริงๆ ก็ต้องใช้ระบบลำโพงที่มีไดเวอร์ที่สามารถขับความถี่ด้านบนไปได้ถึง 40kHz ขึ้นไปเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าเสียงจะออกมาดีเท่ากับต้นฉบับ Hi-Res ที่เราเล่นผ่านลำโพงคู่นั้น เพราะไม่แค่ต้องตอบสนองให้ครบทั้งย่านเสียงเท่านั้น แต่ลำโพงนั้นยังต้องสามารถรองรับ dynamic range ของเสียงที่สวิงได้กว้างขึ้น ตามมาตรฐานของสัญญาณไฮเรซฯ นั้นด้วย อย่างเช่น สัญญาณดิจิตัล 24bit มีไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างสุดถึง 144dB ตัวไดเวอร์ที่ใช้ในการถ่ายทอดความถี่ย่านต่างๆ ก็อาจจะต้องใช้ไดเวอร์ที่สามารถทำให้สัญญาณที่มีความดังต่ำๆ (Low Level) ดังออกมาเป็นคลื่นเสียงออกมาให้เราได้ยินได้ และยังต้องสามารถถ่ายทอดความดังของเสียงที่ระดับสูงถึง 144dB ออกมาได้โดยที่ตัวมันเองไม่พังไปซะก่อน
กรณีของลำโพงสองทาง โจทย์ของการพยายามตอบสนองกับสัญญาณ Hi-Res Audio ให้ออกมาได้ตรงตามมาตรฐานเป๊ะๆ จึงเป็นเรื่องที่เกินความสามารถไปมาก ซึ่งหากคนออกแบบพยายามจะทำอย่างนั้นให้ได้ ตัวไดเวอร์ทั้งสองก็ต้องถูกออกแบบมาด้วยจุดประสงค์นั้นตั้งแต่ต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยในโลกของความเป็นจริง คนออกแบบลำโพงสองทางที่มีความเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ จะทำการเฉลี่ยผลลัพธ์ระหว่าง “ความถี่” + “ความดัง” กับ “มวลเนื้อเสียง” ให้ได้ออกมาในสัดส่วนที่ตัวเองต้องการนำเสนอ
หลังจากทดลองฟังด้วยไฟล์เพลง (Hi-Res + CD quality) และแผ่นเสียงจำนวนมากไปแล้ว ผมพบว่า Contour 20 เป็นลำโพงที่เฉลี่ยระหว่าง “ความถี่” + “ความดัง” กับ “มวลเนื้อเสียง” ออกมาในรูปแบบที่ชวนฟังมาก เห็นได้ชัดว่า คนจูนพยายามนำเสนอสาระของดนตรีออกมาในลักษณะที่ทำให้ผู้ฟังสามารถ “ดิ่งลึก” ลงไปในรายละเอียดของเพลงที่สะท้อนออกมาเป็น “อารมณ์” ของเพลงที่ลึกซึ้งมากๆ ในขณะเดียวกัน พวกเขา (ทีมออกแบบที่อยู่เบื้องหลังลำโพงคู่นี้) ได้บรรจงขัดเกลาน้ำเสียงตลอดทั้งย่านให้มีความกลมกล่อมอยู่ในที คือไม่ได้พยายามที่จะนำเสนอทั้งในแง่ของแบนด์วิธและไดนามิกเร้นจ์ออกมาจนสุดทาง แต่พยายามเฉลี่ยคุณสมบัติด้านอื่นๆ ออกมาด้วย อย่างเช่น ตอนลองฟังงานเพลงเพอร์คัสชั่นของวง The All Star Percussion Ensemble (FIM Records/CD) ที่เล่นเพลงของ Bizet, Beethoven, Pachelbel และ Berlioz ซึ่งเป็นอัลบั้มที่มีความถี่ในย่านกลาง–แหลมค่อนข้างเยอะ และเป็นสัญญาณที่สวิงไดนามิกกว้างมาก รูปวงชัดเจน

ซึ่งผมก็ได้ยินอะไรแบบนั้นตอนฟังผ่าน Contour 20 และรู้สึกสนเท่ห์กับความลึกของซาวนด์สเตจที่แผ่กว้างเข้าไปด้านหลังระนาบลำโพงอย่างมาก อีกอย่างคือ “ความโอ่โถง” ของสนามเสียงที่แผ่คลุมมาถึงตำแหน่งนั่งฟัง เหมือนดึงตัวเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่กำลังฟังด้วย ซึ่งจุดนี้ทำให้ผมสะดุดใจ เพราะที่ผ่านๆ มา ถ้าฟังอัลบั้มนี้กับลำโพงเล็กวางขาตั้งตัวอื่นๆ ผมมักจะได้ยินเสียงเพอร์คัสชั่นของแต่ละชิ้นเสียงที่มีลักษณะ “พุ่งล้ำ” มาข้างหน้ามากกว่านี้ ถูกเน้นออกมามากกว่านี้ แต่ Contour 20 ลดอาการเน้นพุ่งตรงนั้นลงไป และปลดปล่อยรายละเอียดในส่วนยิบย่อยกว่านั้นออกมาแทน นั่นคือ “มวลแอมเบี้ยนต์” ซึ่งทำให้รับรู้ได้ถึงซาวนด์สเตจด้านลึกที่แผ่เป็นโถงลงไปด้านหลังลำโพง ซึ่งลำโพงเล็กทั่วไปให้ไม่ได้ชัดขนาดนี้ ต้องเป็นลำโพงวางพื้นเท่านั้นถึงจะมีโอกาสสัมผัส “โถง” ของฮอลล์ที่ใช้บันทึกเสียงอัลบั้มนี้ออกมาแบบนี้ นี่แสดงว่า Contour 20 สามารถตอบสนองความถี่ด้านล่างออกมาได้ดีกว่าลำโพงสองทางวางขาตั้งตัวอื่นๆ ที่ผมเคยฟังมา..

เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น ผมก็รีบพิสูจน์เลยว่า กับอัลบั้มอื่นที่มีรายละเอียดของโถงฮอลล์คล้ายๆ แบบนี้ล่ะ Contour 20 จะสามารถถ่ายทอดมันออกมาได้มั้ย.? ผมมีอีกอัลบั้มที่มีรายละเอียดตรงจุดนี้อยู่หลายชุด แต่มีอยู่อัลบั้มหนึ่งที่เป็นงานดูเอ็ตที่พิศดารมาก คือระหว่างแซ็กโซโฟนกับออร์แกนท่อ ชื่ออัลบั้มว่า “Antiphone Blues” (DSD stereo) ซึ่งพันตูกันในโบสถ์ Spanga Church ระหว่างเสียงแซ็กฯ ของ Arne Domnerus กับเสียงออร์แกนท่อจากปลายนิ้วของ Gustaf Sjokvist ซึ่งผมบอกก่อนเลยว่า ถ้าซิสเต็มเครื่องเสียงมีประสิทธิภาพไม่สูงพอ คุณจะไม่สามารถฟังเพลงในอัลบั้มนี้ได้จนจบทั้งอัลบั้มอย่างแน่นอน และที่ผ่านๆ มา เมื่อผมฟังงานชุดนี้กับลำโพงสองทางวางขาตั้ง ส่วนใหญ่จะเข้าไม่ถึงอรรถรสของงานเพลงในอัลบั้มนี้ คือฟังแล้วมันจะไม่รู้สึก “บลูส์” จริง ต้องเป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางๆ ขึ้นไปถึงจะเจอตัวตนของเพลงในอัลบั้มนี้ เพราะเนื้อหาสาระของบทเพลงที่เป็นแก่นอารมณ์ของอัลบั้มชุดนี้มีหนาแน่นอยู่ในย่านเสียงกลางต่ำลงไปถึงทุ้มล่างๆ นั่นเอง
————————————————
*** อ่านรีวิวอัลบั้ม | ‘Antiphone Blues‘
————————————————
แต่ Contour 20 ทำได้ครับ.! ตอนกัสตาฟกดคีย์ออร์แกนและเหยียบวาวปล่อยลมออกมาจากท่อออร์แกน ผมงี้ขนลุกเลย.!! มันเป็นโมเม้นต์ที่สะกดให้นั่งนิ่งแบบลืมหายใจ รู้สึกได้ถึงความมีอิทธิพลของบทเพลงที่อยู่เหนือตัวเรา แต่กรณีนี้เกิดขึ้นตอนผมใช้ปรี+เพาเวอร์แอมป์ M3A + VTL MB125 นะครับ ตอนใช้อินติเกรตแอมป์ขับ อารมณ์ความรู้สึกตรงนี้จะขาดหายไปพอสมควร ถึงแม้ว่า โน๊ตลึกๆ ที่มาพร้อมลมที่พุ่งมาถึงตัวแบบไม่มีเสียงจะไม่ได้แน่นหนาเหมือนตอนฟังกับลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่ แต่สำหรับพื้นที่ที่จำกัดในห้องรับแขกของผม ออกมาได้ขนาดนี้ ผมโอเคเลยครับ.!

ผมยังติดใจความสามารถในการถ่ายทอดโถงฮอลล์ของลำโพงคู่นี้ เลยงัดออกมาลองฟังอีกอัลบั้มที่คุ้นเคยมากๆ เป็นงานเดี่ยวเชลโล่ผลงานประพันธ์ของ Schumann, Lalo และ Saint-Saens (DSD stereo) โดยศิลปิน Janos Starker เป็นแผ่นของสังกัด Mercury Living Presence บันทึกมาสเตอร์บนฟิล์ม 35mm ซึ่งเก็บทั้งเสียงเชลโล่และบรรยากาศของโถงฮอลล์มาด้วย ซึ่งลำโพงเล็กๆ ส่วนใหญ่ที่ผมเคยฟังมาจะไม่สามารถถ่ายทอดมวลแอมเบี้ยนต์ของฮอลล์ที่บันทึกเสียงออกมาได้ ซึ่งกรณีนี้ถือว่ายากมาก เพราะคลื่นเสียงที่ไปกระตุ้นแอมเบี้ยนต์ของอัลบั้มนี้มีแค่เสียงเชลโล่อย่างเดียว ไม่ได้มีทั้งวงออเคสตร้าเหมือนเพลงคลาสสิกประเภทโหมโรง เสียงก้องสะท้อนของแอมเบี้ยนต์ในอัลบั้มนี้จึงไม่ได้มีความดังมาก ถ้าลำโพงไม่ไวต่อการตอบสนอง Low level resolution จริงแล้ว จะไม่สามารถแสดงรายละเอียดส่วนนี้ออกมาได้เลย ซึ่ง Contour 20 ทำออกมาได้ในระดับพอใช้ได้ (เมื่อขับด้วย M3A + VTL MB125)

ก่อนข้ามไปพิจารณาในจุดย่อยที่เป็น inner detail ของเสียง ผมขอสรุปผลกับเพลงที่มีความซับซ้อนของไดนามิกและเลเยอร์ของชั้นดนตรีเยอะๆ ซึ่งถือว่าเป็นงานยากที่สุดอีกสักชุดนึง ผมเลือกฟังเพลงคลาสสิกของค่าย Mercury Living Pressence เป็นเพลงคลาสสิกแนวโหมโรงด้วยออเคสตร้าวงใหญ่เก่าแก่ และมีชื่อเสียงของโลก นั่นคือ London Symphony Orchestra บรรเลงงานของ Stravinsky ชุด “The Firebird” (DSD stereo) ควบคุมวงโดย Antal Dorati เป็นเวอร์ชั่นเต็มที่ใช้สำหรับบรรเลงประกอบการเต้นบัลเล่ต์ ลักษณะจึงคล้ายฟัง soundtrack ประกอบภาพยนตร์สมัยนี้ ลีลาของดนตรีมีทั้งหนัก–เบา, รุกเร้า–ผ่อนปรน สลับกันไป ซึ่ง Contour 20 สามารถฉายอารมณ์ของ “นกไฟ” อัลบั้มนี้ออกมาได้อรรถรสมาก ไม่มีส่วนของเสียงที่จมหายไปในแบ็คกราวด์ นั่นแสดงถึงความสามารถในการถ่ายทอดสัญญาณที่มีความดังต่ำๆ ได้ดี ในขณะเดียวกัน มัน (Contour 20) ยังสามารถรักษาโครงสร้างของเสียงเครื่องดนตรีต่างที่ประโคมขึ้นมาในช่วงพีคของเพลงเอาไว้ได้อย่างสวยงาม แม้ว่า “ความสด” ที่ปลายเสียงจะยังขาด attack ไปนิด แต่นั่นคงต้องเป็นคนที่คุ้นเคยกับอัลบั้มนี้มากพอถึงจะรู้สึกได้ (ต้องไม่ลืมว่าผมใช้อัลบั้มนี้ทดสอบลำโพงมานานหลายปีแล้ว)

ผ่านจากเพลงยากๆ มาแล้วลองมาฟังเพลงง่ายๆ ดูบ้าง และเป็นการทดสอบคุณสมบัติหลักๆ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเป็น–จุดตายสำคัญสำหรับลำโพงสองทางวางขาตั้งทั่วไป นั่นคือ คุณสมบัติของความถี่ที่ครอบคลุมอยู่ในย่านเสียงกลาง (midrange) ซึ่งเป็นจุดที่ลำโพงไม่ว่าจะมีขนาดเล็กแค่ไหนก็ต้องพยายามแสดงคุณภาพของความถี่ในย่านนี้ออกมาให้ได้ดีที่สุด ก่อนที่จะพยายามถ่ายทอดความถี่ในย่านแหลมและทุ้มออกมา

ส่วนตัวผมเองแล้ว ผมจะให้ความสำคัญกับความถี่เสียงในย่านกลางมาก่อนความถี่ในย่านอื่นเสมอ ซึ่งโดยส่วนตัวผมมีแทรคเพลงที่ใช้ทดสอบความถี่ในย่านกลางอยู่เยอะมาก เนื่องจากเพลงที่เราฟังๆ กันแทบจะทั้งหมดจะมีเสียงกลางเป็นส่วนประกอบสำคัญ เพียงแต่ว่า ความถี่ในย่าน midrange ที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงเสียงร้องของนักร้องอย่างเดียวนะครับ แต่มันหมายรวมไปถึงเสียงของเครื่องดนตรีอื่นๆ ที่มีโน๊ตซ้อนอยู่ในย่านความถี่ที่ครอบคลุมย่านเสียงประมาณตั้งแต่ 98Hz คือโน๊ตต่ำสุดของเสียงร้องย่านเบส (bass vocal) ขึ้นไปจนถึงความถี่ของโน๊ตตัวสูงที่สุดของเสียงร้องโทนโซฟราโน (soprano vocal) ซึ่งเป็นความถี่ประมาณ 1023Hz ด้วย ซึ่งไม่ว่าลำโพงจะเล็กขนาดไหน ถ้าจะให้ยอมรับในคุณภาพได้ ต้องสามารถตอบสนองความถี่ในย่านนี้ให้ออกมาดีซะก่อน
เสียงร้องของ Bob Dylan ในเพลง Blowin’ in the Wind แทรคแรกของอัลบั้มชุด “The Freewheelin” (DSD stereo) นี้ถูกบันทึกมาด้วยระดับ contrast ของไดนามิกที่กว้างมาก เพราะเป็นเสียงร้องที่ปรากฏขึ้นมาโดยมีเสียงกีต้าร์โปร่งที่ตีคลอเบาๆ แค่สองเสียง มีผลให้พื้นแบ็คกราวน์ของเพลงนี้มีความสงัดเงียบค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับเสียงร้อง จึงทำให้เสียงร้องมีลักษณะที่ลอยโดดขึ้นมาบนเวทีเสียงอย่างชัดเจน รับรู้ได้ถึงรายละเอียดที่เกิดขึ้นทุกขณะที่คำร้องถูกเปล่งออกมา รู้สึกถึง contrast dynamic ของเสียงร้องที่ละเอียดต่อเนื่องทั้งในช่วงดังไปเบาและเบาไปดัง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สะท้อน “อารมณ์” ของนักร้องออกมาให้เราสัมผัส

ภาพเปรียบเทียบระดับ contrast dynamic ที่แคบ (ซ้าย) กับกว้าง (ขวา) ซึ่งตัวแปรสำคัญที่ทำให้อัตราคอนทรานส์ไดนามิกของเสียงมีความกว้าง–แคบต่างกันก็คือ noise floor ที่เกิดจากเรโซแนนซ์ของระบบลำโพง จุดใหญ่ๆ ก็คือเรโซแนนซ์ของไดอะแฟรมและตัวตู้นั่นเอง
ลำโพงที่ออกแบบมาดีมากๆ ต้องไล่มาตั้งแต่ตัวไดเวอร์ไปจนถึงตัวตู้ ในแง่ของ contrast dynamic ที่เกิดขึ้นในช่วงของระดับความดังต่ำๆ นั้น ตัวไดเวอร์จะมีผลมากเป็นพิเศษ ไล่ตั้งแต่ไดอะแฟรมที่ต้องเบามากจนสามารถขยับตัวตอบรับกับสัญญาณเสียงที่เบามากๆ ได้อย่างเที่ยงตรงและแม่นยำ ตัวตู้ที่แน่นและนิ่ง ช่วยสกัดเรโซแนนซ์ได้เด็ดขาด ไม่ส่งผลไปที่ไดอะแฟรม ทำให้แบ๊คกราวน์ของพื้นเสียงมีความสะอาด จากการทดลองฟังด้วยเพลงนี้ ผมพบว่าเสียงร้องของบ๊อบลอยขึ้นมาเหนือพื้นแบ็คกราวนด์ด้านหลังอย่างชัดเจน รายละเอียดทุกอากัปกิริยาที่เกิดจากการขับร้องของเขาปรากฏออกมาให้ได้ยินทุกเม็ด ทุกการขยับเคลื่อนริมฝีปาก

เสียงของ Radka Toneff ที่ร้องคู่กับเสียงเปียโนของ Steve Dobrogosz ในอัลบั้มชุด “Fairytales” (DSD stereo) ก็ช่วยพิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดในย่านเสียงกลางที่ยอดเยี่ยมของลำโพง Dynaudio คู่นี้ อย่างแรกที่ผมรับรู้คือ ทั้งเสียงร้องและเสียงเปียโนมีลักษณะที่ “หลุดลอย” ขึ้นมาจากแบ็คกราวนด์ของพื้นเสียงได้อย่าง “เต็มตัว” ไม่ปรากฏส่วนไหนจมหายลงไปในพื้นเสียงเลยโดยเฉพาะส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกของทั้งเสียงร้องและเสียงเปียโนที่กังวานแผ่วเบาลงไปได้จนสุดเสียง

เพราะข้อมูลที่ทาง Dynaudio ที่ระบุว่าได้ทำการลดความหนาของไดอะแฟรมของมิด–วูฟเฟอร์ที่ใช้ใน Contour 20 จาก 0.5mm ลงมาอยู่ที่ 0.4mm เพื่อให้มันตอบสนองสัญญาณ Low Level ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งผมเชื่อเขาแล้วในข้อนั้น แต่โดนส่วนตัวกลับรู้สึกสงสัยว่า เมื่อไดอะแฟรมมันบางลง มันจะสามารถรองรับ impact ของหัวโน๊ตแรงๆ ได้ดีมั้ย.? จะมีอาการ clip ของยอดคลื่นที่เป็น transient มั้ย.?
เสียงอะคูสติกเปียโนนี่แหละครับที่ใช้ทดสอบคุณสมบัตินี้ได้ดี หลังจากฟังเสียงเคาะคีย์แรงๆ ของ Steve Dobrogosz ในเพลง “Come Down In Time” แทรคที่สองของอัลบั้มชุด Fairytales ไปแล้ว ผมพบว่าไดอะแฟรมของมิด–วูฟเฟอร์กับไดอะแฟรมของทวีตเตอร์ Esotar2 มันสอบผ่านได้สบายๆ หัวเสียงมีความคม เร็ว และสะอาด ไม่ปรากฏว่ามีอาการสั่นค้าง (ringing) และอาการแตกพร่า (clip/over shoot) เกิดขึ้นกับโน๊ตเปียโนเหล่านั้นเลย และเพื่อให้ชัวร์มากขึ้น ผมรีบเปลี่ยนมาฟังเสียงเปียโนของ Tsuyoshi Yamamoto ในอัลบั้มชุด “Misty” (FIM Records/DSD stereo) ซึ่งบันทึกเสียงเปียโนมาในสไตล์ที่ “เข้มข้น” และ “ดุดัน” มากกว่า เน้นเก็บรายละเอียดของหัวเสียงที่เป็นอิมแพ็คแรกของโน๊ตที่มีความคมชัดและให้น้ำหนักที่รุนแรงสุดๆ ซึ่งผมเคยเจอเสียงแคร๊กๆ ออกมาจากทวีตเตอร์ของลำโพงบางตัวมาแล้วจากเสียงเปียโนจากเพลง Misty ในอัลบั้มนี้!
Contour 20 ผ่านแทรคนี้ได้อย่างสบายครับ.! หัวเสียงออกมาคม ชัด และเร็วมาก หลุดลอยกระจายออกมาในอากาศเบื้องหน้าได้เต็มเม็ด ครบหมด ทั้งหัวเสียง–บอดี้ ไปจนถึงฮาร์มอนิกที่แผ่ตามบอดี้ออกมาและค่อยๆ จางหายไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน (ท่อนจบ) ซึ่งแสดงถึงความสามารถของตัวโครงสร้างที่ให้การควบคุมไดอะแฟรมเป็นไปได้อย่างมั่นคง และนิ่งตลอดเวลา
————————————————
*** ลิ้งค์วิดีโอ | The New Contour ‘Driver’
————————————————
สรุป
ลำโพงทุกคู่ในโลกนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ทำหน้าที่แปลงสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าให้ออกมาเป็นคลื่นเสียง ซึ่งหลักการพื้นฐานในการทำงานของลำโพงไม่ได้ถือว่าเป็นความลับดำมืดอะไรอีกแล้วในปัจจุบัน ผู้ผลิตทุกแบรนด์ต่างก็มีความรู้พื้นฐานเท่าๆ กัน ส่วนที่ต่างกันไปอยู่ที่ “วิธีคิด” ในการแก้ปัญหาข้างเคียงที่เกิดขึ้นกับการทำงานของลำโพงเพื่อให้สามารถถ่ายทอดคลื่นเสียงออกมาได้ตรงตามสัญญาณต้นฉบับที่ป้อนเข้าไป
ทุกแบรนด์ผู้ผลิตคงมีความตั้งใจเหมือนๆ กัน มีความคิดเหมือนๆ กัน แต่ถ้าต้องการพิสูจน์ว่า “วิธีคิด” และ “ผลงาน” ของแบรนด์ไหนทำออกมาได้ “เข้าเป้า” มากที่สุด แนะนำให้ไปทดลองฟังครับ..
โดยเฉพาะ Contour 20 ตัวนี้ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง.!
**************************
ราคา :
218,000 บาท / คู่ (ตู้สี Ivory Oak)
250,000 บาท / คู่ (ตู้สี High Gloss Rose Wood)
–—————————-
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
บริษัท บูลด็อกออดิโอ จำกัด
โทร. 02-321-0385
ออนไลน์ :
website : www.dynaudio.com
facebook : facebook.com/bulldogaudiothailand
–—————————-




