รีวิว Edifier รุ่น NeoBuds Pro 2 หูฟังไร้สาย แบบ earbuds ที่มาพร้อมระบบ Active Noise Cancellation

เมื่อเดือนตุลาคม 2 ปีที่แล้ว Edifier ได้สร้างความฮือฮาให้กับตลาดหูฟังไร้สายแบบเอียร์บัด ด้วยการนำรุ่น NeoBuds Pro (REVIEWออกมาวางตลาด ซึ่งเป็นหูฟังเอียร์บัดแบบ ‘True Wireless’ “ตัวแรกที่ได้รับการรับรองว่าสามารถให้คุณภาพเสียงได้สูงถึงระดับ Hi-Res Audio !!!

การมาถึงของหูฟังเอียร์บัดรุ่น ‘NeoBuds Proครั้งนั้น ถือว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานของหูฟังเอียร์บัดแบบไร้สายขึ้นไปสู่มาตรฐานใหม่ ทำให้นักฟังเพลงสามารถใช้หูฟังไร้สายขนาดเล็กในการฟังเพลงที่มีคุณภาพเสียงสูงถึงระดับไฮเรซฯ ได้เป็นครั้งแรก

NeoBuds Pro vs. NeoBuds Pro 2

ผ่านมาสองปี Edifier ปล่อย ‘NeoBuds Pro 2’ ออกมา ซึ่งเป็นรุ่นที่อัพเกรดจากรุ่น NeoBuds Pro ขึ้นมาอีกระดับ ซึ่งไม่ใช่การอัพเกรดที่ทำออกมาอย่างลวกๆ จะพูดว่า พวกเขาทำการ redesigned มันขึ้นมาใหม่ก็ว่าได้.! เพราะเมื่อเอาทั้งสองรุ่นว่าเทียบกัน พิจารณากันเป็นจุดๆ จะพบว่า ทั้งสองรุ่นนี้มีความแตกต่างกันหลายจุด เริ่มตั้งแต่กล่องใส่ ซึ่งรุ่นใหม่ใช้กล่องที่มีขนาดเล็กลง ตัวตลับใส่หูฟังก็ต่างกัน แม้ว่ารูปลักษณ์และขนาดภายนอกของตัวตลับจะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ จะเห็นชัดว่ามีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่หลายจุด ทั้งที่ตัวตลับและฝาปิด

จากภาพเปรียบเทียบด้านบน จะเห็นว่า หลุมภายในตลับที่ใส่ตัวหูฟังทั้งสองข้างก็ถูกออกแบบไว้ต่างกัน ที่ตัวหูฟังก็ไม่เหมือนกัน จากภาพข้างบนจะเห็นว่า รุ่นก่อนหน้าคือ NeoBuds Pro จะดีไซน์หน้าตาออกมาดูไฮโซฯ กว่ารุ่น NeoBuds Pro 2 ซะด้วยซ้ำไป.! ส่วนทางด้านประสิทธิภาพจะต่างกันมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวจะทดลองใช้งานจริง ตอนนี้เราไปพิจารณาตัวตนของ NeoBuds Pro 2 กันก่อน

แกะกล่อง

เริ่มตั้งแต่แกะกล่องกันเลย ซึ่งกล่องกระดาษที่หุ้มห่อภายนอกเขาใส่มาให้ถึง 3 ชั้น เริ่มจากกล่องนอกสีน้ำตาลน่าจะสำหรับการขนสั่ง ถัดเข้ามาเป็นกล่องสีขาวที่ทำเป็นซองหุ้มด้วยพลาสติกบางๆ ซึ่งก็คงจะเป็นกล่องสำหรับโชว์หน้าร้าน ก่อนจะเข้าไปถึงกล่องกระดาษแข็งที่บรรจุตลับหูฟังและอุปกรณ์เสริมที่ให้มาทั้งหมด ซึ่งในนั้นก็มีสมุดคู่มือ, ตลับใส่หูฟังที่บรรจุหูฟังทั้งสองข้างอยู่ข้างใน, สายชาร์จ USB-C สั้นๆ, จุดยางที่ให้มาเป็นแผงทั้งหมด 6 คู่ และสุดท้ายคือซองผ้าสำหรับใส่ตลับหูฟังเวลาพกพาออกไปใช้งานนอกสถานที่

ผมชอบซองผ้าที่ให้มามาก ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เกะกะและไม่ได้เล็กเกินไป จะใส่ตลับเข้าไปหรือหยิบออกมาใช้ก็ทำได้สะดวก มันดูแข็งแรงและมีความนุ่มมากพอที่จะป้องกันตลับใส่หูฟังได้เป็นอย่างดี รูปลักษณ์ก็ดูเท่ดีด้วย

ลักษณะของตลับใส่หูฟัง

ตลับใส่หูฟังที่ให้มามีขนาดเล็กกระทัดรัด รูปร่างภายนอกจะดูคล้ายกับตลับใส่หูฟังรุ่น NeoBuds Pro เวอร์ชั่นแรก ดีไซน์ออกมาโค้งๆ มนๆ เหมือนกัน แต่ของเวอร์ชั่นใหม่จะเพียวบางกว่า น้ำหนักจะอยู่ที่ 49.2 กรัม

ที่ด้านหน้าของตลับใส่หูฟังจะมีแถบแสงยาวๆ อยู่แถบหนึ่ง ใช้แสดงสถานะการทำงานของตัวหูฟังซึ่งผู้ใช้สามารถปรับเลือกสีได้ ซึ่งทางแบรนด์เลือกใช้ สีขาวมาให้จากโรงงาน …

ถ้าต้องการเปลี่ยนสี ต้องเข้าไปปรับตั้งในแอพลิเคชั่น ‘Edifier Connectที่หัวข้อเมนู ‘LED Effectซึ่งในนั้นมีให้เลือกทั้งหมด 8 สี (ขณะเลือกสี ต้องใส่หูฟังทั้งสองข้างไว้ในตลับด้วย) ในภาพด้านบน ทดลองเลือกเปลี่ยนเป็นสีเขียวกับสีบานเย็น

ช่องเสียบสายชาร์จ USB-C อยู่ด้านหลังของตลับ (ศรชี้)

รูปร่างหน้าตาและฟังท์ชั่นของตัวหูฟัง NeoBuds Pro 2

รูปร่างของตัวหูฟัง NeoBuds Pro 2 ตัวนี้ก็ยังคงมาในทรงเดียวกับเวอร์ชั่นก่อน คือมีรูปทรงคล้าย ลูกอ๊อดด้วยบอดี้ที่กลมอ้วนและมีหางยื่นยาวออกมาเพื่อให้เกาะกระชับขณะสวมใส่และทำหน้าที่เป็นเสาอากาศรับคลื่นบลูทูธไปในตัว ส่วนสัดของตัวหูฟังก็เท่ากันกับเวอร์ชั่นเดิม

ที่ด้านในของก้านหูฟังจะมีตุ่มสีทองสองตุ่มไว้สัมผัสกับจุดชาร์จแบตฯ ในตลับ (ศรชี้) กับตัวอักษรภาษาอังกฤษ L หรือ R เพื่อแสดงแชนเนลของหูฟังว่าสำหรับหูข้างซ้ายหรือข้างขวา (ศรชี้)

จุกยาง หรือ ear tips ที่ให้มาในกล่องมีอยู่ 6 คู่ 6 ขนาด ไล่ไปตั้งแต่เล็กสุดจนถึงใหญ่มากๆ ซึ่งดูจากขนาดที่ทำมาแล้ว เชื่อว่าน่าจะครอบคลุมขนาดช่องหูของผู้ใช้ได้ครบทั้งเด็ก, ผู้ใหญ่ หญิงและชาย ที่ตัวหูฟังก็มีจุกยางใส่มาให้ เป็นขนาดกลางๆ (ลำดับที่ 3 นับจากเล็กสุดขึ้นมา) รวมจุดยางทั้งหมดที่ให้มาก็คือ 7 คู่ ซึ่งทางผู้ผลิตให้ข้อมูลว่าวัสดุที่ใช้ทำจุกยางเป็นแบบ antibiotic ear tips คือเป็นจุกยางที่สามารถป้องกันเชื้อโรคได้ด้วย

ชาร์ตแบตฯ > เชื่อมต่อ > ใช้งาน

มาเริ่มต้นทดลองใช้งานกันเลย.. ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำว่า ก่อนใช้งาน ครั้งแรกควรจะชาร์จแบตให้เต็ม 100% ซะก่อน หลังจากชาร์จจนเต็มแล้ว คุณจะสามารถใช้งานหูฟังแบบต่อเนื่องได้ถึง 4 ชั่วโมง เมื่อเปิดโหมด ANC (Active Noise Cancellation) ทิ้งไว้ตลอด แต่ถ้าใช้งานโดยปิดโหมด ANC ตลอดจะใช้ได้นานขึ้นเป็น 5.5 ชั่วโมง หลังจากใช้งานแบตฯ บนตัวหูฟังหมดแล้ว คุณก็สามารถใส่กลับลงไปในตลับเพื่อชาร์จไฟจากตลับได้อีก 1216.5 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการเปิดโหมด ANC และระดับความดังของเสียงที่ใช้งาน

การเปิด/ปิดการใช้งานหูฟังตัวนี้ทำได้ง่ายมาก แค่เปิดฝาตลับเก็บหูฟังขึ้นมาตัวหูฟังก็จะเข้าสู่โหมดพร้อมใช้งานทันที และเมื่อต้องการหยุดใช้งานก็แค่จับหูฟังทั้งสองข้างใส่ลงไปในตลับ แล้วปิดฝาแค่นี้เอง.!

ขั้นตอนแรกก่อนจะเริ่มต้นใช้งานหูฟังตัวนี้ คุณต้องทำการเชื่อมต่อหูฟังตัวนี้เข้ากับอุปกรณ์พกพาหรือสมาร์ทโฟนที่คุณต้องการใช้งานร่วมกันซะก่อน โดยเปิดฝาตลับหูฟังขึ้นมาแล้วใช้ปลายนิ้วกดลงไปตรงตำแหน่งที่ศรชี้ค้างไว้จนแถบไฟด้านหน้าตลับวิ่งไปมา

จากนั้นก็เข้าไปที่เมนู Settings > Bluetooth ที่สมาร์ทโฟนของคุณแล้วกดที่ชื่อ Edifier NeoBuds Pro 2เพื่อทำการเชื่อมต่อ แค่นี้ก็เรียบร้อย ซึ่งขั้นตอนนี้ทำแค่ครั้งแรกครั้งเดียว หลังจากนั้น ทุกครั้งที่คุณเปิดสมาร์ทโฟนและเปิดฝาตลับหูฟังตัวนี้ขึ้นมา ตัวหูฟังก็จะเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนของคุณโดยอัตโนมัติ ซึ่ง Bluetooth ที่ใช้ในรุ่น NeoBuds Pro 2 เป็น เวอร์ชั่น 5.3 ให้การเชื่อมต่อที่เร็วและมีความเสถียรสูงกว่าที่ใช้ในหูฟัง NeoBuds Pro เวอร์ชั่นแรกซึ่งเป็น Bluetooth เวอร์ชั่น 5.0

แค่นี้ก็ใช้งานได้แล้ว.. แต่ถ้าต้องการปรับตั้งค่าของฟังท์ชั่นต่างๆ คุณต้องดาวน์โหลดแอพลิเคชั่น ‘Edifier Connectมาติดตั้งบนสมาร์ทโฟนของคุณซะก่อน

แอพลิเคชั่น Edifier Connect

ฟังท์ชั่นการทำงานหลายๆ ฟังท์ชั่นของหูฟังตัวนี้ถูกผูกโยงไว้กับการปรับตั้งค่าบนแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘Edifier Connect

ลักษณะหน้าโฮมของแอพฯ Edifier Connect

นี่เป็นหน้าแรกหลังจากแอพฯ เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนได้แล้ว ภาพตัวอย่างข้างบนนี้เป็นการเชื่อมต่อกับ iPhone 12 ซึ่งแอพฯ จะแจ้งให้เรารู้ว่า สมาร์ทโฟนเครื่องนี้ไม่รองรับการสตรีมไฟล์เพลงด้วยฟอร์แม็ต LDAC หรือ LHDC โดยแสดงผ่านรูปโลโก้ Hi-Res Audio ที่ลดความสว่างลง (ตรงลูกศรสีส้ม) แสดงสภาวะไม่พร้อมให้บริการ (service not available) ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาอะไรจากตัวหูฟัง แต่เป็นข้อจำกัดของ iPhone (การสตรีมไฟล์เพลง Hi-Res ใช้ได้กับอุปกรณ์หรือสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android)

ในกรอบสีแดงนั้น เป็นภาพกราฟฟิกที่แสดงสถานะเปิดพร้อมใช้งาน (จุดเขียว) ของหูฟัง (L, R) และตลับเก็บหูฟัง (Case) พร้อมแสดงปริมาณแบตเตอรี่ (%) ทั้งของหูฟังและตลับเก็บ ซึ่งปริมาณแบตเตอรี่ที่แสดงบนแอพฯ นี้จะถูกอัพเดตแบบเรียลไทม์

ในกรอบสีเหลืองเป็นที่รวม shortcut อยู่ 6 ปุ่ม สำหรับกดเลือกการปรับตั้งค่าของฟังท์ชั่นต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบ ANC ได้แก่ เลือกระดับการทำงานของระบบ ANC ที่มีให้เลือก 3 ระดับ คือ High noise cancellation, Medium noise cancellation, Low noise cancellation และมีปุ่ม ‘ANC OFFไว้ให้เลือกปิดการทำงานของฟังท์ชั่น ANC ด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีปุ่มกดเลือกใช้ฟังท์ชั่น ‘Ambient soundดูดเสียงรอบข้าง กับฟังท์ชั่น Wind reductionลดเสียงลม วิธีใช้งานก็แค่กดจิ้มลงไปตรงหัวข้อที่ต้องการใช้งาน ถ้าไม่ต้องการใช้ก็จิ้มซ้ำลงไปเพื่อสั่งปิดการทำงานของฟังท์ชั่นนั้น

ฟังท์ชั่นในกรอบสีเขียวเป็น mini player แสดงเพลงที่กำลังเล่น พร้อมปุ่มคำสั่ง play และ pause (หยุดเล่นตรงตำแหน่งนั้น) ส่วนกรอบสีม่วงเป็นที่รวมสำหรับออกไปดูข้อมูลในส่วนอื่น อย่างเช่นไปดูสินค้าในร้านค้าออนไลน์ของ Edifier เป็นต้น นอกจากนั้นก็ยังมีฟังท์ชั่นอื่นๆ ให้ใช้อีก อย่างเช่นเพลงบรรเลงที่เก็บอยู่บนเซิร์ฟเวอร์ของแอพฯ (ศรชี้สีเหลือง) อย่างเช่นเพลงบรรเลงที่ใช้กล่อมนอนเวลานอนไม่หลับ ซึ่งคุณสามารถเลือกมาฟังได้ฟรี ตรงลูกศรสีแดงนั้นคือหน้าเมนูหลักที่ซ่อนอยู่อีก 3 หน้า วิธีเปิดเข้าไปดูคือปัดปลายนิ้วบนหน้าจอไปทางซ้ายเบาๆ ส่วนลูกศรสีฟ้านั้นเป็นทางเข้าสำหรับเมนู ‘Settingsสำหรับการปรับตั้งการทำงานของตัวหูฟัง

พอหยิบหูฟังออกมาจากตลับ ตัวตลับก็จะปิดการทำงานหยุดเชื่อมต่อกับแอพฯ เข้าไปอยู่ในโหมด ‘Offline’ (ศรชี้สีแดง) และโหมด ANC ระดับสูงสุดคือโหมด ‘High noise cancellationจะเปิดใช้งานอัตโนมัติ (ศรชี้สีเหลือง)

จากภาพข้างบน ขณะที่หน้าแอพฯ อยู่ที่หน้าแรก (1) ถ้าคุณใช้ปลายนิ้วรูดปัดไปทางซ้ายเบาๆ หน้าแอพฯ จะเปลี่ยนไปเป็นหน้า (2) ซึ่งเป็นฟังท์ชั่น Sound modes ที่มีโหมดเสียงให้เลือก 3 โหมดคือ Music mode, Game mode และ Spatial audio ถ้าปัดปลายนิ้วไปอีกที แอพฯ จะพาไปหน้า Sound effects (3) ซึ่งมีระบบเสียงที่ปรับจูนสำเร็จมาให้เลือก 2 แบบคือ Classic กับ Dynamic และอีกหนึ่งแบบที่เปิดโอกาสให้คุณปรับตั้งเอง นั่นคือ Customized ส่วนหน้า (4) คือ LED effects ใช้เปลี่ยนสีของแถบสีบนตลับเก็บหูฟัง ซึ่งมีสีให้เลือกทั้งหมด 8 สี ต้องการสีไหนก็จิ้มเลือกได้เลยแต่ต้องใส่หูฟังทั้งสองข้างลงไปในตลับก่อน

การปรับตั้งค่าในเมนู ‘Settings’

ในเมนูหลัก ‘Settingsจะมีฟังท์ชั่นให้คุณใช้งานอยู่ทั้งหมด 10 รายการ หลักๆ ก็เป็นการปรับตั้งอ๊อปชั่นต่างๆ สำหรับการทำงานของหูฟัง กับเป็นแหล่งข้อมูล อย่างเช่น เปลี่ยนชื่อหูฟัง (Renameศรชี้สีแดง), เข้าไปดูวิธีใช้งาน (User manual), ปรับตั้งความไวในการรองรับคำสั่งด้วยการเคาะแตะลงบนหูฟัง (Tap sensitivity), Wearing detection (ดูรายละเอียดด้านล่าง), ยิงสัญญาณไปที่หูฟัง กรณีที่ลืมวางไว้แล้วหาไม่เจอ (Find my earbuds), สั่งปิดการทำงานของหูฟังโดยที่ยังไม่ได้ใส่ลงตลับ (Power off), ตั้งเวลาปิดการทำงานของหูฟังอัตโนมัติ (Shutdown timer), สั่งตัดการเชื่อมต่อระหว่างหูฟังกับอุปกรณ์ หรือสั่งให้ทำการเชื่อมต่อใหม่ (Bluetooth settings)

ฟังท์ชั่นที่มีผลกับการทำงานของหูฟังที่คุณควรจะทดลองปรับตั้งก็มี Wearing detection ซึ่งเป็นการปรับตั้งคำสั่งให้หูฟังทำงานสัมพันธ์กับพฤติกรรมของเราที่กระทำกับหูฟัง โดยมีอ๊อปชั่นให้กำหนดเลือกอยู่ 3 แบบ แบบแรก (บนสุด) คือ สั่งปิด ไม่ใช้ฟังท์ชั่นนี้, (ถัดลงมา) สั่งให้หูฟังหยุดเล่นเพลงขณะดึงออกจากหู และเริ่มเล่นต่อเมื่อสวมหูฟังกลับเข้าไป, (แบบล่างสุด) สั่งให้หูฟังหยุดเล่นเพลงขณะดึงออกจากหู และไม่ต้องเล่นเพลงต่อหลังจากสวมหูฟังกลับเข้าไป ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นที่มีประโยชน์มากสำหรับคนที่จำเป็นต้องใส่ๆ ถอดๆ หูฟังบ่อยๆ และฟังท์ชั่นนี้เป็นของใหม่ที่เพิ่งมีในรุ่น NeoBuds Pro 2 ในเวอร์ชั่นแรกไม่มีฟังท์ชั่นนี้

ทดสอบใช้ NeoBuds Pro 2 กับการคุยสายโทรศัพท์

NeoBuds Pro 2 ถูกออกแบบมาโดยมุ่งเน้นการใช้งาน 2 ลักษณะ หลักๆ อย่างแรกคือ ใช้ทำงานด้วยการสื่อสารกับภายนอก เช่น รับสายโทรศัพท์, ประชุมออนไลน์ ฯลฯ กับอีกลักษณะคือ ใช้เพื่อความบันเทิงเช่นดูหนัง, ฟังเพลง และเล่นเกมส์ ซึ่งที่ผ่านมา การพัฒนาคุณภาพของหูฟังเพื่อ ใช้ทำงานได้เดินทางมาถึงจุดที่น่าพอใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการใช้รับสายโทรศัพท์ หรือประชุมออนไลน์ หูฟังไร้สายแบบเอียร์บัดส่วนใหญ่ในท้องตลาดที่มีราคาระหว่าง 1,000 – 3,000 บาท ก็สามารถใช้งานได้ดีแล้ว รับสายโทรฯ ได้ชัดเจน แต่ส่วนที่ยังทำได้ด้อยกว่าหูฟังไร้สายแบบเอียร์บัดที่มีระดับราคาระหว่าง 3,000 – 5,000 บาท ก็คือคุณภาพการใช้งานทางด้านบันเทิง นั่นคือ ใช้ดูหนัง+ฟังเพลงนี่แหละ.!

เมื่อกดรับสายโทรฯ เข้า เสียงของปลายทางมีความดังอยู่ในระดับที่สูงพอสมควร ไม่ดังเท่ากับการฟังเพลง แต่ฟังท์ชั่น ANC มีส่วนช่วยให้เสียงสนทนาจากปลายสายมีความชัดเจน สามารถจับความได้เคลียร์ สามารถแสดงลักษณะเสียงที่อมทุ้มของผู้ชายออกมาได้ดี มีเสียงลำคอออกมาด้วย ในขณะที่เสียงโทรเข้าของผู้หญิงก็มีโทนที่สูงกว่า ความชัดเจนในการสื่อสารอยู่ในเกณฑ์ที่ดีไม่ต่างกัน ผมเคยลองหูฟังเอียร์บัดถูกๆ ส่วนใหญ่จะให้เสียงผู้หญิงบี้ขึ้นจมูก ฟังแล้วรู้สึกน่ารำคาญ ซึ่ง NeoBuds Pro 2 ตัวนี้ไม่มีอาการนั้น เสียงผู้หญิงมีความใสและกังวานนิดๆ ..

ทดสอบใช้ NeoBuds Pro 2 กับการฟังเพลง

NeoBuds Pro 2 ใช้ไดเวอร์ 2 ตัว ช่วยกันทำงานในการสร้างความถี่เสียงตั้งแต่ 20Hz – 20kHz เมื่อป้อนด้วยฟอร์แม็ต SBC และ AAC และสามารถขยายแบนด์วิธให้สูงขึ้นไปได้ถึง 20Hz – 40kHz เมื่อป้อนด้วยฟอร์แม็ต LDAC หรือ LHDC ซึ่งต้องใช้อุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android ซึ่งผมเองใช้ iPhone 12 อยู่เลยไม่ได้ทดสอบด้วย LDAC

ฟังท์ชั่นปรับแต่งเสียง ‘Sound effects’

ผู้ผลิตมีให้ฟังท์ชั่น parametric EQ ที่ใช้ในการปรับตั้งเพื่อจูนเสียงมาด้วย ซึ่งต้องทำการปรับตั้งผ่านแอพฯ ‘Edifier Connectบนอุปกรณ์ที่คุณใช้เล่นเพลงกับหูฟังตัวนี้ โดยนำไปใส่ไว้ในฟังท์ชั่นที่ชื่อว่า ‘Sound effects’ > หัวข้อ ‘Customized

เมื่อคุณกดเลือกไปที่หัวข้อ Customized ในหน้าฟังท์ชั่น ‘Sound effectsหน้าตาของแอพฯ จะปรากฏขึ้นมาตามรูปข้างบนนี้ ซึ่งเป็น parametric equalizer ที่มีตัวแปรให้ปรับตั้งเสียงอยู่ 3 ตัว คือ Gain (ความแรง), Q factor (ช่วงกว้างแคบของความถี่) และ Frequency (ความถี่) ค่าต่างๆ ที่ปรับตั้งไว้ตามภาพที่เห็นข้างบนนี้เป็นค่ากลางที่มาจากโรงงาน คุณสามารถปรับจูนได้ทุกตัวตามที่ต้องการ

ถ้าคุณไม่ได้ทำการปรับจูน EQ เลย เสียงของค่ากลางที่ผู้ผลิตตั้งมาให้จะให้เสียงออกมาในระดับที่ พอฟังได้ถ้าใช้กับ iPhone เสียงทุ้มจะเยอะหน่อย ถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดจากการฟังเพลงผ่านหูฟัง Edifier ตัวนี้ แนะนำให้ทำการปรับจูน EQ เข้าช่วย ซึ่งภาพข้างบนนี้เป็นตัวอย่างค่า EQ ที่ผมทำการปรับจูนไว้บน iPhone 12 เพื่อใช้ฟังเพลงกับหูฟังตัวนี้ จูนด้วยไฟล์เพลง WAV 16/44.1 ที่ผมริปมาจากซีดีแล้วเล่นด้วยแอพฯ Onkyo HF Player และจูนด้วยไฟล์เพลงที่สตรีมจาก TIDAL เสียงที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี น่าพอใจมาก.!! ใครใช้ iPhone กับหูฟังตัวนี้ลองเอาค่าที่ผมปรับตั้งนี้ไปทดลองใช้ดูได้ เมื่อปรับจูนเสร็จแล้ว คุณสามารถบันทึกค่าและตั้งชื่อไว้ได้หลายเมมโมรี่

ของเล่นอีกอย่างของหูฟังตัวนี้คือระบบเสียง ‘Spatial audio’ (ศรชี้) อยู่ในหน้าฟังท์ชั่น Sound modes ซึ่งมันให้ประสบการณ์แปลกๆ กับการฟัง คือถ้าใช้กับเพลง เวลาคุณหันหน้าไปทางซ้ายหรือขวา เสียงเพลงที่ฟังจะไม่ย้ายตำแหน่งตาม อารมณ์จะคล้ายกับการนั่งฟังวงดนตรีที่เล่นอยู่ข้างหน้า แม้ขณะที่คุณหันหน้าเอียงไปทางซ้ายหรือขวาเพื่อคุยกับคนข้างๆ เสียงเพลงก็จะยังคงอยู่ที่ตำแหน่งเดิม ไม่วูบมาทางซ้ายหรือขวาตามใบหน้าของคุณ แปลกดี.. ถามว่าชอบมั้ย.? ผมเฉยๆ นะ ถ้าใช้ฟังเพลงก็คงตอบว่าไม่ชอบ น่าจะเหมาะกับเล่นเกมส์มากกว่า..

ผลการทดสอบประสิทธิภาพเสียงของ NeoBuds Pro 2

ผมมีเพลงที่คัดเลือกไว้ทดสอบประสิทธิภาพเสียงของอุปกรณ์เครื่องเสียงบ้าน (ผมทำรีวิวเครื่องเสียงบ้านด้วย) อยู่จำนวนหนึ่ง ซึ่งแยกทดสอบประสิทธิภาพในการถ่ายทอดเสียงทุ้มกลางแหลม และความสามารถในการถ่ายทอดคุณสมบัติทางด้านมิติเวทีเสียงและไดนามิก ผมลองเอาเพลงเหล่านั้นมาทดสอบประสิทธิภาพของ NeoBuds Pro 2 ตัวนี้โดยเอาเสียงที่ได้จากชุดเครื่องเสียงบ้านเป็นตัวอ้างอิงเปรียบเทียบ

ลิ้งค์ TIDAL (https://tidal.com/browse/track/195076048)

เพลงแรกที่ใช้ทดสอบชื่อว่า The Very Throught of Yourจากอัลบั้มชุด More Than Your Know ของศิลปินสาวฝรั่งเศส Alice Carreri จุดเด่นของเพลงนี้อยู่ที่เสียงร้องและเสียงเบสที่บันทึกมาได้ดีมาก ซึ่งหูฟังตัวนี้สามารถถ่ายทอดความโดดเด่นของทั้งเสียงร้องและเสียงเบสของแทรคนี้ออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ย่อส่วนลงมาจากที่ได้ยินจากชุดเครื่องเสียงบ้านได้อย่างลงตัว เสียงร้องของ Alice ลอยเด่นขึ้นมาเหนือเสียงอะคูสติกเบสอย่างชัดเจน แยกแบ่งกันคนละเลเยอร์โดยไม่มีอาการรบกวนกัน

มวลเบสจากเพลงนี้ทำให้รับรู้ได้ถึงความแน่นของเสียงทุ้มที่ไดเวอร์ไดนามิกขนาด 10 .. ของหูฟังตัวนี้มันให้ออกมาในระดับที่พูดได้เลยว่า.. เกินตัว! ในขณะที่เสียงทุ้มกำลังอัดพลังแน่นๆ ออกมา ทางด้านเสียงร้องที่ดังออกมาพร้อมๆ กันก็ยังคงรักษารูปทรงความเป็นอิสระและความสดใสไว้ได้ตลอดเวลา ไม่ถูกเสียงทุ้มโผล่แลบขึ้นมารบกวนทำให้เสียงร้องหมองลงไป แสดงว่าวงจรเน็ทเวิร์คแบบดิจิตัลที่ Edifier ออกแบบมาใช้กับหูฟังตัวนี้ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถตัดความถี่ที่อยู่ต่างแบนด์วิธออกจากกันได้อย่างเด็ดขาด..

ลิ้งค์ TIDAL (https://tidal.com/browse/track/88562165)

เสียงของเพลง ‘Smoke Gets In Your Eyeของวง Siri’s Svale Band ที่ทะลุผ่านหูฟังตัวนี้ออกมา มันก็ยิ่งตอกย้ำประสิทธิภาพภาพที่เยี่ยมยอดของวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คที่ใช้อยู่ในหูฟังตัวนี้ให้ปรากฏออกมาชัดเจนมากขึ้น เพราะเลเยอร์ระหว่างเสียงร้องกับเสียงเบสในเพลง Smoke Gets In Your Eye แทรคนี้มันอยู่ใกล้และชิดกันมากกว่าเพลง The Very Throught of Your ของ Alice Carreri ซะอีก แถมยังมีเสียงมือกลองใช้แส้โลหะแตะ ไล้ และรูดไปบนฉาบ สแนร์ และไฮแฮทแทรกเข้ามาด้วย ซึ่งในจังหวะเวลาเดียวกันที่เพลงนี้ดำเนินไป จึงมีความถี่ทั้งสามย่าน คือ เสียงกลาง (เสียงร้อง), เสียงทุ้ม (อะคูสติกเบส) และ เสียงแหลม (แส้ที่ไล้ลบไปบนฉาบและไฮแฮท) บรรเลงออกมาพร้อมกัน ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ถ้าออกแบบวงจรตัดแบ่งความถี่ไม่ดี จะมีผลให้การแยกแยะรายละเอียดทั้งสามย่านเสียงออกมาได้ไม่เคลียร์ชัด แต่น่าทึ่งมากที่หูฟังตัวเล็กๆ ตัวนี้สามารถแยกแยะรายละเอียดของเสียงทั้งสามเสียงที่ว่านั้นออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ไม่มีตกหล่น (* ต้องให้เครดิต EQ ที่ให้มา + ฝีมือการปรับตั้งของผู้ใช้ด้วย)

ลิ้งค์ TIDAL (https://tidal.com/browse/track/65914961)

เพลง ช่างมันฉันไม่แคร์ในอัลบั้มชุด เสียงตัวที่ 11จะมีเสียงร้องของพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ กับเสียงร้องของหงา คาราวาน แยกกันคนละท่อน ซึ่ง NeoBuds Pro 2 สามารถแยกแยะโทนเสียงของนักร้องทั้งสองคนนี้ออกมาให้รับรู้ได้ทันทีและชัดเจน และในเพลง อยู่บนดินเป็นเพลงที่มีศิลปินนักร้องหลายๆ คนเข้ามาช่วยกันร้องคนละท่อน ซึ่งหูฟังตัวเล็กๆ ตัวนี้ก็สามารถแยกแยะให้รู้ว่าแต่ละท่อนไม่ได้ร้องโดยนักร้องคนเดียวกันทั้งหมด ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการแยกแยะโทนเสียง (fundamental + harmonic) ในย่านเสียงกลางออกมาได้ดีมาก..

ลิ้งค์ TIDAL (https://tidal.com/browse/track/56149335)

นอกจากนั้น เมื่อทำการปรับจูน EQ จนได้เสียงที่ลงตัวแล้ว นอกจากเสียงกลางและ แม้แต่เสียงทุ้มและเสียงแหลมก็ทำออกมาได้ดีเกินตัวเช่นกัน ผมลองฟังเสียงตีกลองใหญ่ Da Tanggu ของจีนจากเพลง ‘Poem Of Chinese Drumในอัลบั้มชุด ‘Poem of Thunderของ Yim Hok-Man แค่ตูมแรกที่ดังออกมาก็ทำเอาหูผึ่งแล้ว.! ไม่น่าเชื่อว่าไดเวอร์ขนาดแค่ 10 .. ของหูฟังตัวกระจิ๋วหลิวเท่านี้จะสามารถให้เสียงทุ้มออกมาได้ดีขนาดนี้..!! เสียงหัวไม้กระแทกหนังกลองมีทั้งความชัดเจนจะแจ้งของจังหวะตกกระทบและตามด้วยแรงสั่นของหนังกลองที่ตามติดมาจนกลายเป็นคลื่นความถี่ต่ำที่กระเพื่อมเป็นระลอก ซึ่งถ้าฟังผ่านลำโพงของเครื่องเสียงบ้านให้ได้เสียงออกมาแบบนี้ต้องใช้ลำโพงที่มีวูฟเฟอร์ไม่ต่ำกว่า 10 นิ้วขึ้นไป แน่นอนว่า รายละเอียดในส่วนของพลังงานที่แผ่เป็นคลื่นความถี่ต่ำๆ มาถึงตัวจะไม่มีออกมาให้สัมผัสจากหูฟังตัวนี้เหมือนอย่างที่สัมผัสได้จากลำโพงบ้าน แต่ถ้ามองแค่หัวเสียงสัมผัสแรกกับบอดี้ของเสียงทุ้มที่ตามมา ผมว่าสิ่งที่หูฟัง NeoBuds Pro 2 ตัวนี้ให้ออกมาก็ถือว่าอยู่ในระดับเกินตัวไปมากแล้ว..!!

แทรคที่สองในอัลบั้มนี้คือเพลง ‘Duck’s Quarrel (Xi’an Drum Music)’ จะมีเสียงเคาะฉาบและเครื่องเคาะอื่นๆ ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดในย่านเสียงแหลม กับความสามารถในการสวิงไดนามิกของหูฟังตัวนี้ ซึ่งก็ทำออกมาได้ดีมากเช่นกัน ช่วงที่บรรเลงเบาๆ ก็ยังได้ยินรายละเอียดออกมาชัด แสดงถึงความสามารถในการบล็อกเสียงรบกวนจากภายนอกของวงจร ANC ซึ่งทำได้ดีมาก รวมถึงการออกแบบบอดี้ของตัวหูฟังที่ฟิตกับช่องหูได้แนบดีด้วย จึงช่วยป้องกันเสียงเล็ดลอดเข้ามาได้อย่างหมดจด เมื่อเสียงจากภายนอกเล็ดลอดเข้ามาไม่ได้ ก็ทำให้พื้นเสียงมีความสงัด ส่งผลให้รายละเอียดเสียงที่เบาๆ ลอยตัวขึ้นมาให้ได้ยิน และทำให้รับรู้ถึงลักษณะการไต่ระดับของความดัง (dynamic contrast) ของเสียงได้ชัดขึ้น ซึ่งมีผลทำให้ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ลึกซึ้งมากขึ้น

สรุป

ตอนแรกที่ดูจากข้อมูลเปรียบเทียบระหว่าง NeoBuds Pro เวอร์ชั่นแรกกับ NeoBuds Pro 2 เวอร์ชั่นใหม่นี้ ก็เห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงไม่มาก มีแค่เรื่องจำนวนไมโครโฟน, ฟังท์ชั่น Wearing detection และความสามารถในการป้องกันเสียงรบกวนของฟังท์ชั่น ANC ที่ลดเสียงจากภายนอกลงไปได้มากกว่าประมาณ 8dB (42dB vs 50dB) เท่านั้น ไม่คิดว่าจะส่งผลกับการฟังเพลงมากขนาดนี้.!

กับการทดลองรับสายโทรฯ เข้าก็ทำได้ดี เมื่อเทียบกับมาตรฐานทั่วไปของหูฟังที่มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท ถือว่า NeoBuds Pro 2 ทำหน้าที่ของมันออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจแล้ว แต่ที่เซอร์ไพร้มากๆ ก็คือคุณภาพเสียงที่ได้จากการฟังเพลงนี่แหละ ซึ่งแต่เดิมนั้นผมคาดหวังแค่ให้ได้ยินความถี่ออกมาครบๆ โดยเฉพาะเสียงเบสไม่หายก็พอใจแล้ว แต่พอปรับจูน EQ ลงตัว เสียงที่ได้ยินมันเกินเลยคำว่า น่าฟังไปเยอะ พูดได้ว่าเข้าข่าย เสียงที่สมจริงก็ได้.!!

***HIGHLY RECOMMENDED.!!! แนะนำเป็นพิเศษ สำหรับหูฟังเอียร์บัดที่มีราคาไม่เกิน 5,000 บาท***

**********************
ราคา : 4,590 บาท / ชุด
**********************
สนใจสั้งซื้อได้ที่
https://425.ee/3RLxWBY

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า