ผมได้รับสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตตัวใหม่ของ Innuos เข้ามาทดสอบ ชื่อรุ่น Stream1 เมื่อจับคู่กับภาคจ่ายไฟ LPS1 ที่ออกมาคู่กัน ลองใช้งานจนผ่านการเบิร์นมาเกิน 400 ชั่วโมง ผมได้ทดลองฟังเทียบกับรุ่น PULSE ตัวเดิมที่ผมใช้อยู่ พบว่า รุ่นใหม่ Stream1 ให้เสียงโดยรวมออกมา “ดีกว่า” รุ่น PULSE ประมาณ 20-25% ซึ่งเป็นความดีกว่าในลักษณะที่เป็น “ส่วนขยาย” ขึ้นไปจากรุ่น PULSE เดิม คือในแง่ “โทนเสียง” หรือบุคลิกเสียงไม่ได้ต่างกัน ส่วนที่ต่างกันก็คือระดับของ “คุณภาพเสียง” ในบางคุณสมบัติ เมื่อเทียบกับราคาที่สูงขึ้น ไม่ถึง 20% (Stream1 บวกลิเนียร์เพาเวอร์ซัพพลาย LPS1) สำหรับผมถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนมาก.!!
Stream1
สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต รุ่นเล็กสุดของ Innuos ยุคปัจจุบัน.!!
ผมเอาสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Innuos รุ่น PULSE เข้ามาใช้เรฟเฟอเร้นซ์แทน Roon ‘nucleus+’ เมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2024 หลังจากใช้งานมาปีนิดๆ ก็ทราบข่าวว่าทางผู้ผลิตคือ Innuos ได้ทำการปรับเปลี่ยนโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของพวกเขาใหม่ บางซีรี่ย์อย่างเช่น PULSE Series นั้นถูกยกเลิกการผลิตไปเลย โปรดักซ์ไลน์อัพทั้งหมดได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้นไปอีกขั้น มีการยุบรวบผลิตภัณฑ์ให้เหลือน้อยลง ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่นับจนถึงปัจจุบัน โดยเรียงตามระดับราคา ก็คือ
Nazare : *รุ่นเรือธงที่เพิ่งออกมาใหม่ (เริ่มต้น $55,000)
ZENith Next-Gen : มิวสิค เซิร์ฟเวอร์ & สตรีมเมอร์ *ออกมาเมื่อกลางปี 2024 (เริ่มต้น 660,000 บาท)
ZEN Next-Gen : มิวสิค เซิร์ฟเวอร์ & สตรีมเมอร์ *ออกมาเมื่อกลางปี 2024 (เริ่มต้น 419,000 บาท)
Stream Series : *ซีรี่ย์ใหม่ล่าสุด เปิดตัวกลางปี 2025 ถือว่าเป็นรุ่นเริ่มต้นของแบรนด์ มี 2 รุ่น คือ
รุ่น Stream1 (เริ่มต้น 96,000 บาท), ภาคจ่ายไฟ LPS1 (ราคา 49,000 บาท)
รุ่น Stream3 (เริ่มต้น 246,000 บาท)
PhoenixNET : *ออกมาต้นปี 2021 (ราคาประมาณ 160,000 บาท)
PhoenixUSB : *ออกมาปลายปี 2019 (ราคาประมาณ 160,000 บาท)
*Innuos เป็นใครมาจากไหน.? สำหรับคนที่เพิ่งเปิดมาเจอ แนะนำให้แวะเข้าไปอ่านที่มาที่ไปของแบรนด์นี้สักหน่อยก่อน จะไปต่อได้อย่างเข้าใจ..
Brand Story : Innuos
Innuos ‘Stream1’
หางมังกร..!!
จากจำนวนผลิตภัณฑ์ของ Innuos ขณะนี้ นับรวมๆ ดูแล้วก็มีอยู่แค่ 7 ตัว เท่านั้น (ไม่รวมบอร์ดอ๊อปชั่นต่างๆ) เรียงตามลำดับแล้วจะเห็นว่ารุ่น Stream1 ยืนรั้งท้ายเป็นรุ่นเล็กสุด สถานะเป็น “หางมังกร” ในขณะที่รุ่น Nazare ผงาดเป็น “หัวมังกร” ที่มีราคาสูงกว่า Stream1 ถึงเกือบ 7 เท่า.!!
A : ช่อง output สำหรับเชื่อมต่อกับ USB-DAC ภายนอก
B : ช่อง USB 2.0 สองช่อง
C : ช่อง LAN สำหรับเชื่อมต่อกับ router
D : ช่อง Ethernet สำหรับเชื่อมต่อกับสตรีมเมอร์, NAS หรือเป็น network bridged
E : ช่องต่อเชื่อมกับภาคจ่ายไฟ (AC/DC adapter หรือลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลาย LPS1)
F : ช่อง HDMI สำหรับเซอร์วิสเท่านั้น
G : ช่อง USB3.2 gen1 สำหรับฮาร์ดดิสพกพาที่ใช้ขั้วต่อ USB-C
H : ช่องสำหรับเสียบโมดูล standardDAC / PerformanceDAC / SPDIF out หรือ PhoenixUSB
เล็กพริกขี้หนู.!!
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผลิตภัณฑ์ของ Innuos ครั้งนี้ มีความเมคเซ้นต์มากขึ้นสำหรับนักเล่นฯ ที่เพิ่งเริ่มต้นก้าวข้ามมาสู่ระดับ mid-to-high end ซึ่งเป็นกลุ่มของนักเล่นที่มีทักษะในการฟังมาดีพอสมควร สามารถแยกแยะเสียงได้ วิเคราะห์เสียงได้ และล่วงรู้ถึงความต้องการของตัวเองได้แล้วว่า การเล่นเครื่องเสียงคือการเดินทางออกไปสู่โลกของเสียงที่เปิดกว้างโดยไม่มีคำว่า “จบ” !!
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงจับเอารุ่น Stream1 กับรุ่น Stream2 มารวมกัน เพื่อให้คนเล่นที่มีงบจำกัดหรือคนที่ต้องการขยับแบบ ‘step-by-step’ สามารถเริ่มต้นขั้นแรกที่รุ่น Stream1 ก่อนได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นของ Stream1 นั้นพวกเขาจะแถมอะแด็ปเตอร์ AC-to-DC มาให้ พร้อมตัวเครื่อง Stream1 ที่ยังไม่มีโมดูลใดๆ ติดตั้งมาให้ นี่คือจุดเริ่มต้น ซึ่งจากการทดสอบของผมพบว่า แค่ Stream1 เพียวๆ กับอะแด็ปเตอร์ AC-to-DC ที่แถมมา เมื่อผ่านการเบิร์นฯ มาถึงประมาณ 200 ชั่วโมง ผมพบว่า มันก็ให้เสียงออกมา “ดีกว่า” เสียงของ PULSE ตัวเดิมในบางแง่แล้ว* โดยมีแค่ “ความอิ่มเข้ม” ของตัวเสียง กับ “ความเต็ม” ของฐานเสียงกับแอมเบี้ยนต์ เท่านั้นที่ยังเป็นรอง ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ นั้น Stream1 แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน อย่างเช่น ความใสของพื้นเสียง และความกว้างของไดนามิกคอนทราสน์ รวมไปถึงรายละเอียดในระดับไมโครดีเทลที่ Stream1 ชำแหละออกมาได้หมดจดกว่ามาก
*ใช้เอ๊าต์พุต USB ช่องที่เขียนว่า DAC โดยส่งไปที่ Ayre Acoustics ‘QB-9 Twenty’ ตัวเดียวกัน
สเต็ปการขยับอัพเกรดขั้นที่สองที่วิศวกรของ Innuos เขาวางหมากไว้ให้เดิน หลังจากที่คุณคุ้นเคยกับเสียงของ Stream1 ดีแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ เลือกบอร์ดอัพเกรดมาใส่ ซึ่งมีอ๊อปชั่นให้คุณเลือกทั้งหมด 4 บอร์ด ขึ้นอยู่กับพื้นฐานซิสเต็มที่คุณใช้อยู่ บวกกับความต้องการของคุณ โดยมีบอร์ดให้เลือกดังนี้
1. บอร์ด StandardDAC (ราคา 21,500 บาท)
2. บอร์ด PerformanceDAC (ราคา 49,000 บาท)
3. บอร์ด S/PDIF (ราคา 28,000 บาท)
4. บอร์ด PhoenixUSB (ราคา 51,000 บาท)
ถ้าคุณชอบรูปแบบของซิสเต็มที่เรียบง่าย ไม่รุงรัง จบในตัว ก็ลองดูว่าระหว่างบอร์ด StandardDAC กับบอร์ด PerformanceDAC ตัวไหนที่งบของคุณสู้ไหวก็ไปทางนั้น แต่ถ้าคุณมี external DAC ที่มีคุณภาพสูงอยู่แล้ว และอยากใช้งาน Stream1 เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต ก็ต้องดูว่า ext.DAC ของคุณมีช่องดิจิตัล อินพุตรูปแบบใดบ้าง.? และคุณชอบเสียงของอินพุตแบบไหนมากที่สุด.??
ถ้าเป็น ext.DAC รุ่นเก่าๆ ที่ยังไม่มีอินพุตยุคใหม่อย่าง USB มีแต่อินพุต optical, coaxial หรือ AES/EBU คุณก็ควรจะเลือกบอร์ด S/PDIF มาอัพเกรด แต่ถ้า ext.DAC ของคุณเป็น DAC สมัยใหม่ที่ติดตั้งขั้วต่ออินพุต USB มาให้ และคุณก็ต้องการคุณภาพเสียงที่ดีที่สุดจากอินพุต USB ของ DAC ตัวนั้น ผมแนะนำให้อัพเกรดด้วยบอร์ด PhoenixUSB เพราะมันมีฟังท์ชั่น USB reclocker ช่วยให้เสียงดีขึ้นมาก
เมื่อใดที่คุณทำการอัพเกรด Stream1 ด้วยการใส่บอร์ดแบบใดแบบหนึ่ง นั่นก็เท่ากับว่า คุณได้ทำการอัพเกรด Stream1 ขึ้นไปเป็นรุ่น Stream1.5 แล้ว และเมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจอัพเกรดภาคจ่ายไฟไปใช้ตัวลิเนียร์ฯ รุ่น LPS1 เพิ่มเข้าไปแทนที่อะแด๊ปเตอร์ AC-to-DC ที่แถมมากับ Stream1 นั่นก็เท่ากับว่าคุณได้ทำการอัพเกรด Stream1 ของคุณขึ้นมาเป็นรุ่น Stream2 อย่างเต็มขั้นแล้ว ถ้าจะอัพเกรดขึ้นไปจากนี้อีก ก็ต้องยกเครื่องไปเปลี่ยนเป็นรุ่น Stream3 เท่านั้น.!!
บอดี้ของ Stream1 มาในทรงหน้ากว้างขนาด half-size คือประมาณครึ่งหนึ่งของเครื่องเข้าแร็คมาตรฐานทั่วไป (หน้ากว้าง 19 นิ้ว) ซึ่งเป็นขนาดยอดนิยมสำหรับอุปกรณ์ประเภทดิจิตัล คอมโพเน้นต์ยุคปัจจุบัน ซึ่งนักเล่นยุคใหม่ที่โตมากับคอมพิวเตอร์และเครื่องเสียงไฮไฟฯ ที่ใช้งานร่วมกับหูฟังจะคุ้นตากับเครื่องเสียงที่มีขนาดตัวถังประมาณนี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว ประสิทธิภาพของเครื่องเสียงไฮเทคฯ ที่ออกแบบโดยใช้ชิปไอซีเป็นพื้นฐานอย่างพวกสตรีมเมอร์เหล่านี้ จะต้องเปิดเข้าไป “ส่อง” บนแผงวงจรที่อยู่ข้างในมากกว่า เพราะอุปกรณ์ไฮเทคฯ พวกนี้ไม่ได้ใช้แผงวงจรแบบดีสตรีตเหมือนแอมปลิฟายยุคเก่า ถึงแม้ว่าภายในจะดูเหมือนมีอะไรไม่เยอะ แต่จริงๆ แล้ว ชิปไอซีแต่ละตัวก็มาจากแผงวงจรแบบดีสครีตแผงใหญ่ๆ มาก่อนทั้งนั้น ก่อนจะถูกย่อส่วนให้มาเหลือเป็นชิปตัวเล็กๆ ที่เห็นกัน
คุณทอมมี่ เจ้าของร้าน Prestige HiFi กรุณายก Stream1 มาติดตั้งให้ทดสอบถึงห้องฟังของผม และได้เปิดฝาเครื่องให้ผมดูอุปกรณ์ภายในด้วย ซึ่งจะเห็นว่า ภายในนั้นใช้แผงวงจรหลักที่คัสต้อม ดีไซน์มาเพื่อรุ่นนี้โดยเฉพาะ (กรอบสีแดง) มีพิมพ์ชื่อรุ่นกำกับไว้บนแผงด้วย ไม่ได้ไปหยิบเอาคอมโพเน้นต์ที่ใช้ในวงการไอทีมายำๆ รวมกัน ส่วนในกรอบสีเขียวนั้นเป็นแผงวงจร regulator ที่ควบคุมการจ่ายไฟเลี้ยงให้กับแผงวงจรหลัก..
ถ้าเข้าไปศึกษารายละเอียดเบื้องหลังแบรนด์ Innuos ให้ลึกซึ้ง คุณจะพบว่า แบรนด์นี้ร่วมมือกับ Dr. Sean Jacob ไดเรคเตอร์ของบริษัท Custom HiFi Cables ในการพัฒนาภาคเพาเวอร์ซัพพลายขึ้นมาใช้กับผลิตภัณฑ์ของ Innuos ทุกรุ่น ซึ่งคุณ Sean Jacob ผู้นี้ได้รับการยอมรับกันอย่างกว้างขวางในแวดวงของนักออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียง, ออดิโอ เคเบิ้ล โดยเฉพาะภาคจ่ายไฟที่ออกแบบให้กับ Innuos นี้ เขาใช้เทคนิคพิเศษที่เรียกว่า ‘double regulation’ กับวงจรที่ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ซึ่งยอมรับกันว่าสามารถขจัด noise ได้มาก 8 – 10 เท่า เมื่อเทียบกับวงจรเรคติฟายทั่วไป (เหตุผลเบื้องหลังความสงัดของ Stream1 ตัวนี้) ซึ่งในภาพข้างบนจะเห็นข้อความที่พิมพ์กำกับมาบนแผงวงจรอย่างชัดเจน ชี้ชัดว่าวงจร regulator ที่ใช้ใน Stream1 เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดของ ปี 2025 จริง.!!
Stream1 ในบทบาทของ ‘Streaming Transport’
ถ้าว่ากันโดยพื้นฐานการออกแบบแล้ว Stream1 มีคุณสมบัติ 2 บทบาท อยู่ในตัว บทบาทแรกคือ ทำหน้าที่เป็น Streaming Transport หรือ “ตัวกลาง” ที่เข้าไปคั่นอยู่ระหว่างแหล่งเก็บไฟล์เพลง (ฮาร์ดดิส ทั้ง local และ on cloud) กับภาค DAC ส่วนบทบาทที่สองคือทำหน้าที่เป็น Music Server หรือ “ผู้จ่ายแจก” ไฟล์เพลงไปบนเน็ทเวิร์คด้วย
คำว่า “ตัวกลาง” หมายถึงบทบาทที่ Stream1 ไป “ดึง” ไฟล์เพลงจากแหล่งใดแหล่งหนึ่งที่อยู่ภายนอกตัว Stream1 ตามภาพด้านบนอาจจะเป็นไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในเซิร์ฟเวอร์ของ TIDAL ที่อยู่เมืองนอก หรือดึงจาก NAS เข้ามา “เล่น” ด้วยแอพที่ Stream1 รองรับ (แอพ Sense, Roon) ร่วมกับฮาร์ดแวร์ของ Stream1 ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM / DSD ก่อนจะส่งไปให้ DAC ผ่านทางช่องเอ๊าต์พุต USB ของ Stream1
Stream1 ในบทบาทของ ‘Media (Music) Server’
การที่จะทำให้ Stream1 มีคุณสมบัติเป็น media server หรือ Music Server คือสามารถแจกจ่ายไฟล์เพลงออกไป (จากตัวเอง) ให้ผู้อื่นผ่านทางเน็ทเวิร์คได้ ภายในตัว Stream1 เองจะต้องมีไฟล์เพลงเก็บไว้ก่อน ไม่ใช่ไปดึงจากคนอื่นมาแจก อือมม.. ทำไง.?
นี่คือคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมาก.! คนที่คุ้นเคยกับการสตรีมไฟล์เพลงจากแหล่งต่างๆ มาแล้วจะรู้ดีว่า การสตรีมไฟล์เพลงที่ให้ “เสียงดีที่สุด” มีเงื่อนไขว่า ไฟล์เพลงที่สตรีมนั้นจะต้องอยู่ “ใกล้” กับ CPU ของสตรีมเมอร์มากที่สุด นั่นคือเหตุผลที่ Stream1 เสริมความสามารถในการใส่ฮาร์ดดิสเข้าไปในตัวของมันได้ ถ้าคว่ำ Stream1 จับหงายท้องขึ้นมา ที่ท้องของมันคุณจะเห็นแผ่นโลหะบางๆ ชิ้นหนึ่ง ถูกขันน็อตยึดติดอยู่ใต้ท้อง Stream1 ตรงนั้นแหละคือช่องที่เอาไว้เสียบฮาร์ดดิสแบบ internal
ฮาร์ดดิสที่แนะนำให้ใช้กับ Stream1 เป็นแบบอินเทอร์นอลที่ใช้ขั้วต่อแบบ M.2 และใช้โปรโตคอล NVMe (Non-Volatile Memory Express) ในการสื่อสารกับ CPU ของคอมฯ ซึ่งโปรโตคอลตัวนี้ถูกออกแบบมาสำหรับฮาร์ดดิส SSD โดยเฉพาะ เพื่อให้ได้การรับ/ส่งข้อมูลระหว่างตัวฮาร์ดดิสกับ CPU ที่มีความเร็วสูงสุดเท่าที่ flash memory ตังนั้นจะสามารถทำได้ (สเปคฯ ของ SSD ตัวที่ว่านี้อยู่ที่ 7100 MB/s) ซึ่งเร็วกว่าการเชื่อมต่อและสื่อสารผ่าน SATA ซะอีก เพราะ NVMe เป็นการสื่อสารกับ CPU ของคอมฯ แบบไดเร็คผ่าน PCIe bus ซึ่งส่งผลดีต่อการดึงไฟล์เพลงโดยตรง คือไม่ทำให้เกิดปัญหา Latency ขึ้น ซึ่งเป็นตัวการของเสียงที่ไม่ดี
มิสเตอร์ เยาฮัน หยาง APAC Sales Manager ของ Innuos เคยบอกผมเมื่อครั้งเจอกันในงาน BIAV 2025 ที่ผ่านมาว่า การเล่นไฟล์ที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสที่อยู่ในตัว Stream1 ให้เสียง “ดีกว่า” เล่นไฟล์ที่ดึงมาจาก NAS ซึ่งเขาการันตีและท้าให้ผมลอง ผมได้ทดลองฟังเทียบแล้ว ยอมรับว่าจริง.!! ความแตกต่างที่รับรู้ได้คือ เสียงจากการเล่นไฟล์ที่อยู่ในฮาร์ดดิสในตัว Stream1 จะให้ความรู้สึกที่ real กว่า คือแต่ละเสียงจะมีความเป็นตัวเป็นตนมากกว่า ไม่บวมอืด ไทมิ่งก็ดีกว่า การเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงมีความกระชับเร็ว ไม่อืด ไม่หน่วง พื้นเสียงก็ใส ไม่มีม่านหมอก ปลายเสียงเปิดและแตกตัวเหมือนพลุ สปีดดี ไทมิ่งเฉียบ ทั้งหมดที่ดีกว่านี้คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-20% เทียบกับไฟล์เดียวกันที่สตรีมมาจาก NAS ซึ่งก็ดีมากแล้ว อือม.. SSD 2TB ในตัว Stream1 ลั่นเลย คงจะไม่พอล่ะ..!!
คุณทอมมี่ เจ้าสำนัก Prestige HiFi แนะนำ SSD ของยี่ห้อ HIKSEMI รุ่น Future Lite ซึ่งจริงๆ แล้ว ตามสเปคฯ ของ Stream1 สามารถรองรับ SSD ได้ถึง 4TB แต่ SSD ขนาดความจุ 4TB ของ HIKSEKI ตอนนี้ราคาโหดมาก ตัวละเกือบหมื่น.!! คุณทอมมี่บอกลองแค่ 2TB ก็พอ โดนไปสามพันกว่า คงจะค่อยๆ คัดสรรเฉพาะเพลงที่ดีจริงๆ เอาไปเก็บไว้ในนั้นก็แล้วกัน พอใส่ SSD เข้าไปในตัว Stream1 ผมก็มองเห็นฮาร์ดดิสตัวนี้ไปโผล่ในคอมพิวเตอร์ เป็น drive หนึ่งของ Network ทำให้ง่ายต่อการใส่เพลงเข้าไปและลบเพลงออก ถ้าคุณไม่ได้มีแผ่นซีดีเก็บอยู่เยอะ คือไม่เกิน 4,000 แผ่น ผมแนะนำให้ใช้ SSD 2TB ก็พอ ทุกอย่างจะจบสวย เพราะไฟล์ WAV ที่ริปจากแผ่นซีดีทั่วไป เฉลี่ยอัลบั้มละ 10 เพลงรวมๆ แล้วก็ไม่เกิน 500MB ดังนั้น พื้นที่บนฮาร์ดดิส 1GB จะเก็บไฟล์เพลงได้ 2 อัลบั้ม ถ้าความจุรวม 2TB ก็จะเก็บได้ประมาณ 4,000 แผ่น นั่นเอง ยกเว้นคุณจะมีไฟล์ประเภทอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าซีดี อย่างเช่นไฟล์ไฮเรซฯ ที่ซื้อมาจาก HDtrack.com หรือไฟล์ DSD ที่ซื้อมาจาก DSDnative.com ถ้าคำนวนพื้นที่ต่ออัลบั้มก็จะเก็บได้น้อยลงไปตามส่วน
หลังจากเสียบฮาร์ดดิส SSD เข้าไปในตัว Stream1 แล้ว คุณต้องเข้าไปปรับตั้งในแอพฯ ‘Innuos Sense’ ตรงเมนู Storage ซึ่งมีให้ปรับตั้งอยู่ 4-5 ขั้นตอน ประมาณข้างบนนั้น ดูแล้วทำตามไปทีละขั้นไม่ยาก
แอพลิเคชั่น Sense คือมันสมอง..!!
กรณีถ้าเป็นมือใหม่สำหรับสตรีมเมอร์ของแบรนด์ Innuos ก่อนอื่น แนะนำให้คุรเข้าไปทำการดาวน์โหลดแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘Innuos Sense’ มาติดตั้งบนมือถือหรือแท็ปเล็ตของคุณไว้ก่อน เมื่อเสียบปลั๊กของ Stream1 แล้วกดปุ่มเพาเวอร์บนหน้าจอ รอให้โลโก้หยุดกระพริบแล้ว จากนั้นค่อยเปิดแอพฯ ขึ้นมา เมื่อแอพฯ ค้นหาจนเจอ Stream1 แล้ว คุณก็จะสามารถใช้แอพฯ Innuos Sense ร่วมกับ Stream1 ได้อย่างสมบูรณ์ มาดูกันนิดนึงว่าภายในแอพ Innuos Sense มีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง
หน้าเมนูหลัก HOME
ภายในแอพฯ จะมีหน้าหลักอยู่ทั้งหมด 4 หน้า คือ HOME, MUSIC, SYSTEM และ SEARCH ภาพข้างบนคือหน้า HOME ซึ่งจะเป็นหน้าแรกของแอพฯ ซึ่งมีหัวข้อเมนูย่อยอยู่ทั้งหมด 6 หัวข้อ คือ PRESETS, FAVOURITE MIXES, NEW MUSIC, LAST PLAYED TRACKS, FAVOURITE RADIOS และ FAVOURITE PODCASTS ทั้งหมดนั้นจะเกี่ยวกับเพลงทั้งนั้น
หน้าเมนูหลัก MUSIC
หน้าเมนูที่สองชื่อว่า MUSIC เป็นที่รวมแหล่งเซิร์ฟเวอร์ที่เก็บไฟล์เพลง ทั้งแหล่งที่เรียกว่า Local คือไฟล์เพลงของคุณเองที่เก็บอยู่ในที่ต่างๆ อาทิเช่น ใน NAS หรือในฮาร์ดดิส SSD ที่เก็บอยู่ในตัว Stream1 ซึ่งแหล่งเก็บไฟล์เพลงเหล่านี้จะแสดงอยู่ในหัวข้อ MY LIBRARY ซึ่งมีลักษณะการแสดงไฟล์เพลงหลายรูปแบบให้เลือก ส่วนแหล่งเก็บไฟล์เพลงอีกแหล่งก็คือกลุ่มของผู้ให้บริการ Streaming Services ซึ่ง Stream1 มีให้คุณเลือกใช้งานหลายแหล่งรวมถึงแหล่งยอดฮิตของนักเล่นเครื่องเสียง คือ TIDAL กับ Qobuz นอกจากนั้นก็ยังมี Podcasts และสถานีวิทยุบนอินเตอร์เน็ตให้เลือกฟังด้วย
หน้าเมนูหลัก SYSTEM
หน้าเมนูนี้เป็นเหมือน “มันสมอง” คือที่รวบรวมการปรับตั้งการทำงานในส่วนต่างๆ ของ Stream1 ถ้าคุณมีอุปกรณ์สตรีมเมอร์ของ Innuos เชื่อมต่ออยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกันมากกว่าหนึ่งตัว คุณสามารถเข้าไปทำการปรับตั้งอุปกรณ์แต่ละตัวได้โดยเข้าไปเลือกตัวอุปกรณ์ที่ต้องการปรับตั้งได้ปุ่ม Select System (ศรชี้)
นอกจากนั้น ที่หน้านี้ยังได้รวบรวมคำสั่งในการริปไฟล์เพลงจากแผ่นซีดี (DISC RIPPER) จาก cd drive ที่เชื่อมต่ออยู่กับช่อง USB ของ Stream1, คำสั่งในการก็อปปี้ไฟล์เพลง (IMPORT) จากแหล่งต่างๆ เข้ามาที่ฮาร์ดดิส SSD ในตัว Stream1, คำสั่งในการบันทึกข้อมูล (BACKUP) ที่ปรับตั้งบน Stream1 เก็บไว้ และคำสั่งในการปรับตั้งค่าอื่นๆ ที่เก็บรวบรวมไว้ในปุ่ม SETTINGS
หน้าเมนูย่อย SETTINGS
ในหน้าเมนูย่อย SETTINGS ยังถูกแยกออกเป็นเมนูย่อยๆ อีก 4 กลุ่ม คือ SYSTEM, INTEGRATIONS, INNUOS SENSE และ HELP
หัวข้อการปรับตั้งที่ส่งผลกับการเล่นไฟล์เพลงและส่งผลต่อลักษณะเสียงของ Stream1 ก็คือ SYSTEM ซึ่งในนั้นมีอยู่ 3 หัวข้อย่อย ที่คุณต้องเข้าไปจัดการปรับตั้ง นั่นคือ Audio, Storage และ System Mode
หน้าเมนูย่อย SETTINGS > Audio
หน้าเมนูนี้แสดง external DAC ที่เชื่อมต่ออยู่กับตัว Stream1 (ในตัวอย่างนี้คือ Ayre Acoustics ‘QB-9 Twenty’) โดยมีรูปฟันเฟืองอยู่ข้างหลัง เป็นทางเข้าไปปรับตั้งค่าของ external DAC ตัวนั้น
หน้าเมนูย่อย SETTINGS > Audio > LOCAL PLAYER SETTINGS
หน้านี้จะแสดงหัวข้อปรับตั้งการทำงานของ ext.DAC ที่เชื่อมต่ออยู่กับ Stream1 ได้แก่
DSD MODE = เลือกโหมดการแปลงสัญญาณ DSD ซึ่งมีให้เลือก 3 อ๊อปชั่น คือ
– No DSD Support
– DSD over PCM
– Native DSD
ที่หัวข้อแรก No DSD Support นั้น Stream1 จะแปลง DSD เป็นไฟล์ FLAC ก่อนส่งให้ ext.DAC ส่วนหัวข้อที่สอง DSD over PCM Stream1 จะส่ง DSD ไปให้ ext.DAC ในรูปของฟอร์แม็ต DoP ที่ระดับ DSD128 หรือ DSD256 ขึ้นอยู่กับความสามารถในการรองรับ DSD ของ ext.DAC และหัวข้อที่สาม Native DSD นั้น Stream1 จะจัดส่ง DSD ไปให้ ext.DAC ตรงๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ซึ่งคนที่ช่ำชองกับการเล่นกับสัญญาณ DSD มาแล้วจะรู้ดีว่า กระบวนการ playback ระหว่างเพลเยอร์กับ DAC ด้วยโหมด ‘Native DSD’ นี่แหละที่ให้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมาดีที่สุด ดีกว่าอีกสองโหมดที่เหลือข้างต้น แต่มีข้อจำกัดว่า ฮาร์ดแวร์ที่ใช้บนตัวเครื่อง player จะต้องรองรับการรับ/ส่งสัญญาณ DSD ที่มีแซมปลิ้งเรตเร็วกว่าซีดี 64 เท่า (ขึ้นไป) ได้ด้วย
หลังเปลี่ยนจาก Roonlabs ‘Nucleus+‘ มาใช้ Stream1 เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตแล้ว ผมแฮ้ปปี้มาก.! เพราะผมเก็บไฟล์ DSF (ฟอร์แม็ตไฟล์ของสัญญาณ DSD) ไว้เยอะมาก ตอนเล่นกับ Roon ‘nucleus+’ มันไม่มีโหมด Native DSD ขึ้นมาให้เลือกเล่น มีแต่ DoP ทั้งๆ ที่ external DAC ที่ใช้ก็เป็น QB-9 Twenty ตัวเดียวกันนี่แหละ.! พอเปลี่ยนมาใช้ Stream1 เป็นทรานสปอร์ตแทน nucleus+ เหมือนปลดล็อค แฮ้ปปี้มาก เพราะ Stream1 มันยอมเล่น DSD แบบ native ไปจนถึงระดับ DSD256 เลยทีเดียว.!!
USB LATENCY MODE = ปรับระดับความหน่วงช้าของกระบวนการรับ/ส่งสัญญาณผ่านทาง USB โดยมีอ๊อปชั่นให้เลือก 2 อ๊อปชั่น คือ Normal กับ Low ซึ่งตามหลักการแล้ว Latency ยิ่งต่ำเสียงจะยิ่งดี เพราะไม่มีการดีเลย์ของไทมิ่งเกิดขึ้น โฟกัสของเสียงจะคมชัด มีความเป็นตัวเป็นตนมาก แนะนำให้เลือกตั้งไว้ที่ Low ก่อน ถ้าพบว่าเพลงที่ออกมามีอาการกระตุก มี drop out ดังติ๊กๆ ปนออกมากับเพลง แสดงว่า external DAC รองรับไม่ไหว ก็ต้องกลับมาที่ระดับ normal ซึ่งเสียงโดยรวมจะออกไปทางนุ่มลงมาหน่อยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับทำให้เสียอรรถรสในการฟัง
SAMPLING RATE CHANGE DELAY = ext.DAC บางตัวจะมีเสียงแซ่ดออกมาเวลาที่มีการเปลี่ยนจาก DSD เป็น PCM แสดงว่าที่อินพุตของ ext.DAC ตัวนั้นมีการตั้งดีเลย์เอาไว้ ถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นก็ให้มาปรับตั้งดีเลย์ที่หัวข้อนี้
PCM SAMPLING RATE LIMIT = ext.DAC บางตัวจะจำกัดความสามารถในการรองรับสัญญาณ PCM เอาไว้ ถ้าพบว่าหลังจากเล่นไฟล์ที่มีสเปคฯ สูงๆ แล้วไม่มีเสียง ให้ทดลองปรับลดระดับของสัญญาณ PCM เอ๊าต์พุตที่หัวข้อนี้ ปรับลดลงไปจนกว่าจะมีเสียงออก
MQA SOFTWARE DECODING = ขณะเล่นไฟล์ที่เป็นฟอร์แม็ต MQA ถ้า ext.DAC ตรงปลายทางไปมี MQA Decoder คุณสามารถสั่งให้ Stream1 ทำการถอดรหัส MQA ให้ได้ ซึ่งจะได้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ที่ระดับครึ่งหนึ่งของสัญญาณ PCM ออริจินัลที่อยู่ในไฟล์ MQA นั้น แต่ถ้า ext.DAC ปลายทางมีดีโค๊ดเดอร์ MQA ที่สามารถถอดรหัสได้สุดซอย ก็ไม่ต้องติ๊กเลือกที่หัวข้อนี้
หน้าเมนูย่อย SETTINGS > Storage
หน้านี้เป็นที่รวมแหล่งเก็บไฟล์เพลงที่เป็นของคุณเอง ทั้งที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิส SSD ในตัว Stream1 เรียกว่า ‘Local Storage’ หรือ ‘Storage Drives’ ในกรอบสีเขียวคืออันเดียวกัน คือที่หัวข้อ Local Storage นั้นบอกปริมาณของไฟล์เพลงที่บันทึกเก็บอยู่ใน Storage Drives จากตัวอย่างคือใช้ไป 95% เกือบจะเต็มแล้ว.! ส่วนด้านล่างสุดตรงหัวข้อ ‘Network Folders’ นั้นคือ path หรือเส้นทางแชร์ลิ้งค์สำหรับดึงไฟล์เพลงที่อยู่บนเน็ทเวิร์คมาเล่น
หน้าเมนูย่อย SETTINGS > System Mode
อันนี้เป็นอีกหนึ่งไฮไล้ท์ของสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต Innuos ‘Stream1’ ตัวนี้ คือแม้ว่าพื้นฐานของระบบปฏิบัติการณ์ที่ใช้ใน Stream1 จะเป็น Linux แต่วิศวกรของ Innuos ได้ทำการปรับปรุงและพัฒนาให้ออกมาเป็น Linux เวอร์ชั่น innuOS ที่มีความสามารถมากมาย รวมถึงความสามารถพิเศษที่สามารถติดตั้ง OS อื่นอย่างเช่น OS ของ Roon และ HQplayer ลงไปสลับใช้ด้วยกันได้ เฮ้ยย.. มันเจ๋งมาก.!!
ใครที่สมัครใช้งาน Roon Core อยู่จะรู้ว่า การติดตั้ง Roon Core บนฮาร์ดแวร์ที่ต่างกัน จะได้คุณภาพเสียงของ Roon ออกมาไม่เท่ากัน คนที่เคยย้าย Roon Core ไปติดตั้งบนฮาร์ดแวร์หลายๆ แพลทฟอร์มมาแล้ว จะรู้ว่า “คุณภาพของฮาร์ดแวร์” ที่ใช้ลง Roon Core มีผลกับคุณภาพเสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์เพลงของ Roon มาก
สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Innuos รุ่น Stream1 ถูกออกแบบมาให้สามารถติดตั้ง Roon Core ลงไปในตัวมันได้ ซึ่งถ้าคุณมีแอคเคาต์สมัครใช้ Roon อยู่แล้ว คุณสามารถเอาแอคเคาต์ Roon Core ของคุณมาติดตั้งลงบน Stream1 ได้เลย พูดง่ายๆ กรณีนี้ ก็คล้ายกับว่า Stream1 ของ Innuos ทำตัวเป็นแบบเดียวกับ Roon ‘nucleus’ หรือ Raspberry Pi หรือ Computer คือทำหน้าที่เป็น “กายหยาบ” (ฮาร์ดแวร์) ที่ยอมให้ “วิญญาณ” (ซอฟท์แวร์โปรแกรม) ของ Roon Core เข้ามาสิงสถิตย์และใช้งานชิ้นส่วนต่างๆ ในตัวมันได้ ซึ่งแน่นอนว่า ประสิทธิภาพและคุณภาพของฮาร์ดแวร์จะส่งผลทั้งต่อฟังท์ชั่นใช้งานและส่งผลต่อคุณภาพเสียงโดยรวมของ Roon มากกว่า 50% ขึ้นไป ผมสรุปแบบนี้ได้หลังจากลองฟังเปรียบเทียบ Roon Core ที่ติดตั้งบน Roon ‘nucleus+’ กับติดตั้งบน Innuos ‘Stream1’ พบว่า Roon Core บน Innuos ‘Stream1’ ให้เสียง “ดีกว่า” Roon Core บน Roon ‘nucleus+’ อย่างชัดเจน..!!!
วิธีเปลี่ยน OS ก็ทำได้ง่ายๆ คือถ้าอยากใช้ innuOS ก็ติ๊กลงไปที่วงกลมด้านหน้า Innuos Standalone จากนั้นก็กด save รอสักพักก็พร้อมใช้ ซึ่งแอพที่ใช้ในการเล่นไฟล์เพลงก็คือแอพ Sense พอถึงเวลาที่อยากจะลองสลับมาใช้ OS Roon Core ก็เข้ามาที่หน้าเมนูนี้ แล้วติ๊กไปที่วงกลมหน้า Roon Core แล้วกด save รอสักพัก OS ของ Roon ก็หลังจากนั้นก็พร้อมใช้ แต่ตอนนี้ต้องเปลี่ยนมาใช้แอพ Roon Remote ในการควบคุมการเล่น
ลองใช้ Roon Core บน Stream1
หลังจากผมทดลองเลือกติดตั้ง Roon Core บน Stream1 เสร็จแล้ว เปิดเข้าไปดูรายละเอียดในเมนู ‘Device Setup’ ของแอพ Roon พบว่า ที่หัวข้อ ‘DSD playback strategy’ ปรากฏว่ามีรูปแบบการเล่น DSD แบบ ‘Native’ โผล่ขึ้นมาให้เลือกด้วย (ศรชี้) ซึ่งสมัยที่ใช้ Roon ‘nucleus+’ ไม่มี Native ขึ้นมาให้เลือกแบบนี้ ทั้งๆ ที่ใช้ QB-9 Twenty ตัวเดียวกันนี้.!
ผมทดลองเล่นไฟล์ DSF256 ที่โหลดซื้อมาจากเว็บไซต์ Octave Records ของคุณพอล แมคโกเวน เจ้าสำนัก PS Audio ปรากฏว่า สามารถเล่นได้แบบลื่นๆ สบายๆ บนหน้าจอของ QB-9 Twenty ก็โชว์ตัวเลข 256 ชัดเจน เสียงออกมานุ่ม หนา เข้มข้นมาก แต่ตัวเพลงของชุดนี้ยังไม่ค่อยโดน หลังจากนั้นผมก็ทดลองเล่นไฟล์ DFF256 อัลบั้มชุด Clique ของ Patricia Barber ที่ผมโหลดซื้อมาจากเว็บไซต์ DSDnative.com ปรากฏว่า แอพ Roon พยายามจะเล่น แต่ QB-9 Twenty ไม่ยอมรับ..
‘Roon Core’ vs. ‘Innuos Standalone’
อดไม่ได้ที่จะลองเล่นไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ใน SSD ของ Stream1 ผ่านระบบปฏิบัติการณ์ InnuOS แบบ ‘Innuos Standalone’ เปรียบเทียบกับเล่นผ่านระบบปฏิบัติการณ์ของ Roon Core ผลคือ ผมชอบเสียงที่ได้จากการเล่นผ่านระบบปฏิบัติการณ์ของ Innuos มากกว่า โฟกัสของเสียงออกมาคมกว่า มีความเป็นตัวเป็นตนสูงกว่า เบสกระชับและสะอาดกว่า ไดนามิกก็สวิงได้กว้างกว่าด้วย
ทดลองฟังเสียงของ Stream1
ผมเซ็ตอัพ Stream1 ทดสอบยกแรกโดยใช้ตัว AC/DC adapter ที่แถมมาเป็นตัวจ่ายไฟให้กับ Stream1 ซึ่งเป็นขั้นตอนเบสิคของการใช้งาน Stream1 แบบ step-by-step ตามที่ผู้ผลิตวางแผนมาให้เล่น ใครมีงบถึง จะข้าม step นี้ไปอัพฯ ตัวลิเนียร์เพาเวอร์ซัพพลาย LPS1 มาเลยก็ไม่ว่ากัน ส่วนผมอยากจะรับรู้ก่อนว่า ลำพังตัว Stream1 เพียวๆ แบบไม่เสริมอาวุธลับเสียงมันจะออกมาเป็นแบบไหน ซึ่งก็ต้องลองฟังไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพ้น 100 ชั่วโมง ไปแล้วถึงค่อยนึกถึงตัวลิเนียร์ เพาเวอร์ฯ มาเสริม
เบื้องต้นนี้ ผมจับ Stream1 เข้าคู่กับ ext.DAC สองตัว ตัวแรกเป็น R-2R DAC ของแบรนด์ LAiV Audio รุ่น Harmony µDAC ส่วนตัวที่สองเป็นตัวอ้างอิงของผม คือ QB-9 Twenty ของแบรนด์ Ayre Acoustics ส่วนภาคแอมป์ผมใช้คู่ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ QUAD รุ่น 33 pre + 303 power (REVIEW) โดยใช้เพาเวอร์แอมป์ 303 จำนวนสองตัว บริดจ์โมโน เพื่อขับลำโพงแผ่นฟิล์มพลาน่าร์ของ Magnepan รุ่น MG1.7i
หลังๆ มานี้ ผมเรียนรู้เพิ่มขึ้นมาจากประสบการณ์ว่า อุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทที่ใช้คอมโพเน้นต์ IC ตัวเล็กๆ จำนวนมากที่ติดตั้งลงแผงวงจรด้วยกรรมวิธี surface mount มันต้องการเวลาในการเผานานกว่าอุปกรณ์ประเภทที่ใช้คอมโพเน้นต์แบบ discrete มากพอสมควร อย่างพวกสตรีมเมอร์, external DAC รวมถึงพวก DDC, เน็ทเวิร์ค สวิทช์ อุปกรณ์เหล่านี้ล้วนต้องการเวลาเบิร์นฯ นานกว่า 100 ชั่วโมง ทั้งนั้น ถ้าเริ่มเปิดเครื่องป้อนไฟหลังแกะกล่องใหม่ ต้องมีอย่างน้อย 150 – 200 ชั่วโมง ถึงจะค่อยวางใจได้ว่าเสียงของมันจะเริ่มนิ่ง ซึ่งตัว Stream1 นี่ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ผมสังเกตว่า เสียงของมันเริ่มฟังดีขึ้น เริ่มมีลีลา เริ่มมีลูกล่อลูกชนมากขึ้นก็หลัง 100 ชั่วโมงไปแล้วถึงจะค่อยนั่งฟังยาวๆ ได้
เพื่อความชัวร์ ผมปล่อยให้ Stream1 เบิร์นฯ ตัวมันเองไปจนถึง 200 ชั่วโมง ด้วยการเบิร์นทิ้งโดยมีสัญญาณเพลงตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ปิดเครื่องเลย (มีหลายคนแนะนำแบบนั้น.!) จึงค่อยเริ่มต้นฟังเอาเรื่อง..!!
เสียงของ Stream1 สเต็ปแรก เทียบกับเสียงของ Roon ‘nucleus+’ กับเพลงที่ผมจำได้ขึ้นใจ ผมพบว่า Stream1 ให้เสียงโดยรวมออกมา “ดีกว่า” Roon ‘nucleus+’ ที่เสริมพลังด้วยลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลายขั้นเทพซะอีก.! สิ่งที่ฟังจับได้อย่างแรกคือ “ความเปิดโล่งเป็นอิสระ” ของเสียงทั้งหมดที่ Stream1 ให้ออกมาได้เหนือกว่า ซึ่งนั่นก็คือผลลัพธ์ที่ได้จากการรวมเอาคุณสมบัติหลายๆ ข้อที่ Stream1 ทำได้เหนือกว่า nucleus+ ออกมาพร้อมกัน เพราะเจ้า “ความเปิดโล่งเป็นอิสระ” ที่ Stream1 ให้ออกมานั้นแท้จริงแล้ว มันก็คือสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่มีสปีดฉับไว และเร็ว ทำให้เสียงโดยรวมของ Stream1 ให้ความสด สมจริง มากกว่า
เมื่อเริ่มฟังไปหลายๆ เพลง ผมก็พบว่า Stream1 จะให้ลักษณะของ “ปลายเสียง” ตั้งแต่ย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมที่มีอาการเรียวแหลม และบอบบางกว่า nucleus+ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่านิวเครียส พลัสให้โทนเสียงทั้งหมดออกไปทางอวบหนามีมวลมากกว่า แม้ว่าปลายเสียงกลางไปถึงแหลมจะไม่พุ่งเปิดเป็นอิสระเท่ากับ Stream1 แต่ตอนพีคจะฟังนวลหูกว่าเพราะปลายเสียงไม่สะบัดและพุ่งเสียด เนื่องจากมัน roll-off ลงไปก่อน อาการนี้พอจะวิเคราะห์ได้ว่า Stream1 พยายามที่จะ “ปลดปล่อย” เสียงกลางขึ้นไปถึงแหลมให้มีลักษณะเปิดเผย จะแจ้ง และแทงตลอดตั้งแต่หัวเสียงไปบอดี้และแตกตัวไปจนถึงหางเสียง ไม่พยายามหลบปลายเสียงให้ฟังดูนุ่มเนียนหู กับเพลงที่บันทึกเสียงกลาง–แหลมมาดีมากๆ จะรู้สึกเลยว่า Stream1 ให้รายละเอียดออกมากระจ่างมาก ตั้งแต่หัวเสียง–บอดี้–หางเสียง ทั้งหมดถูกถ่ายทอดออกมาด้วยวรรณะที่เปิดกระจ่างเสมอกัน ซึ่งเป็นลักษณะการตอบสนองความถี่ที่ผมปรารถนา เพียงแต่ว่าถ้าเสียงกลาง–แหลมในเพลงนั้นมีอัตราสวิงของไดนามิกกว้างๆ มีช่วงพีคแรงๆ ตัว Stream1 จะแสดงอาการเรียวๆ บางๆ ที่ปลายเสียงออกมาให้เห็น ซึ่งถ้าคุณเริ่มต้นมา หรือเคยใช้ชีวิตอยู่กับสตรีมเมอร์ราคา ไม่เกิน 50,000 บาท มาก่อนจนสามารถปรับตัวอยู่กับมันได้แล้ว เชื่อว่าคุณจะไม่รู้สึกอะไร (ในแง่ไม่ดี) กับปลายเสียงกลาง–แหลมของ Stream1 ตัวนี้อย่างแน่นอน เพราะมันเป็นโทนเสียงระดับเดียวกับสตรีมเมอร์ราคาไม่เกิน 50K นั่นเอง
นอกจากนั้น ถ้าเทียบกับมาตรฐานของเสียงที่ได้จากสตรีมเมอร์ราคา ไม่เกิน 50K แล้ว ไม่มีแง่มุมไหนของสตรีมเมอร์เหล่านั้นที่จะหาญสู้กับ Stream1 ได้เลย.!
ก่อนจะยกตัว Innuos ‘PULSE’ ที่ผมใช้อยู่เดิมไปให้คุณทอมมี่ ผมทดลองยก PULSE ขึ้นมาเทียบกับ Stream1 ก็พบว่า บางประเด็น Stream1 ทำได้ดีกว่า PULSE อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างในแง่ของความโปร่งใสของพื้นเสียง อันนี้เห็นชัดมาก คือเมื่อฟังเทียบเพลงเดียวกัน ในซิสเต็มเดียวกัน ปรับวอลลุ่มให้ดังเท่าๆ กัน จะรู้สึกได้เลยว่า Stream1 ถ่ายทอดรายละเอียดเบาๆ ที่อยู่ในเพลงเหล่านั้นออกมาให้ได้ยินชัดกว่า ถ่ายทอดเลเยอร์ที่เป็นความลึกของเวทีเสียงออกมาให้รับรู้ได้ชัดกว่า และยังให้ไดนามิกคอนทราสน์ที่มีการไล่ระดับอ่อน–แก่ของเสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีประเภทที่ใช้วิธีสีอย่างไวโอลิน และดับเบิ้ลเบส กับเครื่องดนตรีที่ใช้วิธีเป่า อย่างแซ็กโซโฟน, ทรัมเป็ต และแคลิเน็ตที่มีความลื่นไหลและให้ความเปรียบต่างของการไล่ระดับความดังระหว่างโน๊ตต่อโน๊ตที่มีความอ่อน–แก่ชัดเจนกว่า เหมือนว่าสิ่งที่ Stream1 แสดงความแตกต่างออกมาทั้งหมดนี้ เมื่อเทียบกับ PULSE แล้ว เปอร์เซ็นต์มันอาจจะดูว่าไม่เยอะ คือไม่เปรียบเทียบ สิ่งที่ PULSE ให้ออกมาก็ถือว่าดีมากแล้ว.. แต่ก็เถอะ.! พอมาได้ยินแล้ว มันถอยหลังกลับไปที่ PULSE ไม่ได้จริงๆ ..!!
โดยรวมๆ แล้ว สิ่งที่ PULSE ยังทำได้เหนือกว่า Stream1 ก็คือแง่ของ “ความอิ่มเต็ม” ของเสียง ซึ่ง PULSE ทำได้ดีกว่าพอสมควร เชื่อว่าบางคนอาจจะตัดสินใจจบที่ PULSE โดยยอมแลกความเปิดกระจ่างและใสสะอาดกับความอิ่มเต็มนี่แหละ.!!
ลองฟัง Stream1 + ลิเนียร์ เพาเวอร์ซัพพลาย LPS1
หลังจากลองฟัง Stream1 แบบสเต็ปแรกอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะยกตัวลิเนียร์ฯ LPS1 มาต่อกับ Stream1 ผมก็เดาไปเลยว่า เสียงของ Stream1 น่าจะอิ่มหนาขึ้นเมื่อได้จับกับ LPS1 ซึ่งเป็นไปตามประสบการณ์ที่ผมเคยทดลองฟังภาคจ่ายไฟลิเนียร์มาแล้วกับอุปกรณ์หลายๆ ชนิด ซึ่งพอผมเสียบสายไฟเลี้ยงจาก LPS1 มาที่ตัว Stream1 ถ้าความแตกต่างของเสียงที่เกิดขึ้นกับ Stream1 มันเป็นไปอย่างที่ผมเกริ่นมาข้างต้นนั้น ผมก็คงจะไม่ได้รู้สึกอ้าปากค้างแบบนี้.!!
แค่เสียงแรกที่ได้ยินหลังจากเสียบ LPS1 เข้าไปกับ Stream1 ผลลัพธของเสียงมันต่างไปจากที่ผมประเมินไว้.. เยอะมาก.!!! เฮ้ยย.. นี่ยังไม่ได้เบิร์นฯ LPS1 เลยนะ.. !!!
ยังไม่ได้เริ่มเบิร์นฯ แต่เสียงของ Stream1 ก็เปลี่ยนไปแบบที่ผมคาดไม่ถึงแล้ว อือมม.. แต่กฏก็คือกฏ ผมเดินเข้าเดินออกห้องฟังเพื่อลองฟังพัฒนาการของ LPS1 ตั้งแต่ชั่วโมงแรกไปจนถึงชั่วโมงที่ 200 (เปิดติดต่อกันเกือบ 10 วัน โดยไม่ปิดเครื่อง และมีสัญญาณเพลงไหลผ่านตลอด) จึงได้เริ่มต้นฟังเอาจริง ซึ่งก็เท่ากับว่า Stream1 ถูกเผาต่อเนื่องมาถึง ชั่วโมงที่ 400 แล้ว.. ต้องจากนี้เป็นลักษณะเสียงของ Stream1 ชั่วโมงที่สี่ร้อย บวกกับเสียงของ LPS1 ชั่วโมงที่สองร้อย..
สด กระจ่างชัด แต่ไม่จัด..
ปกติแล้ว ถ้าเป็นอุปกรณ์อื่นที่มีการอัพภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์เข้าไปแทนแบบสวิทชิ่ง สิ่งที่เปลี่ยนไปของเสียงมักจะเป็นไปในแง่ของ “ความแน่น” ของเนื้อมวลที่เพิ่มขึ้น เนื้อหนาขึ้น บางครั้งถึงขั้นที่ทำให้เสียงทุ้มอวบอิ่มมากขึ้น มีปริมาณเยอะขึ้น แต่ภาคจ่ายไฟ LPS1 ของ Stream1 ตัวนี้มันให้ผลลัพธ์ต่างไปจากลิเนียร์ฯ อื่นๆ คือมันไม่ได้เข้าไปมีผลกับโทนัลบาลานซ์ของเสียงมากนัก คืออาจจะส่งผลบ้างแต่ไม่มากจนทำให้โทนเสียงของ Stream1 เปลี่ยนไป แต่ที่รู้สึกเลยว่า LPS1 เข้าไปทำให้เกิดขึ้นกับเสียงก็คือ “ความอิ่มเต็ม” ของเสียงมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าสนามเสียงมีลักษณะที่ “ฟู” ขึ้น คล้ายลูกโป่งที่ถูกอัดลมเข้าไปมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีกับเสียงโดยรวมมากมายมหาศาล คือนอกจากจะทำให้รายละเอียดเบาๆ ที่เป็นส่วนประกอบของบรรยากาศลอยตัวขึ้นมาให้ได้ยินแล้ว ลิเนียร์ฯ LPS1 ของ Innuos ตัวนี้ยังเข้าไปช่วย “ขยายสเกล” ของอัตราสวิงของไดนามิก เร้นจ์ให้กว้างขึ้นด้วย ที่ผมใช้คำว่า “ขยายสเกล” ก็เพราะว่าลักษณะของไดนามิกที่สวิงทั้งทางด้านที่ “ดังมากขึ้น (fortissimo)” + “แผ่วเบาลง (pianissimo)” นั่นเอง คือตัว LPS1 ไม่ได้เข้าไปยกการสวิงของไดนามิกให้ดังขึ้นไปในอัตราส่วน (สเกล) เดิมเท่านั้น
อัลบั้ม : Arnold Overtures (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Malcolm Arnold & The London Philharmonic Orchestra
สังกัด : Reference Recordings
หลังจาก LPS1 เบิร์นฯ เข้าที่แล้ว ผมรู้สึกถึง “พลังแฝง” ที่คอยหนุนอยู่ใต้โทนเสียงเดิมของ Stream1 ได้อย่างชัดเจน กับเพลงแนวคลาสสิกจะรับรู้ได้ชัดว่า แม้ในขณะที่ดนตรีมีลักษณะการดำเนินไปอย่างเนิบช้า และด้วยเสียงที่แผ่วเบา แต่เสียงทั้งหมดกลับลอยฟูขึ้นมาเหมือนมีพลังอะไรสักอย่างหนุนอยู่ด้านล่าง ทั้งๆ เพลงเล่นเบาๆ แทนที่เสียงจะจมลงไปแต่กลับลอยฟ่องขึ้นมาซะงั้น.! เมื่อถึงขณะที่ดนตรีเปลี่ยนไปในลีลาที่โหมกระหน่ำ ประเดประดัง เสียงที่ออกมามีอัตราสวิงของไดนามิกเร้นจ์ที่เปิดกว้าง ตั้งแต่เบามากๆ (ppp) ขึ้นไปจนถึงดังมากๆ (fff) ซึ่งออกมาด้วยความแน่น มีพลังที่หนุนเนื่องอยู่ตลอด ซึ่งน่าแปลกที่อาการเบาบางๆ ในย่านกลาง–แหลมขณะโหมที่เคยเกิดขึ้นตอนใช้ AC/DC adapter หายไป พอเปลี่ยนมาใช้ลิเนียร์ฯ LPS1 ปลายเสียงกลางและเสียงแหลมจะมีลักษณะที่มีพลังอัดฉีดและแตกตัวสลัดปลายเสียงออกไปได้เต็มที่เหมือนพลุที่ระเบิดตัวออกไปแบบเต็มพลัง ไม่โหยและบางเหมือนที่เคยได้ยิน
อัลบั้ม : The Extended Resolution Sound of TBM (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : FIM (xrcd)
เพลงแนวแจ๊ส สแตนดาร์ด เป็นแนวเพลงที่ซ่อน “พลังแฝง” เอาไว้มากที่สุด เพราะเพลงประเภทนี้จะใช้วิธีบันทึกสดการบรรเลงของนักดนตรีทั้งวงที่เล่นพร้อมกัน ด้วยการ miking แบบมัลติแทรค คือใช้ไมคฯ หลายตัว วางจ่อรับเสียงจากเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น ทำให้สามารถซึมซับเอา energy ของนักดนตรีแต่ละคนที่ประเคนลงไปกับเครื่องดนตรีของพวกเขามาได้อย่างชัดเจน ลองฟังเสียงเปียโนของ Tsuyoshi Yamamoto ในเพลง Misty ผมรับรู้ได้ถึงแรงกระแทกของปลายนิ้วที่ซุโยชิประเคนลงไปบนคีย์ขาว–ดำแต่ละโน๊ตอย่างชัดเจน ไดนามิกเร้นจ์กว้างมาก บางโน๊ตกระโชกขึ้นมาจนสะดุ้ง ในขณะที่บางโน๊ตก็แผ่วผิวซะจนแทบจะลืมหายใจ.. Stream1 + LPS1 ขุดรายละเอียดของเพลงนี้ขึ้นมาให้ได้ยินในระดับที่ลึกลงไปกว่าที่เคยได้ยิน.!
อัลบั้ม : Hi Fi Flamenco (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : JVC (Ultimate HQ HiQuality CD)(*MQA-CD 24/176.4)
เอนเนอร์จี้ของอัลบั้มชุด The Extended Resolution Sound of TBM ทำให้ผมนึกถึงอัลบั้มชุด Hi Fi Flamenco ซึ่งเป็นอัลบั้มที่นักเล่นเครื่องเสียงที่มีประสบการณ์มานานเกินยี่สิบปีขึ้นไปรู้จักกันดี เป็นแนวเพลงเฟลเมนโก้ที่โดดเด่นทางด้านไดนามิกทรานเชี้ยนต์เป็นอย่างมาก ทั้งเสียงกีต้าร์เฟลมิงโก้และเสียงเต้นแท็ปทั้งเร็วและแรง กระแทกกระทั้นสุดๆ ซึ่ง Stream1 + LPS1 สามารถถ่ายทอดพลังเสียงที่เร็วและหนักหน่วงเหล่านั้นออกมาได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ยิ่งเร่งยิ่งสนุก ยิ่งมันและที่น่าทึ่งมากคือแทบจะไม่มีอาการ “ล้น” ของไดนามิกเกิดขึ้นเลย ทั้งๆ ที่เปิดดังมากๆ (ต้องยกเครดิตให้กับลำโพง Magnepan ‘MG1.7i’ ด้วย!)
แต่พอฟังไปได้ครึ่งอัลบั้ม ผมก็เหลือบไปเห็นบนหน้าจอของ QB-8 Twenty โชว์ตัวเลข 44.1 ซึ่งเป็นแซมปลิ้งเรตของสัญญาณอินพุตที่รับไปจาก Stream1 อ้าวว.. จริงๆ แล้ว แอพลิเคชั่น Sense ของ Innuos ที่ผมใช้กำกับ Stream1 ในการเล่นไฟล์เพลงมันถูกสั่งให้ทำ software decoding MQA ซึ่งผมเลือกไว้ให้มันทำการถอดรหัส MQA ให้เมื่อพบว่าสัญญาณที่มันดึงเข้ามาเล่นมีโค๊ด MQA ติดมาด้วย แม้ว่าปลายทางคือ ext.DAC จะไม่มีดีโค๊ดเดอร์ MQA ก็ตาม ซึ่งโดยหลักการแล้ว software decoder จะทำการถอดรหัส MQA ให้หนึ่งชั้น ซึ่งบนปกอัลบั้มของชุดนี้ระบุไว้ว่ามีโค๊ดที่เข้ารหัส MQA มาด้วยที่ระดับ 24/176.4 ซึ่งถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้ ไฟล์เพลงที่ QB-9 Twenty รับไปแปลงเป็นอะนาลอกควรจะเป็นไฟล์ไฮเรซฯ ที่ระดับแซมปลิ้งที่ 88.2kHz ซิ.. แต่นี่ทำไม QB-9 Twenty ถึงแจ้งว่ารับไปแค่ 44.1kHz เอ.. มีอะไรผิดหรือเปล่า.??
อัลบั้ม : Sings Shakspeare Sonnet 2 (MQA-FLAC 24/96)
ศิลปิน : Caroll Vanwelden
สังกัด : Jazz&Arts Records
อัลบั้มชุดนี้ผมได้รับมาเป็นตัวอย่างที่ค่าย Jazz & Arts Records ทำเป็นไฟล์ MQA ออกมาโดยตรง ถูกใช้เป็นอัลบั้มสาธิตฟอร์แม็ต MQA ในยุคแรกๆ ซึ่งไม่ว่าจะทดลองกับเครื่องเล่นหรือ DAC ตัวไหนที่ระบุว่ารองรับการถอดรหัส MQA ผมก็พบว่าเครื่องเล่นหรือ DAC เหล่านั้นต่างก็เล่นอัลบั้มนี้ได้หมดและถอดรหัส MQA ออกมาได้อย่างหมดจดทุกเครื่อง ผมทดลองอัพโหลดอัลบั้มนี้เข้าไปในฮาร์ดดิส SSD ที่อยู่ในตัว Stream1 แล้วเลือกมาทดลองเล่น ปรากฏว่า แอพฯ Sense ก็เล่นออกมาเป็นสัญญาณ 24/96 ตรงตามต้นฉบับสัญญาณเป๊ะ และบนหน้าจอของแอพฯ ก็ยังแจ้งไว้ชัดเจนว่าเป็นไฟล์ MQA Studio ที่ระดับ 24/96 ส่วนเสียงที่ออกมาก็รู้สึกได้ว่าเป็นสัญญาณไฮเรซฯ ที่มีพลังอัดฉีด ซึ่งถือว่าเป็นปกติ เพราะอัลบั้มนี้บันทึก gain มาแรงอยู่แล้ว เอ.. แบบนี้น่าจะเป็นปัญหาของไฟล์ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีหรือเปล่า.??
อัลบั้ม : Brothers in Arms (MQA-CD 24/352.8)
ศิลปิน : Dire Straits
สังกัด : Universal
อัลบั้มนี้ผมก็ริปมาจากแผ่น MQA-CD ของค่าย Universal โดยริปมาเป็นไฟล์ WAV 16/44.1 ซึ่ง Stream1 ก็เล่นและถอดรหัส MQA ให้ด้วย แต่ออกมาแค่ 24/88.2 ตรงตามกติกาของ MQA ทุกประการ.! เสียงที่ออกมาก็ดีมาก ดีกว่าเวอร์ชั่นซีดีเยอะเลย เอ้า.. งงล่ะซิทีนี้..??
อัลบั้ม : DR Classics (MQA-CD 24/88.2)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : CRA Chinese Recordings Association
อัลบั้มนี้ก็มีปัญหา Stream1 ไม่ถอด MQA ให้ ซึ่งผมริปมาจากแผ่น MQA-CD ออกมาเป็นไฟล์ WAV 16/44.1 แต่ตอนเล่นทาง QB-9 Twenty แจ้งบนหน้าจอว่าทาง Stream1 ส่งมาให้เป็นสัญญาณ PCM ที่ระดับแซมปิ้ง 44.1kHz และบนหน้าจอแอพ Sense ก็ไม่ได้ระบุว่าอัลบั้มนี้เป็น MQA ด้วย อือม.. แบบนี้น่าจะเป็นปัญหาของทางแอพฯ Sense ที่อาจจะ “ไม่เห็น” โค๊ด MQA ที่ติดไปกับบางอัลบั้ม ซึ่งหลังจากผมทดลองเล่นอัลบั้มที่ผมริปมาจากแผ่น CD ที่เข้ารหัส MQA อีกหลายอัลบั้ม พบว่า ถ้าเป็นอัลบั้มที่ใช้วิธีการทำมาสเตอร์ลงบนแผ่น UHQ-CD (Ultimate HiQuality CD) จากค่าย MemoryTech พบว่า แอพฯ Sense บน Stream1 จะเล่นออกมาเป็น 44.1kHz ทุกชุด แต่ถ้าเป็นแผ่น MQA-CD ที่ค่าย Universal ทำออกมาจะเล่นออกมาเป็น MQA ได้ “เกือบหมด” คือมีบางอัลบั้มได้บางอัลบั้มไม่ได้ ซึ่งก็งงครับ..
ยังมีอีกข้อสันนิษฐานของผม คือสังเกตว่า ไฟล์ MQA ที่แอพ Sense สามารถถอดรหัสผ่าน Stream1 ออกมาได้ทั้งหมดนั้นจะเป็นระดับ ‘MQA Studio’ ทั้งนั้น (*เมื่อก่อนจะแทนด้วย “จุดสีฟ้า“) เป็นไปได้มั้ยว่า ถ้าเป็นไฟล์ MQA ของบางค่ายที่ไม่ได้เป็นต้นฉบับของงานเพลงชุดนั้นทำออกมาเอง (*เมื่อก่อนจะแทนด้วย “จุดสีเขียว”) แอพ Sense จะไม่ถอดรหัสให้.?? ผมลองถาม AI ของ google ได้คำตอบว่ามีหลายสาเหตุที่ทำให้ InnuOS core ของ Innuos ไม่ถอด MQA ให้ อย่างเช่น
– Innuos does not support ripping MQA-CDs
– Issues with ripping software
– Issues with ripping hardware
ซึ่งอ่านดูแล้ว มีโอกาสที่จะเป็นปัญหาจากไฟล์ที่ริปมา.. กรณีเล่นไฟล์ MQA นี้คงต้องไปหาวิธีทดลองแก้ปัญหาอีกที..
การเล่นไฟล์ DSD และไฟล์ DXD
จากข้อมูลที่ Stream1 ระบุไว้ว่าสามารถเล่นไฟล์ที่เป็นสัญญาณ DSD ได้ทั้ง 3 รูปแบบ (ในกรอบสีเขียว) คือแปลงเป็น PCM ก็ได้, เล่นบนฟอร์แม็ต DoP ได้ถึงระดับ DSD128 หรือ DSD256 ถ้า DAC รับได้ หรือเล่นบนฟอร์แม็ต DSD Native ก็ได้ถ้า DAC รับได้ และเล่นได้สูงสุดเท่าที่ ext.DAC รับมือได้เช่นกัน
อัลบั้ม : Misty (DSD64)
ศิลปิน : Tsuyoshi Yamamoto Trio
สังกัด : FIM/Three Blind Mices
ซึ่งจากการทดลองเล่นไฟล์ DSF64, DSF128 ไปจนถึง DSF256 กับ QB-9 Twenty พบว่าสามารถเล่น DSD กับ QB-9 Twenty ได้หมดทั้งสามรูปแบบตรงตามที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ คือถ้าตั้งไว้ที่ ‘No DSD Support‘ ตัว Stream1 จะทำการแปลง DSD ให้ออกมาเป็น PCM ที่ระดับ 352.8kHz แต่ถ้าตั้งไว้ที่ ‘DSD over PCM’ ตัว Stream1 จะเล่นออกมาเป็นฟอร์แม็ต DoP และเมื่อตั้งเป็น ‘Native DSD’ ตัว Stream1 ก็เล่นไปตามออริจินัล เรโซลูชั่นของไฟล์นั้นโดยไม่มีการแปลงใดๆ ซึ่ง Innuos ‘Stream1’ ตัวนี้ทำให้ผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว QB-9 Twenty ของผมสามารถรองรับการเล่น DSD แบบ native ได้.! ซึ่งเสียงที่ออกมาคือดีมาก.. ดีกว่าเล่นเป็นฟอร์แม็ต DoP หรือแปลงเป็น PCM อย่างชัดเจน ตัวเสียงออกมาเพียวและสันทัด ไม่บวมอืด มูพเม้นต์ก็กระชับเร็วเป็นธรรมชาติ ทรานเชี้ยนต์ของหัวโน๊ตคมและมีพลัง ถือว่า Innuos ‘Stream1’ ช่วยคืนความมีชีวิตชีวาให้กับไฟล์เพลง DSF ที่ผมเก็บไว้ได้มากจริงๆ ยกตัวอย่างเสียงเปียโนของ Tsuyashi Yamamoto ในเพลง Misty ออกมาใส กังวาน ทรานเชี้ยนต์ของหัวโน๊ตคมกระชับ มีพลัง ไม่พุ่งจนเกินเลย ชุดนี้เป็นไฟล์ DSF64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ของค่าย FIM ตอนที่ Stream1 ดึงมาเล่นด้วยฟอร์แม็ต ‘Native DSD’ ฟังแล้วแฮ้ปปี้มากๆ .!!!
อัลบั้ม : Astrognosia & Aesop (DXD-24/352.8)
ศิลปิน : Norwegian Radio Orchestra
สังกัด : 2L
อัลบั้ม : La Voie Triomphale (DXD-24/352.8)
ศิลปิน : The Staff Band of The Norwegian Armed Forces
สังกัด : 2L
ส่วนไฟล์เพลง DXD ที่ใช้แซมปลิ้ง 352.8kHz สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Innuos ตัวนี้ก็เล่นได้สบายๆ ผมลองเล่นไฟล์ PCM 24/352.8 ซึ่งเป็นไฟล์ตัวอย่างของค่าย 2L ที่ผมเคยดาวน์โหลดมาจากเว็บไซต์ของ 2L เสียงออกมาน่ากลัวมาก.!! คือเสียงออกมาเต็มทั้งเวทีเสียงและพลังแฝง ให้แนวเสียงไปทางสด ชัด กลมกลึง และเพาเวอร์ฟูลมากๆ ฟังแล้วจะเข้าใจคำว่า “สด ชัด แต่ไม่จัด” ทันที หลังจากฟังตัวอย่างจากสองแทรคนี้ (เขาให้โหลดมาแค่อัลบั้มละแทรคเดียว.!) แล้ว สงสัยต้องไปดาวน์โหลดซื้อมาฟังแบบเต็มอัลบั้มซะแล้วซิ เสียงมันติดหูมาก..!!!
ลองสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL
เพลง : Volver, volver (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Buika
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/2073069/u)
เพลง : St. James Infirmary (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Baba Blues
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/110723674/u)
Stream1 สตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาเล่นได้แบบฉลุย ลื่นไหลไม่มีติดขัดใดๆ ตั้งแต่ไฟล์ระดับ CD Quality คือ FLAC 16/44.1 ขึ้นไปจนถึงระดับไฮเรซฯ FLAC 24/192 ถ้าอินเตอร์เน็ตที่บ้านคุณไม่มีปัญหา เสียงก็ออกมาดีมากด้วย ดีจนบางเพลงนั้นแทบจะไม่ต้องง้อแผ่นเลย..!!
ลูกเล่น screen mirroring..!!
ทดสอบ Stream1 ตัวนี้แล้วบอกเลย สนุกมาก.! มันมีอะไรให้เล่นเยอะดี ยกตัวอย่างลูกเล่นนี้ ใครที่ชอบดูจอใหญ่ๆ ขณะเล่นไฟล์เพลง ถ้าทีวีของคุณรองรับ screen mirroring คุณสามารถส่งภาพจอของแอพฯ ที่อยู่บนมือถือหรือแท็ปเล็ตไปโชว์บนจอทีวีได้ ใหญ่สะใจไปเลย..!!
สรุป
หาไม่ง่ายนะ ที่จะมีแบรนด์ผู้ผลิตอุปกรณ์ประเภทที่ใช้เทคโนโลยีดิจิตัลเน็ทเวิร์คอย่างพวกสตรีมเมอร์จะมีความเก่งทั้งสองด้าน คือเก่งทางด้านออกแบบฮาร์ดแวร์+ซอฟท์แวร์และเก่งทางด้านจูนเสียงไปพร้อมกัน บางเจ้าเก่งในการจูนเสียง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงเดิมแต่ไม่เก่งทางด้านฮาร์ดแวร์+ซอฟท์แวร์และคอมพิวเตอร์+เน็ทเวิร์ค ในขณะที่บางเจ้าที่เก่งมาจากฝั่งคอมพิวเตอร์+เน็ทเวิร์คก็มักจะไม่เก่งในการจูนเสียงให้ออกมาดีตามมาตรฐานของนักเล่นเครื่องเสียง..
ก่อนหน้านี้ผมยกให้ Roon เก่งมากทั้งสองด้าน แต่ตอนนี้ Innuos มาเหนือกว่าแล้ว ด้วยฮาร์ดแวร์ที่พวกเขาคัสต้อมขึ้นมาเองบวกกับ “ความเก่ง” ในการออกแบบฮาร์ดแวร์+ซอฟท์แวร์ ทำให้แอพ Sense + Stream1 ทำงานร่วมกันได้อย่างลื่นไหล ฟังท์ชั่นครบถ้วน และด้วย “ความเก่ง” ในการจูนเสียงที่ได้มาตรฐานของนักเล่นเครื่องเสียงระดับสูงชื่นชอบ (เจ้าของ Innuos เป็นนักเล่นเครื่องเสียงด้วย.!)
ทำไมผมถึงเลือก Innuos ‘Stream1 + LPS1’ เป็นอุปกรณ์อ้างอิงในการทดสอบ.? เพราะพื้นฐานผมชอบเล่นแบบ “streaming transport + external DAC” เพราะผมว่ามันให้ความยืดหยุ่นมากกว่าสตรีมเมอร์ที่มี DAC ในตัวแบบชิ้นเดียวจบ คือ streaming transport + ext.DAC มันเล่นอะไรได้เยอะ แยกอัพเกรดได้หลากหลายแนวทาง ทำให้สามารถไฟน์จูนเสียงของซิสเต็มได้ละเอียด สำหรับคนชอบเล่นเครื่องเสียงแล้ว ผมว่า streaming transpot + ext.DAC คือทางเลือกที่น่าสนใจ ซึ่งการเปลี่ยนจาก Roon ‘nucleus+’ มาเป็น Innuos ‘Stream1 + LPS1’ สำหรับผมครั้งนี้เป็นการขยับอัพเกรดคุณภาพเสียงที่พูดได้เลยว่า “ก้าวกระโดด” ..!!!
ใครชอบเล่นแนวทางเดียวกับผม แนะนำให้ไปหาโอกาสทดลองฟังเสียงของ streaming transpot ของ Innuos ‘Stream1’ ตัวนี้ให้ได้.. !!
********************
*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ Innuos ‘Stream1‘
“Streaming Transport” ในงบประมาณ “ไม่เกิน 100,000 บาท“
********************
ราคา :
Stream1 = 96,000 บาท
(เวอร์ชั่นเริ่มต้น – ไม่มี storage, เอ๊าต์พุต USB)
LPS1 = 49,000 บาท
*** พิเศษ! ซื้อพร้อมกัน Stream1 + LPS1
= 96,000 + 39,000 = 135,000 บาท
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Deco2000
โทร. 089-870-8789
********************
ทดลองฟังได้ที่
Prestige HiFi
โทร. 063-638-4498