QUAD 33/303 ถือกำเนิดขึ้นบนโลกครั้งแรกเมื่อ ปี 1967 ที่เมือง Huntingdon, Cambridgeshire ประเทศอังกฤษ ซึ่งแอมป์คู่นี้ไม่ใช่ผลงานชิ้นแรกของ Peter Walker ผู้ให้กำเนิดแบรนด์นี้ หากแต่เป็นแอมป์คู่แรกที่เป็นแบบโซลิดสเตท
Peter Walker
QA12P
Peter Walker เริ่มก่อตั้งโรงงานผลิตที่ชื่อว่า Acoustical Manufacturing Company เมื่อ ปี 1941 หลังย้ายจากสภาพที่แออัดในกรุงลอนดอนมาอยู่ในชนบทที่กว้างขวางอย่างแคมบริดจ์ชาย เจตนาเพื่อขยายโรงงานการผลิตและอาศัยเป็นห้องแล็ปในการวิจัยออกแบบไปในตัว ส่วนผลิตภัณฑ์รุ่นแรกที่กำเนิดขึ้นในโรงงาน Acoustical Manufacturing Company แห่งนี้มีชื่อรุ่นว่า QA12 กับ QA12P เป็นปรี+เพาเวอร์แอมป์หลอดสุญญากาศ (ในขณะนั้นยังไม่ได้ใช้ชื่อยี่ห้อ QUAD) สำเร็จถึงขั้นโปรดักชั่นเมื่อ ปี 1948 ซึ่งในช่วงแรก แอมป์คู่นี้ได้ถูกนำไปใช้ในสตูดิโอของ BBC เป็นหลัก
จนล่วงเข้า ปี 1951 ปีเตอร์ วอล์คเกอร์จึงได้เริ่มเบนเข็มในการออกแบบและผลิตเพื่อป้อนเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคอย่างจริงๆ จังๆ และนั่นเป็นจังหวะที่เขาตั้งชื่อแบรนด์ QUAD ขึ้นมา โดยตัดมาจากคำว่า Quality Amplifier Domestic ซึ่งเป็นชื่อที่ทำให้โลกรู้จักผู้ผลิตแอมป์จากประเทศอังกฤษเจ้านี้
QUAD 22 Control Unit
& QUAD II Power Amplifier
QUAD 22 & QUAD II
ผลิตภัณฑ์ที่ถูกออกแบบและผลิตเพื่อป้อนให้กับตลอดผู้บริโภคคู่แรกภายใต้ชื่อแบรนด์ QUAD เป็นแอมป์หลอดรุ่น QUAD 22 Control Unit ปรีแอมป์กับรุ่น QUAD II เป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับข้างละ 15W ซึ่งแอมป์คู่นี้ได้รับความนิยมมาก และเป็นที่ยอมรับว่าเป็นแอมป์ที่ออกมาตั้งมาตรฐานใหม่ให้กับวงการในยุคนั้นเลยทีเดียว มันมาพร้อมนวัตกรรมใหม่ๆ สำหรับยุคนั้น อย่างเช่น QUAD 22 เป็นปรีแอมป์ตัวแรกที่ใช้วิธีกดปุ่มในการเลือกอินพุต ซึ่งแต่ละแบรนด์ในขณะนั้นจะใช้การบิดบนปุ่มในการเลือกอินพุต และเป็นแอมป์รุ่นแรกที่ใช้ cathode couping ที่เอ๊าต์พุตทรานฟอร์เมอร์เพื่อลดความเพี้ยนฮาร์มอนิก (harmonic distortion) ลงจนแทบจะไม่เหลือรบกวนการฟัง ด้วยคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้ทำให้ QUAD 22 + QUAD II มีอายุอยู่ในตลาดได้ยาวนานถึง 18 ปี.!!
Full-Range Electrostatic Speaker
ลำโพงแผ่นฟิล์มของ QUAD
ตั้งแต่ ปี 1956 จนถึง ปี 1966 ก่อนที่จะให้กำเนิด QUAD 33/303 ปีเตอร์ วอล์คเกอร์กับทีมออกแบบของเขากำลังสาละวนอยู่กับการออกแบบและผลิตลำโพงอิเล็กโตรสแตติก ซึ่ง QUAD ก็เป็นเจ้าแรกของโลกที่ให้กำเนิดลำโพงแผ่นฟิล์มที่ใช้ไดอะแฟรมที่ทำจากแผ่นฟิล์มบางๆ ในการสร้างความถี่เสียงตลอดทั้งย่าน (full-range electrostatic) โดยใช้ชื่อรุ่นว่า QUAD ESL ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิวัติการออกแบบลำโพงสำหรับยุคนั้นที่ผู้ผลิตลำโพงอื่นๆ ยังคงติดอยู่กับไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก
ด้วยคุณสมบัติเฉพาะตัวของไดอะแฟรมที่ทำด้วยแผ่นฟิล์มที่บางและเบา ทำให้ได้เสียงที่ตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้เร็วกว่าไดเวอร์แบบกรวยไดนามิก อีกทั้ง ESL ไม่ต้องใช้แม่เหล็กคอยดึงและดันวอยซ์คอยเหมือนกรวยไดนามิก ทำให้เสียงที่ออกมามีความโปร่งและใส เต็มไปด้วยรายละเอียด ด้วยคุณสมบัติเด่นเหล่านี้ ทำให้ลำโพงแผ่นฟิล์มรุ่น ESL-57 ของ QUAD ครองตลาดได้อย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 28 ปี โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย..!!!
QUAD 33 Control Unit & QUAD 303 Power Amplifier
“ฉบับออริจินัล 1967”
QUAD 33/303 พร้อมจูนเนอร์
และแล้วก็ถึงเวลาของ 33/303 ที่ลืมตาขึ้นมาดูโลกใน ปี 1967 ซึ่ง 33/303 คู่นี้ก็คือแอมป์โซลิดสเตทคู่แรกภายใต้ชื่อแบรนด์ QUAD ที่มีความเพรียบพร้อมทุกด้าน ทั้งในแง่ของการออกแบบวงจรที่สามารถแก้ปัญหาความไม่เสถียรของวงจรอันเนื่องมาจากความร้อนซึ่งเป็นปัญหาของการออกแบบแอมป์โซลิดสเตทในขณะนั้นลงได้สำเร็จ และยังมีความโดดเด่นในแง่ของดีไซน์รูปร่างหน้าตาที่สวยเก๋จนคว้ารางวัล Design Council Award ใน ปี 1969 มาครอง ยิ่งไปกว่านั้น QUAD 33/303 ยังยืนแป้นเป็นคู่ปรี+เพาเวอร์แอมป์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสต์ของแบรนด์ QUAD อีกด้วย..!!
QUAD 33 Control Unit & QUAD 303 Power Amplifier
“ฉบับทำใหม่ 2024”
เข้าใจเลยว่า การหยิบเอาแอมป์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับที่เรียกว่าเป็น icons ของยุคสมัยในอดีตมาทำขึ้นมาใหม่มันเป็นความท้าทายมากแค่ไหน เชื่อว่ามันจะต้องสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับทีมออกแบบอย่างแน่นอน อย่างแรกคือ “รูปร่างหน้าตา” จะทำอย่างไรให้ออกมาไม่ด้อยไปกว่าเวอร์ชั่นดั้งเดิม.? โดยที่ต้องไม่ละทิ้งรูปแบบเดิมไปมากด้วย เพราะถ้าดีไซน์ต่างออกไปไม่เหลือเค้าเดิมก็คงจะสูญเสียคุณค่าของความเป็นตำนานไปเลย เพราะมันจะไม่มีอะไรมาลิ้งค์เข้าหากันระหว่างเวอร์ชั่นใหม่กับเวอร์ชั่นดั้งเดิม อาจจะด้วยเหตุนี้ จึงทำให้รูปร่างหน้าตาของ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่ยังคงรักษาดีไซน์โดยรวมไปตามเวอร์ชั่นดั้งเดิมเอาไว้ ซึ่งหมายรวมตั้งแต่ “รูปแบบ“, “สีสัน” ไปจนถึง “สัดส่วน” ของตัวเครื่องที่ใกล้เคียงกันมาก (*ตัวปรีแอมป์เท่ากันทุกด้าน ในขณะที่ตัวเพาเวอร์เวอร์ชั่นใหม่มีความสูงกว่าเวอร์ชั่นเดิมประมาณ 1 ซ.ม. เท่านั้น)
QUAD 33 เวอร์ชั่นใหม่ 2024
เวอร์ชั่นใหม่ 2024
เวอร์ชั่นเดิม 1967
ปรีแอมป์รุ่น 33 ตัวใหม่กับตัวเก่าถ้าดูเผินๆ จะคล้ายกันมาก แต่ถ้าพิจารณาละเอียดจะพบว่ามันมีความต่างกันอยู่มากพอสมควรตรงรายละเอียดของปุ่มหมุนและปุ่มกดบนแผงหน้าปัด รวมถึงจอแสดงผลสีส้มๆ นั้นด้วย ผมมีโอกาสได้เห็นและสัมผัสกับเวอร์ชั่นดั้งเดิมมาแล้ว พบว่าตัวถังของเวอร์ชั่นใหม่ดูแข็งแรงแน่นหนากว่าเวอร์ชั่นเก่าอยู่พอสมควร น้ำหนักเยอะกว่าด้วย บนปุ่มหมุนและปุ่มกดของเวอร์ชั่นเดิมจะมีขีดสีขาวๆ กับตัวเลขสีขาวเขียนกำกับอยู่ด้วยในขณะที่เวอร์ชั่นใหม่ไม่มี
อินพุต/เอ๊าต์พุต
1. ปุ่มวอลลุ่ม
2. ปุ่มปรับเสียงทุ้ม (bass)
3. ปุ่ม tilt ปรับเสียงแหลมและเสียงทุ้มพร้อมกัน
4. ปุ่มปรับบาลานซ์
5. จอแสดงผล
6. ปุ่มกดอินพุต Phono, ฟังท์ชั่น Tone, เปิด/ปิดไฟ backlight และปุ่มเปิด/ปิดเครื่อง (โหมดสแตนด์บาย)
7. รูเสียบแจ็คหูฟัง
8. ช่องรับคลื่นจากรีโมท
9. ปุ่มกดเลือกอินพุต aux1, aux2, aux3 และ XLR
10. เมนสวิทช์สำหรับเปิด (สแตนด์บาย) / ปิดเครื่อง
11. สวิทช์เลือกแรงดันไฟ
12. ช่อง USB-A สำหรับอัพเดตเฟิร์มแวร์
13. ช่องอิน/เอ๊าต์สำหรับสัญญาณ trigger 12V
14. จุดเชื่อมต่อกราวนด์ของเครื่องเล่นแผ่นเสียง
15. ช่อง Analog Input จำนวน 4 ช่อง กับช่องอินพุต Phono สำหรับเครื่องเล่นแผ่นเสียง
16. ช่อง Analog Output จำนวน 3 ช่อง
17. เต้ารับสำหรับสายไฟเอซี
รีโมทไร้สายที่แถมมาให้
พิจารณาจากอินพุต/เอ๊าต์พุตที่ปรีแอมป์ตัวนี้ให้มาแล้ว ต้องยกนิ้วให้เลยว่า ทางผู้ผลิตเขาจัดมาให้เต็มแม็คจริงๆ ไม่ว่าจะในแง่ของช่องอินพุตที่ให้มาทั้งอันบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ RCA จำนวน 3 อินพุต (aux1, aux2 และ aux3) กับอีกหนึ่งช่องอินพุตแบบบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ XLR รวมทั้งหมดเป็น 4 ช่อง อ้อ.. ยังมีอีกหนึ่งอินพุต คือช่อง Phono ซึ่งรองรับทั้ง MM/MC ครบถ้วน (15)
ส่วนทางเอ๊าต์พุตก็มีมาให้ 3 ช่อง (16) เป็นช่องปรีเอ๊าต์ 2 ช่อง ส่งออกสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์ผ่านทางขั้วต่อ RCA หนึ่งช่อง กับส่งออกสัญญาณบาลานซ์ผ่านขั้วต่อ XLR อีกหนึ่งช่อง กับอีกช่องเป็นสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์ที่ไม่ผ่านวอลลุ่ม ไม่ผ่านวงจรโปรเซสเซอร์ คือช่อง aux output ซึ่งปล่อยออกไปเต็มวอลลุ่ม สำหรับนำไปใช้กับแอมป์ที่มีวอลลุ่มคอนโทรล หรือจะเอาไปบันทึกเสียงก็ได้
ปรีเอ๊าต์ RCA vs. XLR
ที่แผงหลังของตัวปรีแอมป์ 33 ให้ช่องเอ๊าต์พุตสำหรับภาคปรีเอ๊าต์มา 2 ชุด ผ่านขั้วต่อ 2 แบบ คือ RCA กับ XLR ซึ่งผมพลิกดูสเปคฯ ในแง่ของ gain output ของทั้งสองช่องนี้แล้ว พบว่ามันให้เกนเท่ากันทั้งสองช่อง แต่ทางผู้ผลิตเขาเชียร์ให้เลือกใช้ช่องบาลานซ์ XLR ก่อนถ้าสามารถทำได้ ด้วยเหตุผลที่ว่า การเชื่อมต่อสัญญาณผ่านช่องบาลานซ์ XLR จะให้ไดนามิกเร้นจ์กว้างกว่า และให้ S/N ratio ที่สูงกว่า (noise ต่ำกว่าช่อง RCA นั่นเอง)
ฟังท์ชั่นพิเศษของ QUAD 33 Pre Amp
ระบบปรับวอลลุ่มของ QUAD 33 เวอร์ชั่น 2024 นี้ทำงานในโดเมนอะนาลอก 100% การเพิ่ม/ลดความดังมีความแม่นยำสูง เพราะอาศัยกลไกวอลลุ่มแบบ potentionmeter ของ ALPS ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ที่มีความละเอียดสูง noise ต่ำ เพื่อความสะดวกในการปรับวอลลุ่มผ่านรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ ซึ่งในเวอร์ชั่นดั้งเดิม 1967 ไม่มีให้ใช้
แต่ฟังท์ชั่นที่เป็นไฮไล้ท์จริงๆ ของ ปรีแอมป์ 33 ตัวนี้ก็คือฟังท์ชั่น tone control ที่ใช้ปรับเพิ่ม/ลดปริมาณของเสียงในย่านทุ้ม–แหลมที่ Peter Walker คิดค้นขึ้นมาใช้ตั้งแต่เวอร์ชั่นดั้งเดิม ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นปรับทุ้ม–แหลมที่มีการทำงานไม่เหมือนใคร โดยแยกการทำงานออกมาเป็น 2 ปุ่ม ปุ่มแรกชื่อว่า ‘bass’ ใช้ปรับปริมาณความถี่ต่ำในย่าน lower-mid ถึง upper-bass จุดประสงค์เพื่อเพิ่มมวลให้กับแหล่งต้นทางที่ให้เนื้อเสียงออกมาบาง และเพื่อใช้ลดอาการเบสบูมอันเนื่องมาจากปัญหา roommode ซึ่งมีเร้นจ์มาให้ผู้ใช้ปรับตั้งค่าได้ทั้งหมด 6dB คือตั้งแต่ -3dB ขึ้นไปถึง +3dB
ปุ่มที่สองเขาใช้ชื่อว่า ‘tilt’ ซึ่งเป็นแนวคิดในการปรับปริมาณทุ้ม/แหลมที่แยบยลไม่เหมือนใคร คือทุกคลิ๊กที่ผู้ใช้หมุนปรับปุ่มนี้ไป ความถี่ทั้งในย่านทุ้มและแหลมจะถูกปรับไปพร้อมๆ กัน ในปริมาณเท่ากันแต่ในทิศทางตรงข้ามกัน ลักษณะคล้ายๆ กระดานหก (seesaw board) โดยที่เขาใช้ความถี่ที่ 700Hz เป็นแกนกลางของกระดานหก ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณหมุนปุ่ม tilt ไปทางซ้าย (ทวนเข็มนาฬิกา) หนึ่งคลิ๊กจะมีผลให้เสียงทุ้ม (ความถี่ที่ต่ำกว่า 700Hz ลงไป) ถูกปรับลดลงเท่ากับ -1dB ในขณะเดียวกันทางฝั่งเสียงแหลม (ความถี่ที่สูงกว่า 700Hz ขึ้นไป) ก็จะถูกเพิ่มขึ้นเท่ากับ +1dB และในทางกลับกัน ถ้าคุณหมุนปุ่ม tilt ไปทางขวาหนึ่งคลิ๊ก (ตามเข็มนาฬิกา) จะมีผลทำให้เสียงแหลม (ความถี่ที่สูงกว่า 700Hz ขึ้นไป) ถูกปรับลดลงเท่ากับ -1dB ในขณะที่ทางฝั่งเสียงทุ้ม (ความถี่ที่ต่ำกว่า 700Hz ลงไป) จะถูกปรับเพิ่มขึ้นเท่ากับ +1dB โดยที่เร้นจ์ที่สามารถปรับได้ทั้งหมดคือ 6dB (-3dB ไปจนถึง +3dB)
ซึ่งข้อดีของฟังท์ชั่น tilt นี้จะส่งผลให้เกิด “บุคลิกเสียง” ที่เอนเอียงไปทางอิ่มหนาหรือโปร่งบางเล็กน้อย โดยไม่กระทบกับปริมาณวอลลุ่มของเสียงโดยรวม และไม่ทำให้โทนัลบาลานซ์ของเสียงด้อยลงไป ผมทดลองใช้ปุ่ม tilt ดูพบว่ามันช่วยจูนโทนเสียงให้ย่านกลางต่ำมีความอิ่มหนาขึ้นได้จริง ซึ่งมีประโยชน์สำหรับงานเพลงเก่าๆ ที่อัดเสียงมาบาง และใช้ลดความขุ่นหนาของเสียงในย่านอัปเปอร์เบสได้กรณีที่บางเพลงบันทึกเสียงมาติดขุ่น ถ้าซิสเต็มจูนมาลงตัวแล้ว ไม่ต้องการใช้ก็สามารถปิดได้
QUAD 303 เวอร์ชั่นใหม่ 2024
1. เต้ารับสายไฟเอซีแบบ 3 ขาแยกกราวนด์
2. เมนสวิทช์
3. ช่องเสียบ trigger switch 12V
4. ปุ่มกดเลือกอินพุต RCA/XLR (บน) และปุ่มกดเลือกโหมด Stereo/Bridge Mono (ล่าง)
5. ขั้วต่ออินพุตบาลานซ์ XLR (บน) และขั้วต่ออินพุตซิงเกิ้ลเอ็นด์ RCA (ล่าง)
6. ขั้วต่อสายลำโพงซ้าย/ขวา
ตัวถังของเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น 303 ตัวนี้ดีไซน์ได้ฉีกหนีไปจากเพาเวอร์แอมป์ทั่วไปอย่างชัดเจน ซึ่งในยุคโน้น (ปี 1967) ถือว่าเดิ้นมาก.!! เป็นงานออกแบบที่ล้ำยุค ดูดีมาจนถึงปัจจุบันก็ยังเท่ แทนที่จะเป็นทรงแบนราบเหมือนเครื่องเสียงทั่วไป แต่นักออกแบบของ QUAD กลับเลือกที่จะทำให้ตัวเครื่องของ 303 มีลักษณะที่สูงขึ้นมาในแนวตั้ง และขนาดสัดส่วนตัวเครื่องก็ไม่ได้ใหญ่โต ออกแนวกระทัดรัดซึ่งในยุคโน้นถือว่าเป็นที่นิยมตัวเครื่องขนาดเล็กแบบนี้ มีหลายแบรนด์ที่อยู่ในยุคใกล้เคียงกันที่ออกแบบตัวถังขนาดเล็กแบบนี้ อาทิ Naim, Cyrus และ Meridian (*QUAD 33/303 ได้รางวัล Council of Industial Desjgn Award เมื่อปี 1969)
ด้านหน้าของเวอร์ชั่นใหม่ก็ดูเผินๆ เหมือนเวอร์ชั่นเดิม ที่ต่างกันก็มีปุ่มสแตนด์บายสีส้มๆ ซึ่งในเวอร์ชั่นเก่าไม่มีปุ่มนี้ เพราะตัว 303 เวอร์ชั่นออริจินัลจะเชื่อมต่อไฟเลี้ยงมาจากตัวปรีแอมป์ 33 เมื่อกดเปิดปรีแอมป์ ตัวเพาเวอร์ฯ ก็จะติดขึ้นมาด้วยโดยอัตโนมัติ ส่วนขั้วต่อต่างๆ ก็ติดตั้งอยู่บนแผงด้านหลังเหมือนกัน แต่ในเวอร์ชั่นใหม่จะเปลี่ยนมาใช้ขั้วต่อแบบใหม่คือ XLR กับ RCA แทนที่ขั้วต่อแบบ DIN 4/5 pin อย่างในอดีต (เวอร์ชั่นเก่าไม่มีฟังท์ชั่น bridge mono)
การออกแบบภายใน
Jan Ertner ออกแบบตัว 303 เวอร์ชั่นใหม่ปี 2024 โดยยึดแนวทางเดิมที่ Peter Walker ทำไว้กับ เวอร์ชั่น 1967 ด้วยการจัดวงจรเอ๊าต์พุตเป็นแบบ ‘symmetrical triples’ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยลดความเพี้ยน (distortion) และมีความสามารถในการจ่ายกระแสอย่างเต็มที่โดยไม่ถูกจำกัดด้วยความร้อนที่เกิดขึ้นบนตัวทรานซิสเตอร์ ส่วนสิ่งที่ Jan Ertner กับทีมออกแบบปรับปรุงเพิ่มเติมขึ้นมาก็คือทำให้ความเพี้ยนลดต่ำลงไปถึงระดับ low level (สัญญาณเสียงที่ระดับความดังต่ำๆ) โดยไม่สูญเสียเสถียรภาพในการทำงานไม่ว่าระดับไดนามิกเร้นจ์จะสวิงไปกว้างแค่ไหน
ในทางปฏิบัติจริงนั้น พวกเขาพยายามทำให้ noise ต่ำตั้งแต่แหล่งต้นทางมาเลย ซึ่งเข้าทางแหล่งต้นทางสัญญาณยุคใหม่ๆ ที่ให้เกนค่อนข้างสูงกว่าในยุคก่อนมาก..
อีกจุดที่ต่างกัน คือในยุคก่อนโน้น การจัดวงจรแบบ complementary transistors คือใช้ทรานซิสเตอร์ NPN/PNP เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เพราะทรานซิสเตอร์ยังมีให้เลือกน้อยในยุคนั้น เอามาจัดแม็ทแพร์ยาก ในเวอร์ชั่นเดิมของ 303 จึงใช้วิธีจัดวงจรของภาคเอ๊าต์พุตแบบ quasi-complementary ในขณะที่เวอร์ชั่นใหม่ปี 2024 ใช้วิธีจัดวงจรเอ๊าต์พุตแบบ fully complementary ทำให้ได้ความราบเรียบของการขยายสูงขึ้น เพราะกระแสไบอัสมีความคงที่และนิ่งมากขึ้น เสียงที่ได้จะมีความนิ่งมากแม้ในขณะที่กำลังขับโหลดด้วยโวลเตจที่สูงและกำลังจ่ายกระแสจำนวนมาก
ฟังท์ชั่นพิเศษของ QUAD 303 เวอร์ชั่นใหม่ 2024
303 เวอร์ชั่นใหม่มีอินพุตบาลานซ์ XLR มาให้ซึ่งในเวอร์ชั่นเก่าไม่มี และยังมีอ๊อปชั่นพิเศษที่เปิดโอกาสให้คุณทำการบริดจ์โมโนได้ด้วย
ที่แผงหลังของตัวเพาเวอร์แอมป์ 303 จะมีทั้งขั้วต่อ RCA (ภาพบน ศรชี้สีฟ้า) และ XLR (ภาพบน ศรชี้สีแดง) ไว้ให้เลือกใช้ แต่ไม่ว่าคุณจะเชื่อมต่อ 303 กับปรีแอมป์ผ่านทางขั้วต่อ RCA หรือผ่านขั้วต่อ XLR ก็ตาม คุณต้องไม่ลืมที่จะกดสวิทช์เลือกอินพุต (ภาพล่าง ศรชี้) สีดำๆ ที่อยู่ใต้ขั้วต่อ RCA ให้ตรงกับช่องอินพุตที่คุณใช้ด้วย (*** ระวังจะกดผิด ไปกดเอาปุ่มเลือกบริดจ์โมโนเข้าล่ะ มันอยู่ใกล้ๆ กัน.!!)
ตอนทดสอบฟังเสียง ผมทดลองใช้ปรีเอ๊าต์ทั้งแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ (RCA) และแบบบาลานซ์ (XLR) พบว่าในแง่ “ความดัง” ไม่ต่างกัน ถ้าตั้งวอลลุ่มไว้ตำแหน่งเดียวกันก็จะได้ความดังออกมาสูสีกัน แต่เชื่อมต่อผ่าน XLR จะรู้สึกว่าได้อัตราสวิงของไดนามิกกว้างกว่า และพื้นเสียงสงัดกว่านิดหน่อย คือหลังจากลองแล้ว อยากจะบอกว่า ประเด็นของ “อัตราสวิงไดนามิก” กับ “ความสงัดของพื้นเสียง” ที่ต่างกันระหว่างการเชื่อมต่อผ่าน RCA และ XLR ของปรี+เพาเวอร์ฯ QUAD คู่นี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายสำหรับผม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมจะให้ความสำคัญกับ “ความต่อเนื่องกลมกลืน” กับ “โทนัลบาลานซ์” ของเสียงโดยรวมมากกว่า ความหมายก็คือ ถ้าคุณมีความพร้อมสำหรับการเชื่อมต่อระหว่าง 33 กับ 303 ด้วยสายบาลานซ์ XLR ที่ดีพอ ซึ่งนอกจากจะให้ไดนามิกที่เปิดกว้างและให้ความสงัดของพื้นเสียงที่ดีแล้ว ถ้าได้โทนัลบาลานซ์กับความต่อเนื่องกลมกลืนที่ดีออกมาด้วยก็ถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าคุณมีแต่สายสัญญาณ RCA ดีๆ อยู่แล้ว ก็สามารถนำมาใช้เชื่อมต่อระหว่าง 33 กับ 303 ได้ และถ้าแม็ทชิ่งดีๆ ก็สามารถทำให้ได้เสียงออกมาดีได้เหมือนกัน ความหมายของผมก็คือ ไม่ต้องพะวงกับการเชื่อมต่อด้วยขั้วต่อ XLR มากจนเกินไปนั่นเอง ยังไงเรื่องของการแม็ทชิ่งก็ยังมีอิทธิพลมากกว่า XLR หรือ RCA อยู่ดี
แม็ทชิ่ง
กรณีที่จับ QUAD 33 กับ 303 ทำงานคู่กัน อาจดูเหมือนว่าจะตัดปัญหาเรื่อง gain แม็ทชิ่งระหว่างปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ไปได้เปราะหนึ่ง แต่จริงๆ แล้ว คุณก็ยังต้องให้ความสำคัญกับ “สายสัญญาณ” อยู่ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ต้องแม็ทชิ่งให้ดี เพราะสายสัญญาณระหว่างปรีกับเพาเวอร์ฯ ไม่ได้มีผลเฉพาะทางด้านโทนเสียงเท่านั้น แต่มีผลทางด้าน gain ด้วย จากการทดลองแม็ทชิ่งของผม พบว่า สายสัญญาณที่มีคุณภาพสูงมีผลกับเสียงของ 33 + 303 มาก โดยเฉพาะกรณีของผมที่แยกชั้นวางเครื่องออกเป็น 2 จุด คือที่ด้านข้างตำแหน่งนั่งฟัง กับบนพื้นระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง ทำให้ผมมีอ๊อปชั่น 2 แบบในการเซ็ตอัพซิสเต็ม
แบบแรกผมทดลองวาง 33 + 303 ไว้บนชั้นไม้เตี้ยๆ ของ Guizu บนพื้นระหว่างลำโพงซ้าย–ขวา และเชื่อมต่อสัญญาณระหว่าง 33 กับ 303 ด้วยสายสัญญาณที่ยาวแค่ 1 เมตร ส่วนสัญญาณจากสตรีมเมอร์ที่วางอยู่บนชั้นวางอีกตัวที่อยู่ด้านข้างตำแหน่งนั่งฟังผมเชื่อมต่อมาที่ปรีแอมป์ 33 ผ่านสายสัญญาณที่ลากยาวถึง 7 เมตร
กับอีกแบบ คือผมแยกเพาเวอร์แอมป์ 303 ไปวางไว้บนชั้นไม้ Guizu บนพื้นระหว่างลำโพงซ้าย–ขวา แล้วเอาปรีแอมป์ 33 ไปวางบนชั้นที่อยู่ด้านข้างรวมอยู่กับสตรีมเมอร์ ส่วนการเชื่อมต่อผมก็เปลี่ยนเอาสายสัญญาณที่ยาว 1 เมตร มาเชื่อมต่อระหว่างสตรีมเมอร์กับปรีฯ แล้วใช้สายสัญญาณยาว 7 เมตร เชื่อมต่อระหว่างปรี 33 ไปที่เพาเวอร์ 303 ผลปรากฏว่า เชื่อมต่อแบบหลังนี้ให้เสียงโดยรวมออกมา “ดีกว่า” แบบแรก เห็นชัดในแง่ของโทนัลบาลานซ์ที่สมดุลมากกว่า ไม่ว่าจะใช้การเชื่อมต่อทาง XLR หรือ RCA ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันมาก ที่รู้สึกได้คือ ต่อผ่าน XLR จะได้เสียงที่มีความสดสว่างมากกว่า ไดนามิกรุนแรงกว่า แต่ก็ไม่ได้เยอะมาก
แม็ทชิ่ง 303 กับลำโพง
ช่วงที่ปรี/เพาเวอร์ 33+303 อยู่ในห้องทดสอบ เป็นช่วงที่มีลำโพงผ่านเข้ามาหลายคู่ นับรวมๆ แล้วผมมีโอกาสใช้ลำโพงถึง 9 คู่ทดลองแม็ทชิ่งกับปรี+เพาเวอร์ฯ QUAD คู่นี้
หลังจากทดลองขับกับลำโพงครบทั้ง 9 คู่แล้ว ผมพบว่า สเปคฯ ของลำโพงที่ส่งผลต่อปรี+เพาเวอร์ฯ QUAD คู่นี้มากที่สุดก็คือ “อิมพีแดนซ์” กับ “ความไว” ของลำโพง ซึ่งจากตารางข้างบน สังเกตจากเครื่องหมายถูกที่อยู่ข้างหลังรายชื่อลำโพงแต่ละคู่ คู่ที่ติดเครื่องหมายถูก “สีเขียว” คือลำโพงที่จับคู่กับแอมป์คู่นี้แล้วได้เสียงที่ให้ค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจมากกว่าคู่ที่ติดเครื่องหมาย “สีเหลือง”
ผมใช้วิธีประเมินสมรรถนะของแอมป์ในการขับลำโพงโดยดูที่ “ผลรวม” ของความเป็นดนตรีที่ได้ออกมา คือถ้าแอมป์ขับลำโพงได้เต็มที่ มันจะไม่เกี่ยงแนวเพลง คือฟังเพลงแนวไหนก็รู้สึกอินกับเพลงนั้นๆได้หมด ส่วนในแง่ของคุณภาพเสียงจะรู้สึกได้ว่าเสียงโดยรวมออกมาเต็ม เวทีเสียงแผ่กว้าง ไดนามิกสวิงเต็มไม่อั้น เนื้อเสียงเนียนสะอาด แต่ถ้าแอมป์เอาไม่อยู่อย่างแรงคือ “ขับไม่ออก” จะรู้สึกเลยว่าทนฟังไม่ได้นาน ไม่รู้สึกเพลินไปกับเพลงที่ฟัง แต่ถ้า “ขับได้” ไม่ถึงขั้นขับไม่ออกแต่ไม่เต็มที่ จะฟังเพลงบางแนวได้ดีน่าพอใจ แต่กับบางแนวที่เน้นพลังและไดนามิกแรงๆ จะรู้สึกได้ว่าออกมาไม่เต็ม
ในจำนวนทั้ง 9 คู่นี้ ลำโพงที่จับกับ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่แล้วออกมาดีน่าพอใจมีอยู่ 5 คู่ คือ PSB ‘Alpha P5’, Focal ‘VESTIA No.1’, Klipsch ‘RP-600M II’, Usher ‘S-520’ (REVIEW) และ Wharfedale ‘Super Linton’ ซึ่งทั้งหมดนี้มีอิมพีแดนซ์อยู่ที่ 6 – 8 โอห์ม ส่วนความไวอยู่ระหว่าง 86 – 94.5dB
นอกนั้นที่เหลืออีก 4 คู่ คือ Audio Physic ‘Classic 8’ (REVIEW), Focal ‘THEVA No.3’ (REVIEW), KEF ‘Q Concerto Meta’ (REVIEW) และ Totem Acoustic ‘The One’ ผลจากการจับคู่กับแอมป์คู่นี้ออกมาอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ แนวเพลงที่ไม่ซับซ้อน เกนสัญญาณของเพลงสูงๆ จะออกมาน่าพอใจ ส่วนประเด็นที่รู้สึกว่ายังไม่เต็มร้อยก็คือทางด้านไดนามิกที่ยังสวิงได้ไม่เต็มสเกล (ถ้าคะแนนเต็ม 100 ก็ทำได้ประมาณ 70-80%)
กับลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม อย่าง Focal ‘THEVA No.3‘ ซึ่งเป็นลำโพงตั้งพื้น ความไวอยู่ที่ 91dB ผลการทดลองฟังกับ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่คู่นี้ โดยรวมกลาง–แหลมออกมาดีน่าพอใจมาก (น่าจะเป็นเพราะความไวที่ค่อนข้างสูง) ที่ยังติดอยู่นิดเดียวคือย่านทุ้มลึกๆ ที่มีอาการย้วยหน่อยๆ ยังไม่กระชับแน่นและตอบสนองได้เร็วอย่างที่ใจอยากได้ เคยขับ THEVA No.3 ด้วยสตรีมเมอร์/ปรี Audiolab ‘9000N’ + เพาเวอร์ QUAD ‘Artera Stereo’ ได้เบสออกมากระชับแน่นและเร็วกว่า ซึ่งน่าจะเป็นเพราะ 303 มีกำลังน้อยไปหน่อยสำหรับลำโพงตั้งพื้นของ Focal คู่นี้
ส่วนคู่ที่ให้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจมากที่สุดก็คือ Wharfedale รุ่น Super Linton ซึ่งทางผู้นำเข้าคือ บริษัท Hifi Tower ส่งมาให้ทดลองฟังพร้อมกับแอมป์คู่นี้ โดยบอกว่า ในเมืองนอกจัดแอมป์ QUAD 33/303 คู่นี้กับลำโพง Wharfedale รุ่น Super Linton เข้าชุดกันแล้วได้ผลทางเสียงที่ดี หลังจากผมได้ทดลองฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่า ผลทางเสียงของ 33/303 + Super Linton มันออกมาดีน่าพอใจจริงๆ โดยเฉลี่ยทำได้ดีในทุกคุณสมบัติ ถ้าอ้างว่า ทางผู้ผลิตแอมป์กับลำโพงชุดนี้จูนมันมาด้วยกัน (เพราะผลิตมาจากเครือเดียวกันคือ IAG) ผมก็เชื่อนะ เพราะเสียงมันออกมากลมกล่อมดีจัง
เสียงของ QUAD 33/303 เวอร์ชั่น 2024
ผมมีโอกาสได้ทดลองฟังเสียงของ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นออริจินัล 1967 ด้วย แม้ว่าจะอยู่ในเงื่อนไขที่ไม่สมบูรณ์ 100% แต่ก็พอจะจับแนวเสียงได้ พบว่า แอมป์ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นออริจินัลให้เสียงกลางที่โดดเด่นมาก เห็นได้ชัดจากเสียงร้องของนักร้องชายและหญิงที่มาครบทั้งความละมุนละม่อมและรายละเอียดที่ฟังแล้วรู้สึกเหมือนฟังเสียงที่ร้องออกมาจากปากของคนจริงๆ มาก ซึ่ง QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่ของปี 2024 คู่นี้ก็ยังคงให้เสียงกลางที่โดดเด่นเป็นพระเอกอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน 33/303 เวอร์ชั่นใหม่ได้ปรับจูนเสียงให้มีความสด สมจริง เพิ่มมากขึ้น ฟังสนุกขึ้น.!!
อัลบั้ม : Mari (xrcd, WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Mari Nakamoto
สังกัด : Three Blind Mice
อัลบั้ม : A World of Love (xrcd, WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ayako Hosokawa
สังกัด : Three Blind Mice / FIM
ฟังเสียงร้องของ Mari Nakamoto ในอัลบั้ม Mari แล้วบอกเลยว่า แอมป์ QUAD คู่นี้ตอบสนองคอนทราสน์ไดนามิกออกมาได้เยี่ยมยอดมาก.!! และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เสียงกลางของแอมป์คู่นี้มีเสน่ห์ ฟังแล้วรื่นละมุนหูมากเป็นพิเศษ คำร้องแต่ละคำที่หลุดพ้นปากของ Mari ออกมามันมีลีลาที่พลิ้วไปตามโทนสูงๆ ต่ำๆ ของโน๊ตที่ต่อเนื่องลื่นไหลไปตลอด จากคำหนึ่งไปสู่อีกคำหนึ่งมันมีการเชื่อมโยงทั้งน้ำหนัก โทน และลีลาครบ ได้ฟังอัลบั้มนี้ผ่านแอมป์ QUAD คู่นี้แล้วทำให้เข้าใจเลยว่า เพราะอะไรนักร้องคนนี้จึงได้รับความนิยมสูงมากในยุคของเธอ
อีกอย่างหนึ่งที่รับรู้ได้ผ่านการฟังอัลบั้มนี้ก็คือ “ความสะอาด” ของพื้นเสียง ที่ช่วยขับให้บอดี้ของเสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีมีลักษณะที่เข้มข้น และลอยเด่นขึ้นมาในอากาศในลักษณะที่มีทรวดทรงเป็นสามมิติ ซึ่งจริงๆ แล้ว ลักษณะเสียงที่ได้ยินนี้ก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับแนวทางการบันทึกเสียงของค่าย Three Blind Mice เหมือนกัน เพื่อให้ชัวร์ ผมลองเลือกอัลบั้มชุด A World of Love ของ Ayako Hosokawa ซึ่งเป็นงานบันทึกเสียงของค่าย Three Blind Mice เช่นเดียวกัน พบว่า เสียงที่ออกมาก็เป็นไปในทิศทางเดียวกับตอนฟังชุด Mari ของ Mari Nakamoto เป๊ะ.! แถมสงัดและมีความเข้มข้นมากกว่าด้วย ตัวเสียงร้องลอยออกมาเป็นตัวเข้มๆ เสียงเปียโนกลมเป็นเม็ด มีมวลหนาๆ ไม่ได้ใสเป็นแก้ว พื้นเสียงสงัดมากๆ แบ็คกราวนด์มืดสนิท ซึ่งน่าจะเป็นบุคลิกของแอมป์คู่นี้ด้วยซึ่งไปในแนวทางเดียวกับการบันทึกเสียงของค่าย Three Blind Mice นั่นเอง
อัลบั้ม : Say It With Music (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Margie Gibson
สังกัด : Sheffield Lab
หลังจากหันไปฟังเพลงจาก TIDAL มาสักพัก พอลองกลับมาเลือกไฟล์เพลงที่ริปจากแผ่นซีดีของค่ายเพลงระดับไฮเอ็นด์มาฟังต่อเนื่องกัน 4 – 5 ชุด จะรู้สึกถึงความละเมียดละมัยที่เหนือกว่าตอนฟังจากคลังเพลงของ TIDAL ซึ่งไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะแอมป์ QUAD 33/303 คู่นี้หรือเปล่า.? ที่ทำให้เกิดอารมณ์แบบนี้..??
Margie Gibson เป็นนักร้องที่ Lincoln Mayorga เลือกมาขับร้องคลอไปกับเสียงเปียโนที่เขาเล่น เป็นเพลงแจ็สร่วมสมัยอัลบั้มแรกๆ ที่ค่ายเชฟฟิลด์ แล็ปทำออกมา ทางด้านมาตรฐานการบันทึกเสียงนั้นไม่เป็นที่สงสัย เมื่อฟังผ่าน QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่ขับลำโพงสามทาง Wharfedale ‘Super Linton’ มันชำแหละออกมาให้รับรู้ถึงลักษณะแก้วเสียงของ Margie ที่ผสมผสานระหว่างความนุ่มกับความกังวานออกมาได้แปลกหูมาก คือปกติแล้ว คนที่แก้วเสียงใสกังวาน เนื้อเสียงมักจะบาง แต่เสียงของมาร์กี้ กิปสันคนนี้เธอมีทั้งความกังวานและความหนาอิ่มของมวลเนื้อออกมาให้ได้ยินพร้อมๆ กัน เป็นเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์เฉพาะจริงๆ
ฟังมาถึงตรงนี้ มีอะไรบางอย่างสะดุดใจ ผมลองย้อนกลับไปฟังเสียงร้องของมารี นากาโมโต้อีกที ก็พบว่าแก้วเสียงของมารีกับมาร์กี้ทั้งสองคนนี้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน โทนเสียงของมารีจะอมโศรก ติดหม่นกว่า ในขณะที่โทนเสียงของมาร์กี้มีความสดใสผสมอยู่ในโทนเสียงมากกว่า ความรู้สึกนี้สะท้อนให้เห็นว่า QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่นี้มีความสามารถในการถ่ายทอดโครงสร้างฮาร์มอนิกที่แม่นยำมาก..
อัลบั้ม : Spain (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Michel Camilo & Tomatito
สังกัด : Lola Records
เสียงเปียโนของ Lincoln Mayorga ในอัลบั้มก่อนหน้านั้นมันสะดุดหูของผมมาก คือผมรู้สึกว่า เสียงเปียโนของลินคอร์น มายอก้ามันออกมานัวๆ ไม่ค่อยจะได้ยินอิมแพ็คของหัวโน๊ตที่เกิดจากฆ้อนเคาะสายพุ่งออกมา หรือจะเป็นเจตนาทำให้เสียงเปียโนออกมาลักษณะนั้นเพื่อให้เสียงร้องมีลักษณะที่เด่นกว่า.? คือถ้าเทียบกันแล้ว ผมว่าเสียงเปียโนจากอัลบั้มอื่นๆ มักจะออกมาใสกระจ่างมากกว่านั้น
ผมจำได้ว่าเสียงเปียโนและกีต้าร์คลาสสิกในอัลบั้มชุด Spain ของสองศิลปิน Michel Camilo (เปียโน) กับ Tomatito (กีต้าร์คลาสสิก) มันมีลักษณะที่ “จัดจ้าน” มาก โดยเฉพาะลีลากรีดปลายนิ้วบนสายกีต้าร์ของ Tomatito นั้น พูดได้ว่า พุ่งทะลุลำโพงออกมายังกะลูกปืน.! ทั้งคมและฉับไว แรงปะทะล้นเหลือ ถ้าซิสเต็มไม่ดี + เซ็ตอัพไม่ลงตัว จะทนฟังไม่ได้อย่างแน่นอน หลายๆ ครั้งเมื่อผมสงสัยว่าเสียงที่มีลักษณะนุ่มน่วม ไม่เปิดกระจ่าง ไม่สดใส มันมาจากเพลงหรือจากซิสเต็ม ผมจะเปิดเสียงเปียโนกับเสียงกีต้าร์ในอัลบั้มชุดนี้ฟังก็จะประเมินอะไรๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น คราวนี้ผมจึงเรียกใช้บริการของอัลบั้มนี้อีกครั้ง
ผมพบว่า ครั้งนี้เสียงเปียโนกับเสียงกีต้าร์ของอัลบั้มชุดนี้ออกมาน่าฟังมาก คือความสดกระจ่างสุดๆ ยังคงอยู่ โดยเฉพาะเสียงกีต้าร์ของ Tomatito ก็ยังคงดุดันเหมือนเดิม แต่ภายใต้ความสดและดุดันนั้น มันเจือด้วยความน่าฟังออกมาด้วย เนื่องเพราะไม่มีอาการเสียดแทงหูเกิดขึ้นเหมือนบางครั้งที่ผมเคยฟังมา ซึ่งที่ผ่านมาเวลาฟังอัลบั้มนี้แล้วรู้สึกเสียดหู ผมสังเกตว่ามักจะมีสาเหตุมาจากลำโพงหรือแอมป์ (หรือทั้งลำโพงและแอมป์) มันให้ปลายเสียงแหลมที่มีลักษณะหยาบและจัดจ้าน เพราะมีความเพี้ยนของฮาร์มอนิกปนออกมาด้วย แต่ครั้งนี้ผมไม่มีความรู้สึกเสียดหูจากการฟังอัลบั้มนี้เลย แม้ว่าลำโพง Focal ‘VESTIA No.1’ ที่ใช้ฟังกับแอมป์ QUAD คู่นี้จะใช้ทวีตเตอร์โดมโลหะ เสียงกีต้าร์ก็ยังออกมาสะอาด ปลายเสียงพุ่งเปิด โดยไม่มีอาการระคายหูปนออกมาเลย แทรคที่โชว์ให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดเสียงแหลมที่เยี่ยมยอดก็คือเพลง La Vaciola ซึ่งเป็นแทรคที่ Michel Camilo กับ Tomatito ดวลกันอย่างเมามัน ต่างฝ่ายต่างก็อัดพลังใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร ซึ่งแอมป์ของ QUAD คู่นี้สามารถแยกแยะให้ได้ยินชัดเจนว่าโน๊ตไหนเป็นเสียงของเปียโน โน๊ตไหนเป็นเสียงของกีต้าร์ แม้ในขณะที่เล่นพร้อมกัน แสดงว่าแอมป์คู่นี้สามารถถ่ายทอดและแยกแยะส่วนที่เป็น fundamental ของหัวโน๊ตและ harmonic structure หรือโครงสร้างฮาร์มอนิกของโน๊ตแต่ละตัวออกมาได้อย่างถูกต้อง ทำให้ฟังแล้วรู้ทันทีว่าโน๊ตนี้เป็นเสียงของเปียโน และโน๊ตนั้นเป็นเสียงของกีต้าร์ เพราะแม้ว่าเสียงของทั้งสองเครื่องดนตรีนั้นจะมีระดับความถี่อยู่ในย่านที่ใกล้เคียงกัน แต่เนื่องจากสายกีต้าร์กับสายเปียโนมีโครงสร้างฮาร์มอนิกที่แตกต่างกัน ถ้าแอมป์ไม่ดี ถ่ายทอดฮาร์มอนิกไม่ถูกต้อง คือมีความเพี้ยน THD สูง จะทำให้เสียงเปียโนกับกีต้าร์ออกมาคล้ายกันจนแยกไม่ออก แต่ถ้าแอมป์ดีพอจะต้องสามารถถ่ายทอดฮาร์มอนิกของทั้งสองเครื่องดนตรีออกมาให้ได้ยินความแตกต่างได้ชัดเหมือนกับ QUAD คู่นี้ นี่พิสูจน์ให้เห็นถึงความสามารถในการถ่ายทอดฮาร์มอนิกที่เยี่ยมยอดของแอมป์ QUAD คู่นี้ได้อย่างชัดเจน
มีอีกอย่างหนึ่งที่ผมรับรู้ได้จากการทดลองตั้งใจฟังเสียงแหลมของแอมป์ QUAD คู่นี้ผ่านเพลงประเภทต่างๆ มาสอง–สามอัลบั้ม คือผมพบว่ามันเป็นเสียงแหลมที่มีลักษณะเปิดเผย และชี้ชัด แต่ในขณะเดียว มันก็มีลักษณะของ “ความควบคุม” อยู่ในที คือจะว่ามันโรลออฟปลายเสียงให้หดสั้นก็ไม่ใช่ เพราะหลายๆ อัลบั้มที่ฟังมามันก็แสดงรายละเอียดของเสียงที่อยู่ในย่านแหลมออกมาให้ได้ยินครบอยู่ ไม่รู้สึกว่าเสียงแหลมจมหรือห้วนหายไป ทว่า พอพยายามตั้งใจฟังจับประเด็นดีๆ ผมพบว่า เพราะความกังวานของปลายเสียงแหลมที่ไม่ทอดยาวมากไปนั่นแหละที่ทำให้เสียงแหลมของแอมป์ QUAD คู่นี้มีลักษณะที่สะอาด ปลายเสียงไม่สุกสว่าง และไม่มีอาการแตกปลายซิบๆ มีผลให้เสียงแหลมของแอมป์คู่นี้มีความละมุนหูเป็นพิเศษ ซึ่งมักจะเกิดกับเพลงทุกเพลงที่ฟัง แม้จะเล่นเพลงที่เคยพบว่าแหลมจัดจ้านผลที่ออกมาคือรู้สึกได้เลยว่า อาการจัดจ้านลดน้อยลงไปมาก..
อัลบั้ม : Cool & Collected (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Miles Davis
สังกัด : Columbia
ปลายเสียงของเครื่องดนตรีที่มีโทนแปร่งหูอย่างเสียงมิวทรัมเป็ตของ Miles Davis ที่มักจะฟังแล้วเกิดอาการล้าหูได้ง่ายถ้าเล่นผ่านแอมป์+ลำโพงที่ให้เสียงแหลมจัดจ้าน ซึ่งอาการที่ว่านั้นแทบจะไม่โผล่ออกมาให้ได้ยินเลยเมื่อเล่นผ่านแอมป์ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่คู่นี้.!!
นั่งฟังอัลบั้ม Cool & Collected ของไมล์ เดวิสชุดนี้มาสักพัก นอกจากจะได้ยินเสียงทรัมเป็ตของไมล์ที่ฟังลื่นหูกว่าที่เคยแล้ว ผมยังรู้สึกว่า “อิน” ไปกับลีลาของเพลงในอัลบั้มนี้ได้มากกว่าทุกครั้งที่ฟัง ซึ่งโดยปกติแล้ว เพลงของไมล์ เดวิสเป็นเพลงประเภทที่เข้าถึงยาก เพราะมันแทบจะไม่มีความพ๊อพอยู่ในเพลงเลย เมื่อไรที่ฟังแล้วเกิดความรู้สึกว่าเชื่อมต่อกับเพลงได้ง่าย แสดงว่าเครื่องเสียงที่ใช้ฟังชุดนั้นมีความสามารถตอบสนองต่อ “ไทมิ่ง” ที่แม่นยำและมีความต่อเนื่องที่ดี ซึ่งผมคิดว่า คุณสมบัติของ QUAD 33/303 ข้อนี้นี่แหละที่สร้างชื่อเสียงให้กับแอมป์แบรนด์นี้ หลายๆ เสียงของนักวิจารณ์มักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แอมป์ของ QUAD ถ่ายทอดความเป็นดนตรีออกมาได้ดี ซึ่งผมเห็นด้วยอย่างมาก.!! ตอนเล่นเพลงช้า มันก็ไม่ได้ดึงจังหวะเพลงให้หน่วงช้าจนน่าเบื่อ ทว่าเป็นความช้าที่สอดคล้องกับอารมณ์ของเพลง ช้าเพราะเป็นลีลาของศิลปิน ในขณะเดียวกัน ตอนเล่นเพลงเร็ว สปีดของเพลงก็ดำเนินไปอย่างฉับไวแต่ไม่เร็วเกินไปจนตามรายละเอียดไม่ทัน ทว่า ความเร็วกระชับของเสียงที่แอมป์คู่นี้ถ่ายทอดออกมามันช่วยทำให้อารมณ์ของเพลงมีความคึกคัก กระฉับกระเฉง รื่นเริง และสนุกสนาน อยากจะบอกว่า “ความเป็นดนตรี” คือไฮไล้ท์ของแอมป์ QUAD คู่นี้.!!!
อัลบั้ม : The Best Selected (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : นันทิดา แก้วบัวสาย
สังกัด : GMM Grammy
เคยสงสัยมั้ยว่า ถ้าในเพลงมี “ตำหนิ” ของเสียงที่เกิดจากการบันทึกเสียง หรือการมิกซ์เสียง ผสมอยู่ในเพลงนั้น เวลาเอามาเปิดฟังผ่านชุดเครื่องเสียงที่ถ่ายทอดแบบตรงไป–ตรงมา เราควรจะได้ยินเสียงเพลงนั้นออกมาในลักษณะไหน.? ซิสเต็มเครื่องเสียงที่ดี จะทำให้ “ตำหนิ” ที่อยู่ในเพลงนั้นหายไปหรือเปล่า.?
แอมป์ QUAD 33/303 เวอร์ชั่นใหม่คู่นี้มันมีพฤติกรรมที่ปฏิบัติกับเพลงที่มีตำหนิในลักษณะที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างในอัลบั้ม The Best Selected ของ นันทิดา แก้วบัวสาย ชุดนี้ ผมชอบเพลง ‘ทรายกับทะเล‘ และเพลง ‘วิมานดิน‘ ซึ่งเป็นสองเพลงที่มีทำนองไพเราะน่าฟัง เสียงโดยรวมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี มีตำหนิอยู่ที่เสียงดนตรีบางชิ้นที่มีอาการคมแข็งนิดๆ ซึ่งเมื่อฟังผ่าน QUAD 33/303 คู่นี้ อย่างแรกที่ผมพบก็คือ เสียงร้องของนันทิดาฟังดูว่ามีความละเมียดละมัยมากเป็นพิเศษ อารมณ์ของเธอพรั่งพรูออกมามากกว่าที่เคยฟัง ลื่นไหลและต่อเนื่องดีมาก ในขณะเดียวกัน เสียงเครื่องดนตรีบางชิ้นก็ยังคงมีอาการคมแข็งปนมากับเนื้อเสียงอยู่ แต่ไม่รุนแรงมากจนถึงกับเข้าไปรบกวนอารมณ์ของเพลง คือยังคงได้ยินว่ามีอาการแข็งในเนื้อเสียง แต่ไม่ได้ถูกเน้นออกมา ในณะที่ส่วนที่ดีถูกถ่ายทอดออกมาให้ได้ยินครบ มีผลให้รวมๆ แล้วฟังดีขึ้นทั้งสองเพลง ที่โดดเด่นชัดเจนคือ “ไทมิ่ง” ของทั้งสองเพลงนี้มันลื่นไหลดีมาก ซึ่งเป็นอิทธิพลที่ได้รับมาจากแอมป์ QUAD คู่นี้นี่เอง
สรุป
แอมป์ประเภทนี้ทดสอบยากที่สุด.! คือถ้าฟังไปเรื่อยๆ แบบไม่ตั้งใจแยกแยะอะไรออกมา ก็แทบจะไม่รู้เลยว่า ลักษณะเสียงของแอมป์คู่นี้เป็นแบบไหน เพราะจะว่าไปแล้ว มันเป็นแอมป์ที่ไม่มี “เสียงของตัวเอง” ที่ชี้ชัดแบบโดดเด่นมากๆ แต่มันสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองไปตามลักษณะของเพลงได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ถ้าลองฟังไปเรื่อยๆ โดยไม่พยายามแยกแยะอะไร ด้วยเหตุที่เป็นแอมป์ที่ให้ความเป็นดนตรีดีมาก จึงทำให้คุณเพลินไปกับเพลงที่ฟังโดยไม่รู้ตัว
ฟังท์ชั่น tilt ที่ใช้ปรับโทนเสียงของปรีแอมป์ QUAD 33 เป็นเครื่องมือที่ใช้ปรับจูน “โทนเสียง” ของซิสเต็มโดยไม่ส่งผลกับ gain รวม ซึ่งเป็นวิธีจูนโทนเสียงที่ได้ผลจริง คนที่ไม่ชอบใช้ฟังท์ชั่นปรับทุ้ม–แหลมของปรีแอมป์ต้องลองฟังท์ชั่น tilt ของปรีแอมป์ตัวนี้ บอกเลยว่ามันคือเครื่องมือที่ให้ผลลัพธ์น่าทึ่งมาก อยากแนะนำให้ลอง.!!!
แม้ว่ากำลังขับของ QUAD 303 จะระบุไว้แค่ 50W แต่ถ้าจับกับลำโพงที่มันขับไหว คุณก็แทบจะไม่ต้องเป็นกังวลกับมันเลย ไม่ว่าจะเล่นเพลงแนวไหน จะหนักจะเบา แอมป์ QUAD คู่นี้ก็สามารถถ่ายทอดบทเพลงเหล่านั้นออกมาให้คุณฟังได้อย่างที่เจ้าของเพลงเหล่านั้นต้องการนำเสนอโดยไม่มีอะไรตกหล่น ถ้าใครถามว่า เสียงของแอมป์ QUAD 33/303 เวอร์ชั่น 2024 คู่นี้ให้เสียงออกมาเป็นยังไง.? ผมแนะนำคำตอบสั้นๆ ที่ครอบคลุมมากที่สุดก็คือ มันให้เสียงที่มี “ความเป็นดนตรี” เต็มเปี่ยม.. แค่นี้.!!
ด้วย “รูปลักษณ์ + ชื่อเสียงแต่เก่าก่อน + คุณภาพเสียงที่ปรับจูนมาใหม่” กับราคาขายที่ทางบริษัท Hifi Tower ทำโปรโมชั่นอยู่ที่คู่ละ 100,000 บาท ถ้วนๆ ผมเชื่อเลยว่า QUAD 33/303 เวอร์ชั่น 2024 คู่นี้จะเป็นผลิตภัณฑ์เด่นที่ถูกพูดถึงไปอีกนานทีเดียว.!!!
********************
ราคา : โปรโมชั่น
QUAD 33 Preamp = 54,000 บาท / ตัว
(จากราคาเต็ม 67,500 บาท / ตัว)
QUAD 303 Power Amp = 54,000 บาท / ตัว
(จากราคาเต็ม 67,500 บาท / ตัว)
(*โปรโมชั่น#2 เมื่อซื้อพร้อมกัน ลดเพิ่มอีก 8,000 บาท เหลือ 100,000 บาท / คู่)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5
facebook: @hifitowerShop
LineID: @hifitower