“.. ถ้าคำกล่าวที่ว่า ลำโพงใหญ่ให้เสียงดีกว่าลำโพงเล็ก เป็นสัจจธรรมจริง ปัจจุบันก็คงจะไม่มีใครทำลำโพงขนาดเล็กที่มีราคาสูงๆ ออกมาแล้วซิ.. ผมคิดแบบนี้ถูกมั้ยครับ.? ถ้าข้อเท็จจริงเป็นไปตามที่ผมคิด แบบนี้ก็แสดงว่า ลำโพงเล็กจะต้องมีอะไรดีอยู่ในตัวที่ลำโพงใหญ่ทำไม่ได้ หรือสู้ไม่ได้ใช่มั้ยครับ.?”
ผมชอบทัศนตคติในการเล่นเครื่องเสียงของเด็กรุ่นใหม่นะ พวกเขาเกิดมาในยุคที่ข้อมูลข่าวสารเป็นของหาง่าย กระจายอยู่รอบตัว อยากรู้อะไรก็แค่เคาะจิ้มปลายนิ้วสอง–สามทีก็รู้เรื่องแล้ว เป็นเงื่อนไขที่ทำให้พวกเขากล้าคิดและไม่หลงติดอยู่ในกับดักของ “ความเชื่อ” ผิดๆ ที่ถ่ายทอดต่อๆ กันมา ความสงสัยใคร่อยากรู้ของพวกเขาเป็นเครื่องชี้นำอย่างดีที่ทำให้พวกเขาสามารถพัฒนาการเล่นเครื่องเสียงไปข้างหน้าได้โดยไม่หลงทาง
เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องแล้วที่ว่า ลำโพงเล็กๆ มีดีในตัวของมันเองที่สามารถสู้กับลำโพงขนาดใหญ่ได้ จะพูดให้ถูกต้องบอกว่า ระหว่างลำโพงเล็กดีๆ กับลำโพงใหญ่ดีๆ ต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่ต่างกัน และจุดอ่อนของลำโพงเล็กก็คือคุณสมบัติที่ลำโพงใหญ่ทำได้ดี ในทางกลับกัน จุดอ่อนของลำโพงใหญ่ก็คือคุณสมบัติที่ลำโพงเล็กทำได้ดี เมื่อต่างก็มีดีไปกันคนละด้านแบบนี้ก็เลยทำให้ยังคงมีทั้งลำโพงเล็กและลำโพงใหญ่ปรากฏให้เห็นอยู่ในตลาด ส่วนจะชอบแบบไหนนั้น ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และรสนิยมของคุณเองเป็นตัวตัดสิน ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับถูกหรือผิด
Usher รุ่น S-520
หนึ่งในลำโพงเล็กที่โดดเด่นในวงการ
S-520 เป็นลำโพงที่มีขนาดตัวตู้ที่เล็กมาก แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นลำโพงที่มีนักเล่นฯ ทั่วโลกให้ความนิยมชมเชยมากทั้งๆ ที่มีขนาดตัวตู้ที่เล็กกระทัดรัดเยี่ยงนั้น S-520 มีดีอะไร.? ก่อนจะไปขุดคุ้ยคุณสมบัติที่ดีเด่นของลำโพงเล็กจากประเทศไต้หวันคู่นี้ เรามาพิจารณารูปร่างหน้าตาของมันก่อนดีกว่า
ตัวตู้ของ S-520 มาในรูปแบบของกล่องสี่เหลี่ยมทรงสูงเหมือนลำโพงทั่วไป แผงหน้าของมันมีขนาดกว้างเพียงแค่ฝ่ามือเหยียดคือ 18 ซ.ม. ในขณะที่ความสูงอยู่ที่ 26.5 ซ.ม. และลึก 30 ซ.ม. น้ำหนักก็ไม่เยอะแค่ข้างละ 6 กิโลกรัม เท่านั้น คุณสามารถยกโอบทั้งสองตัวเข้าข้างเอวไปพร้อมกันได้สบายๆ
ในเว็บไซต์ของ Usher เห็นมีสีตู้ให้เลือก 3 สี แต่คุณเปเล่นำเข้ามาแค่ 2 สี คือสีไม้ pioneer birch กับสีดำเปียโน ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นสีไม้ pioneer birch งานประกอบตัวตู้โดยรวมเรียบร้อยดี ผิวตู้ลูบแล้วลื่นมือ ไม่พบสากเสี้ยน
S-520 เป็นลำโพงตู้เปิด ติดตั้งท่อระบายอากาศทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 4 ซ.ม. อยู่บนแผงด้านหน้า ซึ่งนอกจากท่อระบายอากาศนี้แล้ว บนแผงหน้าของ S-520 ก็มีไดเวอร์อีกสองตัวติดตั้งอยู่
ไดเวอร์ตัวบนเป็นทวีตเตอร์โดมโลหะขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว ซึ่งซ่อนตัวอยู่ใต้ตะแกรงโลหะที่ใช้ป้องกันความเสียหายที่อาจจะมีกับโดมทวีตเตอร์ และช่วยจัดแพลทเทิ้นการกระจายเสียงของตัวโดมทวีตเตอร์ไปในตัว ตัวทวีตเตอร์ถูกติดตั้งให้เยื้องไปทางด้านข้าง ไม่ได้อยู่ตรงกลางของแผงหน้า นัยว่าเป็นการจัดเรื่องเฟสของเสียงแหลมด้วยการจัดตำแหน่งของทวีตเตอร์ซ้าย–ขวาให้ชิดกันมากกว่าตัวมิด/วูฟเฟอร์ เป็นการสร้างสมดุลของโทนเสียง (โทนัลบาลานซ์) ที่ไม่ต้องไปใช้วิธีปรับเฟสผ่านทางวงจรเน็ทเวิร์คซึ่งจะส่งผลกระทบข้างเคียงกับคุณภาพเสียง ในการเซ็ตอัพใช้งาน ต้องวางลำโพงทั้งสองข้างให้ตัวทวีตเตอร์อยู่ในตำแหน่งที่ชิดเข้าด้านใน
ตัวไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ติดตั้งถัดลงมาด้านล่างของตัวทวีตเตอร์ อยู่ในตำแหน่งกลางระหว่างความกว้างของแผงหน้า เป็นไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิกที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของไดะแฟรมอยู่ที่ 5 นิ้ว วัสดุที่ใช้ทำกรวยไดอะแฟรมเป็น โพลีโพไพลีน เนื้อใสแจ๋ว มองทะลุลงไปถึงไส้ในได้เลย ในคู่มือระบุชื่อรุ่นไว้ว่า 5201W ส่วนตัวทวีตเตอร์ก็ระบุชื่อรุ่นไว้ว่า UA025-10 น่าจะเป็นไดเวอร์ที่พวกเขาทำเอง
ขั้วต่อสายลำโพงของเวอร์ชั่นนี้ให้มาเป็นแบบ ซิงเกิ้ลไวร์ คือชุดเดียว ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่นชัดเจนมากที่สุดเมื่อเทียบกับเวอร์ชั่นเก่าที่ออกมาประมาณ 3-4 ปีที่แล้วซึ่งให้ขั้วต่อมาเป็น bi-wire แยกสองชุด ซึ่งคาดว่า น่าจะมีการปรับจูนวงจรเน็ทเวิร์คใหม่ แต่ทางผู้ผลิตไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ตัวขั้วต่อที่ให้มาทำด้วยโลหะชุบทอง นับว่าโชคดีที่ไม่ได้ให้มาเป็นขั้วต่อพลาสติก แม้ว่าตัวขั้วต่อที่ขันยึดสายลำโพงจะไม่ได้ใหญ่โต แต่ก็ยังดีที่เป็นโลหะที่ดูดีกว่าพลาสติกเยอะ
ขาตั้ง กับ การเซ็ตอัพตำแหน่ง
S-520 เป็นลำโพงที่ต้องอาศัยขาตั้ง ซึ่งผมพบว่า ขาตั้งที่มีความสูง 24 นิ้ว รุ่น Moseco 6 ของยี่ห้อ Atacama (REVIEW) ให้สียงออกมาดีมากเมื่อใช้กับ S-520 มันทำให้ S-520 แสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่ในทุกคุณสมบัติ ทำให้ลำโพงสามารถแสดงความแตกต่างของเสียงออกมาได้ชัดมากเมื่อผมทดลองเซ็ตอัพตำแหน่งของ S-520 แม้ในขณะที่ผมลองขยับแค่เพียงเล็กน้อย ไม่กี่มิลลิเมตรก็ยังรับรู้ถึงความแตกต่างได้ ผมจึงใช้ขาตั้งของ Atacama รุ่นนี้ตลอดการทดสอบ S-520 ครั้งนี้
ผมใช้เวลาในการเซ็ตอัพตำแหน่งของ S-520 ไม่นานเลย ถ้านับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดลงตัว (ไม่นับตอนเปลี่ยนปรีแอมป์) ผมใช้เวลาเซ็ตอัพหาตำแหน่งที่ดีที่สุดอยู่ประมาณชั่วโมงนึง ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากความชำนาญในห้องบวกกับประสบการณ์ แต่ก็ต้องบอกเลยว่า ตัวลำโพงเองก็มีส่วนกับเวลาที่ใช้ในการเซ็ตอัพด้วย คือ ถ้าลำโพงไม่ดี ซ้าย–ขวามีคุณภาพไม่เท่ากัน แบบนี้จะใช้เวลาเยอะ แต่ถ้ามีการ match-pair จับคู่ที่มีสเปคฯ ใกล้เคียงกันมาจากโรงงานจะใช้เวลาน้อยลงมาก ซึ่งกับ S-520 คู่นี้ผมถือว่าใช้เวลาเซ็ตไม่นาน
ระยะลงตัวในห้องฟังของผมอยู่ที่ระยะห่างซ้าย–ขวา = 170.5 ซ.ม. ส่วนระยะห่างผนังด้านหลังอยู่ที่ 161 ซ.ม. จุดนั่งฟังถอยห่างจากจุด Sweet Spot ออกมาประมาณ 45 ซ.ม. หลังจากได้ระยะลงตัวแล้วผมได้ทำการปรับลำโพงทั้งสองข้างให้ตั้งฉากกับพื้นห้องโดยใช้ระดับน้ำจับระดับลำโพงทั้งสองข้างด้วย เพื่อทำให้ลำโพงทั้งสองข้างตั้งอยู่บนพื้นในลักษณะที่ “ขนานกัน” มากที่สุด (แนะนำให้ทำโดยเฉพาะลำโพงเล็ก)
แม็ทชิ่งกับแอมป์
ในสเปคฯ ของ S-520 ระบุความไวอยู่ที่ 86dB @1W/1m ถือว่าอยู่ในระดับที่ค่อนไปทางต่ำ เมื่อเทียบกับ 88dB ที่เป็นระดับกลางๆ ซึ่งผมไม่ค่อยแปลกใจนัก เพราะลำโพงสองทางขนาดเล็กส่วนใหญ่จะใช้วิธีจัด “ความต้านทาน” ของตัวทวีตเตอร์ให้ “มากกว่า” ตัวมิด/วูฟเฟอร์ เพื่อดึงความดังของทวีตเตอร์ให้เบาลงมา ไม่ให้เสียงแหลมดังแซงหน้าเสียงกลาง/ทุ้ม จึงทำให้ความไว (ประสิทธิภาพ) ของลำโพงโดยรวมตกลงมาอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำ เพราะลำโพงสองทางขนาดเล็กไม่มีวูฟเฟอร์มาช่วยปั๊มเสียงทุ้ม จึงต้องใช้วิธีนี้เข้าช่วย
อัลบั้ม : Sound Check (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Test Signal
สังกัด : MFSL
ความถี่ตอบสนองตามสเปคฯ อย่างเป็นทางการของ S-520 ระบุไว้ที่ 53Hz – 20kHz ในขณะที่จุดตัดแบ่งความถี่ของลำโพงรุ่นนี้อยู่ที่ 2.1kHz หรือ 2100Hz แสดงว่า ความถี่ตั้งแต่ 2100Hz – 20000Hz เป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์รับไปจัดการ ที่เหลือคือตั้งแต่ 2100Hz ลงมาถึง 53Hz วงจรเน็ทเวิร์คจะส่งไปให้มิด/วูฟเฟอร์รับไปจัดการ ซึ่งโดยปกติแล้ว ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ขนาด 5 นิ้วในลำโพงบางคู่สามารถสร้างความถี่ต่ำลงไปได้ลึกกว่า 53Hz ผมเลยสงสัยว่าทำไม S-520 ถึงระบุความถี่ต่ำลงไปได้แค่ 53Hz ต้องขอทดสอบดูหน่อย
ผมทดลองป้อนด้วยความถี่แบบ spot 1/3 octave signal จากแผ่นทดสอบของ Mobile Fidelity Sound Lab ชุด Sound Check (จัดทำโดย Alan Parsons กับ Stephen Court) โดยไล่ตั้งแต่ความถี่ 20Hz ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็น 25Hz, 31.5Hz, 40Hz, 50Hz, 63Hz, 80Hz, 100Hz … ผมพบว่า ที่ระดับความถี่ 20Hz เมื่อนั่งฟังตรงจุด sweet spot ผมไม่ได้ยินอะไรเลย เมื่อลุกจากที่นั่งมาใช้ปลายนิ้วแตะที่ไดอะแฟรมของตัวมิด/วูฟเฟอร์ ปรากฏว่ามันมีอาการสั่นแรงพอสมควร แสดงว่าวงจรเน็ทเวิร์คในตัว S-520 มันก็ปล่อยความถี่ที่ 20Hz มาที่ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ ไดอะแฟรมของมิด/วูฟเฟอร์จึงสั่น แต่เนื่องจากประสาทหูของคนเราไม่ไวต่อคลื่นความถี่ 20Hz จึงไม่ได้ยิน และเนื่องจากไดอะแฟรมของตัวมิด/วูฟเฟอร์มีขนาดเล็ก มวลคลื่น 20Hz ที่มันผลักออกมากับอากาศจากหน้าดอกจึงมีพลังงานไม่มากพอที่จะเดินทางมาถึงตัวผมได้ แต่เมื่อขยับมาที่ความถี่ 25Hz และ 31.5Hz แม้จะยังไม่ได้ยินเสียงชัดๆ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามีเสียงครางต่ำๆ ดังขึ้นมาเบาๆ ภายในห้อง พอถึงความถี่ 40Hz เสียงก็เริ่มดังชัดขึ้นๆ เรื่อยๆ เมื่อป้อนความถี่ที่สูงกว่า 40Hz เข้าไปเป็นลำดับ
ตอนทดลองป้องความถี่ตั้งแต่ 50Hz ขึ้นไปให้กับ S-520 ผมคิดว่าผมพบเหตุผลแล้วว่า เพราะอะไรผู้ออกแบบลำโพงคู่นี้จึงได้กำหนดให้ดอกมิด/วูฟเฟอร์ทำความถี่ต่ำออกมาแค่ 53Hz เพราะตอนป้อนความถี่ 50Hz เข้าไปผมพบว่า ขณะที่ไดอะแฟรมของตัวมิด/วูฟเฟอร์ถอยหลังกลับเข้าไปในตู้ จะมีลมพุ่งสวนออกมาทางท่อระบายเบส “ค่อนข้างแรง” และ “เร็ว” ซึ่งคาดว่าเป็นความถี่ที่ต่ำกว่า 50Hz ที่ถูกจูนมาให้ส่งผ่านออกมาทางท่อระบายเบสนี่เอง ด้วยขนาดของมิด/วูเฟอร์ที่เล็กแค่ 5 นิ้ว ประกอบกับปริมาตรอากาศในตัวตู้ที่น้อย ผนวกกับท่อระบายเบสที่ติดตั้งอยู่ใกล้กับตัวมิด/วูฟเฟอร์มาก เหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยส่งเสริมทางด้าน “สปีด” ของความถี่ในย่านต่ำของลำโพงคู่นี้ให้มีความฉับไว ขยับเคลื่อนตัวได้เร็ว ไม่อืด ไม่หน่วง ต่อเนื่องไปกับเสียงทุ้มจากดอกมิด/วูฟเฟอร์ได้อย่างกลมกลืน
ถึงแม้ว่าความไวของ S-520 จะค่อนไปทางต่ำคืออยู่ที่ระดับ 86dB แต่กำลังขับที่รับมือได้ระบุไว้แค่ 50W (น่าจะอ้างอิงที่ 8 โอห์ม) ซึ่งก็ไม่ถึงกับเหลือบ่าฝ่าแรงเกินไปกับการหาแอมป์ที่มีกำลังขับ 50W ที่มีสมรรถนะสูงๆ มาผลักดันลำโพงคู่ให้แสดงศักยภาพออกมาจนเต็มที่ ผมทดลองจับคู่กับ all-in-one ของ Audiolab รุ่น Omnia (REVIEW) ที่มีกำลังขับ 50W ข้างที่ 8 โอห์ม พอดีๆ ปรากฏว่ามันไปกันได้ฉลุยเลย Omnia ขับ S-520 ออกมาได้น่าพอใจมาก ในการทดสอบกับ S-520 ผมทดลองใช้ภาคสตรีมมิ่งและภาค DAC ในตัว Omnia ด้วย ผลลัพธ์น่าพอใจมาก เป็นคู่ minimalist ที่ลงตัวมากคู่หนึ่ง เสียงออกไปแนวเปิดกระจ่าง กลาง–แหลมดีมาก เบสพอตัว ไม่ได้เน้นมวลเยอะแต่เด่นไปทางกระฉับกระเฉงว่องไว ฟังสนุก
อัลบั้ม : Jazz & Demo CD (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Sangiji Records
แต่พอผมทดลองเพิ่มกำลังขับเข้าไปด้วยการเอาเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ที่มีกำลังขับข้างละ 140W ที่ 8 โอห์ม เข้าไปคั่นกลาง โดยอาศัยสัญญาณอินพุตจากภาคปรีแอมป์กับวอลลุ่มของตัว Omnia เป็นต้นทาง ปรากฏว่าเสียงที่ออกมาดีขึ้นเยอะมาก..!!! ที่เห็นชัดๆ อย่างแรกคือ “เวทีเสียง” ที่ฉีกขยายอาณาบริเวณออกไปอย่างมาก ทั้งด้านกว้าง, ลึก และแผ่ขึ้นไปด้านสูงด้วย อย่างที่สองที่รู้สึกได้ว่าดีขึ้นเมื่อเจอกับแอมป์ที่มีสมรรถนะสูงๆ ก็คือ “ไดนามิก” ของแต่ละเสียงที่สวิงความดัง–เบาได้กว้างขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่สวิงขึ้นไปทางดังมันทำได้ดีมากขึ้น มีผลให้ปลายเสียงที่กระจ่างอยู่แล้ว มีลักษณะที่เปิดเผยมากขึ้นไปอีก เสียงฉาบของกลองในแทรคแรกเพลง Drums & Percussion Demoในอัลบั้มชุด Jazz & Demo CD รับรู้ได้ถึงน้ำหนักที่มือกลองหวดลงไปบนใบฉาบอย่างชัดเจน รวมทั้งเสียงหัวไม้กลองกระทบกับหน้ากลองสแนร์ก็รู้สึกได้ถึงน้ำหนักข้อมือที่มือกลองย้ำเน้นลงไป สปีดก็ฉับไวมาก ทำให้ได้ความสดของน้ำเสียงที่ฟังแล้วชวนให้นึกถึงเสียงกลองจริงๆ ขึ้นไปอีกขั้น เจ๋งมาก..!! ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อว่าจะมาจากลำโพงตัวกระจิ๋วหลิวขนาดนี้.. น่าทึ่งมาก!
ไปได้ไกลแค่ไหน.?
“โฟกัส” ที่แม่นยำเป็นคุณสมบัติแรกที่ลำโพงดีๆ ต้องมี ต่อจากนั้นก็เป็นคุณสมบัติข้อที่สองที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าโฟกัส นั่นคือ “ไดนามิกเร้นจ์” ส่วนคุณสมบัติทางด้าน “ความถี่ตอบสนอง” จะตามมาเป็นลำดับที่สาม ซึ่งโดยส่วนตัวของผมเองแล้ว เหตุผลที่ผมให้ความสำคัญของความถี่ตอบสนองของลำโพงมาเป็นอันดับสามก็เพราะว่าผมมองว่า ถ้าเราเอาคุณสมบัติทางด้านความสามารถในการตอบสนองความถี่เสียงมาเป็นความสำคัญอันดับแรกไม่น่าถูกต้อง เพราะจะทำให้ลำโพงขนาดเล็กทุกคู่ตกโผ “ลำโพงดี” ไปหมด ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่พบเจอกันทั่วไป เราพบว่า ลำโพงขนาดใหญ่ที่มีความสามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างมากตั้งแต่ทุ้มไปจนถึแหลมสุดเกินหูมนุษย์ได้ยิน หลายๆ คู่ที่ให้เสียงแย่มากก็มี
ถ้าลำโพงคู่ใดๆ ที่ให้โฟกัสของเสียงได้คมชัด มันจะให้คุณสมบัติข้ออื่นๆ ตามมา แต่ถ้าไม่สามารถให้เสียงที่คมชัดออกมาได้ตั้งแต่แรก คุณสมบัติข้ออื่นๆ ก็จะพร่าเลือนหลุดไปจากมาตรฐานทั้งหมด.!
มาถึงบรรทัดนี้ ผมอยากจะสรุปเป็นยกแรกไว้ตรงนี้ว่า S-520 เป็นลำโพงที่ให้ “โฟกัส” ของเสียงได้คมชัดมาก มันให้อิมแพ็คของหัวเสียงที่ขมวดตรึงเป็นนิวเครียสอยู่ตรงกลางของตัวเสียงได้อย่างแม่นยำ และความคมชัดของตัวเสียงที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามันอยู่ในระดับที่สม่ำเสมอไปตลอดย่านความถี่ที่มันรับผิดชอบอยู่ ตั้งแต่ความถี่ต่ำขึ้นไปจนถึงความถี่สูง ความคมชัดของตัวเสียงที่ให้ออกมามีความเสมอสมานกันไปทั้งสเปคตรัม ในประเด็นนี้ผมให้คะแนนเต็มสิบเลยสำหรับลำโพงที่มีราคาอยู่ในระดับไม่เกิน 20,000 บาท / คู่
ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการทดสอบที่ถือว่าเป็นงานยากสำหรับลำโพงเล็กคู่นี้ เพราะเป็นการตรวจวัด “ขีดจำกัด” ของสมรรถนะในการถ่ายทอด “ความดัง” ของมัน ซึ่งการปรับความดัง (Level) ของเสียงที่เราควบคุมผ่านวอลลุ่มของแอมป์นั้นแท้จริงแล้วก็คือการเพิ่ม/ลด “เกนขยาย” ของแอมป์ที่กระทำกับสัญญาณเพลงที่รับเข้ามาทางอินพุต ก่อนจะส่งไปให้ลำโพงนั่นเอง ซึ่งเพลงแต่ละเพลงที่รับเข้ามาทางอินพุตของแอมป์จะมีความแรงของ “เกน” ต่างกัน (แทนด้วย X ในชาร์ตด้านบน) บางเพลงเกนมาเบามาก ในขณะที่บางเพลงถูกดันเกนมาซะสูงปรี๊ด ซึ่งประโยชน์หลักของวอลลุ่มบนแอมป์ก็คือใช้แม็ทช์ “อัตราขยาย” (gain) ของภาคแอมป์ (แทนด้วย Y ในชาร์ตด้านบน) ที่เหมาะสมเข้ากับเกนของเพลงนั้นๆ เพื่อให้ได้ “ความดัง” ออกมาจากลำโพงในระดับที่ทำให้ได้คุณภาพเสียงดีที่สุดสำหรับผู้ฟัง
ส่วน “ความดัง” ก็คือ “ค่าเฉลี่ย” ของ “อัตราสวิง” ระหว่างจุดที่ “ดังที่สุด” (loudest part) กับจุดที่ “เบาที่สุด” (quietest part) ในเพลงนั้น ซึ่งเพลงแต่ละเพลงต้องการระดับวอลลุ่มจากแอมป์ (หมายถึงเกนขยายจากแอมป์) ที่เหมาะสมที่จะทำให้ผลลัพธ์ระหว่าง (signal gain = เกนของเพลง) x (amplify gain = อัตราขยายของแอมป์) ออกมาเป็นเสียงที่ได้ทั้ง “ความดัง” ที่มากพอที่ทำให้เราได้ยินรายละเอียดเสียงในเพลงนั้นได้ครบ และได้อัตราสวิงของ “ไดนามิก” ของเสียงที่กว้างพอจนไม่ทำให้รู้สึกอั้น (compress) หรือโอเว่อร์ (overshoot) จนแผดเพี้ยน
เมื่อสัญญาณเสียงเพลงถูกขยายด้วยแอมป์แล้วส่งมาที่ลำโพง ก็เป็นหน้าที่ของลำโพงที่จะต้องนำเอาสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้าไปแปลงเป็นคลื่นเสียงก่อนจะผลักออกมาจากไดอะแฟรมของไดเวอร์ทั้งสองตัว ซึ่งผลที่ได้ออกมาก็คือ “ความดัง” นั่นเอง แต่โดยทั่วไปแล้ว เกนขยายของสัญญาณที่เกิดจากผลคูณจากเกนของเพลง x เกนของแอมป์ เมื่อถูกส่งมาถึงลำโพง มักจะถูกความต้านทานของลำโพง (โดยหลักๆ คือผลจากดีไซน์ของวงจรเน็ทเวิร์ค) ทำให้เกนของสัญญาณรวมที่แอมป์ส่งมาตกหล่นไปบางส่วน ยิ่งถ้าลำโพงมีความต้านทานสูง เกนของสัญญาณที่มาจากแอมป์ก็จะตกลงไปมาก ทำให้เสียงที่เหลือผ่านลำโพงออกมามีลักษณะที่เบา ซึ่งในกรณีที่คุณใช้แอมป์ที่มีกำลังขับ “ไม่น้อย” ไปกว่าสเปคฯ ที่ลำโพงต้องการ คุณก็สามารถเร่งวอลลุ่มที่แอมป์ (เป็นการเพิ่มเกนขยายจากแอมป์) เพื่อเร่งความดังให้เพิ่มขึ้นมาได้ แต่ความดังของเสียงที่ได้ออกมาจากการเร่งวอลลุ่มของแอมป์ขึ้นไปแบบนี้ก็ต้องมาดูกันว่า ลำโพงจะสามารถเปล่งเสียงที่ดังขึ้นจนถึงระดับความดังที่ต้องการได้โดยไม่มี “ผลข้างเคียง” ในแง่ลบออกมาหรือเปล่า.?
โดยธรรมชาติแล้ว ลำโพงที่มีขนาดเล็กก็จะมีความสามารถในการรองรับกำลังขับจากแอมป์ได้ “ต่ำกว่า” ลำโพงที่มีขนาดใหญ่ เมื่อต้องเร่งวอลลุ่มจากแอมป์เพื่อ “อัด” สัญญาณเข้าไปกระตุ้นให้ลำโพงเปล่งเสียงให้ดังมากขึ้นจนเต็มห้อง ลำโพงเล็กๆ จึงมักจะถูก push ให้เข้าไปอยู่ในโซนที่เป็นข้อจำกัดทางธรรมชาติของมัน และถ้าถูกดันจนถึงจุดสูงสุดที่มันรองรับได้ ผลเสียก็จะปรากฏออกมากับน้ำเสียง ซึ่งโดยมากก็จะเป็นไปในลักษณะของเสียงที่จัดจ้าน พุ่งแหลม เฟี๊ยวฟ๊าว และสูญเสียการควบคุม ซึ่งฟังแล้วจะรับรู้ได้ถึงอาการที่ทำให้รู้สึกเครียด ล้า ไม่น่าฟัง
จริงๆ แล้ว กำลังขับของ Artera Stereo ที่ระดับ 140W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ก็ถือว่าเกินตัวไปแล้วสำหรับ S-520 ถ้ายึดเอาตัวเลข ‘power handling’ ที่ผู้ผลิตระบุไว้ในสเปคฯ แค่ 50W เท่านั้น แต่เมื่อผมทดลองขับด้วย Artera Stereo โดยใช้ภาคปรีฯ ของ Omnia เมื่อเร่งวอลลุ่มขึ้นไปที่ระดับความดังที่ทำให้สนามเสียงแผ่เต็มห้อง ผมพบว่า ในบางแทรค จะปรากฏอาการแผดเล็กๆ ติดมากับเสียงในย่านกลางและแหลม ซึ่งถ้าฟังอัลบั้มเพลงไฮเอ็นด์จะไม่ค่อยมีอาการนั้น แต่กับเพลงคอมเมอร์เชี่ยลที่บันทึกเสียงไม่ได้ดีนักจะได้ยิน ซึ่งคำถามที่ตามมาก็คือ อาการที่ว่านั้น จะเกิดจากอาการ mismatch ระหว่างภาคปรีฯ ของ Omnia กับภาคอินพุตของเพาเวอร์แอมป์ Artera Power หรือเปล่า.?
เพื่อให้คลายสงสัย ผมจึงทดลองเปลี่ยนเอาปรีแอมป์ของยี่ห้อ Denafrips รุ่น Athena เข้ามาทำหน้าที่แทน Omnia ซึ่งปรีแอมป์ตัวนี้เป็นปรีแอมป์แบบเพียวอะนาลอก ไม่มี DAC ในตัว ผมจึงเอา ext.DAC ของ MyTek รุ่น Liberty DAC เวอร์ชั่นแรกเข้ามาเสริมทำหน้าที่เป็น source รับสัญญาณดิจิตัลจาก roon nucleus+ ทางอินพุต USB แล้วส่งสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจาก Liberty DAC ไปที่อินพุต RCA ของปรีแอมป์ Athena ด้วยสายสัญญาณของ Nordost รุ่น Frey 2 และใช้สายสัญญาณรุ่น Gold MK II ของ Life Audio รับช่วงเชื่อมต่อจากเอาต์พุตของปรีฯ Athena ไปที่อินพุตของเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo จากนั้นก็ใช้สายลำโพง Kimber Kable รุ่น 12TC เชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของเพาเวอร์แอมป์ไปที่ขั้วต่อสายลำโพงของ S-520
เหตุผลที่ผมแจกแจงซิสเต็มที่ใช้ทดสอบในขั้นตอนนี้ไว้ค่อนข้างละเอียดก็เพราะว่าซิสเต็มนี้มันแสดงผลของเสียงออกมาดีที่สุด เมื่อเทียบกับทุกชุดที่ผมที่ใช้ลองฟัง S-520 ในการทดสอบครั้งนี้ (เผื่อจะมีใครลอกการบ้าน) ซึ่งความตั้งใจตอนแรกคือต้องการดูว่า S-520 จะไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งก่อนจะเปลี่ยนมาใช้ปรีแอมป์ของ Denafrips ตัวนี้ ผมก็รู้สึกว่าเสียงของ S-520 มันออกมาดีน่าพอใจมากแล้ว ไม่ได้คิดว่าเปลี่ยนปรีแอมป์ Denafrips เข้าไปแล้ว เสียงของ S-520 จะไปได้อีกสักเท่าไหร่ แต่พอลองฟังจริงๆ แทบหงายหลัง..!!! เสียงของ S-520 มันกระโดดขึ้นมาอีกระดับ เสียงที่เต็มห้องอยู่แล้ว คราวนี้มันมาทั้งเต็มห้องและ full body ไปด้วย คือก่อนหน้านี้ผมสามารถเร่งวอลลุ่มที่ Omnia จนได้ความดังที่เพียงพอ ได้สนามเสียงที่แผ่เต็มห้องแล้ว แฮ้ปปี้แล้ว โดยที่ขณะนั้นผมมองว่า อาการเนื้อเสียงบางๆ ในบางความถี่ของช่วงกลางสูงที่ได้ยินตอนนั้นน่าจะเป็นบุคลิกของลำโพง มันคงทำได้แค่นั้น ไม่ได้คาดหวังว่าข้อตำหนิเล็กๆ ตรงนั้นจะหายไปได้หลังจากเปลี่ยนมาใช้ปรีแอมป์ของ Denafrips กับเปลี่ยนมาใช้ ext.DAC รุ่น Liberty DAC ของ MyTek น่าอัศจรรย์มาก..!!!
อัลบั้ม : A World Of Love (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ayako Hosokawa
สังกัด : FIM
อัลบั้มชุดนี้บันทึกเสียงและทำมาสเตอร์มาได้ดีมาก มันให้คุณสมบัติของเสียงในแต่ละด้านที่ให้คะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับสูงเฉียดเต็มสิบทุกข้อ เป็นอัลบั้มที่ให้เสียงเปิดกระจ่างโดยไม่มีอาการจ้าหรือแผด, ให้เสียงโดยรวมที่นุ่มหูโดยไม่มีอาการบวมอืด ที่สำคัญคือให้ “ไทมิ่ง” ของเพลงที่แม่นยำ ฟังแล้วเข้าถึงอรรถรสของเพลงได้อย่างลึกซึ้ง เป็นอัลบั้มที่ผมใช้ทดสอบบ่อยๆ เมื่อซิสเต็มอยู่ในเงื่อนไขของการแม็ทชิ่งที่ลงตัว ลำโพงอยู่ในตำแหน่งที่ลงตัว และอุปกรณ์แต่ละชิ้นในซิสเต็มมีคุณภาพที่ดีและส่งเสริมซึ่งกันและกันได้พอดีๆ พอฟังอัลบั้มนี้แล้ว เร่งเสียงให้ดังเต็ฒห้อง คุณจะได้ความโอ่อ่า นุ่มนวล ละเมียดละมัย และได้ความสดของอารมณ์เพลงออกมาพร้อมกัน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ผมได้ยินตอนนี้ กับซิสเต็มนี้ที่มีลำโพง S-520 เป็นส่วนประกอบสำคัญ
อัลบั้ม : Genius Loves Company (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ray Charles
สังกัด : Monster Music
อัลบั้มนี้เป็นอีกหนึ่งชุดที่มีคุณสมบัติคล้ายกับชุด A World Of Love ของอะยาโกะ แม้ว่าในอัลบั้มนี้จะประกอบด้วยเสียงร้องของศิลปินหลายคนที่แยกกันร้องคู่กับเรย์ ชาร์ลคนละเพลงสองเพลง แต่ด้วยความพิถีพิถันในการบันทึกเสียงและผลิตแผ่นที่มาผู้ผลิตสายแบรนด์ Monster Cable ซึ่งเป็นนายทุนและต้องการโชว์ภาพของแบรนด์อย่างเต็ฒที่ คุณภาพการบันทึกและมิกซ์เสียงจึงอยู่ในระดับเวิร์ลคลาส เชื่อถือได้ เมื่อนำมาเปิดฟังในซิสเต็มที่ลงตัวในทุกจุดแบบนี้ เสียงที่ออกมาในแต่ละเพลงจึงได้ครบทั้งเวทีเสียงที่เปิดกว้าง, ความคมชัดของอิมเมจที่เป๊ะเว่อร์, ความหนาของมวลเสียงที่ฟังแล้วอิ่มฉ่ำ ตลอดจนถึงไดนามิกที่สวิงได้กว้างจึงให้ความสด อิสระกับทุกเสียง ซึ่ง S-520 ก็เข้ามามีส่วนในการทำหน้าที่ของมันได้อย่างน่าทึ่ง เสียงที่ฉีกตัวเปิดกว้างออกไปแบบนี้ ถ้าเป็นลำโพงเล็กบางคู่ที่ให้มิติกว้างๆ ตัวเสียงมักจะบาง แต่ S-520 กลับให้มวลเนื้อที่ไม่บางเลย แม้ว่าผมจะลองเปิดวอลลุ่มค่อนข้างดังจนได้สนามเสียงที่แผ่เต็มห้อง แต่ตัวเสียงก็ยังคงรักษาเนื้อมวลเอาไว้ได้ ไม่ถูกยืดออกไปตามเวทีเสียงจนแบนบางเป็นหนังกระติ๊ก ปลายเสียงฉีก ไม่หุบซะด้วย ทุ้มก็กระชับและมีน้ำหนักคลุมฐานเสียงไว้ได้ตลอด แม้จะเล่นเพลงที่ทุ้มหนักๆ เร็วๆ ก็ไม่เสียการควบคุม.. โอ้วว! เขาทำได้ยังไง.???
สรุป
ถ้าคุณเป็นนักเล่นเครื่องเสียง มีความชื่นชอบคุณสมบัติทางด้านมิติ–เวทีเสียงเด่นๆ มากเป็นพิเศษ คลั่งไคล้ “เสียงหลุดตู้” คุณต้องเล่นลำโพงสองทางวางขาตั้ง และถ้าคุณมีงบจำกัดไม่เกิน 20K บาทสำหรับลำโพง ผมขอฟันธงให้เลยว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปค้นหาให้เมื่อยตุ้ม ตรงไปลองฟังเสียงของ S-520 คู่นี้ให้ได้ บอกคนขายให้ใช้แอมป์กับ Source ที่ดีที่สุดที่มีในร้าน แล้วสลับเป็นแอมป์+source ระดับกลางๆ ลองฟังดู ใช้เวลาเยอะๆ ไม่ต้องรีบ เพราะยังไงซะ… คุณเสร็จมันแน่ บอกเลย.!!! /
************************
ราคา :
โปรโมชั่นพิเศษ = 18,900 บาท / คู่ (ผิวไม้ Pioneer Birch)
โปรโมชั่นพิเศษ = 20,900 บาท / คู่ (ผิว Black Piano)
(จากราคาเต็ม = 23,000 บาท / คู่)
************************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
Hi Fine Audio (Pele)
โทร. 089-141-5260