รีวิว TAOC รุ่น ASR III

คำว่า ขจัดเรโซแนนซ์หรือ สลายเรโซแแนนซ์มักจะถูกใช้เมื่อพูดถึงประสิทธิภาพของอุปกรณ์เสริมที่ใช้รองรับเครื่องเสียง อย่างเช่น ขาตั้งลำโพง, ตัวรองเครื่อง และชั้นวางเครื่องเสียง ซึ่งผมเองก็ชอบใช้คำเหล่านั้นเหมือนกัน แต่ก็ต้องยอมรับตามตรงว่า คำเหล่านั้นมันเป็น คำจำกัดความที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อให้เข้าใจง่าย แต่จริงๆ แล้ว ไม่รู้เลยว่า อุปกรณ์เหล่านั้นมันเข้าไป ขจัด(eliminate), “สลาย” (remove) หรือแค่ ควบคุม” (control, synchronize) ให้เรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นนั้นลดความรุนแรงลง หรือเปลี่ยนแพลทเทิ้นการสั่นให้เป็นระเบียบ อยู่ในรูปแบบ และอยู่ในเร้นจ์ที่ไม่ส่งผลเสียต่อเสียงกันแน่.??

จากข้อเท็จจริงที่ว่า เรโซแนนซ์เป็นสิ่งที่ อยู่คู่โลกมันเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเราตลอดเวลา ทุกๆ การเคลื่อนไหว, การเคลื่อนที่ และการกระทบกระแทกของสสาร/วัตถุใดๆ ล้วนเป็นต้นกำเนิดของเรโซแนนซ์ทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ เรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นเนื่องจากปรากฏการณ์เหล่านั้น จึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นไปได้.!

ไม่มีทางที่ใคร จะสามารถทำงานใดๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
ถ้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังทำอย่างแท้จริงๆ.!

It is known that various vibrations are everywhere in our daily lives, but it is not surprisingly well known that the music generated by audio equipment is hindered by its influence.เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าแรงสั่นสะเทือนรูปแบบต่างๆ มีอยู่ทุกที่ในชีวิตประจำวันของเรา ซึ่งไม่น่าแปลกใจที่ทราบกันดีว่า เสียงเพลงที่สร้างขึ้นโดยอุปกรณ์เครื่องเสียงก็ได้รับอิทธิพลจากแรงสั่นสะเทือนเหล่านี้ด้วย

In order to fully utilize the inherent performance of audio equipment and produce the ideal rich sound, it is necessary to properly adjust the vibration.เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่แท้จริงของอุปกรณ์เสียงอย่างเต็มที่ และสร้างเสียงที่อิ่มเข้มตามอุดมคติ จำเป็นต้องทำการปรับจูนการสั่นสะเทือนให้อยู่ในสถานะที่เหมาะสม

Even the smallest vibrations, the effect is obvious. We maximize the original rich tone by getting rid of unnecessary vibrations from audio equipment or music with our signature technology.ความสั่นสะเทือนแม้เพียงเล็กน้อยก็ส่งผลที่ชัดเจน เราทำให้เสียงมีโทนที่เต็มอิ่มเหมือนต้นฉบับด้วยการกำจัดการสั่นสะเทือนที่ไม่จำเป็นออกจากอุปกรณ์เสียงหรือเพลงด้วยเทคโนโลยีอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา

ข้อความต่างๆ ที่ TAOC บรรยายไว้ในเว็บไซต์ (https://www.taoc.gr.jp/en/concept/) ของพวกเขาได้แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจสิ่งที่พวกเขากำลังทำอย่างแท้จริง พวกเขาแสดงออกมาให้รู้ว่ากำลังเผชิญอยู่กับอะไร และรู้ว่าจะจัดการกับมันได้อย่างไร

TAOC จากประเทศญี่ปุ่น

TAOC เป็นชื่อแบรนด์เนมของสินค้า เกิดจากการเอาอักษรตัวนำของคำ 4 คำ ที่ประกอบอยู่ในประโยคที่ว่า “Taisin Takaoka Anti Oscillation Casting” มาเรียงต่อกัน ซึ่ง Taisin Takaoka เป็นชื่อของบริษัทเจ้าของแบรนด์ TAOC นั่นเอง

แบ๊คกราวนด์ของบริษัท Aisin Takoka แห่งนี้มีความหมายต่อผลิตภัณฑ์ TAOC เป็นอย่างมาก เพราะพื้นฐานธุรกิจของบริษัทนี้ก็คือเป็นซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็นงานหล่อ (casting) ประเภทต่างๆ ป้อนให้กับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำของประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากชิ้นส่วนที่พวกเขาทำจะถูกนำไปประกอบเป็นรถยนต์ที่ต้องขับเคลื่อนไปบนถนนด้วยความเร็ว ในเรื่องของ vibrations หรือ การสั่นกระพือของชิ้นส่วนเหล่านั้นจึงต้องมีการควบคุมที่ดี ต้องไม่เกิดการสั่นที่รุนแรงจนถึงขั้นแกว่งจนรถเสียศูนย์ ซึ่งจะมีผลไป ลดทอนสมรรถนะในการขับเคลื่อนของรถยนต์

พวกเขารู้ว่า อาการสั่นค้างหรือ resonant ของวัตถุใดๆ จะไม่สามารถขจัดออกไปได้ในขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนน แต่สามารถทำให้การสั่นนั้นเกิดขึ้นในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ ไม่ส่งผลเสียกับการเคลื่อนที่ของรถ ซึ่งถ้าออกแบบได้ดีแล้ว นอกจากการสั่นนั้นจะไม่ทำให้เกิดผลเสียกับการเคลื่อนที่ของรถยนต์แล้ว ยังสามารถนำเอาพลังงานที่เกิดจากการสั่นของวัตถุนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในแง่บวกได้อีกด้วย

TAOC มีเทคโนโลยีในการควบคุมการสั่น (vibration Control) ที่พวกเขาคิดค้นขึ้นมาเอง ซึ่งกลั่นกรองจากประสบการณ์ในงานหล่อโลหะที่สั่งสมมานานกว่า 60 ปี พวกเขาได้นำทักษะและประสบการณ์เหล่านั้นมาใช้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์เสริมที่ใช้งานกับเครื่องเสียงประเภทต่างๆ อาทิเช่น ชั้นวางเครื่องเสียง (Audio Racks), ขาตั้งลำโพง (Speaker Stand), แท่นรองเครื่อง (Audio Board) และอุปกรณ์ประเภท Insulator สำหรับรองใต้เครื่องเสียงและลำโพง ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ต้องผจญกับ resonant ทั้งสิ้น.!!

TAOC ‘ASRIII Series’

กลุ่มของผลิตภัณฑ์ประเภทชั้นวางเครื่องเสียงของ TAOC ได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ซีรี่ย์ ด้วยกัน เรียงจากใหญ่ไปเล็กก็คือ CSR Series, ASRIII Series, XL Series และ CL Series ตัวอย่างที่ผมได้รับมาทดสอบครั้งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในซีรี่ย์ ASRIII Series

ลักษณะภายนอก

ASRIII เป็นซีรี่ย์ที่พวกเขาตั้งใจทำออกมาเพื่อรองรับอุปกรณ์เครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ ด้วยการผนวกเอาเทคโนโลยีเด่นๆ ที่มีอยู่เดิมกับเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาผสานกัน จนกลายเป็น Hybrid Audio Rack ที่ถูกกำหนดเป้าหมายให้ทำหน้าที่ เปิดเผยความมหัศจรรย์ของอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้นออกมาโดยไม่มีการปิดกั้นเอาไว้

โครงสร้างหลักของชั้นวาง ASRIII ตัวนี้มีลักษณะเป็น frame หรือโครงที่ประกอบด้วยส่วนของ ขา” หรือ “เสา” จำนวน 4 เส ที่มีลักษณะเป็นแกนกลมๆ ทำหน้าที่เกลี่ยรับน้ำหนักของชั้นแต่ละชั้น กับอีกส่วนที่เป็น กรอบสี่เหลี่ยมซึ่งมีบ่ายื่นออกมาทั้ง 4 มุมเพื่อรองรับชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่รองรับตัวเครื่องเสียงที่เรียกว่า shelf board (ในภาพด้านบน) เหมือนกันทั้งสามชั้น ซึ่งจริงๆ แล้ว ผู้ซื้อสามารถระบุเลือกได้ว่าต้องการจะได้แบบ 1 ชั้น (1S), แบบ 2 ชั้น (2S), 3 ชั้น (3S) หรือสูงสุดคือ 4 ชั้น (4S) วางเครื่องได้สี่ชิ้น

ส่วนสัด

ภาพด้านบนแสดง ความกว้าง x ลึก x สูง ของส่วนที่เป็นโครงหลัก (frame) โดยวัดจาก ขอบด้านนอกของแต่ละด้าน ส่วนความสูงนั้นแยกเป็น 3 ระดับ ระดับแรกคือส่วนที่อยู่ล่างสุดของชั้น วัดจากพื้นห้องขึ้นมาถึงผิวบนของแผ่น shelf board อยู่ที่ 80 .. ส่วนชั้นที่สองที่ใช้รองรับเครื่องเสียงชิ้นที่อยู่ต่ำสุดของชั้นวางจะมีความสูงของช่องอยู่ที่ 330 .. เหมาะกับวางเครื่องเสียงชิ้นใหญ่ๆ ที่มีความสูงมากหน่อย อย่างพวกอินติเกรตแอมป์หรือเพาเวอร์แอมป์ที่ต้องการช่องว่างระหว่างส่วนบนของตัวเครื่องกับชั้นวางที่อยู่ถัดขึ้นไปที่มากหน่อย เพื่อให้การระบายความร้อนจากการทำงานของตัวเครื่องทำได้ดี

ส่วนความสูงของชั้นวางที่ 2, 3 และถัดขึ้นไป จะมีความสูงอยู่ที่ 280 .. เท่ากัน ซึ่งสูงพอสำหรับการวางอุปกรณ์เครื่องเสียงแทบจะทุกชนิด (*แต่ถ้าคุณต้องการชั้นที่ 2, 3 มีความสูงเท่ากับ 330 .. ก็สามารถสั่งได้ ซึ่งราคาก็จะเพิ่มขึ้นไปตามสัดส่วน)

ภาพข้างบนแสดงสัดส่วน ความกว้าง x ความลึก ของแผ่น shelf board ที่ใช้รองรับตัวเครื่องโดยตรง ซึ่งแต่ละแผ่นจะมีหน้ากว้างอยู่ที่ 50 .. และมีความลึกอยู่ที่ 45 ..

ทดลองวางเครื่องมิวสิค สตรีมเมอร์ของ Audiolab รุ่น 9000N (REVIEW) ไว้บนชั้นบนสุด กับวาง external DAC ของ Ayre AcousticQB-9 DSD Twentyไว้ที่ชั้นถัดลงไป จะเห็นว่า ชั้นบนสุดที่วาง 9000N ซึ่งมีสัดส่วน ความกว้าง x ความลึกของตัวเครื่องอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของเครื่องเสียงทั่วไป คือ 445 x 300 .. จะเห็นว่า ด้านกว้างนั้นวางได้พอดี ส่วนด้านลึกนั้นเหลือพื้นที่อีกเยอะ ยิ่งเป็นเครื่องเสียงสมัยใหม่ที่ชอบดีไซน์ความกว้างแค่ half-size ก็จะวางได้สบายมาก พื้นที่ของชั้นวางเหลือเฟือ และด้วยระยะห่างระหว่างผิวด้านในของเสาของโครงสร้างหลักที่มากถึง 520 .. ทำให้เวลาเวลายกเครื่องเสียงเข้าไปวางในชั้นทำได้สะดวกสบาย ข้อมือไม่เบียดกับเสาเพราะมันมีช่องว่างไว้ให้มากพอ และตอนดันเครื่องเข้าไปด้านในก็ไม่ต้องกังวลว่ามันจะหลุดเลยหล่นลงไปด้านหลัง เพราะมีความลึกให้ไว้มากพอเหมือนกัน

ดีไซน์

ถ้าใครมีความคิดว่า ชั้นวางเครื่องเสียงไม่มีอะไรมากไปกว่าชั้นวางของอื่นๆ ก็อยากจะบอกว่าคุณคิดผิดแล้วล่ะ ถ้ามีโอกาสเข้าไปอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการออกแบบชั้นวางเครื่องเสียงรุ่น ASRIII ตัวนี้ในเว็บไซต์ของ TAOC แล้ว เชื่อเลยว่าความคิดเกี่ยวกับชั้นวางเครื่องเสียงของคุณจะเปลี่ยนไปตลอดกาล.!

แผ่นรองรับตัวเครื่อง
(shelf board)

ชิ้นส่วนแรกของชั้นวาง ASRIII คือแผ่นรองรับตัวเครื่องที่ผู้ผลิตเรียกมันว่า shelf board ซึ่งดูจากภายนอกด้วยสายตาแล้วมันก็ไม่ต่างอะไรกับแผ่นไม้แบนๆ ที่มีความหนา 15 .. ที่พบเห็นทั่วไป แต่ถ้าคุณใจถึง ใช้เลื่อยตัดแผ่น shelf board ที่ว่านี้ออกมาดู คุณจะตกใจกับสิ่งที่ประกอบอยู่ในนั้น.!!

ข้อมูลที่ปรากฏอยู่ในเว็บไซต์ของ TAOC ระบุว่า แผ่น shelf board ที่ว่านี้ถูกทำขึ้นมาจากแผ่นวัสดุที่ซ้อนทับกันมากถึง 5 ชั้น โดยที่ชั้นในสุดเป็นแผ่นวัสดุที่ทำเป็นช่องว่างๆ ทรงหกเลี่ยมคล้ายรังผึ้งเรียงกันไปตลอดทั้งแผ่น ซึ่งภายในช่องว่างทรงหกเหลี่ยมเหล่านั้นมีผงโลหะหล่อ (cast iron powder) ขนาดเล็กบรรจุอยู่ ทำหน้าที่ซึมซับพลังงานคลื่นความสั่นสะเทือนที่เหลือแทรกเข้าไปถึงด้านใน ส่วนชั้นถัดออกมาเป็นแผ่นไม้หนาที่ประกบอยู่ทั้งด้านบนและด้านล่างของแผ่นรังผึ้ง ก่อนจะถูกประกบอีกชั้นด้วยแผ่นมิลามีนแบบแข็งทั้งบนและล่าง ซึ่งพื้นผิวของแผ่น shelf board ด้านบนสุดที่เรามองเห็นก็คือชั้นที่เป็นแผ่นเมลามีนนั่นเอง

ภาพด้านบนเป็นผลการวัดค่าเปรียบเทียบลักษณะการตอบสนองความถี่ของแผ่นรองเครื่อง (shelf board) ภาพทางซ้ายคือการเปรียบเทียบปริมาณ vibration ที่เข้าไป ควบกล้ำ” (modulate) กับคลื่นเสียง ซึ่งจะเห็นว่าการใช้แผ่นรังผึ้ง (เส้นสีแดง) จะมีผลกระทบของคลื่นสั่นสะเทือนน้อยกว่า ส่วนภาพทางขวาคือการเปรียบเทียบระหว่างแบบที่มีแผ่นรังผึ้งแทรกอยู่ตรงกลาง (เส้นสีแดง) กับแบบที่ไม่มีแผ่นรังผึ้ง (เส้นสีน้ำเงิน) สังเกตว่า แผ่นรองเครื่อง หรือ shelf board ของ TAOC ทั้งแบบที่มีและไม่มีแผ่นแกนรังผึ้งต่างก็ให้ประสิทธิภาพในการลด noise จากเรโซแนนซ์ลงไปได้เยอะมากถึงประมาณ 40dB เลยทีเดียว (ตั้งแต่ -70dB ลงไปจนถึง -110dB) และเมื่อเทียบกันระหว่างแบบมีแผ่นแกนรังผึ้งกับแบบไม่มี พบว่าในช่วงความถี่ประมาณ 500Hz ขึ้นไปจนถึงประมาณ 3500Hz จะมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัด คือแผ่นรองเครื่องที่มีแกนรังผึ้งแทรกอยู่ตรงกลางจะให้ความถี่ในย่านดังกล่าวออกมา “ราบเรียบกว่า” แผ่นรองเครื่องแบบที่ไม่มีแกนรังผึ้ง ซึ่งดูจากความถี่ที่ส่งผลแล้ว แสดงว่าย่านเสียงกลางคือผลลัพธ์ที่โดดเด่นชัดเจนสำหรับชั้นวาง ASRIII ตัวนี้..!!!

โครงสร้างหลักที่ใช้รับน้ำหนัก
(frame)

พวกเขาไม่ได้ถ่ายน้ำหนักที่เกิดจากการแบกรับอุปกรณ์เครื่องเสียงบนแผ่นรองเครื่อง (shelf board) ไปที่ขาตั้งของชั้นวางโดยตรง แต่ออกแบบกรอบนอกให้มีส่วนฐานเล็กๆ ที่ยื่นออกไปรองรับตรงมุมทั้งสี่ของแผ่น shelf board ซึ่งเป็นหลักการที่ดีในการกระจายน้ำหนัก เหมือนสปริงบอร์ดที่ใช้วิธีถ่ายพลังงานที่เกิดจากน้ำหนักกดกระแทกไปที่โครงเสาผ่านลวดสปริงที่ขึงรับระหว่างโครงเสากับแผ่นผ้าใบซึ่งช่วยให้การถ่าย/ลดทอนน้ำหนักเป็นไปด้วยความนุ่มนวล ไม่กระฉอก และเป็นหลักการเดียวกันการออกแบบไดอะแฟรมของไดเวอร์ลำโพงที่กระจายแรงสั่นบนไดอะแฟรมออกไปที่เฟรมโดยผ่านวงแหวนเซอร์ราวนด์ที่ยืดหยุ่นได้คอยช่วยให้การสลายพลังงานสั่นของไดอะแฟรม (กรวยลำโพง) เป็นไปอย่างนุ่มนวล

เพื่อป้องกัน ไม่ให้แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ถ่ายเทลงไปบนแผ่น shelf board ถูกถ่ายเทลงมาที่โครงสร้างหลัก (ต้องการให้เรโซแนนซ์เหล่านั้นถูกควบคุมด้วยโครงสร้างภายในแผ่น shelf board ให้มากที่สุด) ทางผู้ผลิตจึงได้ออกแบบให้มีส่วนสัมผัสระหว่างแผ่น self board กับโครงสร้างหลัก น้อยที่สุดด้วยวิธีการออกแบบให้มีเดือยแหลม (spike insulators) ขนาดเล็กติดตั้งอยู่บนปีกทั้ง 4 มุมของกรอบที่ยื่นออกมารองรับแผ่น shelf board ไว้ โดยติดตั้งเดือยแหลมในลักษณะที่ให้ส่วนปลายแหลมของ spike หงายขึ้นสัมผัสกับด้านล่างของแผ่น shelf board (ที่เป็นมาลามีน) ด้วยวิธีนี้ทำให้แผ่น shelf board สัมผัสกับส่วนที่เป็นโครงสร้างหลักผ่านจุดเล็กๆ แค่ 4 จุดเท่านั้น นั่นก็เท่ากับว่า แรงสั่นสะเทือน (vibration) ที่เกิดขึ้นบนแผ่น shelf board แต่ละชั้น จะถูกควบคุมไว้ในแผ่น shelf board ของแต่ละชั้นนั้นและถูกสลายไปโดยผงโละหล่อขนาดเล็กในแผ่นรังผึ้ง จึงไม่มีแรงสั่นสะเทือนเล็ดลอดออกไปถึงชั้นอื่นๆ เลย โอ้ว ว้าวว..!!! เป็นการออกแบบที่แยบยลมาก..!!!

และเพื่อทำให้ส่วนของโครงสร้างหลักหรือ frame มี ความสงัดให้มากที่สุด พวกเขายังได้ใช้แผ่นแด้มป์ที่เรียกว่า Oscillation-contralling sheet แปะเข้าไปกับส่วนที่เป็นกรอบอะลูมิเนียมที่ใช้รอบรับแผ่น shelf board เพื่อดูดซับแรงสั่นสะเทือนที่สะสมอยู่บนกรอบอีกชั้นหนึ่ง.. อือมม.!! งานละเอียดมาก.!!!

เสา (pillar) และ ข้อต่อ (joint & spacer)

นอกจากนั้น แม้แต่ส่วนประกอบย่อยๆ ก็ยังผ่านการพิจารณา วิเคราะห์ และออกแบบมาอย่างแยบยล ไม่ว่าจะเป็นเสาที่ใช้ค้ำยันแต่ละชั้น ซึ่งในแต่ละชั้นจะมีอยู่ 4 ต้น แนบอยู่ด้านข้างของโครงสร้างหลักข้างละ 2 ต้น และการเชื่อมต่อของเสาค้ำยันที่เพิ่มเป็นความสูงขึ้นไปในแต่ละชั้นนั้น พวกเขาก็ได้ทำการวิจัย ทดลอง และออกแบบระบบ ขั้วต่อ (joint), แหวนรอง (spacer) และ ฝาปิดด้านบนสุดของเสา (top cap) เพื่อทำให้ทุกจุดเหล่านี้มีผลกับเรโซแนนซ์ที่เกิดจากแรงสั่นสะเทือนน้อยที่สุด

เสาแต่ละต้นทำด้วยอะลูมิเนียม ในขณะที่ส่วนประกอบที่ใช้เชื่อมโยงเสาเข้ากับกรอบ (frame) ของแต่ละชั้นทำด้วยเหล็กหล่อแบบไฮคาร์บอน ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดทอนแรงสั่นสะเทือนได้ดี

ตัวรองเดือยแหลม

ระบบกรองน้ำที่ดีจะมีชั้นฟิลเตอร์เยอะมาก แต่ละชั้นจะทำหน้าที่กรองสิ่งแปลกปลอมออกไปจากน้ำตั้งแต่ระดับที่มองเห็นด้วยตาเปล่าไปจนถึงขั้นที่ตามองไม่เห็น ดูแล้วก็ไม่ต่างไปจากแนวทางที่ TAOC นำมาใช้ในการออกแบบขาตั้ง ASRIII ตัวนี้เลย พวกเขาค่อยๆ ไล่ดูดซับแรงสั่นสะเทือนจำนวนมากตั้งแต่ต้นทางที่ตัวเครื่องเสียงสร้างออกมาให้ลดลงไปทีละชั้น และตามไปดูดซับพลังงานความสั่นสะเทือนที่หลุดลอดไปสู่ชิ้นส่วนต่างๆ ของชั้นวาง ทุกจุดแม้ว่าจะเหลือน้อยนิดแค่ไหนพวกเขาก็ไม่วางมือ

ส่วนปลายของเสาที่ทำหน้าที่เป็นขาทั้ง 4 ของชั้นวางตัวนี้ ถูกทำให้มีลักษณะเป็นปลายแหลมคล้ายทิปโท โดยมีชิ้นส่วนรองรับปลายแหลมนี้เอาไว้ไม่ให้ปลายแหลมจิกลงบนพื้นห้องโดยตรง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว การทำถ้วยอะลูมิเนียมลักษณะนี้ก็ไม่ได้ประสงค์แค่รองเดือยแหลมไว้ไม่ให้พื้นห้องเสียหายเท่านั้น แต่กว่าจะออกมาเป็นรูปลักษณ์แบบที่เห็นนี้ ชิ้นส่วนนี้ได้ถูกปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายครั้ง สาเหตุเพราะเขาให้ความสำคัญกับผลกระทบที่มีต่อเสียงด้วย (*ตอนทดสอบ ผมทดลองเอาถ้วยนี้ออกแล้วใช้อุปกรณ์รองใต้เดือยแหลมรูปแบบต่างๆ มาใช้แทน พบว่ามีผลกระทบกับเสียงในระดับที่ฟังออกได้ชัด.. อาจจะไม่ถึงกับเลวร้ายลงไปมาก แต่ก็รับรู้ได้ว่าความเปิดอิสระของเสียงโดยรวมแย่ลง.. ไม่มีตัวไหนสู้ของที่เขาทำมาคู่กันได้เลย ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ.!!)

ทดลองฟังเสียง

ผู้ผลิตระบุไว้ว่า แต่ละชั้นสามารถรองรับน้ำหนักได้ มากถึง 100 กิโลกรัม ซึ่งยากที่จะไปถึงขั้นที่ชั้นวางรองรับไม่ได้ เพราะอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีน้ำหนักเยอะๆ จริงๆ จะอยู่แถวๆ 30 – 50 กิโลกรัมเท่านั้น มีโอกาสน้อยที่จะมีน้ำหนักไปถึง 100 กิโลกรัม

ชั้นวางเครื่องเสียง มีเสียงได้อย่างไร.? จริงๆ แล้ว เสียงเพลงที่เราได้ยินออกมาจากลำโพงมันเป็นผลมาจาก สัญญาณเสียงซึ่งเป็นต้นกำเนิดที่ถูกอ่านออกมาจากแผ่น หรือสตรีมมาจากไฟล์ แล้วส่งไปที่แอมป์ และผ่านจากแอมป์ขยายไปออกที่ลำโพง ซึ่งจะเห็นว่า เส้นทางเดินของสัญญาณจากต้นกำเนิดไปจนถึงปลายทาง มันไม่ได้วิ่งผ่านชั้นวางเครื่องเสียงเลย แบบนี้แล้วชั้นวางจะเข้าไปทำให้เสียงเพลงเปลี่ยนไปได้อย่างไร.?

เมื่อมนุษย์ค้นพบพลังของ resonant ที่เกิดจาก แรงสั่นสะเทือนนั่นทำให้เราเรียนรู้ว่า แรงสั่นสะเทือนหรือ vibration ซึ่งเป็นพลังงานชนิดหนึ่งสามารถแทรกซึมเข้าไปอิรุงตุงนังกับสัญญาณเสียงเพลงที่กำลังวิ่งอยู่ในซิสเต็มได้ และสามารถเข้าไปส่งผลรบกวนสัญญาณเสียง (ซึ่งตอนที่สัญญาณเสียงวิ่งอยู่ในซิสเต็มนั้น มันอยู่ในรูปของกระแสไฟฟ้า) ได้ด้วย ทำให้สัญญาณเสียงมีลักษณะที่ผิดรูปไปจากต้นฉบับที่มาจากต้นกำเนิดตอนถูกอ่านออกมาจากแผ่นหรือไฟล์เพลง

ขณะที่เครื่องเสียงกำลังทำงาน มันได้สร้างความสั่นสะเทือนระดับต่ำออกมา ซึ่งเป็นปริมาณที่ไม่มากถึงขนาดที่จะทำให้เสียงออกมาแย่ลงไปจากต้นฉบับถึงขนาดรับไม่ได้ ถ้าไม่มีการเพิ่มปริมาณความสั่นสะเทือนเข้าไปสมทบมากๆ แต่เมื่อเครื่องเสียงวางอยู่บนชั้นวาง แรงสั่นสะเทือนจากการทำงานที่เกิดขึ้นภายในตัวเครื่องเสียง (อย่างเช่นการสั่นของหม้อแปลงที่อยู่ในภาคจ่ายไฟ) ก็จะพยายามแผ่ออกมาจากตัวเครื่องเสียงลงไปที่ชั้นวาง ถ้าชั้นวางไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถดูดรับพลังงานสั่นสะเทือนที่ออกมาจากตัวเครื่องเสียงเอาไว้แล้วมีกรรมวิธีในการควบคุมเพื่อลดทอนพลังงานสั่นสะเทือนนั้นให้เบาบางลงมาอยู่ในระดับที่ไม่ย้อนกลับเข้าไปผสมโรงกับแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้น (ตลอดเวลา) ภายในตัวเครื่อง เสียงเพลงที่เครื่องเสียงสร้างออกมาก็จะไม่ถูกรบกวนจากแรงสั่นสะเทือนเหล่านั้น

ที่พูดถึงข้างบนนั้นเป็นหลักการพื้นฐานที่ผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงรู้กันมานานแล้ว แต่การที่จะออกแบบชั้นวางที่สามารถ ควบคุมพลังงานที่เกิดจากความสั่นสะเทือนให้อยู่ในระดับต่ำจนไม่ย้อนกลับไปรบกวนสัญญาณเสียงได้นั้นมันไม่ง่ายเลย เพราะศาสตร์ความรู้ที่ต้องนำมาใช้ในการพิจารณา วิเคราะห์ ประเมินผล มันไม่ใช่ความรู้ทางอิเล็กทรอนิคส์เหมือนการทำเครื่องเสียง แต่ต้องเป็นความเข้าใจทางด้านฟิสิกส์, กลศาสตร์ และทางด้านวัสดุศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายเทพลังงาน ซึ่งตรงกับความเชี่ยวชาญของ TAOC พอดี

เอาอะไรมาวางเครื่องเสียงก็มีผลกับเสียง

ในโลกนี้มีผู้ผลิตอุปกรณ์ประเภทชั้นวางเครื่องเสียง หรือ Audio Racks มากมายหลายสิบแบรนด์ ซึ่งถ้าคุณมีโอกาสได้ทดลองใช้งานชั้นวางมาหลายๆ รูปแบบ สิ่งแรกที่คุณจะได้พบก็คือ ความจริงที่ว่า ชั้นวางแต่ละยี่ห้อมีผลกับเสียงไม่เหมือนกัน ซึ่งผู้ผลิตชั้นวางเครื่องเสียงแต่ละเจ้าก็รับรู้ถึงข้อเท็จจริงนี้ และปัจจุบัน ความรู้ความเข้าใจในข้อเท็จจริงที่ว่านี้ได้ถูกสังคายนา จัดแยกออกมาเป็นหมวดหมู่ที่สามารถศึกษาและทำความเข้าใจมันได้มากขึ้น

ชั้นวางเครื่องเสียงที่มีอยู่ในวงการเครื่องเสียงจะแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ ประเภท มวลหนัก (high mass), มวลปานกลาง (medium mass) และ มวลเบา (low mass) ซึ่งแต่ละประเภทจะมีผลกับเสียงของซิสเต็มแตกต่างกัน โดยปกติแล้ว ชั้นวางแบบ high mass จะให้เสียงที่หนักแน่น กระชับ มีการเก็บตัวของเสียงที่เร็ว เนื้อเสียงเข้มข้น หางเสียงไม่ยาวมาก ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้จะส่งผลถึง บุคลิกเสียงหรือโทนเสียงของซิสเต็มที่เอามาวางบนชั้นเหล่านี้ให้ออกไปทางเอาจริงเอาจัง เคร่งครัด มีน้ำหนักย้ำเน้นที่จะแจ้ง ชัดเจน

ส่วนชั้นวางแบบ medium mass ก็จะลดคุณสมบัติทุกด้านลงมาระดับหนึ่งเมื่อเทียบกับแบบไฮแมส คือลดความกระชับแน่นลงมาระดับหนึ่ง การเก็บตัวของเสียงก็จะไม่กระชับเร็วเท่ากับแบบ high mass พฤติกรรมของชั้นวางแบบ medium mass จึงให้ปลายเสียงที่ทอดยาวออกไปมากกว่า ในขณะที่ความหนาแน่นของมวลเสียงก็จะลดหย่อนลงมาระดับหนึ่ง มีผลให้โทนเสียงมีความผ่อนคลายลง ระดับความเอาจริงเอาจังกับเสียงลดลง ส่วนชั้นวางเครื่องเสียงแบบ low mass ก็ลดหย่อนความเข้มข้นของแต่ละคุณสมบัติลงมาอีกระดับ มีผลให้โทนเสียงของเพลงจากซิสเต็มที่วางบนชั้นวางแบบ low mass มีความยืดหยุ่นมาก ออกไปทางแนวผ่อนคลาย ฟังสบาย

ถ้าถามว่า ชั้นวางทั้ง 3 ประเภทนั้น ประเภทไหนดีที่สุด.? คำตอบคือ ไม่มีประเภทไหนดีที่สุด มันขึ้นอยู่กับแนวเสียงของซิสเต็มของคุณ + รสนิยมความชอบของคุณ สมมุติว่า ซิสเต็มของคุณมีแนวเสียงออกไปทางชัดเจน หนักแน่น ย้ำเน้นจริงจัง เด็ดขาด แต่คุณดันมีรสนิยมในการฟังเพลงที่ชอบแนวผ่อนคลาย เอนหลังฟังสบายๆ ไม่อยากชำแหละเข้าไปค้นหารายละเอียดที่แอบซ่อนอยู่ในแต่ละเพลงที่ฟัง กรณีนี้ ชั้นวางเครื่องเสียงที่คุณต้องการเพื่อเอาไปเกลี่ยให้เสียงของซิสเต็มของคุณเปลี่ยนไปในแนวทางที่ตรงกับรสนิยมของคุณมากที่สุดก็คือชั้นวางแบบ low mass ตรงกันข้าม ถ้าคุณเป็นคนที่ชอบเสียงที่ชี้ชัด รายละเอียดกระจ่างพร่างพรายกระจายออกมาเป็นเม็ดๆ ไดนามิกก็ต้องสวิงเต็ม โทนรวมออกแนวสดกระจ่าง แต่ซิสเต็มที่คุณมีอยู่ดันให้เสียงออกไปทางรอมชอม ยืดหยุ่น ผ่อนปรน คุณก็อาจจะต้องอาศัยชั้นวางเครื่องเสียงที่ให้โทนเสียงออกไปทางเอาจริงเอาจังมากหน่อย อย่างเช่น ชั้นวางประเภท high mass เข้ามาช่วยเกลี่ยโทนเสียงของซิสเต็มให้เอนเอียงมาทางโทนที่คุณถูกใจมากขึ้น เรื่องมันเป็นแบบนี้ ถึงได้ต้องบอกว่า ไม่มีชั้นวางเครื่องเสียงแบบไหนดีที่สุดนั่นแล

ผมมีโอกาสได้ทดลองใช้ชั้นวางเครื่องเสียง ASRIII กับเครื่องเสียงหลายหลายตัวในช่วงเกือบสองเดือนที่ผ่านมา ทั้งใช้วางแหล่งต้นทาง, วางแอมป์ และแอบวางตัวกรองไฟด้วย ลองทั้งตัวเล็กน้ำหนักเบาไปจนถึงตัวใหญ่น้ำหนักเยอะ หนักสุดก็ประมาณเกือบ 30 กิโลกรัม ไม่มีตัวไหนเกินพิกัดความสามารถในการรองรับน้ำหนักของชั้นวางตัวนี้เลย

ถ้าถามว่า โทนเสียงของชั้นวาง ASRIII แบบสามชั้นตัวนี้ออกมาเป็นยังไง.? ผมพยายามเปรียบเทียบมันเข้ากับโทนเสียงหลักๆ ของชั้นวางทั้ง 3 แบบคือ high mass, medium mass และ low mass พบว่า ASRIII ตัวนี้มันให้โทนเสียงคร่อมอยู่กลางๆ ระหว่างแบบ high mass ขึ้นไปถึง low mass เลย

อันนี้ประเมินด้วยรสนิยมส่วนตัวของผมและจากประสบการณ์ที่ผมเคยใช้งานชั้นวางแบบ high mass มาก่อน ซึ่งโครงทำด้วยแท่งสแตนเลส + ชั้นวางเครื่องทำด้วยแกรนิต (ทำในไทย) ช่วงแรกที่ใช้ผมรู้สึกตื่นเต้นกับความสงัดที่ชั้นวางตัวนั้นให้ออกมา ตัวเสียงมันพุ่งเด่นออกมามากเป็นพิเศษ หัวเสียงคมชัดและกระแทกกระทั้นดี แรงปะทะล้นเหลือ หลังจากใช้มาได้ระยะเวลาหนึ่ง ผมก็พบด้านมืดของมัน คือมันทำให้เสียงโดยรวมมีความ รวบรัด-อัดแน่นมากไปความนิ่มนวลอ่อนช้อยผ่อนปรนยังไม่โดนใจ หลังจากนั้นผมก็ลองเปลี่ยนมาใช้ชั้นวางแบบ low mass ซึ่งโครงทำด้วยเหล็กกล่องสี่เหลี่ยมกลวงๆ ขนาดเล็ก ชั้นวางทำด้วยไม้ (ของแบรนด์ Rezet) โทนเสียงที่ได้ออกมาอยู่คนละด้านกับชั้นวางตัวเดิมเลย ทันทีที่เปลี่ยนมาใช้ชั้นวางแบบ low mass ของ Rezet ตัวนั้น ผมรู้สึกได้เลยว่าชอบมากกว่าตัวเก่าที่เป็นแบบ high mass ชอบตรงที่มันให้น้ำเสียงออกมาในลักษณะที่ ฟูและ ลอยขึ้นมา ความเข้มข้นของเนื้อมวลของแต่ละเสียงจะลดลงไปหน่อย แต่ก็ให้ความรู้สึกว่าเนื้อเสียงมันมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ไม่แข็งเกร็ง จังหวะลีลาของเพลงก็มีความผ่อนคลาย ให้ภาพรวมของเสียงที่ผมชอบมากกว่า

หลังจากผ่านการใช้งานชั้นวางทั้งสองประเภทนั้นมา นอกจากจะได้เห็นถึงโทนเสียงที่แตกต่างกันระหว่างชั้นวางทั้งสองแบบแล้ว ผมยังได้ข้อสรุปคร่าวๆ มาอีกข้อหนึ่งที่ว่า ชั้นวางแบบ high mass จะให้ผลทางเสียงที่ดีกับเครื่องเสียงที่มีน้ำหนักเยอะๆ ในขณะที่ชั้นวางแบบ low mass จะไปกันได้ดีกว่ากับเครื่องเสียงที่มีน้ำหนักไม่เยอะ

จุดเด่นของเสียงที่ได้จากชั้นวางแบบ high mass อีกอย่างหนึ่งซึ่งชั้นวางแบบ low mass สู้ไม่ได้ก็คือ ความนิ่ง โดยเฉพาะในย่านความถี่ต่ำที่สามารถกระชับรวบปลายเสียงทุ้มไว้ได้เป็นระเบียบ ดีกว่าชั้นวางแบบ low mass อย่างชัดเจน ในขณะที่ชั้นวางแบบ low mass จะให้เสียงที่เปิดโล่ง ผ่อนปรน พลิ้วและกังวาน ซึ่งส่งผลดีกับเสียงในย่านกลางและแหลมเป็นพิเศษ ซึ่งชั้นวางแบบ high mass มักจะเป็นรองในแง่นี้เมื่อเทียบกับชั้นวางแบบ low mass ที่มีราคาพอกัน เมื่อใช้ชีวิตอยู่กับชั้นวางแบบ high mass และแบบ low mass มาจนบรรลุถึงข้อดี+ข้อด้อยของชั้นวางทั้งสองแบบนั้นแล้ว จะพบว่า คุณสมบัติที่ต้องการจาก ชั้นวางเครื่องเสียงของผมก็เป็นภาพที่ปรากฏชัดเจนมากขึ้น สิ่งที่ผมต้องการจริงๆ ก็คือลักษณะเสียงที่ผสมผสานกันระหว่างบางอย่างที่ได้จากชั้นวาง high mass กับอีกบางอย่างที่ได้จากชั้นวาง low mass นั่นเอง

TAOC คือก้าวที่ข้ามขึ้นมาอีกระดับ..!!

ชั้นวางเครื่องเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ ยุคใหม่ๆ ไม่ได้มองที่ mass อย่างเดียว แต่เทคโนโลยีในการออกแบบปัจจุบันนี้มันวิเคราะห์ไปไกลกว่านั้นมาก ทั้งในแง่ของวัสดุและลักษณะการจัดการกับพลังงานความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นกับซิสเต็มที่วางอยู่บนชั้นนั้น ซึ่งกลายเป็นว่า ทั้งสองประเด็นนั้นคือหัวใจสำคัญที่มีส่วนในการกำหนดโทนเสียงของชั้นวางสมัยใหม่ ซึ่งเทคโนโลยีแบบเก่าที่อาศัยแค่ปรับจูน mass อย่างเดียวให้ไม่ได้

ASRIII ให้เสียงที่ฟูและลอยตัว ไม่หนัก ไม่จม ชิ้นดนตรีในวงมีลักษณะที่แผ่กระจาย แม้จะซ้อนกันในแนวระนาบ (ตามระดับสายตา ณ จุดนั่งฟัง) แต่ก็ยังสามารถแยกแยะให้รับรู้ได้ถึงความเหลื่อมล้ำทางด้านตื้นลึกที่แยกตัวออกมาเป็นเลเยอร์หน้า-หลังได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งถ้ามองที่คุณสมบัติข้อนี้ ก็น่าจะจัด ASRIII เข้าไปอยู่ในกลุ่มของชั้นวางแบบ low mass ได้ ทว่า.. เมื่อลองพิจารณาไปที่ตัวเสียงแต่ละชิ้นที่กระจายตัวอยู่ในอากาศ พบว่า มันมีความเข้มข้นของอิมแพ็คที่รัดตึงอยู่พอสมควร คือไม่ได้บางเบาเหมือนกับที่ชั้นวางแบบ low mass ให้ออกมาคือเสียงยิ่งโปร่งลอย เนื้อจะยิ่งบาง แต่เนื้อมวลของเสียงโดยเฉพาะในย่านกลางลงไปทุ้มที่ได้จากชั้นวาง ASRIII ตัวนี้มันก็มีความอิ่มแน่นในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะเสียงทุ้มที่มีทั้งส่วนที่เป็น นิวเคลียสหรือจุดศูนย์กลางของบอดี้ที่เข้มข้น และมีทั้งส่วนที่เป็นมวลบอดี้ที่พอกทับอยู่รอบๆ นิวเคลียสอีกชั้นหนึ่ง ก่อนจะคลี่คลายออกมาเป็นหางเสียงที่เบาบางลงไปเป็นชั้นๆ

ผมคิดมาเสมอว่า ความหมายของชั้นวางเครื่องเสียงแบบ medium mass นั้นมันเป็นแค่อุดมคติที่ไม่มีอยู่จริง และคำว่า medium mass ก็ไม่น่าจะมีความหมายอะไร ถ้ายึดเอาแค่ น้ำหนักของมวล (mass) เป็นที่ตั้งแค่อย่างเดียว เพราะผลลัพธ์ต่อเสียงที่ออกมาก็ไม่น่าจะเป็นไปอย่างที่อยากจะให้เป็น เนื่องจากว่าจริงๆ แล้ว การที่จะทำให้ได้เสียงที่โปร่ง กว้าง ฟู ลอย เสียงแหลมมีประกายระยิบระยับ กังวานยาว ในขณะเดียวกัน เนื้อเสียงก็ต้องอิ่มและควบแน่น ไดนามิกต้องสวิงได้กว้าง อิมแพ็คกระชับหนักแน่นตั้งแต่แหลมลงไปยันทุ้ม หัวเสียงต้องเร็วและมีแรงปะทะที่รุนแรง แต่ก็ต้องคลี่คลายหางเสียงออกไปได้เป็นระลอกด้วย ซึ่งลักษณะเสียงที่ว่ามาทั้งหมดนี้คือ อุดมคติ” ที่ชั้นวางเครื่องเสียงที่ออกแบบโดยอาศัย “น้ำหนัก” ของมวลอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดเสียงแบบที่ว่านั้นได้ ต้องเป็นชั้นวางที่อาศัยเทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วย และต้องใส่ใจกับทุกชิ้นส่วนด้วย

TAOCASRIIIเป็นชั้นวางเครื่องเสียงที่ให้เสียงออกมาในลักษณะที่ผมฝันอยากได้ในหลายๆ ด้าน เกือบครบถ้วนตามอุดมคติ ซึ่งหลายๆ ครั้งที่นั่งฟัง ผมยอมรับว่าแอบรู้สึกฉงนอยู่เหมือนกัน คือแปลกใจว่า พวกเขาสามารถทำเสียงแบบชั้นวาง high mass ออกมาพร้อมกับเสียงแบบชั้นวาง low mass ได้ยังไง.? มัน (ASRIII) สามารถถ่ายทอดประกายเสียงที่พลิ้วและกังวานของเสียงกลางแหลมออกมาพร้อมๆ กับหัวเสียงเบสที่กระชับแน่นและทิ้งตัวลงพื้นได้ยังไง.? น้ำหนักตัวของ ASRIII ก็ไม่ได้เยอะมาก แค่ 28 กิโลเท่านั้น สามารถยกมันขึ้นจากพื้นได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีน้ำหนักเยอะมากเมื่อเทียบกับชั้นวางตัวอื่นที่เป็นแบบ high mass คือน้ำหนักเยอะกว่านี้ (40 – 50 กิโลกรัมขึ้นไป) แต่ถ้าลองเอามือเคาะลงไปที่ชิ้นส่วนต่างๆ ของชั้นวางตัวนี้ คุณจะรู้สึกได้ถึงความแน่น ซึ่งเป็นที่มาของความนิ่งและสงัดของพื้นเสียงที่ได้ยินจากชั้นวางเครื่องเสียงของ TAOC ตัวนี้

เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น ถ้าเอามาตรฐานของ โทนเสียงที่ได้จากคุณสมบัติทางด้านมวล (mass) ของชั้นวางเครื่องเสียงยุคเก่ามาเทียบเคียงกับลักษณะโทนเสียงของ TAOCASRIIIตัวนี้ ผมคิดว่าโทนเสียงดดยรวมที่ ASRIII ตัวนี้ให้ออกมา มันคล่อมอยู่ระหว่างโทนเสียงแบบ high mass ขึ้นไปจนถึง low mass โดยเอนเอียงไปทาง medium mass-to-low mass มากหน่อย

สรุป

ไม่ง่ายเลยที่จะแยกแยะโทนเสียงของชั้นวางเครื่องเสียงออกมาให้เห็นชัดๆ ได้ เหตุก็เพราะว่าชั้นวางเครื่องเสียงเป็นแค่ อุปกรณ์เสริมที่สัญญาณเสียงในซิสเต็มไม่ได้วิ่งผ่านโดยตรงเหมือนเครื่องเสียง, ลำโพง, สายสัญญาณ และสายลำโพง แต่ถ้าคุณมีโอกาสได้ทดลองใช้งานชั้นวางที่ออกแบบมาเพื่อใช้วางอุปกรณ์เครื่องเสียงโดยตรงมาก่อน คุณจะทราบดีว่ามันมีผลต่อโทนเสียงของซิสเต็มจริงๆ แม้ว่ามันจะไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับสัญญาณเสียงโดยตรงก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่อธิบายยากแต่สามารถรับรู้ได้ด้วยการทดลองฟัง

ชั้นวางเครื่องเสียงของ TAOC ถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชั้นวางตัวนี้สามารถผสมผสานข้อดีของชั้นวางเครื่องเสียงแบบดั้งเดิมออกมาได้อย่างน่าพอใจ หลุดพ้นจากอาการ ได้อย่างเสียอย่างที่เกิดขึ้นกับชั้นวางแบบ high massmedium masslow mass ไปได้อย่างเด็ดขาด

ยอมรับว่า การทดลองฟังผลทางเสียงของชั้นวางเครื่องเสียงเป็นอะไรที่ทำได้ยาก แต่ถ้าคุณสงสัยใคร่อยากรู้จริงๆ ว่าชั้นวางเครื่องเสียงของ TAOCASRIIIตัวนี้มันให้เสียงออกมาโทนไหนตามรสนิยมของคุณ ก็คงหนีไม่พ้นแนะนำให้ไปทดลองฟังสถานเดียว..!!

********************
ราคา :
รุ่น ASRIII แบบ 3 ชั้น = 91,000 บาท / ตัว*

(แบบมาตรฐาน ชั้นที่เป็นฐานสูง 80 .. ชั้นที่หนึ่งสูง 330 .. ส่วนชั้นที่อยู่เหนือขึ้นไปสูง 280 .. ทั้งหมด)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท Bulldog Audio
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
088-766-6542 (คุณโอ๋)

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า