รีวิว Audiolab รุ่น 9000N

ส่วนตัวแล้วผมชอบวิธีการดำเนินธุรกิจของ IAG (International Audio Group) มาก คือชอบที่พวกเขาพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ดูแลอยู่ให้มีความคืบหน้าออกมาให้เห็นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ทางด้านลำโพงหรือผลิตภัณฑ์ทางด้านอิเล็กทรอนิคส์ ทั้งๆ ที่มีแบรนด์สินค้าให้ดูแลอยู่หลายแบรนด์ในเครือ แต่พวกเขาก็ยังสามารถบริหารจัดการแต่ละแบรนด์ให้มีความรุดหน้าทางด้านพัฒนาการออกมาให้เห็นอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ต้องขอปรบมือให้เลย..

Audiolab 9000N
อีกหนึ่งก้าวในการรุดไปข้างหน้าสำหรับ Streamer ภายใต้ชื่อแบรนด์ Audiolab

ก่อนหน้ารุ่น 9000N นี้ Audiolab ได้เริ่มทำผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ Music Streamer ออกมาตัวแรกคือรุ่น 6000N Play เมื่อ ปี 2019 หลังจากนั้นพวกเขาก็ปล่อย Music Streamer ออกมาใหม่ 2 ตัวใน ปี 2024 คือรุ่น 7000N Play ตอนกลางปี และรุ่น 9000N ช่วงปลายปี

ถ้าสังเกต คุณจะเห็นว่ารุ่น 6000N กับรุ่น 7000N จะมีคำว่า ‘Playห้อยท้ายมาด้วย ซึ่งบอกให้รู้ว่า Music Streamer ทั้งสองรุ่นนั้นใช้ระบบปฏิบัติการณ์ของ DTS PlayFi เป็นพื้นฐาน (core) ในการควบคุมการทำงานของระบบ ในขณะที่รุ่น 9000N ตัวใหม่นี้ทาง Audiolab มองว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในอนุกรมที่สูงกว่าทั้ง 6000N และ 7000N ขึ้นมาอีกระดับ พวกเขาจึงทำการออกแบบ 9000N ใหม่หมดตั้งแต่พื้นฐานเพื่อให้สมฐานะของการเป็น Music Streamer ระดับเรือธงของแบรนด์.!!

รูปร่าง + หน้าตา

หลังจากได้สัมผัสใช้งานมานานแรมเดือน ผมพบว่า 9000N ตัวนี้มีอะไรใหม่ๆ มาเพียบ มันแตกต่างไปจาก 6000N Play และ 7000N Play เยอะมาก ต้องเรียกว่า 9000N ก้าวข้ามไปอีกขั้นก็ว่าได้ แต่ก่อนจะเจาะเข้าดูสาระพวกนั้น เรามาพิจารณารูปร่างหน้าตาของสตรีมเมอร์ตัวนี้กันก่อน

เวลาเห็นอะไรที่มันดีไซน์มาลงตัวแล้วเราจะรู้สึกสะดุดตาทันทีว่ามั้ย.? นั่นคือความรู้สคกของผมหลังจากได้เห็นโฉมหน้าของ 9000N ตัวนี้ โอ้ว.. พวกเขาดีไซน์หน้าตามันอออกมาได้สวยงามมาก.! เห็นแล้วชอบเลย..!! ทั้งๆ ที่ดูเผินๆ แล้วก็เหมือนกับว่าหน้าตาของมันก็ดูไม่ได้ต่างไปจากผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ของ Audiolab มากนัก องค์ประกอบหลักๆ ก็ยังคงแสดงอัตลักษณ์ของความเป็น Audiolab ออกมาอย่างชัดเจน แต่พอตั้งใจพิจารณาจริงๆ ถึงได้เห็นว่า เมื่อเปรียบเทียบหน้าตาของผลิตภัณฑ์ประเภท Music Streaming ทั้งสามรุ่น จะพบว่า 9000N ตัวนี้มันมีความแตกต่างจากรุ่น 6000N Play และ 7000N Play อยู่พอสมควร ที่ชัดเจนที่สุดก็คือจอแสดงผลที่เปลี่ยนไปเยอะจากสองรุ่นแรก ทั้งในแง่ขนาดและตำแหน่งการติดตั้งบนแผงหน้า กับปุ่มหมุนสองปุ่มของตัว 9000N ซึ่งไม่เคยมีปรากฏอยู่บนรุ่น 6000N Play และรุ่น 7000N Play มาก่อน (*ดูจากภาพข้างบน ไล่จากบนลงล่าง 6000N Play, 7000N Play และ 9000N)

ส่วนสัด + จุดเชื่อมต่อ

1. เต้ารับปลั๊กไฟเอซีจากภายนอก
2. เมนสวิทช์เปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง
3. ขั้วต่อ XLR สำหรับสัญญาณอะนาลอกบาลานซ์ เอ๊าต์พุต
4. ขั้วต่อ RCA สำหรับสัญญาณอะนาลอกซิงเกิ้ลเอ้นด์ เอ๊าต์พุต
5. ขั้วต่อ Coaxial สำหรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุต
6. ขั้วต่อ Optical สำหรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุต
7. ขั้วต่อ Ethernet สำหรับเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์ค
8. ช่องเสียบ USB ฮาร์ดดิส
9. เสาอากาศสำหรับคลื่น Wi-Fi
10. ปุ่ม reset
11. ปุ่ม WPS (Wi-Fi Protected Setup)
12. ช่องอินพุต USB-B
13. ช่อง USB-A สำหรับการอัพเกรด
14. ช่องรับ/พ่วงสัญญาณ trigger

ตัวถังของ 9000N มีสัดส่วนเดียวกับอินติเกรตแอมป์รุ่น 9000A (REVIEW) ที่อยู่ในซีรี่ย์เดียวกัน ส่วนเฟอร์นิเจอร์บนหน้าปัดก็มีแค่สวิทช์สแตนด์บายหนึ่งปุ่มกับปุ่มหมุน 2 ปุ่ม และจอแสดงผลขนาดใหญ่อีกหนึ่งจอเท่านั้น ในขณะที่จุดเชื่อมต่อทั้งหมดได้ถูกนำไปติดตั้งไว้ที่แผงด้านหลังของตัวเครื่อง

ดิจิตัล อินพุต & เอ๊าต์พุต

9000N ไม่มีอินพุตที่รองรับสัญญาณอะนาลอก มีแต่อินพุตสำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัลได้ทั้งหมด 4 ช่องทาง แยกเป็นการรับสัญญาณผ่านทางสายเชื่อมต่อ 2 อินพุต คือ USB (12) และ Ethernet (7) กับช่องอินพุตที่รองรับสัญญาณผ่านระบบไร้สายผ่านเข้ามาทางคลื่น Wi-Fi (9) อีกหนึ่งช่องทาง โดยไม่มีอินพุตสำหรับ Bluetooth มาให้ และสุดท้ายคืออินพุต USB-A สำหรับ USB storage (8) อีกหนึ่งช่อง

อินพุต USB-B และ Ethernet รองรับสัญญาณได้ทั้งฟอร์แม็ต PCM, DSD และ MQA ด้วยระดับความละเอียดที่กว้างมาก คือตั้งแต่ระดับแซมปลิ้ง 44.1kHz ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่ 768kHz สำหรับฟอร์แม็ต PCM ส่วนฟอร์แม็ต DSD รองรับได้ตั้งแต่ DSD64 ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดที่ DSD512 ทั้งโหมด DoP และ Native ส่วนการเล่นไฟล์เพลงแบบง่ายๆ ด้วยการเสียบแฟรชไดร้ หรือ USB external HDD ที่เก็บไฟล์เพลงผ่านทางช่อง USB-A storage ก็รองรับฟอร์แม็ตได้หลากหลายเหมือนกัน ทั้งฟอร์แม็ต PCM (FLAC, WAV, AIFF, MP3, ACC), ฟอร์แม็ต DSD (DSF, DSDIFF) และฟอร์แม็ต MQA

ในขณะที่ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต coaxial (5) และ optical (6) นั้น (กรอบสีแดง) สามารถส่งออกสัญญาณดิจิตัลได้สูงถึงระดับ 24/192 เฉพาะฟอร์แม็ต PCM

อะนาลอก เอ๊าต์พุต

เป็นครั้งแรกของ Audiolab ที่ใส่เอ๊าต์พุต XLR สำหรับสัญญาณอะนาลอก บาลานซ์มาให้ในอุปกรณ์ประเภทมิวสิค สตรีมเมอร์ โดยให้มาคู่กับขั้วต่อ RCA ซึ่งเป็นเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์

สัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ 9000N มีให้เลือกอยู่ 2 โหมด ระหว่าง FIXED กับ ADJUSTABLE ซึ่งคุณสามารถเข้าไปปรับเลือกโหมดได้ในเมนูของเครื่อง กรณีที่ต่อเข้ากับอินพุต AUX ของอินติเกรตแอมป์ หรือปรีแอมป์ ให้เลือกโหมดของเอ๊าต์พุตไว้ที่ตำแหน่ง FIXED แต่ถ้าต้องการต่อตรงเข้ากับเพาเวอร์แอมป์ หรือลำโพงแอ๊คทีฟที่มีภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว ให้เลือกปรับตั้งเอ๊าต์พุตไว้ที่โหมด ADJUSTABLE ซึ่งคุณสามารถใช้ฟังท์ชั่นวอลลุ่มของตัว 9000N ควบคุมปริมาณของสัญญาณเอ๊าต์พุตได้ (ใช้ปุ่มวอลลุ่มบนแผงหน้า หรือปุ่มปรับวอลลุ่มบนรีโมทไร้สาย) โดยมีเร้นจ์ให้ปรับได้ตั้งแต่ 78dB (เบาสุด) ขึ้นไปจนถึง 0dB (ดังสุด) (*ระบบวอลลุ่มของ 9000N จะส่งผลกับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตเท่านั้น จะไม่ส่งผลกับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุต)

แอพลิเคชั่นที่ใช้กับ 9000N

เพราะ 9000N เป็นมิวสิค สตรีมเมอร์ที่ใช้เล่นไฟล์เพลงจากเน็ทเวิร์คเป็นหลัก มันจึงต้องมีแอพลิเคชั่นเพื่อทำหน้าที่ดึงไฟล์เพลงจากแหล่งต่างๆ มาเล่น ซึ่งในสองรุ่นก่อนหน้าคือ 6000N Play กับ 7000N Play ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ของ DTS PlayFi จึงต้องใช้แอพฯ ของ DTSPlayFi ในการเล่นไฟล์เพลง

แต่ 9000N เป็นเน็ทเวิร์ค สตรีมเมอร์ที่ออกแบบด้วยแพลทฟอร์มใหม่ ไม่ได้ใช้ของ DTS Play-Fi แต่เป็นระบบปฏิบัติการณ์ที่ทีมวิศวกรของ Audiolab ร่วมมือพัฒนากับทีมออกแบบซอฟท์แวร์ของแบรนด์ Lumin โดยอาศัยแพลทฟอร์มที่ชื่อว่า DS ของลินน์ ที่ปล่อยฟรีให้นักพัฒนานำไปต่อยอด จนได้ออกมาเป็นระบบของ Audiolab เอง ซึ่งโครงสร้างเลย์เอ๊าต์กับอินเตอร์เฟซของแอพฯ ที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์และปรับตั้งค่าต่างๆ ก็จะออกมาคล้ายแอพฯ ของ Lumin กับ Linn

ความสามารถของแอพ ‘Audiolab 9000N

แอพลิเคชั่น ‘Audiolab 9000Nเป็น ‘app playerที่ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงโดยมีอ๊อปชั่นให้ทำการปรับตั้งค่าต่างๆ ได้เยอะมาก มีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android ให้เลือกใช้ และมีทั้งเวอร์ชั่นที่ใช้งานบนสมาร์ทโฟน และบนแท๊ปเล็ตด้วย (ภาพด้านบนคือลักษณะของหน้าจอแอพฯ ตอนใช้บนสมาร์ทโฟน)

ข้างบนคือหน้าตาของแอพฯ หลังจากติดตั้งลงบน iPad คุณต้องเริ่มต้นด้วยการจิ้มลงไปที่รูปเฟือง (ศรชี้) เพื่อตั้งค่าเริ่มใช้งาน

ในหัวข้อ Setup มีเมนูให้เลือกปรับตั้งค่าอยู่ 5 หัวข้อ คือ Music Player (1), Music Library (2), Operation (3) และ Wi-Fi setup (4) กับอีกหนึ่งหัวข้อคือ About (5) แสดงข้อมูลของแอพฯ

เชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์ค > เลือกสตรีมเมอร์ > ปรับตั้งสตรีมเมอร์

ถ้าคุณใช้วิธีเชื่อมต่อ 9000N เข้ากับเน็ทเวิร์คด้วยคลื่น Wi-Fi ไร้สาย หัวข้อแแรกที่คุณต้องเข้าไปทำการปรับตั้งคือ Wi-Fi setup’ (4) แต่ถ้าคุณใช้วิธีเชื่อมต่อ 9000N กับเน็ทเวิร์คด้วยสาย LAN ก็ไม่ต้องปรับตั้งอะไรที่หัวข้อนี้ เปลี่ยนมาปรับตั้งที่หัวข้อ ‘Music Player’ (1) เป็นหัวข้อแรก ซึ่งหัวข้อนี้เป็นการเลือกสตรีมเมอร์ที่จะใช้งาน ซึ่งในขณะนี้แอพฯ จะมองเห็นเฉพาะรุ่น 9000N เท่านั้น

หลังจากเลือกสตรีมเมอร์ 9000N เสร็จแล้ว ก็ให้เข้าไปปรับตั้งค่าที่หัวข้อ ‘Optionsซึ่งมีเมนูให้ปรับตั้งทั้งหมด 9 รายการ แยกเป็นตั้งชื่อ, ล็อคอินเข้าใช้บริการจากผู้ให้บริการมิวสิค สตรีมเมอร์เจ้าต่างๆ คือ TIDAL, Qobuz, Spotify, Plex และ Internet Radio รวม 5 รายการ นอกนั้นก็มีการปรับตั้งให้แอพฯ เช็คเฟิร์มแวร์อัพเดตอัตโนมัติ, สั่งเปิด/ปิดไฟ LED ที่อินพุต Ethernet ได้ และด้านล่างสุดคือเปิด/ปิดการเชื่อมต่อกับ Roon (คือปิดคุณสมบัติ Roon Ready นั่นเอง)

เลือกแหล่งเก็บไฟล์เพลงจาก Local Media

ไม่ว่าคุณจะมีไฟล์เพลงของคุณเองเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสที่เชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์คแบบไหน อาทิ เก็บไว้ใน NAS (B, C), เก็บไว้ในฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่ออยู่กับเน็ทเวิร์ค หรือเก็บไว้ใน USB external Harddisk (A) แล้วนำมาเสียบเข้าที่ช่อง USB-A ที่แผงหลังของ 9000N คุณก็สามารถเลือกที่จะดึงไฟล์เพลงจากแหล่งเก็บไฟล์เพลงเหล่านั้นมาเล่นผ่าน 9000N ได้ทั้งหมด โดยเข้าไปที่หัวข้อ Music Library

ผมมีไฟล์เพลงที่ผมเก็บไว้ใน NAS ของ QNAP ที่ผมลงโปรแกรม MinimServer เอาไว้ซึ่งเชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกันกับ 9000N พบว่าแอพฯ Audiolab 9000N มันตรวจพบ NAS ของ QNAP ตัวนั้นและโชว์ขึ้นมาให้ผมเลือกทั้งช่องทางที่ผ่านมาทางโปรแกรมมีเดีย เซิร์ฟเวอร์ MinimServer และผ่านมาทางโปรแกรมมีเดีย เซิร์ฟเวอร์ของ QNAP เองด้วย แต่ผมไม่ได้เข้าไปตั้งแชร์ไว้ในโปรแกรมเซิร์ฟเวอร์ของ QNAP พอเลือกเข้าไปจึงไม่พบไฟล์เพลง ผมเลือกทดลองเลือกไปที่ ‘MinimServerพบจิ้มลงไปปั๊บ แอพฯ Audiolab 9000N ก็เริ่มโหลดข้อมูล metadata ของไฟล์เพลงที่อยู่ใน NAS ของผมเข้ามาในไลบรารี่ของแอพฯ ทันที.. (ภาพบน) ซึ่งใน NAS นั้นผมมีไฟล์เพลงแยกประเภทของไฟล์ไว้หลายโฟลเดอร์ รวมๆ ทั้งหมดเจ็ดพันกว่าแทรค พบว่า แอพ Audiolab 9000N ใช้เวลาโหลดไม่ถึงสิบนาทีทุกอัลบั้มก็ขึ้นมาปรากฏอยู่ในไลบรารี่ (ภาพล่าง) พร้อมให้เริ่มฟังเพลงเหล่านั้นได้เลย ว้าวว.. เร็วมาก..!!!

ภาพปกอัลบั้มทั้งหมดที่เห็นในภาพล่างนั้นคือไฟล์เพลงทั้งหมดที่ผมมีอยู่ใน NAS ถ้าต้องการเข้าไปฟังเพลงจาก TIDAL หรือแหล่งอื่น ก็สามารถจิ้มเลือกได้จากสัญลักษณ์ที่อยู่ในกรอบสีแดง (ศรชี้)

ภาพบนนี้คือลักษณะของหน้าจอแอพฯ Audiolab 9000N บน iPad ซึ่งโชว์ขึ้นมาตอนที่ผมทดลองเลือกไฟล์เพลงอัลบั้ม Harlequin ของ Dave Grusin & Lee Ritenour ที่ผมริปจากแผ่นซีดีเก็บไว้ใน NAS ขึ้นมาฟัง จากภาพข้างบนจะเห็นว่า ในกรอบสีเขียวนั้น คือข้อมูลของไฟล์เพลงที่กำลังฟัง ส่วนคำสั่งที่ใช้ควบคุม, ในกรอบสีฟ้าทางขวามือคือคำสั่งที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง ถัดไปที่อยู่ในวงกลมนั้นวงแรกคือเวลาของเพลงที่กำลังเล่น ส่วนวงกลมถัดไปคือระดับวอลลุ่มที่กำลังใช้งาน ถ้าต้องการปรับความดัง คุณสามารถจิ้มลงไปที่วงกลมลูกหลัง จะปรากฏสไลด์วอลลุ่มขึ้นมาให้ปรับตั้งความดังได้ (ภาพล่าง) หรือจะปรับผ่านรีโมทก็ได้ หรือจะหมุนปรับจากปุ่มบนแผงหน้าก็ได้

หลังจากทดลองใช้งานแอพ Audiolab 9000N ตัวนี้ดูแล้ว ผมพบว่า มันได้ถูกออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่าย ไม่ซับซ้อน ถ้าคุณเคยใช้งานแอพฯ ฟังเพลงมาบ้าง เชื่อว่าคุณจะทำความเข้าใจกับการใช้งานแอพ Audiolab 9000N ตัวนี้ได้ไม่ยาก และฟังท์ชั่นที่ออกแบบไว้ให้ใช้ก็ครบถ้วนดี ส่วนที่ยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่านี้ได้อีกก็คือความสวยงามของ UI หรือยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซ และผมพบว่า ใช้งานแอพฯ ตัวนี้บนแท๊ปเล็ตจะสะดวกกว่าบนสมาร์ทโฟน

เมนูบนตัวเครื่อง 9000N

คุณสามารถเข้าไปที่เมนูเครื่อง 9000N ได้ 2 ทาง ทางแรกคือใช้ปลายนิ้วกดสั้นๆ (short press) ลงไปที่ปุ่มหมุนที่อยู่ข้างๆ จอแสดงผล 1 ครั้ง กับทางที่สองคือใช้วิธีกดลงไปที่ปุ่ม MENU (ศรชี้ รูปกลาง) บนรีโมทไร้สายหนึ่งครั้ง หลังจากกดลงไปแล้ว บนหน้าจอจะแสดงภาพกราฟฟิกของเมนูแรกที่เปิดให้เข้าไปปรับตั้งได้ ซึ่งหัวข้อเมนูของ 9000N ที่เตรียมไว้ให้ปรับตั้งได้มีอยู่ทั้งหมด 11 หัวข้อ คือ

1. Filter
2. MQA Decoding
3. Balance
4. Volume
5. Display Options
6. Display Settings
7. Trigger
8. Language
9. Standby
10. Reset
11. Info

มีอยู่ 4 หัวข้อในจำนวนทั้งหมดที่ เกี่ยวข้องกับเสียงมาก ซึ่งคุณต้องเข้าไปทำการปรับตั้งค่า นั่นคือ Filter, MQA Decoding, Volume และ Display Options ส่วนวิธีปรับตั้งค่าที่ง่ายที่สุดคือใช้รีโมทไร้สายในการปรับตั้ง โดยเริ่มต้นด้วยการกดไปที่ปุ่ม MENU บนตัวรีโมทหนึ่งครั้ง

การปรับตั้ง ‘Filter

วงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์มีผลมากต่อผลลัพธ์ของเสียงที่ผ่านภาค DAC ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต ซึ่งวงจรฟิลเตอร์ทั้ง 5 ตัว ที่ 9000N มีไว้ให้คุณเลือกใช้นี้ เป็นวงจรดิจิตัลฟิลเตอร์ที่มากับชิป ES9038PRO ที่ใช้อยู่ในภาค DAC ของ 9000N นั่นเอง โดยที่ฟิลเตอร์แต่ละตัวจะส่งผลกับ บุคลิกเสียงของสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่ต่างกัน เล็กน้อยคือคุณสามารถเลือกใช้ฟิลเตอร์ตัวไหนก็ได้ ผลที่เกิดขึ้นจะไม่ไปทำให้เกิดปัญหาในการทำงานของตัวเครื่อง และไม่ถึงกับทำให้เกิดความด้อยลงของ คุณภาพเสียงมากจนรับไม่ได้ แต่ก็แนะนำให้คุณทดลองฟังเสียงของฟิลเตอร์แต่ละตัวก่อนจะตัดสินใจเลือก เพราะเมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถฟังรับรู้ความแตกต่างของเสียงแต่ละฟิลเตอร์ได้ คุณจะสามารถเลือกตัวที่คุณชอบมากที่สุดได้ ในขณะเดียวกัน คุณก็จะไม่สามารถฟังเสียงของฟิลเตอร์ตัวอื่นได้เลย.! ซึ่งบทสรุปสุดท้ายในการเลิอกใช้ฟิลเตอร์ตัวใดตัวหนึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ รสนิยมในการฟังของคุณ, ประเภทของแนวเพลงที่ฟัง และอุปกรณ์อื่นที่ร่วมอยู่ในซิสเต็มเดียวกัน นั่นคือ แอมป์กับลำโพง

ทาง Audiolab ระบุไว้ในคู่มือว่า พวกเขาเลือกใช้ฟิลเตอร์ Linear Phase (Slow Roll-Off) เป็นค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน ซึ่งอาจจะหมายถึงเป็นฟิลเตอร์ที่พวกเขาใช้ในการปรับจูนเสียงในส่วนอื่นๆ ด้วยหรือไม่ อันนี้ไม่ได้แจ้งไว้ แต่ถ้าคุณลองฟังแล้วไม่พบความแตกต่าง หรือยังแยกความแตกต่างของแต่ละฟิลเตอร์ไม่ออก แนะนำให้เลือกใช้ตัว Linear Phase (Slow Roll-Off) ไว้ก่อน แต่ส่วนตัวผมชอบเสียงของฟิลเตอร์ตัว Minimum Phase (Slow Roll-Off) มากที่สุด และตกลงใจเลือกใช้ฟิลเตอร์ตัวนี้ในการฟังทดสอบเสียงของ 9000N ในขั้นตอนฟังสรุปผล

การปรับตั้งเมนู ‘MQA Decoding

ฟังท์ชั่นนี้เป็นอะไรที่แปลกใหม่มาก ไม่เคยเห็นในเครื่องเสียงตัวไหนมาก่อน แน่นอนว่าใน DAC บางตัวอาจจะมีการทำงานอะไรแบบนี้อยู่ข้างใน แต่ไม่เคยเห็นตัวไหนมีทำออกมาเป็นเมนูให้ยูสเซอร์สามารถเลือกอ๊อปชั่นได้แบบนี้มาก่อน

คืออะไร.?? เรื่องของเรื่องก็คือว่า ในตัว 9000N มีฮาร์ดแวร์ดีโค๊ดเดอร์สำหรับฟอร์แม็ต MQA ฝังอยู่ ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อก่อนนี้ ถ้าคุณเล่นไฟล์เพลงที่เข้ารหัส MQA เข้าไปใน DAC ตัวใดก็ตามที่มีภาค MQA decoder ในตัว DAC ตัวนั้นก็จะทำการถอดรหัส MQA ออกมาให้ คือไม่ว่าไฟล์ MQA นั้นจะเอาสัญญาณไฮเรซ PCM ระดับไหนเข้ามา พับไว้ในตัวมัน ก็จะถูก MQA decoder ในตัว DAC เหล่านั้นทำการ คลี่ออกมาให้ตามนั้น ซึ่งสัญญาณ PCM ที่พับอยู่ในไฟล์ MQA ก็มีตั้งแต่ระดับพื้นฐานคือ 44.1/48kHz ขึ้นไปจนถึงระดับสูงสุดคือ 352.8/384kHz ซึ่งในยุคที่ภาค DAC ยังคงใช้ชิปดีทูเอฯ เวอร์ชั่นที่มีความสามารถแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกได้สูงสุดแค่ 352.8/384kHz กรณีนี้ ถ้าสัญญาณที่พับมาในไฟล์ MQA เป็นสัญญาณ PCM ที่มีสเปคฯ ต่ำกว่า352.8/384kHz สมมุติว่าเป็นสัญญาณ PCM 88.2kHz คนออกแบบ DAC ตัวนั้นก็อาจจะนำสัญญาณ PCM 88.2kHz นั้นไปผ่านกระบวนการ Upsampling ให้ขึ้นมาเป็น 352.8kHz ก่อนส่งเข้าไปที่ชิป DAC เพื่อแปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก ในขณะที่ผู้ผลิต DAC บางยี่ห้ออาจจะไม่ใส่ขั้นตอน Upsampling หลังถอดรหัส MQA ก็ได้ คือถอดออกมาได้ PCM 88.2kHz ก็ส่งเข้าไปที่ชิป DAC ให้ทำการแปลงสัญญาณ PCM 88.2kHz ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกเลยก็มี.. ซึ่งกระบวนการนี้เป็นกรรมวิธีที่ผู้ออกแบบภาค DAC เลือกที่จะใช้อยู่ภายในโดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภครู้ และไม่เปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเลือกอ๊อปชั่นใดๆ ด้วย

ต้องบอกว่า Audiolab เป็นเจ้าแรกที่เอากระบวนการทำงานเหล่านั้นออกมาให้ยูสเซอร์ได้มีโอกาสเลือกว่าต้องการให้ MQA กับวงจร PCM Upsampling ทำงานในลักษณะไหน โดยมีอ๊อปชั่นให้เลือกผ่านเมนูนี้ทั้งหมด 4 อ๊อปชั่น ดังนี้

1. Full Decode (PCM Upsampling Off)
2. Full Decode (PCM Upsampling On)
3. Core Decode
4. Passthrough Mode

อ๊อปชั่นแรก Full Decode (PCM Upsampling Off) คือเลือกให้ MQA Decoder ในตัว 9000N ทำการถอดรหัสสัญญาณ MQA แล้วคลี่ออกมาให้สุดซอยตามรูปแบบของสัญญาณ PCM ที่พับมาในไฟล์ MQA นั้น ไม่ว่าสัญญาณ PCM ที่ถอดออกมาจะมีสเปคฯ ระดับไหนจะถูกส่งไปที่ชิป DAC เพื่อให้แปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกทั้งหมดโดย “ไม่ผ่าน” กระบวนการอัพแซมปลิ้ง และถ้าสัญญาณ PCM ที่ถอดออกมาจากไฟล์ MQA อยู่ในระดับที่ สูงกว่า192kHz ก็จะไม่ถูกส่งออกไปทางช่องดิจิตัล เอ๊าต์ (coaxial & optical จะถูกปิด ไม่มีสัญญาณออก)

อ๊อปชั่นที่สอง Full Decode (PCM Upsampling On) คือเลือกให้ MQA Decoder ในตัว 9000N ทำการถอดรหัสสัญญาณ MQA แล้วคลี่ออกมาให้สุดซอยตามรูปแบบของสัญญาณ PCM ที่พับมาในไฟล์ MQA นั้น ถ้าสัญญาณ PCM ที่ถอดออกมามีระดับ ต่ำกว่า352.8/384kHz (คือตั้งแต่ 176.4/192kHz ลงไป) ให้นำสัญญาณ PCM ที่คลี่ออกมาได้นั้นส่งไปผ่านขั้นตอน Upsampling ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 352.8/384kHz ก่อนส่งเข้าชิป DAC เพื่อแปลงให้ออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกในขั้นตอนสุดท้าย ส่วนสัญญาณดิจิตัลที่ส่งออกไปทางช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต (coaxial & optical) นั้น ถ้าสัญญาณ PCM ที่ถอดออกมาจากไฟล์ MQA อยู่ในระดับไม่เกิน 192kHz ก็จะส่งออกไปทางช่อง coaxial และ optical ตามปกติ แต่ถ้าสัญญาณ PCM ที่อยู่ในไฟล์ MQA มีสเปคฯ สูงกว่า 192kHz ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตทั้งสองช่องจะถูกปิด ไม่มีสัญญาณส่งออกไป

อ๊อปชั่นที่สาม Core Decode ใช้ในกรณีที่ต้องการส่งสัญญาณ MQA ออกไปถอดรหัสผ่าน DAC ภายนอกที่สามารถถอดรหัส MQA ทางอินพุต coaxial ได้ (ถอดได้ระดับไม่เกิน 192kHz) ส่วนอ๊อปชั่นที่สี่ Passthrough ซึ่งไฟล์เพลงที่เข้ารหัส MQA จะถูกส่งผ่าน 9000N ออกไปทางช่อง coaxial เอ๊าต์พุตโดยไม่มีการถอดรหัสใดๆ เพื่อไปถอดรหัสด้วย MQA decoder ที่อยู่ใน DAC ภายนอก 9000N ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่เหมาะสมกับการใช้งานอ๊อปชั่นนี้ก็คือในกรณีที่ใช้งาน 9000N ร่วมกับอินติเกรตแอมป์รุ่น 9000A ซึ่ง 9000N จะส่งผ่านไฟล์ MQA ไปให้ 9000A ทำการถอดรหัสอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งจะให้สัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตที่บริสุทธิ์กว่าถอดด้วยตัว 9000N ซึ่งต้องผ่านสายสัญญาณอะนาลอกอีกชั้นก่อนส่งไปที่อินพุตอะนาลอกของ 9000A (*กับอินติเกรตแอมป์ตัวอื่นที่มี DAC ในตัวและมีช่องดิจิตัล อินพุต coaxial หรือ optical ก็ใช้วิธีนี้ได้หมด)

การปรับตั้งเมนู ‘Volume

เมนูนี้มีอ๊อปชั่นให้เลือกแค่ 2 อย่าง คือ Fixed กับ Adjustable ซึ่งเหตุผลของการเลือกก็จะขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้งานของคุณ กรณีที่นำ 9000N ไปใช้ทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์ คือเล่นไฟล์เพลงจากเน็ทเวิร์คร่วมกับซิสเต็มที่ใช้อินติเกรตแอมป์ หรือปรี+เพาเวอร์ฯ แนะนำให้ปรับตั้งเมนูนี้ไว้ที่ตำแหน่ง Fixed จะได้ผลทางเสียงที่ดีกว่า แต่ถ้าคุณจัดการทำงานของซิสเต็มโดยใช้ 9000N ทำหน้าที่เป็นทั้ง DAC, Streamer และ Pre-amp ในตัวเดียวกัน โดยต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจาก 9000N เข้าไปที่อินพุตของเพาเวอร์แอมป์โดยตรง คุณต้องปรับตั้งเมนูนี้ไว้ที่ตำแหน่ง Adjustable ซึ่งจะทำให้คุณสามารถปรับเพิ่มลดระดับของสัญญาณเอ๊าต์พุตได้แบบเดียวกับปรีแอมป์ทั่วไป โดยที่ภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ 9000N ได้ถูกออกแบบให้มีระดับความดังที่ปรับตั้งได้ตั้งแต่ -78dB (เบาสุด) ขึ้นไปจนถึง 0dB (ดังสุด) ด้วยระดับความแตกต่างเท่ากับ +/-1dB ต่อสเต็ป

ปรับตั้งเมนู ‘Display Options

จริงๆ แล้ว จุดประสงค์ของเมนูนี้มีไว้เพื่อให้คุณเลือกรูปแบบการแสดงผลบนหน้าจอของ 9000N ซึ่งมีอ๊อปชั่นให้เลือกทั้งหมด 7 รูปแบบ คือ Home, Artwork A, Artwork B, VU Digital, VU Analogue, Audiolab และ Off ซึ่งแต่ละรูปแบบก็จะมีภาพกราฟฟิกที่แตกต่างกันโชว์ขึ้นมาบนจอขณะที่เครื่องถูกเปิดใช้งาน ส่วนใหญ่จะมีวัตถุประสงค์เพื่อความสวยงามมากกว่าอย่างอื่น ส่วนอ๊อปชั่นสุดท้ายคือ Off นั้นโดยจุดประสงค์หลักก็น่าจะออกแบบไว้เพื่อลดแสงสว่างจากหน้าจอกรณีที่ไม่ต้องการให้รบกวนสายตา แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมาพบว่า เมื่อปิดการทำงานของหน้าจอเครื่องลงจะมีผลให้คุณภาพเสียงดีขึ้นด้วย เนื่องจากการทำงานของหน้าจอจะส่งคลื่นรบกวนนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ถ้าต้องการเน้นคุณภาพเสียง แนะนำให้ตั้งเมนูนี้ไว้ที่ตำแหน่ง ‘Offคือปิดหน้าจอไว้

นอกจากนั้น ที่หัวข้อเมนูสุดท้ายคือ Info นั้น มีข้อมูลบางอย่างที่สะท้อนถึงเงื่อนไขที่ส่งผลต่อคุณภาพเสียงอยู่ในนั้นด้วย จากภาพข้างบนซึ่งเป็นหน้าจอของเมนูนี้ นั่นคือข้อมูลตัวล่างสุด (ในวงรี) คือ Wi-FiRSSI ซึ่งเป็นโค๊ดที่แสดงถึงความเข้มข้นหรือความแรงของสัญญาณ Wi-Fi ที่ 9000N รับเข้ามา ซึ่งจะสะท้อนถึงประสิทธิภาพในการรับข้อมูลเสียง หน่วยที่ใช้วัดคือ decibel (dBm) โดยที่ 0dB คือความแรงสูงสุด (รับสัญญาณได้ดีที่สุด เสียงก็จะดีที่สุด)

ถ้าคุณใช้วิธีเชื่อมต่อ 9000N กับเน็ทเวิร์คผ่านทาง Wi-Fi คุณต้องเข้าไปตรวจเช็คความแรงของคลื่น Wi-Fi ที่เมนูนี้ด้วย ถ้าพบว่าสัญญาณอยู่ในเกณฑ์ที่อ่อน คืออยู่ในช่วงต่ำกว่า -70dBm ลงไป ถือว่าคลื่นไม่ดี แนะนำให้หาทางเชื่อมต่อด้วยสาย LAN แทน, ถ้าอยู่ที่ระดับ -67dBm ถือว่าเป็นระดับ ความแรงต่ำสุดของการสตรีมไฟล์เพลงที่ดี แนะนำให้ย้าย access point เข้ามาอยู่ใกล้ๆ 9000N ถ้าได้ค่า Wi-FiRSSI สูงกว่า -67dBm ขึ้นไปจนถึง -30dBm ถือว่ายอดเยี่ยม แต่ถ้าคุณเชื่อมต่อผ่านทางสาย LAN ตรงหัวข้อ Wi-FiRSSI นี้จะไม่มีตัวเลขขึ้นโชว์ และคุณก็เลิกกังวลกับเรื่องนี้ได้เลย

การเชื่อมต่อ 9000N เข้ากับซิสเต็ม

เมื่อพิจารณาจากการออกแบบส่วนของ input/output ของ 9000N ตัวนี้อย่างละเอียด จะพบว่า คุณสามารถนำ 9000N ตัวนี้ไปใช้งานในซิสเต็มของคุณได้ 2 ลักษณะ อย่างแรกคือ ใช้เป็น source คือสตรีมเมอร์อย่างเดียว ซึ่งเหมาะกับคนที่ใช้อินติเกรตแอมป์หรือปรี+เพาเวอร์ฯ ที่มีคุณภาพสูงอยู่ในซิสเต็มอยู่แล้ว ส่วนอีกลักษณะก็คือใช้ 9000N เป็นทั้ง source (streamer) + pre-amp แบบนี้จะเหมาะกับคนที่ใช้แหล่งต้นทางเป็นสตรีมเมอร์อย่างเดียว ซึ่งคุณสามารถสร้างซิสเต็มที่ให้เสียงดีมากๆ แต่มีความเรียบง่ายสดๆ ได้ด้วยการเพิ่มเพาเวอร์แอมป์คุณภาพสูงกับลำโพงดีๆ อีกหนึ่งคู่ หรือถ้าจะให้เรียบง่ายกว่านั้นก็สามารถทำได้ คือใช้ 9000N เป็น source (streamer) + pre-amp แล้วหาลำโพง active ที่มีเพาเวอร์แอมป์ในตัวที่มีคุณภาพสูงๆ มาจับคู่กัน.. แค่นี้จบง่ายๆ แต่ได้เสียงอออกมาดีมากๆ .!!

ในการทดสอบครั้งนี้ ผมได้ทดลองใช้งาน 9000N ทั้งสองลักษณะข้างต้น และพบว่า มันให้ผลลัพธ์ออกมาดีน่าพอใจมากกับการใช้งานทั้งสองลักษณะ แต่รูแบบการใช้งานที่ผมพอใจมากที่สุด และเป็นการใช้งานที่แสดงความโดดเด่นของ 9000N ออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนมากที่สุดก็คือการใช้ 9000N เป็นทั้ง source (streamer) และ pre-amp ซึ่งชุดที่ผมทดลองเซ็ตอัพใช้งานร่วมกับ 9000N แล้วให้ผลลัพธ์ออกมาดีมากๆ มีอยู่ 2 ชุด ชุดแรกคือ ใช้ 9000N ทำหน้าที่เป็น streamer + pre จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์สเตริโอของ QUAD รุ่น Artera Stereo (140W/ch ที่ 8โอห์ม) ขับลำโพงตั้งพื้นของ Focal รุ่น Theva No.3 ส่วนชุดที่สองก็ยังคงใช้ 9000N ทำหน้าที่เป็น streamer + pre แต่เปลี่ยนไปจับกับลำโพง active ของ ATC รุ่น SCM100ASL (REVIEW) ซึ่งชุดหลังนี้แม้ว่าเสียงที่ได้ออกมาจะทำให้ ATCSCM100ASLแสดงศักยภาพออกมาได้แค่ 50% เมื่อเทียบกับตอนที่ SCM100ASL ถูกขับด้วยชุดฟร้อนต์เอ็นด์ InnuosPULSE’ + Mola MolaTambaqui’ + Mola MolaMakuaก็ตาม แต่ทว่า เสียงโดยรวมที่ได้ยินตอนจับกับ 9000N มันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากๆ แล้วสำหรับงบประมาณนี้

เมื่อพิจารณาจากราคาค่าตัวของ 9000N แล้ว ผมคิดว่าถ้า 9000N เข้าไปอยู่ในซิสเต็มที่อยู่ในระดับไม่เกิน 500,000 บาท มันจะแสดงศักยภาพออกมาได้เต็มที่มากที่สุด ในตอนทดลองฟังเพื่อเก็บเป็นบทสรุปในการทดสอบผมจึงยึดเอาเซ็ตอัพกับเพาเวอร์แอมป์ QUADArtera Stereo’ + ลำโพง FocalTheva No.3เป็นหลัก

ส่วนการปรับตั้งค่าในเมนูของ 9000N ก่อนการทดลองฟังจริง ผมทดลองฟังแต่ละเงื่อนไขแล้ว ได้บทสรุปในการปรับตั้งค่าตามนี้

เมนู Filter = ผมชอบเสียงที่ได้จากฟิลเตอร์ Minimum Phase (Slow Roll-Off) มากที่สุด มันให้เฟสที่ตรงมากที่สุด โฟกัสจึงมาเต็มตัว และให้ไทมิ่งที่ตรงกับจังหวะของเพลง ถ่ายทอดมูพเม้นต์ของแต่ละเสียงที่อยู่ในเพลงออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวามากที่สุด

เมนู MQA Decoding = ผมชอบผลของเสียงที่ตำแหน่ง Full Decode (PCM Upsampling Off) มากที่สุด เมื่อเทียบกับอ๊อปชั่นที่สองคือ Full Decode (PCM Upsampling On) แล้ว ผมพบว่า อ๊อปชั่นที่สองให้เนื้อเสียงที่บางกว่า แม้ว่าจะได้ยินรายละเอียดของหัวเสียงที่ชัดกว่าหน่อย แต่ก็ไม่คุ้มสำหรับผมที่จะแลกกับเนื้อเสียงที่หายไปบางส่วนจากกระบวนการ PCM Upsampling

อีกหัวข้อในการปรับตั้งในเมนูที่ส่งผลกับเสียงมากจนรับรู้ได้ชัดคือเมนู Display Options ซึ่งผมพบว่า ตั้งไว้ที่ตำแหน่ง Display Off ให้เสียงดีกว่าตำแหน่งอื่นๆ อย่างชัดเจน (*ขณะเล่นเพลงหน้าจอจะดับลง)

Roon Ready กับ USB-B input

เนื่องจาก 9000N ได้รับการรับรองจาก Roon ว่ามีสถานะเป็น Roon Ready ผมจึงทดลองใช้ Roonnucleus+เป็นทรานสปอร์ตทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลมาเข้าที่อินพุต Ethernet ของ 9000N เพื่อให้ 9000N ทำหน้าที่เป็น network DAC โดยเทียบกับใช้แอพลิเคชั่น Audiolab 9000N ของแบรนด์ผู้ผลิตเองทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงจากแหล่งเดียวกัน ผลทางเสียงพบว่า เล่นด้วย Roon ให้เสียงออกมาคล้ายกับเล่นด้วยแอพ Audiolab 9000N ของเขาเอง คือโทนเสียงออกไปทางเดียวกัน แต่เล่นด้วย Roon ผ่านโหมด Roon Ready ของ 9000N ให้เสียงที่ดีกว่าประมาณ 20% รวมๆ คือได้ตัวเสียงที่เข้มกว่า สวิงไดนามิกได้เต็มสเกลกว่า พื้นเสียงสะอาดกว่านิดหน่อย ในขณะที่ยูสเซอร์ อินเตอร์เฟซของ Roon สวยและดูน่าใช้กว่าแอพฯ ของ Audiolab เองเยอะ ใครใช้ระบบเพลย์แบ็คของ Roon อยู่แล้ว คือมีทั้งฮาร์ดแวร์และไลเซ็นต์ซอฟท์แวร์ของ Roon อยู่ก็แนะนำให้ใช้ 9000N คู่กับ Roon ไปเลย แต่ถ้ายังไม่มีระบบของ Roon อยู่เลย ใช้แอพฯ ของ Audiolab เองก็โอเคแล้ว ประหยัดดี ไม่ต้องไปลงทุนเพิ่ม

ผมทดลองฟังเสียงของอินพุต USB-B ของ 9000N ด้วยการใช้สตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตของ Innuos รุ่น PULSE (REVIEW) ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงจากเน็ทเวิร์ค แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปที่อินพุต USB-B ของ 9000N ผ่านทางสาย USB ของ Nordost รุ่น Blue Heaven โดยผ่านตัวกรองสัญญาณรบกวนรุ่น Phenix USB ของ Innuos (ใช้สาย USBBlue Heavenของ Nordost สองเส้น) ปรากฏว่าได้เสียงออกมาดีกว่าอินพุต Ethernet ประมาณ 25-30% ที่ชัดเจนมากที่สุดคือได้เนื้อเสียงที่มีมวลเข้มข้นกว่า ไดยนามิกสวิงเต็มกว่าหน่อย เสียงโดยรวมนิ่งกว่านิดๆ แต่ถ้าคิดในเชิงเศรษฐศาสตร์ คำนวนแล้วผมว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มกับผลที่ได้ คือถ้าเอา 9000N เป็นตัวตั้งถือว่าไม่คุ้มที่จะอัพเกรดไปใช้ InnuosPULSEและจะมองสลับกัน ถ้าเอา InnuosPULSEเป็นตัวตั้งก็ไม่คุ้มกับการที่จะใช้ 9000N เป็น external DAC คือถ้าจะใช้ InnuosPULSE‘ ควรจะจับกับ external DAC ที่สูงกว่า 9000N ขึ้นไปอีกจะคุ้มกว่า (*ผมลองเทียบกันแล้ว PULSE + QB-9 DSD Twenty เสียงดีกว่า PULSE + 9000N พอสมควร)

เล่นไฟล์เพลงจาก external SSD กับ NAS

ในแง่แหล่งต้นทางที่เก็บไฟล์เพลงที่ 9000N ดึงมาเล่นก็มีประเด็นให้พิจารณาอยู่เหมือนกัน จากการทดลองฟังไฟล์เพลงของผมเองที่เก็บอยู่ใน SSD แบบพกพาของ Samsung รุ่น T5 และที่เก็บอยู่ใน NAS ของ QNAP เทียบกัน พบประเด็นที่น่าสนใจ.! คือว่าปกติแล้ว ที่ผ่านๆ มา กับสตรีมเมอร์ตัวอื่น ผมมักจะพบว่า การดึงไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสพกพาที่เสียบเข้าทางช่อง USB-A ของตัวสตรีมเมอร์มาเล่นมักจะให้เสียงออกมา แย่กว่าดึงจาก NAS (*ไฟล์เดียวกัน) ไม่ว่าจะเป็นแฟรชไดร้ตัวเล็กๆ ความจุไม่เยอะ ไปจนถึง SSD ที่มีความจุสูงระดับ TB

แต่ครั้งนี้ผิดคาดครับ..!! ผมทดลองใส่ไฟล์เพลงในแฟรชไดร้ของ SanDisk ขนาดความจุ 64GB (แท่งดำๆ ในภาพข้างบน) และ SSD แบบพกพาของ Samsung ‘T5‘ ความจุ 1TB โดยก๊อปปี้ไฟล์เดียวกันมาจาก QNAP โดยตรง เสร็จแล้วลองเปิดฟังผ่าน 9000N เทียบกัน น่าแปลกใจที่พบว่า เล่นไฟล์จากแฟรชไดร้ SanDisk จาก SSD Samsung และจาก NAS QNAP เสียงที่อออกมาไม่ต่างกันมาก หรือจะพูดว่าแทบจะไม่ต่างกันก็ว่าได้ ซึ่งผิดคาดมาก..!! ใครที่ยังไม่มี NAS ยังเก็บไฟล์เพลงของตัวเองไว้ใน USB extrnal drive ถ้าไม่คิดว่าจะต้องแชร์ไฟล์เพลงไปใช้ที่อื่นก็เอามาใช้ 9000N ได้เลยครับ คุณภาพเสียงอยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ ด้อยกว่าเล่นผ่าน NAS แค่นิดเดียว (*เล่นผ่าน NAS เสียงจะเปิดกว่าหน่อย)

เพราะอะไร.? ผมกลับไปค้นข้อมูลของ 9000N อีกรอบ พบว่า วงจร music server ที่ใช้กับ 9000N ถูกออกแบบมาโดยให้ความสำคัญกับอุปกรณ์เก็บไฟล์เพลงแบบพกพามากเป็นพิเศษ โดยทำให้ช่อง USB-A ของ 9000N สามารถรองรับไฟล์เพลงได้ครบทุกฟอร์แม็ตที่นิยมใช้กันอยู่ในวงการเครื่องเสียง นั่นคือ FLAC, ALAC, WAV, AIFF, MQA, DSF, DIFF, DoP, MP3 และ AAC และยังสามารถใช้กับไดร้ที่มีความจุได้สูงถึง 4TB อีกด้วย โดยมีแย้มๆ ว่ากับ 8TB ก็อาจจะใช้ได้ด้วย (*ผู้ผลิตแนะนำให้ฟอร์แม็ตไดร้เป็น FAT32, exFAT หรือ NTFS และไม่ควรแบ่งพาร์ติชั่นมากกว่าหนึ่งชั้น)

เล่นไฟล์ MQA และไฟล์ MAX จาก Local Media และ TIDAL

ภาพบนคือเล่นไฟล์ MQA จากอัลบั้มชุด เพลงภิรมย์ ๒ ที่อยู่ใน NAS ด้วยแอพ Audiolab 9000N เอง ส่วนภาพล่างคือเล่นไฟล์ MQA ที่อยู่ใน NAS เพลงเดียวกันด้วย Roon ผ่านเข้าที่ 9000N ทาง Roon Ready จะเห็นว่า 9000N สามารถตรวจจับเจอโค๊ด MQA (ศรชี้) และถอดรหัสมันออกมาได้สุดซอย (วงรี) เหมือนกัน (*แต่เสียงโดยรวมจากการเล่นด้วย Roon จะออกมาดีกว่าประมาณ 20%) หลังจากทดลองฟังเพลงที่เข้ารหัส MQA ที่อยู่ใน TIDAL (*ยังมีอยู่นะ.!) ก็ได้ผลลัพธ์ไปในทิศทางเดียวกันนี้

ภาพบนคือการทดลองเล่นไฟล์ MAX ที่อยู่ใน TIDAL (ศรชี้) ผ่านแอพ Audiolab 9000N ของเขาเอง ก็พบว่า สามารถดึงสัญญาณ PCM Hi-Res (วงรี) ที่อยู่ในแพคเกจ FLAC ออกมาเล่นได้อย่างหมดจด หลังจากทดลองเลือกไฟล์ MAX ใน TIDAL ที่เป็นเรโซลูชั่นอื่นๆ ที่สูงกว่า CD Quality 16/44.1 ออกมาเล่นก็เล่นได้หมดทุกระดับ.. สรุปคือ ผ่านฉลุย.!!!

เล่นไฟล์ DSF และ DIFF จาก SSD และ NAS

ผมทดลองเล่นไฟล์ DSF ที่ใส่สัญญาณ DSD ตั้งแต่ระดับ DSD64 ขึ้นไปถึง DSD256 ด้วยแอพฯ Audiolab 9000N ของเขาเอง โดยดึงไฟล์มาจาก NAS และ SSD ที่เสียบเข้าทางช่อง USB-A ปรากฏว่า มันเล่นได้แบบนิ่งๆ ชิลล์ๆ แถมให้เสียงออกมาดีด้วย.!!

หลังจากลองเล่นไปหลายอัลบั้ม ตั้งแต่ DSD64, DSD128 ขึ้นไปจนถึง DSD256 ปรากฏว่าผ่านฉลุย เสียงก็ออกมาดีด้วย และพูดได้ว่า 9000N ให้เสียงของฟอร์แม็ต DSD ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เสียงเปิดกระจ่าง เนื้อนุ่มเนียน ละที่สำคัญที่สุดก็คือ ไทมิ่งกับ ไดนามิกที่ดีกว่าที่เคยเล่นไฟล์เหล่านี้กับ DAC ยุคก่อนมาก ซึ่งโดยส่วนตัวผมเชื่อว่า ด้วยสเปคฯ ที่สูงลิบของไฟล์เพลงฟอร์แม็ต DSD มันต้องมีอะไรดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่การที่จะสามารถดึงเอาศักยภาพของเสียงที่มีอยู่ในฟอร์แม็ต DSD ออกมาให้ได้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์จริงๆ จะต้องอาศัยระบบเพลย์แบ็คที่มีสมรรถนะถึงพร้อมทั้งทางด้านฮาร์ดแวร์ (DAC system) และซอฟท์แวร์ (player program) ซึ่งสมรรถนะที่ว่านั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นมาตามลำดับ เป็นไปตามพัฒนาการของชิป DAC และโปรเซสเซอร์ที่ใช้ในส่วนของ operation อย่าง 9000N ตัวนี้ใช้โปรเซสเซอร์แบบ Quad core ของ Arm Cortex-A53 ด้วยสมรรถนะในการประมวลผลอยู่ที่ 1.8GHz / core ในขณะที่พื้นฐานของโปรแกรมที่ใช้เล่นไฟล์เพลงและจัดการกับระบบทั้งหมดเป็นแพลทฟอร์มที่ทาง Audiolab พัฒนาร่วมกับ Lumin ซึ่งเป็นแบรนด์ผู้ผลิตสตีมเมอร์ชั้นนำของจีนในปัจจุบัน ซึ่งข้อนี้น่าจะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญที่ทำให้แอพลิเคชั่น Audiolab 9000N กับฮาร์ดแวร์ในตัวเครื่อง 9000N ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขนาดนี้ โดยไม่มีอาการเอ๋อเลย..!!!

สรุปเสียงของ Audiolab9000N

9000N ถูกออกแบบมาโดยวางสถานภาพให้มันเป็นได้ 3 สถานะ หนึ่ง – เป็นสตรีมเมอร์ที่มี DAC ในตัว, สอง – เป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต เพราะ 9000N มีฟังท์ชั่น network bridge ในตัว คือมันสามารถเอาสัญญาณดิจิตัลที่แตกจากไฟล์ที่ดึงมาจากเน็ทเวิร์คให้ส่งออกไปทางช่องเอ๊าต์พุต coaxial และ optical ได้ และ สาม – เป็นสตรีมเมอร์บวกกับคุณสมบัติที่ใช้แทนปรีแอมป์ในตัว คือสามารถต่อตรงเข้าเพาเวอร์แอมป์ได้เลย (*เรียกว่า ปรีแอมป์ได้ไม่เต็มปาก เพราะ 9000N ไม่มีช่องอินพุตเลย) และจากการทดลองเซ็ตอัพใช้งาน 9000N ทั้งสามรูปแบบข้างต้นมาแล้ว ผมชอบใช้ 9000N ในสถานะที่สามมากที่สุด คือใช้เป็นสตรีมเมอร์พร้อมวอลลุ่มในตัว เพราะมันแสดง ตัวตนที่โดดเด่นของ 9000N ออกมาให้เห็นได้ชัดเจนมากที่สุด และให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ผมชอบมากที่สุดด้วย

ภาควอลลุ่ม คอนโทรลของ 9000N เป็นดิจิตัล.? ข้อมูลจากผู้ผลิตไม่ได้ระบุไว้ชัดๆ แบบนั้น แต่ดูจากเมนูเครื่องแล้วก็น่าจะใช่ เพราะเขาไม่มีอ๊อปชั่นให้เลือกระหว่าง analog volume (หลังชิป DAC) กับ digital volume (ก่อนเข้าชิป DAC) เหมือน Streamer/DAC ตัวอื่นๆ อยู่ในเมนู และไม่มีรายละเอียดระบุเกี่ยวกับเอ๊าต์พุตของสัญญาณอะนาลอกของ 9000N ไว้เลย (*ต่างจาก NADM66REVIEW ที่ใช้คำเรียกตัวเองว่า Preamplifier เอาไว้ชัดเจนในสเปคซิฟิเคชั่น) มีแต่ระบุเอ๊าต์พุตดิจิตัลที่อยู่ในรูปของสัญญาณโวลเตจที่แปรผันได้ตั้งแต่ 0V ถึง 2.05V ซึ่งก็น่าจะหมายถึงเกนหรือวอลลุ่มที่ปรับตั้งในโดเมนดิจิตัลก่อนส่งเข้าชิป DAC นั่นเอง

วอลลุ่มดิจิตัลจะดีเหรอ.? ชิป DAC เบอร์ ES9038PRO ถูกยกย่องว่ามีเพอร์ฟอมานซ์ในระดับ Gold Standard สำหรับแบรนด์ ESS Technology และผู้ผลิตได้ระบุไว้ชัดเจนด้วยว่า ชิป ES9038PRO ได้ถูกใช้อยู่ในอุปกรณ์ audio workstations ของวงการโปรเฟสชั่นแนลระดับแนวหน้าด้วย ซึ่งเป็นข้อมูลที่ช่วยยืนยันความเที่ยงตรงและแม่นยำของชิป ES9038PRO ได้เป็นอย่างดี

ES9038PRO ให้ไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างถึง 138dB เกือบสุดความสามารถในการรับฟังของมนุษย์แล้ว ส่วนความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ไม่ต้องพูดถึง เพราะมันรองรับแซมปลิ้งเรตของสัญญาณดิจิตัลได้สูงถึง 768kHz ซึ่งหลังจากแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกแล้วจะได้สัญญาณอะนาลอกที่ไปได้สูงถึงสามแสนกว่าเฮิร์ต เมื่อเป็นอย่างนี้ ลองคิดดูซิว่า การดึงสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจากชิป DAC ตัวนี้มาส่งให้เพาเวอร์แอมป์ขยายออกลำโพงโดยตรง โดยไม่ต้องมีภาคปรีฯ อะนาลอกเข้ามาคั่น เสียงมันจะออกมาดีแค่ไหน.?

ซึ่งก็เป็นไปตามคาด คุณสมบัติแรกที่ผมรับรู้ได้หลังจาก 9000N ผ่านเบิร์นฯ ครบร้อยชั่วโมงก็คือ โฟกัสของเสียงที่เป๊ะมากๆ หลังจากแม็ทชิ่งเพาเวอร์แอมป์กับลำโพงจนทำงานผสานกัน และเซ็ตอัพตำแหน่งของลำโพงจนลงตัวแล้ว สิ่งที่ 9000N ถ่ายทอดออกมาได้ดีมากๆ อย่างแรกก็คือโฟกัสของเสียงที่แม่นยำมาก ตำแหน่งของทุกเสียงเป๊ะเว่อร์ เมื่อลองฟังอัลบั้มที่บันทึกเสียงพิถีพิถันหน่อย จะรับรู้ได้ทันทีว่าในเพลงนั้นมีเสียงอะไรอยู่บ้าง แต่ละเสียงวางตัวอยู่ในตำแหน่งไหนกันบ้าง ทั้งหมดนี้กระจ่างชัดออกมาแบบไม่ต้องเพ่งเลย ต่อให้เป็นเพลงที่มีเลเยอร์ดนตรีซับซ้อน ประกอบด้วยเสียงดนตรีที่หลากหลาย 9000N ตัวนี้ก็ยังสามารถ แจกแจงรายละเอียดทั้งหมดนั้นออกมาให้ได้ยินครบหมดแบบไม่มีกั๊กเลย.!!

อีก 2 คุณสมบัติที่ดีมากๆ ของ 9000N ก็คือ คุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกที่เปิดกว้างมาก ออกมาครบทั้งช่วงที่สวิงแคบๆ (micro dynamic) และช่วงที่สวิงกว้างๆ (macro dynamic) ซึ่ง 9000N ถ่ายทอดออกมาได้อย่างฉับไว ไม่มีอาการหน่วงช้า นั่นช่วยสนับสนุนให้คุณสมบัติทางด้าน ไทมิ่งของเสียงออกมาดีไปด้วย ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองข้อนี้มีผลมากกับลักษณะของเสียงที่มีความสด สมจริง ซึ่งมันสะท้อนให้เห็นว่า ภาควอลลุ่ม คอนโทรลของ 9000N ที่ทำงานในโดเมนดิจิตัลไม่ได้ทำให้เสียงแห้ง หรือมีความหยาบอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ซึ่งในอดีตนั้นเป็นเพราะประสิทธิภาพของโปรเซสเซอร์และชิป DAC ยังมีประสิทธิภาพไม่สูงพอ แทบกับปัจจุบันแล้วต่างกันเยอะ เมื่อชิป DAC และโปรเซสเซอร์ที่ใช้ประมวลผลมีประสิทธิภาพสูงพอ การแปลงสัญญาณดิจิตัลให้กลับออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกจึงมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น สัญญาณอะนาลอกที่ได้ออกมาจึงมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับต้นฉบับอะนาลอกเดิมๆ ก่อนแปลงเป็นดิจิตัลมากยิ่งขึ้น

ในอดีตนั้น เรามักจะชื่นชมเสียงของภาค DAC ที่มีความนุ่มเนียนและนุ่มนวล แต่จริงๆ แล้ว มันนุ่มนวลเพราะใช้วงจรฟิลเตอร์เข้ามาช่วยขัดเกลาสากเสี้ยนออกไปเยอะ ถ้าฟังดีๆ จะพบว่า ภายใต้บุคลิกของความนุ่มเนียนและนุ่มนวลนั้น มันจะมีลักษณะที่เบลอมัว หน่วงช้า และไร้พลัง ปนอยู่ในนั้น เพราะรายละเอียดระดับไมโครไดนามิกถูกวงจรฟิลเตอร์ขจัดออกไปหมด ถ้าได้มีโอกาสฟังเสียงภาค DAC ของ 9000N คุณจะเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เลยว่า ความนุ่มนวลที่แท้จริงแล้วมันต้องเกิดจากฝีมือในการบรรเลงของนักดนตรี และฝีมือในการขับร้องของนักร้องที่มีทักษะในการควบคุมลมหายใจที่ใช้ในการเปล่งคำร้องแต่ละคำออกมา ซึ่งการที่คุณจะสามารถรับรู้ได้ลึกลงไปถึงรายละเอียดระดับที่ว่าได้นั้น อย่างแรกต้องเริ่มต้นด้วยพื้นเสียงที่มี ความใส” (transparent) มากๆ ซะก่อน ซึ่งนั่นคือภาค DAC จะต้องให้คุณสมบัติทางด้าน S/N ratio ที่สูงมากๆ ซึ่งก็ต้องอาศัยคุณสมบัติทางด้าน dynamic range ของชิป DAC เป็นพื้นฐาน เพื่อให้สามารถ “ขุด” เอารายละเอียดระดับ micro detail ออกมาจากทุกเพลงที่ฟังได้อย่างหมดจดจริงๆ (*9000N ให้ S/N ratio ได้ >120dB ทางเอ๊าต์พุตอ XLR และ >116dB ทางเอ๊าต์พุต RCA.!)

อีกคุณสมบัติที่ 9000N แสดงให้เห็นถึงแนวทางของเสียงที่พวกเขาปรับจูนออกมา ซึ่งไปในทิศทางเดียวกับ DAC ในระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ แม้ว่าอาจจะยังไม่ถึงกับทำได้ดีเท่า แต่ก็นับว่าไปในทิศทางเดียวกันแล้ว สิ่งนั้นคือ timbre หรือผลรวมทางด้านฮาร์มอนิก+เรโซแนนซ์ (ของวัสดุที่ใช้ทำบอดี้และลิ้นของเครื่องดนตรีนั้นๆ) ที่มีความถูกต้องตรงตามต้นฉบับของสัญญาณดิจิตัลที่เข้ามาทางอินพุตมากขึ้น ซึ่งในแง่ของการได้ยินก็คือ ทำให้รู้ว่าแต่ละเสียงที่กำลังฟังนั้นเป็นเสียงของเครื่องดนตรีประเภทไหนบ้าง.? คือเมื่อ impact (หัวโน๊ต) + timbre (ฮาร์มอนิก + เรโซแนนซ์) ถูกต้อง เสียงที่ 9000N ถ่ายทอดออกมามันจึงทำให้ได้ยินแล้วรับรู้ได้ว่ามันคือสียงของเครื่องดนตรีปะเภทไหน หรือถ้าเป็นเสียงร้องก็รู้สึกว่าเหมือนกำลังฟังเสียงที่เกิดจากคนร้องจริงๆ มากขึ้นนั่นเอง

สิ่งที่ผมได้ยินข้างต้นนั้นไม่น่าจะเกิดจากจินตนาการ หรือคิดไปเอง เพราะมันสอดคล้องกับสเปคฯ ทางด้าน THD (Total Harmonic Distortion) ของ 9000N ที่ต่ำติดดินแค่ <0.001% (วัดที่ความถี่ 1kHz / ที่ระดับความดังสูงสุดหรือ full output = 2.05Vrms)

สรุป

ขอตบโต๊ะฟันธงไว้ตรงนี้เลยว่า 9000N ตัวนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วย “ยกระดับKPI ของแบรนด์ Audiolab ให้ก้าวข้ามจากระดับมิดเอ็นด์เข้าสู่พรหมแดนของความเป็นเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ได้อย่างเต็มตัว ซึ่งความยอดเยี่ยมของ 9000N ถึงพร้อมทั้งในแง่ของ “ฟังท์ชั่นใช้งาน” ที่ทั้งครอบคลุมและเสริมส่งให้ซิสเต็มที่มันเข้าไปเกี่ยวข้องสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่มากขึ้น และยังถึงพร้อมในแง่ของ “คุณภาพเสียง” ที่ก้าวกระโดดจากระดับ mid-end ขึ้นไปแตะขอบไฮเอ็นด์ฯ ได้อย่างยอดเยี่ยม

มันทำหน้าที่ที่มันถูกออกแบบมาได้อย่างดีเยี่ยม คือเป็นสตรีมเมอร์ที่สามารถปรับวอลลุ่มได้เหมือนปรีแอมป์ชั้นดี รับรองว่าคุณจะต้องทึ่งถ้าได้ทดลองใช้งาน 9000N ในสถานะที่ว่านี้ และต้องขอบอกเลยว่า 9000N คือ endgame ที่สวยงามสำหรับคนที่ใช้แค่สตรีมมิ่งเป็นแหล่งต้นทางเดียวของระบบ.!!!

*** HIGHLY RECOMMENDED!!! ***
สำหรับ
Music Streaming ระดับราคา “ไม่เกิน 100,000 บาท

********************
ราคา : 100,000 บาท / เครื่อง
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5
facebook: HifitowerShop
LineID: @hifitower

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า