ใครที่ใช้ Roon ‘nucleus’ เป็นแหล่งต้นทางมานานเหมือนผม เพราะชอบแนวทางการเล่นที่แยก “ตัวเล่นไฟล์เพลง” (network player transport หรือ Streamer Transport) กับ DAC ที่แยกออกจากกัน เมื่อถึงเวลาจะไปต่อแต่ไม่รู้ว่าจะก้าวไปข้างหน้ายังไง ถ้าคุณยังอยากที่จะเล่นแบบเดิม คือเล่นแบบ “แยกชิ้น” โดยใช้สตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตเล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์ค จับคู่กับ external DAC วันนี้ผมมีแบรนด์ Innuos อยากจะแนะนำให้พิจารณาดู..
แบรนด์นี้เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์เล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คสัญชาติโปรตุเกรส ผลิตภัณฑ์ของพวกเขาจะครอบคลุมอยู่ในระดับ “มิดเอ็นด์” (ราคาต่ำแสน) ขึ้นไปจนถึงระดับไฮเอ็นด์ฯ (หลายแสน) ซึ่งผมเข้าไปส่องมาแล้ว พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับการขยับก้าวขึ้นไปอีกขั้น เหมาะสมสำหรับคนที่ใช้ Roon ‘nucleus’ ก็คือตัวเน็ทเวิร์ค เพลเยอร์รุ่น PLUSE ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในระดับกลางของซีรี่ย์ ‘PULSE’ ที่มีราคาอยู่ในระดับแสนกลางๆ และมีรูปแบบการใช้งานไม่ต่างจาก Roon ‘nucleus+‘ ถือว่าเหมาะสมที่สุดสำหรับการอัพเกรดจาก Roon ‘nucleus+’ ขึ้นไปอีกขั้นโดยที่ยูสเซอร์ที่ใช้ Roon nucleus หรือ nucleus+ อยู่ไม่ต้องทำอะไรเพิ่มเติมเลยในการยกเอา Innuos ‘PULSE’ เข้าไปแทนที่ระบบ Roon ของคุณ
จุดเด่นของสตรีมเมอร์ทรานสปอร์ตของแบรนด์ Innuos นี้มีอยู่หลายจุด ซึ่งส่วนที่เป็นพื้นฐานที่แข็งแรงของแบรนด์นี้มีทั้งในส่วนของฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ โดยเฉพาะในส่วนของซอฟท์แวร์ซึ่งถือว่าเป็นอาวุธสำคัญที่ทำให้บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทมิวสิค สตรีมมิ่งที่สามารถยืนหยัดแข่งขันอยู่ในวงการได้อย่างมั่นคงนั้น ต้องบอกเลยว่าแบรนด์นี้แน่นมาก.! พวกเขามีแผนกพัฒนาซอฟท์แวร์เป็นของตัวเอง มีการพัฒนา “ระบบปฏิบัติการณ์” (Operation System หรือ OS) ขึ้นมาใช้เอง ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์ของพวกเขาทุกชิ้นจะถูกออกแบบให้ควบคุมด้วยระบบปฏิบัติการณ์ที่ชื่อว่า ‘innuOS’ ที่พวกเขาพัฒนาขึ้นมาเอง (*ถ้าอยากทำความรู้จักกับแบรนด์ Innuos ให้มากกว่านี้ เชิญเข้าไปอ่านเรื่องราวของพวกเขาได้ที่ ลิ้งค์นี้
พวกเขาพัฒนาแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า ‘Innuos Sense App‘ ขึ้นมาสำหรับใช้ในการเล่นไฟล์เพลง และทำหน้าที่เป็นแอพรีโมทในตัว ซึ่งผมได้ลองใช้แล้วบอกเลยว่าเป็นแอพฯ ที่สวยมาก หน้าตา, สัญลักษณ์ และฟังท์ชั่นจะคล้ายกับแอพฯ ของ Roon แต่ทำ UI ออกมาได้สวยกว่า เนี๊ยบกว่า ถ้าพูดถึงฟังท์ชั่นหลายๆ ด้านที่เกี่ยวกับการเล่นไฟล์เพลงก็ต้องบอกว่ามีความคล่องตัวไม่แพ้ Roon ที่ยังเป็นรอง Roon อยู่บ้างก็คือเรื่องของการจัดการกับ content ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของศิลปินที่ไปดึงมาจากภายนอก แต่คุณสมบัติสำคัญของแอพฯ Innuos Sense App ที่ผมประทับใจมากก็คือ “คุณภาพเสียง” ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะพวกเขาพัฒนาแอพฯ ซึ่งเป็นซอฟท์แวร์มาให้แม็ทชิ่งกับฮาร์ดแวร์ของพวกเขาเอง
Innuos รุ่น ‘PULSE’
เรียบ หรู ดูดี..!!
ตัวถังของ Innuos ‘PULSE’ มีขนาดที่กระทัดรัด ความกว้างมากกว่า Roon ‘nucleus’ นิดหน่อย แต่เตี้ยกว่าพอสมควร (ของผมตัวสีดำๆ ในภาพที่อยู่เหนือ PULSE นั้นเป็น nucleus+ เวอร์ชั่นเก่า) ส่วนความลึกของตัวเครื่องนั้น PULSE ลึกกว่า nucleus หลายนิ้ว
แผงหน้าของ Innuos ‘PULSE’ ทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมที่หนาถึง 9 ม.ม. ผิวด้านหน้าถูกทำให้เป็นลายเหลี่ยมๆ สูงๆ ต่ำๆ ดูเท่ดี ส่วนตัวถังหลักประกอบด้วยแผ่นโลหะ 2 ชิ้น โดยที่ชิ้นบนพับเป็นตัว U คว่ำทับชิ้นล่างที่เป็นฐานยึดแผงวงจรและอุปกรณ์ภายในทั้งหมด แผ่นบนของตัวถังกับแผ่นล่างส่วนที่เป็นฐานล่างติดตรึงกันด้วยน็อตที่ขันยึดขึ้นมาจากด้านล่างข้างละ 3 ตัว และขันยึดที่แผงหลังอีก 2 ตัว การประกอบตัวถังมีความแน่นหนาดี (* มีให้เลือก 2 สี คือ ‘สีดำ‘ กับ ‘สีเงิน’)
บนแผงหน้าของตัวเครื่องไม่มีอะไรเลย.! แต่ที่แผงหลังมีสวิทช์ main สำหรับเปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง แต่เมื่อกดสวิทช์ main ไปที่ตำแหน่งเปิดแล้ว ตัวเครื่องจะเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย คือยังไม่พร้อมทำงาน ต้องกดปุ่มเพาเวอร์อีกที แต่.. ปุ่มเพาเวอร์/สแตนด์บายอยู่ตรงไหนหว่า..?? ปกติแล้วควรจะอยู่บนแผงด้านหน้า แต่ดูแล้วบนแผงหน้าไม่มีปุ่มอะไรเลย เกลี้ยงเกลา อ้าวว.. แล้วจะเปิด/ปิดเครื่องยังไง.?? เริ่มต้นขึ้นมาก็ท้าทายสติปัญญากันซะแล้ว ผมยอมรับนะว่า ถ้าคุณทอมมี่ไม่บอกไว้ก่อนก็คงจะเสียเวลาเปิดคู่มือค้นหาหาปุ่มเปิดเครื่องกันสักพัก สรุปแล้วผู้ผลิตเขาซ่อนปุ่มกดสำหรับเปิด/ปิดเครื่องไว้ที่ขอบด้านล่างของแผงหน้า บริเวณตรงกลางของแผงหน้า ไม่ได้ลึกมาก แต่ก็ต้องใช้ปลายนิ้วสอดเข้าไปกดปุ่มดันขึ้น หลังจากกดปุ่มเปิดเครื่องแล้ว จะมีแสดงสว่างเป็นดวงขาวๆ ของหลอด LED ส่องลงไปบนพื้นล่างของชั้นที่วางเครื่อง (ศรชี้ในภาพข้างบน) ถ้าต้องการปิดเครื่อง ก็ใช้ปลายนิ้วสอดเข้าไปกดปุ่มเดียวกันซ้ำอีกที เมื่อไฟ LED ดับลงก็คือเครื่องหยุดทำงานโดยเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย (*คุณสามารถสั่งสแตนด์บาย/เปิดเครื่องผ่านทางแอพลิเคชั่นได้)
ขั้วต่อต่างๆ บนแผงหลัง
1. ขั้วต่อ XLR สำหรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตมาตรฐาน AES/EBU
2. ขั้วต่อ RCA (Coaxial) สำหรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตมาตรฐาน S/PDIF
3. ขั้วต่อ Optical สำหรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตมาตรฐาน S/PDIF
4. ขั้วต่อ USB-type-A เวอร์ชั่น 3.0 จำนวน 4 ช่อง
5. ขั้วต่อ Ethernet ที่ใช้รองรับสัญญาณจาก Router
6. ขั้วต่อ Ethernet สำหรับส่งสัญญาณเน็ทเวิร์คออกไปให้อุปกรณ์ตัวอื่นในระบบเน็ทเวิร์คเดียวกัน
7. ช่อง HDMI สำหรับตรวจเช็คเท่านั้น
8. เต้ารับปลั๊กไฟแบบสามขา ถอดได้ พร้อมกระบอกใส่ฟิวซ์
9. สวิทช์ main สำหรับเปิด/ปิดไฟเข้าเครื่อง
อินพุต / เอ๊าต์พุต
เพราะสถานะจริงของ Innuos ‘PULSE’ คือ Network Player ที่ถูกออกแบบมาให้เล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คเป็นหลัก ด้วยเหตุนี้ อินพุตหลักของInnuos ‘PULSE’ ก็คืออินพุต Ethernet นั่นเอง (เส้นสีฟ้าในภาพด้านบน) ซึ่งเป็นอินพุตที่มีความสามารถในการสตรีมสัญญาณมาจากเน็ทเวิร์คได้ 2 แหล่งด้วยกัน นั่นคือ 1. สตรีมไฟล์เพลงจาก NAS ที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์ควงเดียวกับ Innuos ‘PULSE’ และ 2. สตรีมจากเซิร์ฟเวอร์บนออนไลน์ ทั้งจากแหล่งที่ให้สตรีมมาฟังฟรี อย่างเช่น อินเตอร์เน็ต เรดิโอ ที่มีอยู่จำนวนมหาศาลทั่วโลก และอีกแหล่งก็คือสตรีมมาจากเซิร์ฟเวอร์ของผู้ให้บริการเช่าไฟล์เพลงมาฟัง อย่างเช่น TIDAL และ Qobuz
Innuos ‘PULSE’ ให้ช่อง Ethernet มา 2 ช่อง โดยมีตัวอักษรกำกับไว้ต่างกัน ช่องที่เขียนว่า ‘LAN’ นั้นคืออินพุตที่ใช้รองรับสัญญาณจาก Router ซึ่งในการเชื่อมต่อตอนผมทดสอบผมจะใช้ network switch ของ Clef Audio รุ่น StreamBRIDGE-X (REVIEW) เป็นศูนย์กลาง โดยที่ทั้ง Router และ NAS ที่ผมเก็บไฟล์เพลงรวมถึงตัว Innuos ‘PULSE’ จะถูกเชื่อมต่อไปที่ StreamBRIDGE-X ทั้งหมด ส่วนช่องที่เขียนว่า ‘ETHERNET’ นั้นเป็นช่องที่ใช้แชร์สัญญาณเน็ทเวิร์คไปให้กับอุปกรณ์ตัวอื่นที่เชื่อมต่ออยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกัน ดังนั้น เวลาเชื่อมต่อสาย LAN กับตัว Innuos ‘PULSE’ ต้องดูให้ดี อย่าต่อผิดช่อง
ส่วนเอ๊าต์พุตนั้น Innuos ‘PULSE’ มีมาให้คุณเลือกใช้ทั้งหมด 4 ช่องทาง เรียงจากซ้ายไปขวาในภาพด้านบน คือ AES/EBU, Coaxial และ Optical จะส่งออกไปเป็นสัญญาณดิจิตัล PCM มาตรฐาน S/PDIF โดยที่ความละเอียดของสัญญาณที่ส่งออกไปได้สูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 24/192 ส่วนช่องทางที่สี่คือ USB (ขวามือถัดไปในภาพด้านบน) จะเป็นช่องทางที่ปล่อยผ่านสัญญาณได้สูงกว่าทั้งสามช่องก่อนหน้า คือสามารถส่งผ่านสัญญาณ PCM ออกไปได้สูงสุดถึงระดับ 32/768 และยังสามารถส่งสัญญาณ DSD ออกไปได้สูงถึงระดับ DSD256 โดยส่งออกไปด้วยฟอร์แม็ต DoP และจะส่งออกไปได้สูงขึ้นถึงระดับ DSD512 เมื่อส่งออกไปในรูปแบบ native DSD ว้าวว..!!!
คนที่ใช้ DAC รุ่นเก่าๆ ต้องเฮ..!!
พิจารณาจากช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่ให้มาจะเห็นว่า ใครที่ใช้ DAC รุ่นเก่าที่รองรับสัญญาณดิจิตัลอินพุตทางช่อง Coaxial, Optical หรือ AES/EBU จะได้ประโยชน์จากเอ๊าต์พุตของ Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้ไปเต็มๆ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ไม่มีให้ใน Roon ‘nucleus+’ ที่ผมใช้อยู่เดิม นอกจาก DAC รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีอินพุต LAN กับอินพุต USB จะได้ประโยชน์จากอินพุตทั้งสามอินพุตนั้นแล้ว ตัวอินติเกรตแอมป์ยุคใหม่ๆ ที่นิยมติดตั้งภาค DAC มาให้ในตัว (บางทีก็เรียก all-in-one) ก็จะได้อานิสงส์จากช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตทั้งสามนั้นด้วย ที่ผ่านมานั้น หลายๆ ครั้งที่ผมทำการทดสอบอินติเกรตแอมป์ หรือออล–อิน–วันที่มีภาค DAC ในตัว ผมอยากได้ฟังท์ชั่นนี้มาก ซึ่งบอกเลยว่า เอ๊าต์พุต S/PDIF กับ AES/EBU ที่ Innuos ‘PULSE’ ให้มานี้คือจุดขายระดับ “ไฮไล้ท์” ของสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตตัวนี้เลย.!!
Ethernet–to–S/PDIF converter
คุณอาจจะแย้งว่า ในตลาดก็มีสตรีมเมอร์ตั้งหลายตัวที่มีช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่เป็นฟอร์แม็ต S/PDIF มาให้ ซึ่งส่วนใหญ่จะผ่านทางอินเตอร์เฟซ coaxial กับ optical (TosLink) ด้วยเหตุนี้ คุณอาจจะคิดว่าการที่ Innuos ‘PLUSE’ ให้เอ๊าต์พุต S/PDIF ผ่านอินเตอร์เฟซ coaxial กับ optical มาก็คงจะเหมือนๆ กับที่สตรีมเมอร์ตัวอื่นๆ ให้มา ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ว่าสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตที่ปล่อยออกมาจากเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical ของสตรีมเมอร์ทุกตัวจะมีคุณภาพเท่ากัน ผมมีข้อสังเกตอยู่อย่างหนึ่ง คือสตรีมเมอร์ตัวไหนที่นอกจากจะมีช่องเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical มาให้แล้ว ถ้าสตรีมเมอร์ตัวนั้นมีเอ๊าต์พุต AES/EBU มาให้ด้วย แบบนี้ก็พอจะอนุมานได้ว่า สัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุต S/PDIF จากช่อง coaxial กับ optical ของสตรีมเมอร์ตัวนั้นน่าจะมี “คุณภาพ” สูงกว่าสตรีมเมอร์ที่ให้มาแต่ช่องเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical อย่างเดียว
เหตุผลก็เพราะว่า สัญญาณอินพุตที่เข้ามาทาง Ethernet กับสัญญาณเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปทางช่อง coaxial กับ optical และที่ส่งออกไปทางช่อง AES/EBU มันเป็นสัญญาณที่อยู่บนมาตรฐาน (ฟอร์แม็ต) ที่ต่างกันกันถึง 3 มาตรฐาน (หรือต่างกันถึง 3 ฟอร์แม็ต) ด้วยเหตุนี้ ภายในตัวสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตจะต้องมีวงจรที่ทำการ “แปลง” ไฟล์ฟอร์แม็ตต่างๆ (WAV, FLAC ฯลฯ) ที่รับเข้ามาทางอินพุต Ethernet ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ก่อน จากนั้นจึงค่อยส่งออกไปทางช่องเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical ด้วยมาตรฐาน S/PDIF ซึ่งถ้าลำพังแค่ส่งออกไปทางเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical แค่นี้ก็ง่าย ต้นทุนจะไม่สูง เพราะเป็นการแปลงรูปแบบสัญญาณจาก Ethernet ไปเป็นฟอร์แม็ต S/PDIF แค่ฟอร์แม็ตเดียว แต่ถ้าต้องส่งออกไปทางเอ๊าต์พุต AES/EBU ด้วย ซึ่งเป็นอีกฟอร์แม็ตที่มีมาตรฐานต่างจาก S/PDIF ภายในสตรีมเมอร์ตัวนั้นก็จะต้องมีวงจรที่ใช้ในการแปลงสัญญาณจาก Ethernet ให้ออกมาเป็นมาตรฐาน AES/EBU เพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งวงจร ระบบ clock ที่ใช้ควบคุมการแปลงสัญญาณและส่งออกไปที่เอ๊าต์พุตทั้งสามช่องนั้นก็ต้องมีความแม่นยำสูงขึ้นไปอีกระดับด้วย
กล่าวโดยสรุป ข้อสังเกตของผมก็คือ ถ้าสตรีมเมอร์ตัวไหนที่ให้ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต AES/EBU มาพร้อมกับช่อง coaxial กับ optical ก็ค่อนข้างมั่นใจได้ระดับหนึ่งว่า สัญญาณ S/PDIF จากช่องเอ๊าต์พุต coaxial กับ optical ของสตรีมเมอร์ตัวนั้นน่าจะให้คุณภาพเสียงออกมาได้เต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐาน S/PDIF นั่นเอง
ทดสอบคุณภาพเสียงของสัญญาณ S/PDIF ผ่านช่อง coaxial ของ Innuos ‘PULSE’
อย่ากระนั้นเลย ทดลองฟังให้สิ้นสงสัยกันไปเลยดีกว่า ว่าแล้วผมก็เซ็ตอัพซิสเต็มขึ้นมาเพื่อทดสอบประสิทธิภาพเสียงของสัญญาณดิจิตัล S/PDIF ของ PULSE โดยอาศัยอินติเกรตแอมป์ของ Audiolab รุ่น 9000A ที่มีภาค DAC ในตัวมาใช้รองรับสัญญาณดิจิตัล S/PDIF จากช่องเอ๊าต์พุต coaxial ของ PULSE ผลคือ..
ช่วงแรกผมทดลองสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาลองฟังพบว่า Innuos ‘PULSE’ สามารถส่งสัญญาณ PCM จากไฟล์ที่เล่นไปที่อินพุต coax 1 ของ Audiolab ‘9000A’ ได้ตรงตามสเปคฯ ของไฟล์ที่สตรีมมาจาก TIDAL เป๊ะทุกระดับตั้งแต่ 16/44.1 ขึ้นไปจนถึง 24/192 จากตัวอย่างสองภาพข้างบนนั้นผมทดลองเล่นไฟล์ TIDAL MAX (FLAC 24/88.2) จากอัลบั้มชุด By Myself ของ Inger Marie Gundersen ไปที่ Audiolab ‘9000A’ ปรากฏว่าบนจอแสดงผลของ 9000A ก็แจ้งให้รู้ว่าสัญญาณที่รับเข้าไปมีอัตราแซมปลิ้งเท่ากับ 88.2kHz ตรงตามต้นทาง..
ใครมีแผ่น MQA-CD อยู่ มาฟังข่าวดีทางนี้..!!!
ผมลองเปลี่ยนมาสตรีมไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิส NAS ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีดูบ้าง โดยเลือกสตรีมไฟล์ WAV ที่ผมริปออกมาจากแผ่น MQA-CD เพราะอยากรู้ว่า Innuos ‘PULSE’ มันยอมส่งสัญญาณ PCM 16/44.1 จากไฟล์ WAV ที่มีโค๊ด MQA ออกไปจากตัวมันได้มั้ย.?
ผลปรากฏว่าได้.!! ซึ่งทีแรกก็เสียวเหมือนกัน คิดว่าเล่นไม่ได้ คือตอนเล่นไฟล์ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดี ที่หน้าจอของแอพ Innuos SENSE ที่ใช้เล่นไฟล์เพลงมันแจ้งว่าเป็นไฟล์ WAV 16/44.1 (ศรชี้) ไม่ได้แจ้งว่าเป็นไฟล์ MQA แต่อย่างใด แต่โชคดีที่ Audiolab ‘9000A’ มันแจ้งขึ้นมาบนหน้าจอว่าสัญญาณอินพุตที่รับเข้ามาจาก Innuos ‘PULSE’ มีโค๊ดของ MQA ที่เข้ารหัสติดมาด้วย และเนื่องจากในตัว Audiolab ‘9000A’ ก็มีดีโค๊ดเดอร์ MQA อยู่ในมันจึงสามารถถอดรหัส MQA ของสัญญาณที่รับมาจาก Innuos ‘PULSE’ ออกมาตามที่ถูกบันทึกมาจากสตูดิโอได้ “สุดซอย” ทะลุไปถึงระดับแซมปลิ้งเรต 352.8kHz โน่นเลย..!
สรุปคือ เอ๊าต์พุต S/PDIF ทางช่อง coaxial ของ PULSE ส่งออกโค๊ด MQA ได้..!!
แอพลิเคชั่น Innuos ‘SENSE’
Innuos มีแอพลิเคชั่นที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาเอง เพื่อให้ผู้ใช้เครื่องเล่นไฟล์เพลงของพวกเขาใช้ในการจัดการ “ทุกอย่าง” ที่เกี่ยวข้องกับเครื่องเล่นไฟล์เพลงของพวกเขาผ่านทางแอพฯ ที่ชื่อว่า ‘Innuos SENSE‘ ตัวนี้ได้ทั้งหมด
แอพฯ Innuos ‘SENSE’ ตัวนี้เป็นแอพฯ ฟรีที่มีมาให้โหลดใช้ทั้งบน iOS และ Android หลังจากโหลดมาติดตั้งลงบน iPad Pro ของผมแล้ว ผมพบว่า บนแอพฯ ตัวนี้เขาแยกฟังท์ชั่นการทำงานของแอพฯ ตัวนี้ไปไว้บนหน้าหลักที่มีอยู่ทั้งหมด 4 หน้า คือ HOME, MUSIC, SYSTEM และ SEARCH
หน้า HOME
พื้นที่บนหน้า HOME ซึ่งเป็นหน้าแรกของแอพ SENSE ตัวนี้มีข้อมูลเกี่ยวกับเพลงอยู่ 3 ส่วน ด้านบนสุดคือ ‘MOST PLAYED PLAYLISTS’ ซึ่งเป็นพื้นที่แสดง Playlist ที่คุณเลือกเล่นบ่อยที่สุด, พื้นที่สองถัดลงไปคือ ‘NEW MUSIC’ จะแสดงถึงอัลบั้มที่เพิ่งถูกเพิ่มเข้ามาใน Library ล่าสุด ซึ่งตรงนี้จะรวมหมดไม่ว่าจะเป็นอัลบั้มที่คุณ add เข้ามาจาก TIDAL หรือผู้ให้บริการอื่นๆ ผสมกับรายชื่ออัลบั้มใหม่ที่คุณเพิ่ม add เข้ามาจาก NAS ของคุณเองด้วย ส่วนพื้นที่ที่สาม ที่อยู่ล่างสุดของหน้า HOME คือ ‘SMART MIXES’ ซึ่งเป็นคำสั่งให้เล่นเพลงแบบสุ่มสลับไปเรื่อย โดยมีรูปแบบของการสุ่มที่ถูกกำหนดโดยเงื่อนไขต่างๆ
ตัวอย่างด้านบนคือ หน้าแอพที่ขึ้นมาหลังจากกดเลือกเล่นสุ่มจากหัวข้อ ‘Play Artist Mix’ ซึ่งแอพจะไปรวบรวมศิลปินคนนั้นๆ ทั้งที่อยู่ใน NAS และที่อยู่ใน My Albums ที่เราเลือกเก็บมาจากผู้ให้บริการอย่างเช่นจาก TIDAL เข้ามาสลับเล่นสุ่มไป คุณต้องการเล่นเพลงของศิลปินคนไหนก็ดูจากหน้าแอพฯ ข้างบนนั้นแล้วจิ้มเลือกได้เลย ก็ถือว่าเป็นฟังท์ชั่นที่ดีเลย..
หน้า MUSIC
หน้านี้เป็นที่รวมของแหล่งที่เก็บไฟล์เพลงที่จะเลือกมาเล่น ซึ่งแบ่งเป็น 2 แหล่งใหญ่ๆ (ในวงกลมสีแดง) ได้แก่ STREAMING SERVICES กับ MY LIBRARY
ในส่วนของ STREAMING SERVICES คือแหล่งเก็บไฟล์เพลงที่สตรีมมาจากเซิร์ฟเวอร์ภายนอกที่เชื่อมต่อกับเราทางโมเด็มอินเตอร์เน็ต แยกเป็น 2 ลักษณะ คือ อินเตอร์เน็ต เรดิโอ กับสตรีมมิ่ง เซอร์วิส ซึ่งสตรีมมิ่ง เซอร์วิสแต่ละเจ้าคุณต้องลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้บริการด้วยวิธีเสียค่าบริการรายเดือน ต้องการลงทะเบียนใช้งานของเจ้าไหนก็ให้คลิ๊กเข้าไปที่หัวข้อ ‘Manage Streaming Services’ (ลูกศรสีฟ้า)
ในแอพ SENSE เขาฝัง STREAMING SERVICES มาให้ 4 ตัว คือ TIDAL, Gobuz, Deezer และ Highres Audio ซึ่งคุณสามารถลงทะเบียน log in เข้าใช้งานได้จากหน้านี้เลย
ส่วนไฟล์เพลงที่อยู่ในฮาร์ดดิสบนเน็ทเวิร์คหรือ NAS นั้น คุณสามารถเลือกรูปแบบการแสดงอัลบั้มต่างๆ ขึ้นมาบน Library ได้หลายลักษณะจากหน้า MUSIC ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเลือกให้แสดงอัลบั้มขึ้นมาในหัวข้อ ALBUMS งานเพลงที่อยู่ในฮาร์ดดิสหรือ NAS ของคุณก็จะปรากฏขึ้นมาบน Library ซึ่งคุณยังสามารถเลือกได้อีกว่า จะให้อัลบั้มของคุณที่มีอยู่นั้นเรียงกันไปในรูปแบบไหน ซึ่งเลือกได้ 4 รูปแบบ คือ
1. By Album เป็นการเรียงลำดับตามชื่ออัลบั้มโดยเริ่มจาก เลข > A > Z > ไทย
2. By Artists เป็นการเรียงลำดับตามชื่อศิลปินโดยเริ่มจาก เลข > A > Z > ก > ฮ
3. By Add Date เป็นการเรียงลำดับตามวันที่เพิ่มอัลบั้มนั้นเข้าไปในฮาร์ดดิส
4. By Date เป็นการเรียงลำดับตามเวลาที่อัลบั้มนั้นถูกจัดทำขึ้น
ซึ่งงานเพลงที่โชว์ขึ้นมาใน Library นี้ คุณสามารถกำหนดให้รวมเอาอัลบั้มที่คุณเลือกเป็นอัลบั้มที่ชื่นชอบไว้ใน colletion บน TIDAL เข้ามารวมกับอัลบั้มที่อยู่ในฮาร์ดดิสของคุณได้ หรือจะแยกกันก็ได้ตามที่คุณต้องการ
หน้า SYSTEM
หน้านี้เป็นที่รวบรวมคำสั่งในการปรับตั้งค่าการทำงานของตัวสตรีมเมอร์ทุกฟังท์ชั่น ในกรณีที่คุณใช้สตรีมเมอร์ของ Innuos รุ่นใดรุ่นหนึ่งเมื่อนำมาเชื่อมต่ออยู่ในวงโฮมเน็ทเวิร์คของคุณได้แล้ว เมื่อเปิดมาหน้า SYSTEM นี้ ที่ด้านบนจะแสดงให้เห็นถึงสถานะในการเชื่อมต่อของตัวสตรีมเมอร์กับเน็ทเวิร์คของคุณว่าอยู่ในสถานะ Online คือเชื่อมต่อพร้อมใช้งาน โดยแจ้ง IP Address และไอดี MAC ของฮาร์ดแวร์สตรีมเมอร์ตัวนั้นไว้ให้รู้
ฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับตั้งค่าการทำงานของสตรีมเมอร์ทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ในหัวข้อ SETTINGS (ศรชี้สีแดง) ซึ่งวิธีเข้าไปปรับตั้งค่าให้เริ่มด้วยการจิ้มเข้าไปที่หัวข้อ SETTINGS หนึ่งครั้ง
ที่หน้าย่อย SETTINGS ของหน้าหลัก SYSTEM มีหัวข้อเมนูอยู่ 4 กลุ่ม คือ SYSTEM, INTEGRATIONS, INNUOS SENSE และ HELP
ในกลุ่ม SYSTEM จะมีหัวข้อการปรับตั้งค่าอยู่ทั้งหมด 6 หัวข้อ คือ
1. Audio ปรับตั้งการทำงานของตัวเครื่องในส่วนต่างๆ
2. Storage ปรับตั้งการแชร์ไฟล์เพลงจาก NAS
3. System Mode ปรับเลือกรูปแบบการทำงานของตัวเครื่อง
4. Language and Timezone เลือกภาษาและปรับตั้งการแสดงเวลา
5. System Update เช็คอัพเดต และเป็นช่องทางอัพเดตเฟิร์มแวร์
6. Streaming Services ลิ้งค์ไปที่หน้าหลัก ‘MUSIC’
หัวข้อการปรับตั้งที่จำเป็นต้องเข้าไปจัดการปรับตั้งเพราะส่งผลกับการเล่นไฟล์เพลงโดยตรงมีอยู่ 3 หัวข้อแรก คือ Audio, Storage และ System Mode
การปรับตั้งค่าที่หัวข้อ Audio
ที่หัวข้อ Audio นั้นจะแสดงจำนวนสตรีมเมอร์ของ Innuos ทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่ในโฮมเน็ทเวิร์คของคุณ ในตัวอย่างเป็นระบบที่ผมทดสอบอยู่ จะเห็นว่ามีสตรีมเมอร์รุ่น PULSE เชื่อมต่ออยู่แค่ตัวเดียวในเน็ทเวิร์ควงนี้ ซึ่งคุณสามารถเปลี่ยนชื่อของสตรีมเมอร์ได้โดยจิ้มลงไปตรงสัญลักษณ์ดินสอที่อยู่ท้ายชื่อ แต่ถ้าต้องการเข้าไปปรับตั้งค่าต่างๆ ในตัว Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้ ให้จิ้มลงไปที่รูปฟันเฟืองตรงศรชี้
ภาพข้างบนนั้นคือหน้าต่าง Local Player Settings ที่รวมหัวข้อปรับตั้งทั้งหมดในตัวสตรีมเมอร์ซึ่งจะแสดงขึ้นมาหลังจิ้มลงไปที่รูปฟันเฟือง โดยแยกการปรับตั้งค่าออกเป็น 7 หัวข้อ คือ Output Selection (เลือกเอ๊าต์พุต), Player Name (เปลี่ยนชื่อตามโซน), DSD Mode (เลือกโหมดการเล่นสัญญาณ DSD), USB Latency Mode (โหมดการหน่วงเวลาของเอ๊าต์พุต USB), Sampling Rate Change Delay (หน่วงเวลาในการเปลี่ยนฟอร์แม็ต) และ PCM Sampling Rate Limit (จำกัดระดับแซมปลิ้งเรตของสัญญาณ PCM)
หัวข้อที่จำเป็นต้องปรับใช้งานก่อนการเล่นไฟล์เพลงก็คือ Output Selection (ภาพด้านบน ในกรอบสีแดง) ซึ่ง PULSE มีเอ๊าต์พุตให้คุณเลือกใช้อยู่ 2 กลุ่ม คือ S/PDIF กับ USB คือคุณต้องกำหนดเอ๊าต์พุตให้กับ PULSE ว่าหลังจากดึงไฟล์มาถอดแพ็คเกจเป็นสัญญาณ PCM หรือ DSD แล้ว จะให้มันส่งสัญญาณเหล่านั้น “ออกไป” ให้กับ DAC ภายนอกด้วยช่องทางไหน ถ้าคุณเชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ PULSE กับ DAC ภายนอกทางช่อง Coaxial, Optical หรือ AES/EBU ก็ให้เลือกเอ๊าต์พุตไปที่ AES/EBU/Coax/Opt (ตัวเลือกบน) แต่ถ้าคุณเชื่อมต่อกับ DAC ภายนอกผ่านทาง USB ก็เลือกไปที่เอ๊าต์พุต USB (ในภาพคือ Ayre Acoustic QB-9 Twenty) ถ้าเลือกเอ๊าต์พุตไว้ไม่ตรงกับที่ใช้งานจริง เวลาเล่นไฟล์เพลงแล้วเสียงจะไม่ออก
อีก 2 ฟังท์ชั่นที่ส่งผลกับการเล่นไฟล์เพลง อันแรกคือ DSD Mode ซึ่งเป็นการเลือกรูปแบบการเล่นไฟล์ DSF หรือไฟล์ DIFF ที่มีสัญญาณ DSD อยู่ในนั้น ซึ่งคุณต้องเลือกรูปแบบของการปล่อยสัญญาณ DSD จาก PULSE ให้ตรงกับรูปแบบของ DAC ภายนอกที่ใช้รองรับสัญญาณ DSD โดยมีให้เลือกอยู่ 3 รูปแบบ แบบแรกคือ ‘No DSD Support’ ต้องเลือกใช้กรณีที่ DAC ภายนอกไม่สามารถแปลงสัญญาณ DSD ได้ เมื่อคุณเลือกอ๊อปชั่นนี้ วงจร format conversion ภายในตัว PULSE จะทำการแปลง (transcode) สัญญาณ DSD ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ให้โดยอัตโนมัติ แล้วเข้ารหัสมาในรูปแบบของไฟล์ FLAC
ผมทดลองเล่นไฟล์เพลง DSF64 (ภาพบน) แล้วเข้าไปเลือกอ๊อปชั่นในการเล่น DSD ให้เป็น ‘No DSD Support’ เพื่อหลอก PULSE ว่า QB-9 DSD Twenty ไม่รองรับ DSD ปรากฏว่า PULSE ทำการแปลง DSD ออกมาเป็น PCM ไปที่ระดับแซมปลิ้งเรตสูงสุดที่ QB-9 DSD Twenty รับได้ นั่นคือ 352.8kHz โดยรูปแบบไฟล์ FLAC (*เสียงที่ออกมาไม่เหมือนกัน ในกรณีที่ใช้ PULSE กับ QB-9 DSD Twenty นี้ ผมพบว่าตั้งโหมด DSD เป็น ‘DSD Over PCM’ เสียงดีกว่าตั้งเป็น ‘No DSD Support’ เยอะเลย!)
อีกฟังท์ชั่นที่ส่งผลกับเสียง นั่นคือ ‘USB Latency Mode’ ซึ่งจะมีผลกรณีที่คุณเลือกใช้เอ๊าต์พุต USB ซึ่งโดยหลักแล้วก็คือการปรับเลือกขนาดบัฟเฟอร์ที่ใช้ในกระบวนการรับ/ส่งสัญญาณเสียงจากเอ๊าต์พุต USB ของ PULSE ไปที่อินพุต USB ของ DAC ภายนอก ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว ถ้าไทมิ่งในการรับ/ส่งสัญญาณระหว่างทรานสปอร์ต (PULSE) กับดีทูเอฯ (external DAC) ลงตัวกันที่ระดับบัฟเฟอร์ต่ำๆ เสียงจะดีกว่า เพราะจะทำให้เกิดความหน่วงช้า (Latency) น้อย คือ Low นั่นเอง (Latency จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงปัญหาจิตเตอร์) ในการใช้งานจริงนั้น แนะนำให้ทดลองเลือกตั้งไว้ที่ระดับ Low ก่อน ถ้า DAC ของคุณรองรับไม่ได้ เสียงที่ออกมาจะผิดปกติ อาจจะเกิดอาการกระตุก หรือหยุดเล่น ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องเปลี่ยนไปที่ระดับ Normal
หัวข้อ ‘Limit maximum sampling rate to 96kHz’ นั่นเอาไว้ใช้ในกรณีที่อินพุตของ DAC ที่ต่อเชื่อมกับ PULSE ไม่สามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลที่มีสเปคฯ สูงกว่า 96kHz ได้ ส่วนหัวข้อ ‘Enable MQA Software Decoder’ ถ้าติ๊กเลือกไว้ เวลาเล่นไฟล์ MQA กับ DAC ที่ไม่มีดีโค๊ดเดอร์ MQA ซอฟท์แวร์ MQA decoder ในตัว PULSE จะทำการถอดรหัส MQA ออกมาให้ครึ่งหนึ่งก่อนส่งไปให้ DAC
การปรับตั้งที่หัวข้อ Storage
หัวข้อนี้มีไว้ให้คนที่เก็บไฟล์เพลงไว้ใน NAS หรือเก็บไว้ในฮาร์ดดิสที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์ควงเดียวกันโดยเฉพาะ ถ้าคุณต้องการดึงไฟล์เพลงที่เก็บไว้เหล่านั้นมาใช้ฟังผ่าน Innuos ‘PULSE‘ ตัวนี้ คุณต้องเข้ามาทำการปรับตั้งในหัวข้อนี้ เมื่อเข้ามาแล้วคุณจะพบกับปุ่ม ‘ADD SHARED FOLDER’ (ศรชี้สีแดง) หลังจากเลือกโฟลเดอร์ของไฟล์เพลงที่ต้องการ add เข้ามาในไลบรารี่ของ Innuos ‘PULSE’ เสร็จแล้ว ภายในตัว PULSE ก็จะแสดงสัญลักษณ์ขึ้นมาให้รู้ว่ากำลังดำเนินการ ‘Updating Music Library’ ให้เห็น (ศรชี้สีเขียว) หลังจากประโยคนี้หายไป คุณก็สามารถเลือกเล่นไฟล์เพลงที่เพิ่มเข้ามาได้ทันที ซึ่งเวลาที่ใช้ในการอัพเดตไลบรารี่นี้จะขึ้นอยู่กับปริมาณของไฟล์เพลงที่คุณเก็บไว้ จากการที่ผมทดลอง add โฟลเดอร์เข้ามาในไลบรารี่ของ PULSE พบว่า หลังจากอัพเฟิร์มแวร์ของ innuOS มาเป็นเวอร์ชั่น 3.0.1 พบว่า PULSE ใช้เวลาในการ add ไฟล์เพลงจาก NAS ได้เร็วขึ้นกว่าเฟิร์มแวร์เวอร์ชั่น 3.0.0 เยอะเลย
การปรับตั้งที่หัวข้อ System Mode
จากรูปบน จะเห็นว่า Innuos ‘PULSE’ มีโหมดการทำงานให้คุณเลือก 4 โหมด คือ
1. Innuos Standalone โหมดนี้ PULSE จะทำหน้าเป็นเพลเยอร์เต็มตัวโดยใช้แอพ Innuos SENSE ในการเล่นไฟล์เพลง และส่งสัญญาณดิจิตัลออกไปที่ DAC ภายนอกทางเอ๊าต์พุตของ PULSE เอง ซึ่งยูสเซอร์ต้องเลือกว่าจะใช้เอ๊าต์พุต AES/EBU, Coaxial, Optical หรือเอ๊าต์พุต USB
2. Innuos Endpoint โหมดนี้ PULSE จะเป็นแค่ตัวสตรีมเมอร์ที่ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงอย่างเดียว แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปที่ระบบหลักที่เป็นของ Innuos
3. Roon Bridge โหมดนี้ PULSE จะแปลงสภาพเป็นตัวเปลี่ยนสัญญาณ PCM ฟอร์แม็ต Ethernet ที่รับจาก Roon เข้ามาแล้วแปลงให้เป็นสัญญาณ PCM ฟอร์แม็ต S/PDIF เพื่อส่งออกทางเอ๊าต์พุต AES/EBU, Coaxial, Optical และแปลงเป็น PCM ฟอร์แม็ต USB เพื่อส่งออกทางเอ๊าต์พุต USB
4. HQ Player โหมดนี้ PULSE จะทำหน้าที่เป็น endpoint ของเพลเยอร์ HQPlayer ที่เชื่อมต่ออยู่กับ HQPlayer Servers ที่มีอยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกัน
ทดลองเปลี่ยนโหมดการทำงานของ PULSE จาก Innuos Standalone ไปเป็นโหมด Roon Bridge โดยเริ่มด้วยการคลิ๊กที่วงกลมด้านหน้าหัวข้อ Roon Bridge จากนั้นก็คลิ๊กที่ SAVE (ศรชี้)
หลังจาก PULSE บันทึกการเลี่ยนแปลงเสร็จ หน้าจอของแอพ SENSE หน้านี้จะเปลี่ยนเป็นแบบที่เห็นในภาพด้านบน
ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่า ถ้าจะเลือกใช้โหมด Roon Bridge ได้ คุณต้องมี Roon Core อยู่ในระบบซะก่อน ไม่ว่าจะติดตั้งไว้บนคอมพิวเตอร์หรือใช้ฮาร์ดแวร์ของ Roon ‘nucleus’ ก็ตาม หลังจากเลือกโหมด Roon Bridge ที่ตัว Innuos ‘PULSE’ เสร็จแล้ว เราก็ไปเปิดแอพรีโมทของ Roon ขึ้นมา ซึ่งก่อนจะเริ่มต้นเล่นไฟล์เพลงบน Roon คุณต้องเลือกเอ๊าต์พุต หรือ Audio Zone ซะก่อน จะเห็นว่ามีโซน (เอ๊าต์พุต) ขึ้นมาให้เลือก 3 โซน ได้แก่
1. Innuos Pulse ถ้าเลือกโซนนี้ สัญญาณเสียงจะไปออกที่เอ๊าต์พุต AES/EBU, Coaxial, Optical ของ Innuos ‘PULSE’ เท่านั้น
2. iPad เสียงจะไปดังผ่านลำโพงของ iPad (ถ้าใช้ฮาร์ดแวร์ตัวอื่นก็จะไปดังที่ลำโพงของฮาร์ดแวร์ตัวนั้น)
3. QB-9 DSD Twenty เสียงจะไปออกทางช่องเอ๊าต์พุต USB ของ PULSE ซึ่งตอนที่ทดสอบนี้เชื่อมต่ออยู่กับ DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD Twenty
จากการทดลองใช้งานและฟังเสียงของ PULSE เมื่อถูกใช้งานในโหมด Roon Bridge ซึ่งผมใช้ Roon nucleus+ เป็นฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้ง Roon Core พบว่า ประโยชน์จริงๆ ของการใช้งานในโหมดนี้ก็คือเอ๊าต์พุต AES/EBU, Coaxial, Optical ซึ่งฮาร์ดแวร์ที่เป็น Roon Core ส่วนใหญ่จะไม่มีเอ๊าต์พตเหล่านี้ แต่ถ้าตั้งใจจะใช้เอ๊าต์พุต USB ผมแแนะนำให้ใช้ InnuOS เองจะให้เสียงออกมาดีกว่า
เชื่อมต่อระบบเพื่อทดสอบ Innuos ‘PULSE’
ผมเซ็ตอัพซิสเต็มเพื่อทดสอบเสียงของเอ๊าต์พุต Coaxial กับเอ๊าต์พุต USB ของ Innuos ‘PULSE’ โดยอาศัยภาค DAC ในตัวอินติเกรตแอมป์ Audiolab ‘9000A’ ในการทดสอบเอ๊าต์พุต Coaxial และใช้ external DAC ของ Ayre Acoustic ‘QB-9 DSD Twenty’ ในการทดสอบเอ๊าต์พุต USB
เสียงที่เอ๊าต์พุต Coaxial ของ Innuos ‘PULSE’
ถ้าคุณไม่ใช่คนบ้าสเปคฯ ไม่ชอบที่จะวิ่งตามอะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา และยังคงเน้นหนักอยู่ที่ไฟล์เพลงที่มีสเปคฯ แค่ 16/44.1 เป็นหลัก ผมบอกเลยว่า สัญญาณ PCM 16/44.1 ที่เล่นผ่าน Innuos ‘PULSE’ ที่ปล่อยออกมาทางช่อง Coaxial ของทรานสปอร์ตตัวนี้คือสิ่งที่คุณควรให้ความสนใจ.. อย่างยิ่ง.!!!
อัลบั้ม : Plays Mozart & Liszt Piano Concerto (WAV-16/44.1 HDCD)
ศิลปิน : Todd Crow & All Star Percussion Ensemble
สังกัด : Golden String (GSCD 027)
จะพูดว่า “เสียงดี” ไม่ได้เลย ถ้า “โฟกัส” ของเสียงชิ้นดนตรีไม่เป๊ะจริงๆ ซึ่งเสียงดนตรีที่จะโชว์ความเป๊ะของโฟกัสได้ดีที่สุดก็คือเสียงของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องเคาะ ซึ่งอัลบั้มนี้มีให้ครบ ทั้งเสียงเปียโนของ Todd Crow และเสียงเพอร์คัสชั่นหลากหลายชนิดของวง All Star Percussion Ensemble
Innuos ‘PULSE’ ถ่ายทอดโฟกัสของเสียงเปียโนกับเสียงเครื่องเคาะในอัลบั้มนี้ออกมายอดเยี่ยมมาก.!! ทุกโน็ตออกมาชัดเป๊ะ แถมยังมาครบหมดตั้งแต่ ‘หัวโน๊ต–บอดี้–หางเสียง‘ ที่ต่อเนื่องกันออกมาเป็นระลอก เรียงกันออกมาเป็นลำดับ ซึ่งไม่ใช่แค่หัวเสียงเท่านั้นที่คมกริบ แม้แต่ฮาร์มอนิกที่สอง–สาม–สี่ ที่เป็นหางเสียงทอดตามมาก็ยังมีความชัด ไม่เบลอหรือมัวเลย นั่นแสดงว่าการถ่ายทอด “ไทมิ่ง” ของ Innuos ‘PULSE’ ก็อยู่ในระดับเยี่ยมยอดเช่นกัน ซึ่งจริงๆ แล้ว คุณสมบัติทางด้าน “ไทมิ่ง” กับ “โฟกัส” มันเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกันอย่างแนบแน่น ซึ่งต้องเป็นเครื่องเสียงที่ให้ทั้งไทมิ่งที่แม่นยำเท่านั้นจึงจะสามารถถ่ายทอดเสียงที่มีทั้ง “โฟกัส” ที่แม่นยำตั้งแต่หัวโน๊ตไปถึงฮาร์มอนิก และให้ “ความต่อเนื่อง” ของเพลงที่ลื่นไหลเป็นสายน้ำ
นอกจากนั้น เมื่อ “ไทมิ่ง” เป๊ะ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ “ลีลา” ของเพลงที่มีมูพเม้นต์ถูกต้อง ตรงตามท่วงจังหวะของเพลงอย่างลงตัวตลอดเวลา สังเกตได้เลยว่า ถ้าคุณสามารถติดตาม “อารมณ์” ของเพลงที่แปรเปลี่ยนไปตาม “ลีลา” ในแต่ละช่วงของเพลงได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่สะดุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงโอนอ่อนผ่อนปรน หรือช่วงที่สลับไปดุเดือด รุกเร้า และรุนแรง พิสูจน์ได้จากมูพเม้นต์แรก Allgro Maestoso จากงาน Piano Concerto No.1 ของ Liszt ได้แสดงให้เห็นถึงความเป๊ะของ Innuos ‘PULSE’ ในการถ่ายทอด “โฟกัส” และ “ไทมิ่ง” ที่เยี่ยมยอดมากๆ เพราะงานของ Liszt ท่อนนี้มีทั้งลีลาช้าและเร็วสลับกัน ซึ่งสตรีมเมอร์ที่อยู่ในระดับกลางๆ ทั่วไป มักจะ “เกลี่ย” ไทมิ่งช่วงช้ากับช่วงเร็วออกมากลางๆ ซึ่งฟังแล้วโฟกัสอาจจะไม่หลุดก็จริง แต่ทั้งเพลงจะมีลักษณะหน่วงช้า ทรานเชี้ยนต์ไม่เต็มกำลัง มีผลให้ดนตรีขาดชีวิตชีวา ไม่ได้อารมณ์เหมือนฟังสด ซึ่งประเด็นนี้เองที่ Innuos ‘PULSE’ แสดงให้เห็นถึงความเหนือชั้นกว่าสตรีมเมอร์ระดับกลางทั่วไปอย่างชัดเจน เพราะมันสามารถรักษา “โฟกัส” ของเสียงไว้ได้ตลอดเวลา ไม่ว่าลีลาของเพลงจะเปลี่ยนไปทางเนิบช้าหรือฉับไว (clock ในระบบต้องแม่นยำมาก.!!)
นั่งฟังอัลบั้มนี้เพลินๆ มีจังหวะหนึ่งตาเหลือบไปเห็นหน้าจอของ QB-9 DSD Twenty มันโชว์ขึ้นมาเป็น h 44.1 ในขณะที่หน้าแอพของ Innuos ‘SENSE’ โชว์ว่าเป็นไฟล์ WAV 24/44.1 อ่าาา.. แสดงว่า Innuos ‘PULSE’ สามารถแกะโค๊ด HDCD ออกมาวางไว้บนเรโซลูชั่น 24-bit ได้ด้วย ใครมีแผ่นซีดีที่เข้ารหัส HDCD แล้วริปเป็นไฟล์ WAV ออกมาเล่นกับ Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้แล้วคุณจะได้มรรคผลจากระบบเสียง HDCD ไปด้วย.. เยี่ยมมาก.!!
เสียงที่เอ๊าต์พุต USB ของ Innuos ‘PULSE’
อัลบั้ม : Liberty (TIDAL MAX/FLAC-24/48)
ศิลปิน : Anette Askvik
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/5761227?u)
เพลง Liberty ในอัลบั้มนี้ใช้ชี้ขาด “ความเต็ม” ของเสียงได้เป็นอย่างดี เป็นแทรคที่มีความพิเศษในการถ่ายทอดคุณสมบัติทางด้าน “แอมเบี้ยนต์” ที่มีลักษณะแผ่คลุมอากาศในห้องฟังได้เต็มพื้นที่ ซึ่งสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตของ Innuos ตัวนี้สอบผ่านด้วยคะแนนสูงลิ่ว แสดงถึงความสามารถในการถ่ายทอดและรักษา “เฟส” ของสัญญาณเสียงเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ถูกต้องตามต้นฉบับที่รับเข้ามาทางอินพุตทั้งสเปคตรัม “ตั้งแต่แหลมลงไปถึงทุ้ม” ..!!
ผลลัพธ์อย่างแรกคือความรู้สึก “เต็ม” ที่รับรู้จากเพลงนี้เกิดขึ้นจากมวลของความถี่ในย่านต่ำที่ไหลเวียนอยู่รอบๆ ห้อง เอ่อเป็นฐานล่างที่รองรับความถี่ในย่านกลางและแหลมเอาไว้ ซึ่งตอนเล่นเพลงนี้ผ่าน Roon nucleus+ ไปที่ QB-9 DSD Twenty ความรู้สึกเต็มจะไม่อบอวลเท่านี้ nucleus+ ให้ความรู้สึกได้ว่ามีมวลแอมเบี้ยนต์ไหลวนอยู่ในห้อง แต่ไม่หนาแน่นเท่ากับ PULSE ที่รู้สึกได้ชัดกว่า ในขณะเดียวกัน ทั้งเสียงร้องและเสียงเพอร์คัสชั่นเบาๆ ที่คลอไปกับเสียงร้องนั้นมีลักษณะที่ลอยล่องอยู่เหนือมวลแอมเบี้ยนต์โดยไม่มีอาการขุ่นหรือทึบ และพอถึงท่อนที่แซ็กโซโฟนโผล่ขึ้นมาผมถึงกับขนลุก.. เพราะเสียงแซ็กโซโฟนที่ PULSE ปล่อยออกมามันมีความสว่าง มีความแผดจ้าของโลหะทองเหลืองปรากฏออกมาด้วย ซึ่งไม่ค่อยจะได้ยินรายละเอียดระดับ inner detail แบบนี้บ่อยนักจากสตรีมเมอร์ตัวอื่นๆ
โดยรวมๆ แล้ว พูดได้ว่า Innuos ‘PULSE’ ให้เสียงที่มีเค้าโครงของความเป็นจริงของเสียงที่ “ควรจะ” เกิดขึ้นในธรรมชาติปรากฏออกมาด้วยกับหลายๆ เพลงที่ผมใช้อ้างอิงในการทดสอบอยู่บ่อยๆ
อัลบั้ม : Turn Up The Quiet (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Diana Krall
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/77623825?u)
อีกเพลงคือ Sway ของ Diana Krall ในอัลบั้มชุดนี้ที่ต้องงัดออกมาฟังหลังจากฟังเพลง Liberty จบ เหตุผลก็เพราะว่าโทนของเพลงมันคล้ายกัน คือเป็นเพลงที่ทั้งเสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีที่บรรเลงคลอไปกับเสียงร้องนั้นเป็นไปในลักษณะที่เอื่อยเฉื่อยและแผ่วบาง ซึ่งหากว่าระบบเพลย์แบ็ค (ซอฟท์แวร์หรือแอพ + ฮาร์ดแวร์) ของสตรีมเมอร์ไม่ดีพอ จะไม่สามารถ “ขุดรายละเอียด” ในเพลงนี้ให้ลอยขึ้นมาเหนือ background noise ได้ทั้งหมด คือที่ระดับความดังปกติ อาจจะมีบางส่วนของเพลงที่จมหายลงไปในม่านหมอกของ noise ที่ระบบเพลย์แบ็คมีอยู่ แต่ถ้าระบบเพลย์แบ็ค (ซอฟท์แวร์หรือแอพ + ฮาร์ดแวร์) มีสมรรถนะสูงพอ คุณจะได้ยินทุกเสียงออกมาครบ ลอยขึ้นมาในอากาศแบบชัดๆ แม้ว่าความดังโดยรวมของแต่ละเสียงจะอยู่ในระดับแผ่วเบา แต่ Innuos ‘PULSE‘ ก็ยังขุดคุ้ยรายละเอียดที่แผ่วเบาเหล่านั้นขึ้นมาด้วยความหนาแน่นสูง ทำให้รับรู้ถึงความมีตัวตนของเสียงเหล่านั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของเสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีที่ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยความโดดเด่นชัดเจน ซึ่งนั่นส่งผลต่อเนื่องไปถึง “อารมณ์” ของเพลงที่รับรู้ได้ถึงเจตนาที่นักร้องและนักดนตรีแต่ละคนที่ร่วมบรรเลงอยู่ในเพลงนี้ตั้งใจสื่อสารมาถึงเราซึ่งเป็นคนฟัง สามารถปลดปล่อยรายละเอียดลึกๆ ออกมาได้แบบนี้ แสดงว่าภาคจ่ายไฟในตัว Innuos ‘PULSE‘ ต้องไม่ธรรมดาเลย.. noise จึงต่ำมากขนาดนี้.!
ผมเคยพบอยู่หลายครั้งว่าเพลงนี้ฟังแล้วน่าเบื่อ แต่คราวนี้มันผิดไปจากที่เคย Innuos ‘PULSE’ ทำให้รู้สึกว่าเพลงนี้มันมีความน่าฟังมากเป็นพิเศษ อารมณ์ของเพลงที่อ้อยสร้อยฟังดูมีเสน่มากเป็นพิเศษ เสียงร้องแผ่วๆ แหบๆ ของไดอาน่า ครอล ฟังแล้วให้ความรู้สึกเซ็กซี่มาก..!!
อัลบั้ม : Nameless (TIDAL MAX/MQA-24/88.2)
ศิลปิน : Dominique Fils-Aime
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/82811588?u)
เพลง Birds ในอัลบั้มชุดนี้มีคุณสมบัติครบถ้วนในการใช้เป็นเพลงอ้างอิงสำหรับการทดสอบ ซึ่งแทรคนี้มีเสียงในย่านกลาง (เสียงร้อง) กับย่านทุ้ม (เสียงเบส) ที่ฟังความแตกต่างได้ง่าย ปกติจะใช้อ้างอิงตอนเซ็ตตำแหน่งของลำโพง เพราะขยับตำแหน่งแค่นิดเดียวก็สามารถฟังความแตกต่างได้ ในขณะที่บางเพลงจะฟังยากกว่า ยิ่งเอามาใช้อ้างอิงตอนทดสอบเครื่องเสียงก็ยิ่งฟังออกง่ายมากขึ้นไปอีก เพราะขยับลำโพงแค่ไม่กี่ถึงเซนติเมตรยังฟังความแตกต่างออก เปลี่ยนเครื่องเสียงทั้งเครื่องเทียบกันแบบนี้มีเหรอจะฟังไม่ออก.!!
ผมทดลองฟังเพลงนี้เทียบกันระหว่างเล่นผ่านแอพ Roon บนสตรีมเมอร์ Roon ‘nucleus+’ กับเล่นผ่านแอพ Sense บนสตรีมเมอร์ Innuos ‘PULSE’ โดยใช้แอมป์ + ลำโพง และอุปกรณ์อื่นๆ ชุดเดียวกันทั้งหมด ผมปรากฏออกมาชัดเลยว่า เล่นผ่านแอพ Sense บนสตรีมเมอร์ Innuos ‘PULSE’ ให้ “ทุกเสียง” ที่อยู่ในเพลงนี้ออกมาดีกว่าเล่นผ่านระบบของ Roon อย่างชัดเจน ทั้งเสียงร้องและเสียงเบสซึ่งเป็นตัวเอกของเพลงนี้มีลักษณะของความ “เหมือนจริง” ออกมามากกว่า ตอนเล่นผ่านระบบของ Roon ได้เสียงโดยรวมที่มีความนุ่มปกคลุมอยู่ แต่ตอนเล่นผ่านระบบของ Innuos จะรับรู้ได้ถึงความสด ที่เข้าใกล้เสียงจริงในธรรมชาติมากกว่า ทั้งนักร้องและนักดนตรีตั้งใจร้องและเล่นมากกว่า อย่างเสียงเบสนั้น Innuos ‘PULSE’ ไม่ได้แค่ทำให้ผมได้ยินเสียงโน๊ตเบสที่ก่อตัวขึ้นมาในอากาศเท่านั้น แต่เสียงเบสที่ได้ยินจากเพลงนี้ยังมีรายละเอียดลึกๆ ที่ทำให้นึกเห็นภาพเลยว่า แต่ละโน๊ตที่เกิดขึ้นนั้น มือเบสในเพลงนี้เขาใช้วิธีดีดหรือกระตุกสายเบส และใช้นิ้วมือซ้ายควบคุม extension ของเสียงเบสลักษณะไหน โน๊ตไหนปล่อยหางเบสให้ทอดยาว หรือโน๊ตไหนผ่อนแรงกดเพื่อให้หางเบสหดสั้น ไม่น่าเชื่อว่า Innuos ‘PULSE‘ ตัวนี้จะสามารถถ่ายทอดรายละเอียดลึกๆ เหล่านี้ออกมาให้รับรู้ได้แบบง่ายๆ.. สุดยอดมาก..!!!
อัลบั้ม : The Greatest Hits (Metro Boxset) (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : ดิ อิมพอสซิเบิ้ลส์
สังกัด : เมโทร
อัลบั้ม : เป็นไปไม่ได้ (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : ดิ อิมพอสซิเบิ้ลส์
สังกัด : Solar Music
ตอนทดลองฟังเพลงไทยนั้น นึกอยากฟังอะไรก็เลือกมาฟังไปเรื่อยๆ มีอยู่จังหวะหนึ่งที่ผมสะดุดหูกับคุณสมบัติของ PULSE ตัวนี้โดยบังเอิญ คือตอนลองฟังเพลง ‘เป็นไปไม่ได้‘ ของวง ดิ อิมพอสซิเบิ้ลส์ ผมพบว่าระบบเพลย์แบ็คของ PULSE มันให้พื้นเสียงที่มีความใส (transparent) มากเป็นพิเศษ.!
คือใน NAS ผมมีอัลบั้มชุด “เป็นไปไม่ได้” ของ ดิ อิมพอสซิเบิ้ลส์ อยู่ 2 เวอร์ชั่น คือเวอร์ชั่นที่เป็นแผ่นเดี่ยว ปั๊มแผ่นซีดีโดยค่าย Solar Music ส่วนอีกเวอร์ชั่นอยู่ในชุดบ็อกเซ็ตที่ปั๊มแผ่นซีดีโดยค่ายเมโทร ผมริปทั้งสองเวอร์ชั่นเก็บไว้ใน NAS เมื่อ shared เข้ามาในไลบรารี่ของ PULSE ทั้งสองอัลบั้มถูกนำมารวมไว้ในอัลบั้มเดียวกัน คงเป็นเพราะโปรแกรม SENSE มองว่าสองอัลบัมนี้ชื่อเหมือนกันเลยเอาไฟล์เพลงทั้งสองอัลบั้มมารวมกัน ซึ่งก็กลายเป็นง่ายสำหรับผมในการฟังเทียบกัน เพราะเพลงเดียวกันของทั้งสองเวอร์ชั่นถูกจับมาเรียงต่อกัน
บังเอิญผมเลือกอัลบั้มชุดนี้มาลองฟัง มันจึงเล่นเพลงเดียวกันซ้ำ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเวอร์ชั่นแผ่นเดี่ยว ครั้งที่สองเป็นเวอร์ชั่นที่อยู่ในบ็อกเซ็ต ซึ่งเสียงที่ออกมาต่างกันชัดเจนมาก..! ฟังอยู่เพลินๆ รู้สึกสะดุดหู คือเวอร์ชั่นที่เป็นแผ่นเดี่ยวเสียงดีกว่ามาก เสียงเปิด กระจ่าง พื้นเสียงใส ตัวเสียงลอยออกมา ในขณะที่เวอร์ชั่นที่อยู่ในบ็อกเซ็ตเสียงโดยรวมออกมาทึบๆ ด้านๆ จมไปอยู่ด้านหลังระนาบลำโพง และที่ฟังชัดมากคือเสียงมันไม่เปิด ไม่ใส เหมือนปลายแหลมถูกตัดหายไป ผมลองย้อนฟังเทียบกันอยู่หลายรอบ ผลก็ออกมาเหมือนเดิมทุกครั้ง และเป็นแบบนี้กับทุกเพลงที่อยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย
จากประสบการณ์ที่ได้ยินครั้งนี้ยืนยันให้เห็นว่า PULSE ให้พื้นเสียงที่ใส ในลักษณะที่เปิดเผยให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในสนามเสียงโดยไม่มีม่านหมอกเข้ามาปกคลุม ไม่มีสีสันเข้าไปเจือปน และเพราะความใสของพื้นเสียงที่ PULSE ถ่ายทอดออกมาอย่างตรงไปตรงมานี่แหละที่ทำให้รู้ว่า อัลบั้ม “เป็นไปไม่ได้” เวอร์ชั่นบ็อกเซ็ตของวงดิ อิมฯ ทำมาสเตอร์มาไม่ดี เสียงแหลมถูก cut หายไป ทำให้ปลายเสียงไม่เปิดกระจ่าง โทนเสียงโดยรวมจึงออกมาอับทึบ ฟังแล้วอึดอัดมาก ซึ่งถ้าไม่มีเวอร์ชั่นแผ่นเดี่ยวที่ค่ายโซล่าร์ มิวสิคทำออกมาฟังเทียบกัน อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเสียงอับทึบนั้นเป็นผลมาจาก PULSE แต่จริงๆ แล้ว ความเที่ยงตรงของ PULSE ต่างหากที่แฉ “ความเป็นจริง” ของไฟล์เพลงออกมาให้เห็นแบบไม่มีการกลบเกลื่อน นี่แหละ.. คุณสมบัติของเพลเยอร์ที่ต้องการ.!!!
หลังจากลองฟังเพลงมาหลากหลายรูปแบบกับ Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้พบว่า มันเล่นไฟล์เพลงได้ครบทุกรูปแบบ ทั้งไฟล์ไฮเรซฯ ทุกฟอร์แม็ต ไม่ว่าจะเป็น WAV, FLAC หรือ ALAC รวมถึงไฟล์ MQA ด้วย เหลืออีกฟอร์แม็ตคือ DSD ว่าแล้วก็ลองซะเลย..
อัลบั้ม : Audiophile Hi-Res System Test (DSD128)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : 2xHD
ผมทดลองเลือกไฟล์เพลงตระกูล DSD ทุกระดับมาให้ PULSE ลองเล่นดูทั้งหมด เริ่มตั้งแต่ DSD64, DSD128, DSD256 และ DSD512 ปรากฏว่า แอพ SENSE ของ PULSE สามารถเล่นไฟล์เพลง DSD เหล่านั้นได้หมด แต่เนื่องจาก QB-9 DSD Twenty รองรับสัญญาณ DSD ได้สูงสุดแค่ DSD128 ผ่านทางฟอร์แม็ต DoP เท่านั้น ซึ่งตอนเล่นไฟล์ DSD256 และ DSD512 ตัว QB-9 DSD Twenty จะไม่สามารถรองรับได้ (ไม่มีเสียง) และตัว PULSE ก็ไม่ทำ downsampling ให้ซะด้วย ซึ่งตรงนี้ระบบเพลย์แบ็คของ Innuos (แอพ SENSE + ระบบปฏิบัติการณ์ innuOS) ยังเป็นรอง Roon เพราะระบบเพลย์แบ็คของ Roon จะมีฟังท์ชั่น downconversion ด้วยการลดแซมปลิ้งเรตของสัญญาณ DSD256 กับ DSD512 ลงมาให้ ไปอยู่ที่ระดับ DSD128 ซึ่ง QB-9 DSD Twenty สามารถเล่นได้
ระบบจัดการข้อมูลเพลงของแอพ SENSE ของ Innuos
เหตุผลหนึ่งที่ผมชอบแอพเล่นไฟล์เพลงของ Roon ก็คือวิธีที่พวกเขาจัดการกับข้อมูลเพลงที่เราฟัง ซึ่งเป็นข้อมูลที่ไปดึงมาจากอินเตอร์เน็ตโดยที่เราไม่ต้องออกไปจากแอพเลย ซึ่งจากการทดลองใช้งานผมพบว่า แอพ SENSE ของ Innuos ก็สามารถทำอะไรแบบนั้นได้เหมือนกัน แม้ว่าจะยังทำไม่ได้ดีเท่ากับ Roon อย่างเช่นไม่มีเนื้อร้องให้ร้องตาม แต่ที่ให้มาก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ผมยอมรับได้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับคุณภาพเสียงที่ระบบเพลย์แบ็คของ SENSE + PULSE ให้ออกมาได้ดีกว่า Roon + nucleus+ มาก
แม้ว่าแอพ SENSE ของ Innuos จะยังไม่ได้ให้ข้อมูลของเพลงและศิลปินได้ลึกซึ้งมากเท่ากับระบบของ Roon แต่อย่างน้อย ในอัลบั้มเด่นๆ ก็ยังมีข้อมูลให้อ่านอยู่บางเหมือนกัน แค่นี้ก็โอเคแล้วสำหรับผม.. (แต่ถ้าในอนาคต ทีม software developer ของ Innuos จะกรุณาเพิ่มเติมลิ้งค์ข้อมูลให้มากขึ้นอีกหน่อยก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง.!)
สรุป
หลังจากได้ทดลองใช้งานมานานร่วมเดือน ผมก็ขอยกให้ Innuos รุ่น ‘PULSE’ ตัวนี้เป็น Music Streaming Transport ตัวเลือกที่น่าสนใจมากที่สุดสำหรับงบแสนกลางๆ
หลังจากผมเอาบทความเรื่อง “Brand Story: Innuos – จากนักเล่นเครื่องเสียง สู่การปฏิวัติวงการไฮไฟฯ” โพสต์ลงไปบนเว็บไซต์เมื่อเดือนที่ผ่านมา ก็มี FC ที่ใช้ Roon ‘nucleus’ เหมือนผมหลายคนสอบถามเข้ามาว่า ตัวสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตของ Innuos รุ่น PULSE ที่ผมกำลังทดสอบอยู่ “ดีกว่า” Roon ‘nucleus’ ยังไงบ้าง.?
อย่างแรกคือ “คุณภาพเสียง” – หลังจากเบิร์นฯ มาจนครบร้อยชั่วโมง และทดลองใช้งาน Innuos ‘PULSE’ ต่อเนื่องมานานร่วมเดือน ผมก็ได้มีโอกาสทดลองสลับฟังเทียบระหว่าง Roon ‘nucleus’ กับ Innuos ‘PULSE’ แบบหมัดต่อหมัด–เพลงชนเพลง‘ โดยปรับตั้งค่าที่เน้นคุณภาพเสียงระดับสูงสุดทั้งคู่ ผลคือ Innuos ‘PULSE’ ให้เสียงออกมาดีกว่า Roon ‘nucleus’ อย่างชัดเจน.! โดยที่ใช้แอพฯ Innuos SENSE เล่นกับ Innuos ‘PULSE’ และใช้แอพ Roon Remote เล่นกับ Roon ‘nucleus+’ แม้ว่าถ้าฟังเดี่ยวๆ แบบไม่เทียบ A/B Test กันซึ่งๆ หน้า เสียงของ Roon ‘nucleus+’ ก็ยังคงดีเยี่ยม เป็นเบอร์หนึ่งสำหรับสตรีมเมอร์ทรานสปอร์ตในระดับราคาไม่เกิน 100,000 บาทก็ตาม แต่ถ้าคุณไม่ได้ฟังเสียงของ Innuos ‘PULSE’ เทียบกับ Roon ‘nucleus+’ คุณจะไม่มีทางรู้เลยว่า เสียงที่ดีกว่า Roon ‘nucleus+’ ขึ้นไปอีกขั้นมันเป็นแบบไหน.? อย่างที่ผมเคยพูดไว้นั่นแหละว่า เรื่องของเสียงที่ดีกว่าเสียงที่เราคิดว่าดีอยู่แล้วมันเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ต้องได้ฟังเสียงที่ดีกว่าก่อนถึงจะเข้าใจ ไม่สามารถคิดเอาเองได้
อีกคุณสมบัติสำคัญของ Innuos ‘PULSE’ ที่เหนือกว่า Roon ‘nucleus’ ก็คือมันมีคุณสมบัติของความเป็น Network Bridge อยู่ในตัว นั่นคือ Innuos ‘PULSE’ มีช่อง digital output มาให้อีก 3 ช่องนั่นคือ AES/EBU, Coaxial และ Optical ถ้ารวมเอ๊าต์พุต USB เข้าไปด้วยก็เป็นทั้งหมด 4 ช่อง ซึ่ง Roon ‘nucleus‘ มีเฉพาะเอ๊าต์พุต USB และ Ethernet ไม่มีเอ๊าต์พุต AES/EBU, Coaxial และ Optical ทำให้คุณไม่สามารถใช้งาน Roon ‘nucleus’ กับ DAC รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีอินพุต USB และ Ethernet ได้เหมือนกับ Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้
และเมื่อผมได้ทดลองใช้ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุต Coaxial ของ Innuos ‘PULSE’ ดู โดยใช้งานร่วมกับภาค DAC ในตัว all-in-one พบว่ามันให้เสียงออกมาดีมาก ซึ่งเอ๊าต์พุตทั้งสามช่องนี้รองรับการส่งออกสัญญาณดิจิตัลได้สูงถึง 24/192 (*ส่วนช่อง USB ส่งออกสัญญาณ PCM ได้สูงถึง 32bit/768kHz และส่งสัญญาณ DSD ได้สูงถึง DSD512) ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ช่วยส่งให้ Innuos ‘PULSE’ ก้าวขึ้นมาเป็นสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตที่มีความ “ครบเครื่อง” มากที่สุดในระดับราคาแสนกลางๆ สำหรับตอนนี้..!
ถ้าคุณตั้งงบประมาณอยู่ในระดับแสนกลางๆ สำหรับสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตสักตัว ผมขอแนะนำ Innuos ‘PULSE’ ตัวนี้ให้พิจารณาด้วยความมั่นใจ.. เพราะผมเองก็กำลังพิจารณา Innuos ตัวนี้อยู่เหมือนกัน..!!!
**********************************
HIGHLY RECOMMENDED!!!
**********************************
ราคา : 139,000 บาท / ตัว (ทั้งสีเงินและสีดำ)
——————–
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่
Prestige HiFi
โทร. 063-638-4498
Line ID: @PrestigeHifi