รีวิว KEF รุ่น KC92 ลำโพงแอ๊คทีฟ ซับวูฟเฟอร์

ลำโพงซับวูฟเฟอร์ (Subwoofer) เป็นรูปแบบของลำโพงที่ถูกกำหนดให้ทำงานเฉพาะในย่านความถี่ต่ำ โดยทั่วไปจะเริ่มทำงานตั้งแต่ความถี่ ไม่เกิน 200Hz ลงไปซึ่งจะถูกนำไปใช้ในระบบเสียงเซอร์ราวนด์เป็นหลัก เนื่องจากระบบเสียงเซอร์ราวนด์เป็นระบบเสียงที่ออกแบบขึ้นมาสำหรับการถ่ายทอดเสียงประกอบของภาพยนตร์ ซึ่งจะมีการบันทึกสัญญาณเอ็ฟเฟ็กต์ในย่านความถี่ต่ำแยกมาต่างหาก ชื่อว่า LFE (Low Frequency Effect) ซึ่งจะไปปรากฏเป็นแชนเนล .1 ของระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby Digital 5.1 ch เรื่อยมาจนถึงระบบเสียง Dolby Atmos ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น .2

แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผมหยิบเอาลำโพงซับวูฟเฟอร์ของ KEF ตัวนี้มาทำการทดสอบ เพราะเราจะไม่พูดถึงการใช้งาน KC92 ในชุดโฮมเธียเตอร์ในการทดสอบครั้งนี้ ซึ่งจุดประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้ก็คือการทดลองเอาลำโพงซับวูฟเฟอร์ KEF รุ่น KC92 เข้ามาทำงานร่วมกับชุดฟังเพลงที่เป็นระบบเสียง Stereo 2 ch สถานเดียว.!

ทำไมต้องเพิ่ม ซับวูฟเฟอร์ให้กับชุดฟังเพลง 2 แชนเนล .?

คุณคงสงสัย.. แค่ฟังเพลง ใช้ลำโพงซ้ายขวา 2 ตัวไม่พอเหรอ.? จริงๆ แล้วมันมีเหตุผลในการเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้ามาในชุดฟังเพลงด้วยระบบเสียง stereo 2 ch ซึ่งเหตุผลที่ว่าก็คือ เนื่องจากระบบเสียง stereo 2 ch ในปัจจุบันได้ก้าวมาถึงมาตรฐานใหม่ที่เรียกว่า Hi-Res Audio กันแล้ว ซึ่งเป็นมาตรฐานที่มีสเปคฯ สูงกว่ามาตรฐาน Hi-Fi (delity) ที่เราใช้กันมาหลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้ ถ้าคุณต้องการคุณภาพเสียงที่ออกมาเต็มตามมาตรฐาน Hi-Res Audio จริงๆ แล้ว ระบบเครื่องเสียงและลำโพงที่คุณใช้จะต้องมีสเปคฯ ที่สามารถตอบสนองกับมาตรฐานของระบบเสียง Hi-Res Audio ได้ด้วย

มาตรฐาน Hi-Res Audio คืออะไร..??

ปัจจุบัน เราสามารถสตรีมไฟล์เพลงที่มีความละเอียดสูงถึงระดับ Hi-Res Audio มาฟังกับชุดเครื่องเสียงของเราได้ง่ายๆ จากหลายแหล่ง ไม่ว่าจะเป็น TIDAL, Gobuz, Apple Music และกำลังจะมี Spotify HiFi กับอีกสตรีมมิ่ง เซอร์วิสที่ Lenbrook กับ HDtracks กำลังจะปล่อยออกมาในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย

ไฟล์เพลงระดับ Hi-Res Audio คืออะไร.? มีประโยชน์อะไรถึงกับทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบของชุดเครื่องเสียงเพื่อไปรองรับมัน..??

มาตรฐาน Hi-Res Audio เป็นมาตรฐานใหม่ที่ประกาศออกมาเมื่อ ปี 2014 ใจความสำคัญคือเป็นมาตรฐานที่ปรับประสิทธิภาพของเสียงที่อยู่ในอุตสาหกรรมไฮไฟฯ จากเดิม ให้ขยับสูงขึ้น เทียบกับฟอร์แม็ต CD 16-bit/44.1kHz ซึ่งเป็นฟอร์แม็ตแรกของระบบดิจิตัล ออดิโอที่ถือว่าเป็นตัวแทนของมาตรฐานไฮไฟฯ เดิมที่มีคุณสมบัติทางด้านความดัง (dynamic range) ที่สวิงสูงสุดได้ไม่เกิน 96dB (16bit x6) กับคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่ (frequency response) ที่ฟอร์แม็ต CD รองรับได้แค่ 20Hz – 22.05kHz (44,100Hz /2) ได้ถูกปรับเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานใหม่คือ Hi-Res Audio ที่สูงขึ้นไปถึงระดับ 24-bit/192kHz ซึ่งสามารถรองรับการสวิงของไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างขึ้นไปถึง 144dB (24bit x6) ในขณะเดียวกัน มาตรฐาน Hi-Res Audio ยังขยายขีดความสามารถในการตอบสนองความถี่ให้แผ่กว้างออกไปมากขึ้นด้วย คือ ตอบสนองเสียงทุ้มลงไปได้ ต่ำกว่า 20Hz และตอบสนองเสียงแหลมที่ไปได้สูงถึง 40kHz (40,000Hz) ซึ่งประโยชน์ที่ได้จากมาตรฐาน Hi-Res Audio ก็คือทำให้เราได้ยินเสียง (ซึ่งสร้างขึ้นจากชุดเครื่องเสียง) ที่เข้าใกล้กับเสียงจริงในธรรมชาติมากขึ้นนั่นเอง

เลยต้องเพิ่มซับวูฟเฟอร์..??

เพลงใหม่ๆ (*ตั้งแต่ช่วงปลายของ ยุค ’70 เป็นต้นมา) ที่เราสตรีมมาฟังผ่าน TIDAL ล้วนเป็นเพลงที่ ถูกบันทึก+มิกซ์+มาสเตอริ่งมาบนแพลทฟอร์ม Hi-Res Audio เกือบทั้งหมด (24/48 และ 24/96 เป็นอย่างต่ำ ขึ้นไปจนถึง 24/192) ถ้าชุดเครื่องเสียงที่เราใช้ฟังไฟล์เพลงไฮเรซฯ เหล่านั้นยังเป็นมาตรฐานไฮไฟฯ เดิมที่รองรับไดนามิกเร้นจ์ได้ไม่เกิน 96dB และให้แบนด์วิธได้แค่ 20Hz – 20kHz เสียงจากไฟล์ Hi-Res ที่เราได้ยินออกมาจากชุดเครื่องเสียงของเราก็จะมี รายละเอียดทั้งด้านทุ้มและแหลมที่ถูกตัดหายไปบางส่วน รวมถึงทางด้านไดนามิกเร้นจ์ก็ถูกบีบ (compressed) ให้สวิงได้แคบลงด้วย นี่คือเหตุผลที่เรารู้สึกว่า ชุดเครื่องเสียงเดิมๆ ของเราใช้ฟังไฟล์ไฮเรซฯ แล้วไม่ได้อรรถรส สู้ฟังจาก CD ไม่ได้

ด้วยเหตุผลข้างต้น สิ่งที่เราต้องทำถ้าต้องการยกระดับชุดเครื่องเสียงชุดเดิมของเราให้สามารถรองรับมาตรฐาน Hi-Res Audio ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือ ต้องหาทางเพิ่มขยายขีดความสามารถในการ ตอบสนองความถี่ทั้งทางด้านทุ้มและด้านแหลมของชุดเราให้เปิดกว้างออกไปมากขึ้น ยิ่งเข้าใกล้กับมาตรฐานที่ Hi-Res Audio กำหนดไว้ได้มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดี ซึ่งจุดแรกที่ต้องขยายก่อนก็คือ ลำโพงเพราะเป็นปลายทางของระบบ วิธีปฏิบัติก็คือ เพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาในระบบกรณีที่ลำโพงหลักที่ใช้อยู่ตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้จำกัด และเพิ่มลำโพงซุปเปอร์ทวีตเตอร์เข้ามาในระบบ ถ้าลำโพงของคุณตอบสนองความถี่สูงได้ไม่สูงกว่า 20kHz ขึ้นไป

การเพิ่มลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามากับชุดฟังเพลง 2 แชนเนลจะได้ประโยชน์เฉพาะกับเพลงใหม่ๆ ที่ทำมาบนแพลทฟอร์ม Hi-Res Audio เท่านั้นหรือ.? หามิได้.. โดยหลักการแล้ว ถ้าชุดเครื่องเสียงที่เราใช้เล่นเพลงสามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างขึ้น และรองรับอัตราสวิงของไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างขึ้น ก็เปรียบเสมือนว่าซิสเต็มของเรากลายเป็นช่องหน้าต่างที่ขยายกว้างขึ้น กว้างกว่าสัญญาณที่ป้อนเข้ามาทางอินพุตของซิสเต็ม เป็นผลให้ชุดเครื่องเสียงของเราสามารถ ปลดปล่อยความถี่เสียงจากสัญญาณต้นฉบับที่ป้อนเข้ามาทางอินพุตของซิสเต็มให้หลุดผ่านออกมาได้ ทั้งหมดซึ่งไม่ใช่ว่าจะได้ประโยชน์เฉพาะกับเพลงยุคใหม่ๆ ที่บันทึกมิกซ์ และทำมาสเตอร์ออกมาตามมาตรฐาน Hi-Res เท่านั้น แม้แต่เพลงยุคเก่าที่ทำมาบนมาตรฐาน Hi-Fi เดิมๆ ก็จะได้มรรคผลไปด้วย เพราะทั้งความถี่และไดนามิกถูกปลดปล่อยออกมาให้เราได้ยินอย่างครบถ้วนมากขึ้น โดยไม่ถูกระบบเพลย์แบ็ค บีบกด” (compress) หรือ “ตัดทอน” (filterเอาไว้

KEFKC92
ซับวูฟเฟอร์ที่ทำให้ ความฝันของคนเสพเพลงเป็นจริง.!!

ลักษณะภายนอกของลำโพงซับวูฟเฟอร์รุ่น KC92 ของ KEF ตัวนี้ก็ดูไม่ต่างไปจากซับวูฟเฟอร์อื่นๆ ทั่วไป ที่รู้สึกสะดุดตาหน่อยก็คืองานตัวตู้ที่ทำออกมาได้เนี๊ยบมาก ตัวตู้ทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศน์ที่มีสัดส่วนความกว้าง x ลึก x สูง ใกล้เคียงกัน ขอบและมุมทั้งหมดถูกลบเหลี่ยมจนลื่นมือและลื่นตา ตู้ตัวที่นำมาทดสอบเป็นสีดำสนิท (มี 2 สี คือขาวกับดำ) เคลือบผิวเงาวับ

KC92 ใช้ไดเวอร์ ขนาด 9 นิ้วจำนวน 2 ตัว ติดตั้งโดยหันด้านที่เป็นแม่เหล็กเข้าหากัน ในลักษณะที่เรียกว่า force-cancelling design เป็นดีไซน์ที่ช่วยหักล้างพลังงานสั่นสะเทือนของดอกลำโพงที่เกิดขึ้นในขณะที่ไดเวอร์ทั้งสองทำงานด้วยการยิงความถี่ต่ำออกทางด้านข้างซ้ายขวา (side-firing) ตัวตู้จึงนิ่งมาก ส่งผลให้ได้ความถี่ต่ำที่ลงลึกและสะอาด โดยสร้างความดังออกมาได้สูงถึง 110dB

ไดเวอร์ที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ.!

ไดเวอร์ขนาด 9 นิ้ว ทั้งสองตัวที่ใช้อยู่ในซับวูฟเฟอร์รุ่น KC92 นี้ ทางผู้ผลิตให้ข้อมูลว่าเป็นไดเวอร์ที่ตั้งใจออกแบบมาเพื่อใช้กับลำโพงซับวูฟเฟอร์รุ่นนี้เลย ตัวไดอะแฟรมเป็นแบบไฮบริดจ์ฯ โดยใช้อะลูมิเนียมประกบบนกรวยกระดาษเพื่อให้ได้ทั้งความยืดหยุ่นและความแกร่งกระชับไปพร้อมกัน

พลังงานกลที่ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของไดอะแฟรมมาจากแรงแม่เหล็กกำลังสูงที่ทำปฏิกิริยากับว้อยซ์คอยที่เชื่อมต่ออยู่กับกรวยไดอะแฟรม ส่วนพลังงานไฟฟ้าที่ทำปฏิกิริยากับแม่เหล็กและขดลวดว้อยซ์คอยมาจากภาคขยาย class-D ที่มีพลังมากถึง 1000W เต็มๆ (RMS) โดยแยกสำหรับไดเวอร์ทั้งสองตัว ตัวละ 500W ซึ่งถือว่าจุดนี้มีอิทธิพลกับเสียงของ KC92 มากเป็นพิเศษ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว เพาเวอร์แอมป์ Class-D ถือว่ามีประสิทธิภาพในการจ่ายพลังที่รวดเร็วและมีความสูญเสียต่ำ จึงเหมาะกับการใช้งานกับซับวูฟเฟอร์มาก ยิ่งใช้กำลังขับสูงๆ ก็ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง ทำให้สามารถปั๊มความถี่ต่ำออกมาได้ปริมาณที่เยอะมาก และยังมีข้อดีในแง่ของประสิทธิภาพในการควบคุมการขยับตัวไดอะแฟรมอีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากขณะทำงาน ไดอะแฟรมของไดเวอร์จะต้องขยับเคลื่อนที่เดินหน้าถอยหลังเข้าออกอย่างรวดเร็วและรุนแรงในการปั๊มความถี่ต่ำออกมา เพื่อไม่ให้การเคลื่อนที่ของไดอะแฟรมมีลักษณะที่เสียศูนย์ วิศวกรของ KEF จึงได้ออกแบบวงแหวน surround ที่เชื่อมโยงระหว่างขอบของไดอะแฟรมเข้ากับโครงโลหะของไดเวอร์ขึ้นมาเป็นพิเศษ แทนที่จะเป็นแค่วงแหวนยางแบบครึ่งวงกลมอย่างที่ใช้กันอยู่ทั่วไป พวกเขาได้ออกแบบให้วงแหวนยางนี้มีลักษณะเป็นลอนสลับบนล่างที่เรียกว่า P-Flex ซึ่งจะทำให้ขอบยางแบบนี้มีความยืดหยุ่นสูงกว่าแบบครึ่งวงกลมที่ใช้กันทั่วไป และด้วยรูปลักษณ์ที่เป็นลอนสลับลายบนวงแหวนนี้ยังทำให้การขยับเคลื่อนตัวของไดอะแฟรมมีความเสถียรมากขึ้นด้วย จะไม่บิดเบี้ยวเสียรูปตอนที่ต้องขยับเร็วๆ แรงๆ ขณะที่ปั๊มเสียงทุ้มต่ำๆ ออกมาเยอะๆ

จุดเชื่อมต่อสัญญาณ และฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับจูนเสียง

จุดเชื่อมต่อสัญญาณกับปุ่มกดและปุ่มหมุนที่ใช้ตั้งค่าสำหรับการทำงานของฟังท์ชั่นต่างๆ ได้ถูกรวบรวมไว้ที่ด้านหลังของตัวซับวูฟเฟอร์ทั้งหมด

ที่ด้านหลังของตัว KC92 มีแผงอิเล็กทรอนิคส์ขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่หนึ่งแผง บนพื้นที่ 25 x 25 ตารางเซนติเมตรของแผงนั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ทางซ้ายในกรอบสีเขียวบนภาพด้านบนนั้นคือส่วนที่ติดตั้งปุ่มปรับฟังท์ชั่นต่างๆ ส่วนซีกขวาในกรอบสีส้มนั้นเป็นส่วนของครีบระบายความร้อน (ฮีทซิ้งค์) ที่เกิดจากการทำงานของวงจรขยาย class-D ซึ่งจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นเวลาทำงาน จะรู้สึกอุ่นๆ ไม่ถึงกับร้อน ถ้าเอามือไปแตะ

แสดงช่องต่อเชื่อมสัญญาณและหน้าที่ของปุ่มปรับตั้งค่าต่างๆ บนแผงด้านหลังของ KC92

1. ช่องเชื่อมต่อสำหรับอะแด็ปเตอร์ไร้สาย
2. ปุ่มปรับเลือกจุดตัดความถี่ Low-pass Filter
3. สวิทช์ปรับตั้งเฟส
4. สวิทช์เลือกรูปแบบ EQ
5. ช่องเชื่อมต่อสัญญาณขาเข้าแบบ High Level
6. สวิทช์ปรับเลือกจุดตัดความถี่สำหรับสัญญาณ High-pass (HPF)
7. เมนสวิทช์สำหรับเปิด/ปิดเครื่อง
8. เต้ารับสำหรับสายไฟเอซี
9. ไฟ LED แสดงสภาวะเปิด/ปิดเครื่อง
10. ช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณ High-pass
11. ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณ Line in แชนเนลซ้าย และใช้รองรับสัญญาณ LFE ด้วย
12. ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณ Line in แชนเนลขวา และเป็นช่องอินพุต smart connect ด้วย
13. สวิทช์เลือกโหมดสำหรับการเปิดใช้งาน
14. สวิทช์ควบคุมการเชื่อมต่อกราวนด์
15. ปุ่มปรับวอลลุ่ม
16. ช่องเชื่อมต่อสัญญาณ trigger 12V
17. ปุ่มเซ็ตระบบ
18. ช่องเสียบ USB-C สำหรับตรวจเช็คเครื่อง

เทอร์มินัลทุกสิ่งอย่างที่คุณต้องกระทำกับซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ถูกติดตั้งไว้ที่แผงหลังของตัวตู้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมต่อไฟเอซี, การเชื่อมต่อสัญญาณขาเข้า, การเชื่อมต่อสัญญาณขาออก ไปจนถึงการปรับแต่งเสียง

การเชื่อมต่อสัญญาณ Input

ทางซ้ายคือเชื่อมต่อในโหมด LFE ส่วนทางขวาเป็นการเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก L/R จากแอมป์สเตริโอ โดยใช้ซับแค่ตัวเดียว

คุณสามารถเชื่อมต่อสัญญาณจากแอมป์มาที่ KC92 ได้ 2 ช่องทาง ช่องทางแรก เป็นการเชื่อมต่อสัญญาณเสียงในระดับ Line Level ซึ่งอาจจะดึงมาจากช่องเอ๊าต์พุต Pre-Out หรือช่อง Subwoofer Out ของปรีแอมป์หรืออินติเกรตแอมป์หรือรีซีฟเวอร์เซอร์ราวนด์ ผ่านเข้ามาที่ KC92 ทางอินพุต ‘LINE INPUT’ (11, 12) ซึ่งผู้ผลิตให้มา 2 ช่อง แยกเป็นช่องซ้าย L กับช่องขวา R โดยที่สามารถใช้งานได้หลายลักษณะ อย่างเช่นถ้านำ KC92 ไปใช้ในชุดดูหนัง ก็ให้ใช้อินพุตช่องซ้าย L แล้วปรับจุดตัด (2) ไปที่ตำแหน่ง LFE (หมุนปุ่มไปทางซ้ายสุด) ซึ่งจะเป็นการบายพาสวงจรโลว์พาสฟิลเตอร์ในตัว KC92 ออกไป ในกรณีนี้ KC92 จะทำหน้าที่เป็นแอ๊คทีฟ ซับวูฟเฟอร์แบบ full-range ที่ให้การตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 200Hz ลงไปจนถึง 11Hz โดยที่กรณีนี้ คุณภาพของสัญญาณจะไปขึ้นอยู่กับคุณภาพของวงจร Low-pass filter ในตัวปรีโปรเซสเซอร์จากภายนอก

เป็นการเชื่อมต่อกับแอมป์สเตริโอ โดยใช้ซับฯ 2 ตัว แยกสำหรับแชนเนลซ้ายขวา เด็ดขาดจากกัน

ในกรณีที่คุณใช้ซับวูฟเฟอร์ KC92 ตัวนี้กับชุดฟังเพลง 2 แชนเนล การเชื่อมต่อสัญญาณตรงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณใช้ซับวูฟเฟอร์หนึ่งหรือสองตัว ถ้าใช้ KC92 แค่ตัวเดียว ก็ให้ต่อเชื่อมสัญญาณเอ๊าต์พุตจากช่อง Pre-Out ทั้งซ้าย L และขวา R (หรือจากช่อง Subwoofer Out ของแอมป์) มาที่อินพุต L และ R ของตัว KC92 ให้ตรงตามช่อง กับอีกกรณี ถ้าคุณใช้ KC92 สองตัวแยกสำหรับแชนเนลซ้ายและขวาข้างละตัว ก็ให้เชื่อมต่อสัญญาณเอ๊าต์พุตจากช่อง Pre-Out ข้างซ้ายไปเข้าที่อินพุต L ของ KC92 ตัวซ้าย และต่อเชื่อมเอ๊าต์พุตจากช่อง Pre-Out ข้างขวาไปเข้าที่อินพุต R ของ KC92 ตัวขวา *กรณีนี้ใช้ KC92 สองตัวแยกซ้ายขวา แนะนำให้ใช้อินพุต SmartConnect (12) เหมือนกันทั้งสองตัว เพราะเมื่อคุณเสียบสัญญาณเข้าที่ช่อง SmartConnect นี้ วงจรข้างในตัวซับฯ จะทำการปรับ gain ของสัญญาณที่เข้ามาให้แรงขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งเป็นเทคนิคการเพิ่มเกนของซับฯ ซึ่งให้ผลดีกว่าการใช้ Y-split มาแยกสัญญาณ.. อันนี้เจ๋ง ชอบมาก.!! (แต่แอบงงนิดนึง ในคู่มือพูดเหมือนกับว่า ต่อช่อง L ช่องเดียวก็ปรับเกนให้เหมือนกัน.?? แต่เพื่อความชัวร์ต่อที่ช่อง SmartConnect สบายใจกว่า)

เชื่อมต่อ KC92 หนึ่งตัวเข้ากับชุดฟังเพลง 2 แชนเนลแบบ Sub-Sat Stereo

เป็นการเชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์เข้ากับชุดฟังเพลงสเตริโอ 2 แชนเนลที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่ก็เหมาะกับลำโพงหลักขนาดเล็กที่ตอบสนองความถี่ได้ไม่ลึก คือลงไปไม่ถึง 50Hz และใช้ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ขนาดเล็ก คือไม่ถึง 5 นิ้ว ซึ่งจะให้ความถี่ต่ำที่มีมวลเนื้อไม่หนาแน่น จำเป็นต้องอาศัยลำโพงซับวูฟเฟอร์ขึ้นมาช่วยเสริมตั้งแต่ย่านทุ้มและสูงขึ้นไปจนถึงย่านความถี่ช่วงกลางตอนล่าง (lower midrange) ทำให้ต้องใช้วงจร high-pass filter ของลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้ามาช่วยตัดแบ่งความถี่ในย่านกลางขึ้นไปถึงความถี่สูงแล้วส่งไปให้เพาเวอร์แอมป์ภายนอกนำไปขยายก่อนส่งให้ลำโพง

ดูเหมือนทางผู้ผลิตจะลืมให้ข้อมูลการปรับตั้ง dip switch ที่ใช้ในการปรับตั้งจุดตัดความถี่สำหรับสัญญาณ High-pass filter (HPF) ไว้ในคู่มือ..?? สังเกตในรูปก็เขียนคาไว้ว่า See page แแต่ไม่มีเลขที่ระบุ ผมลองหาดูแแล้วก็ไม่เจอ.. แล้วจะปรับตั้งยังไง..?? รู้แต่ว่า ถ้าใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ KC92 ตัวนี้กับลำโพงไร้สายของ KEF เองไม่ว่าจะเป็นรุ่น LS50 wireless หรือรุ่น LS60 wireless คุณจะสามารถกำหนดจุดตัดของสัญญาณ HPF ผ่านทางแอพลิเคชั่น KEF Connect ได้ แต่ถ้าใช้กับลำโพงพาสซีฟทั่วไปคุณก็จะไม่สามารถใช้แอพฯ KEF Connect ได้เพราะการควบคุมสั่งงานบนแอพฯ จะผ่านเข้าทางลำโพงไร้สาย ไม่ได้เข้าทางลำโพงซับวูฟเฟอร์ ใครคิดจะต่อเชื่อมระบบด้วยวิธีนี้ก็คงต้องข้ามไปก่อน..

เป็นการเชื่อมต่อด้วยสายลำโพง แบบ High Level

ส่วนการเชื่อมต่อแบบที่สอง เป็นการเชื่อมต่อด้วยสายลำโพงที่เรียกกันว่าเป็นการเชื่อมต่อแบบ High Level คือใช้สายลำโพงเชื่อมต่อระหว่างขั้วต่อสายลำโพงของแอมป์มาเข้าที่ขั้วต่อสายลำโพง (5) บนตัว KC92 โดยใช้อะแด๊ปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่อง ซึ่งเป็นการต่อเชื่อมที่โหลดแอมป์มากกว่าการเชื่อมต่อเข้าทาง Line Level เพราะแอมป์จะมองเห็นโหลดของลำโพงเพิ่มขึ้น อิมพีแดนซ์รวมจะลดต่ำลง ทำให้แอมป์ต้องทำงานหนักขึ้น แอมป์ตัวเล็กๆ จะไม่เหมาะกับการเชื่อมต่อลักษณะนี้ และถ้าแอมป์ของคุณมีขั้วต่อสายลำโพงแค่ชุดเดียว ก็ต้องลำบากจั๊มสายลำโพงอีก แนะนำให้เชื่อมต่อทาง Line Level โดยใช้สาย RCA สะดวกกว่าด้วยประการทั้งปวง

มาถึงตรงนี้ขอแทรกนิดนึง คือถ้าคิดจะเอาซับวูฟเฟอร์ไปเสริมชุดฟังเพลง 2 แชนเนล แนะนำให้มุ่งไปที่ 2 ตัวไปเลย จะได้อรรถรสมากกว่าเยอะ.!

ทดสอบใช้งานจริง

มาถึงขั้นตอนการเชื่อมต่อกันจริงๆ สักที ไม่ว่าชุดฟังเพลงของคุณจะใช้ อินติเกรตแอมป์หรือ ปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์ก็สามารถเชื่อมต่อ KC92 เข้ากับซิสเต็มของคุณได้ถ้าอินติเกรตแอมป์หรือปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์ของคุณมีช่อง Pre-Out มาให้ ซึ่งวิธีที่เรียบง่ายที่สุดก็คือใช้อินติเกรตแอมป์ที่มีช่อง Pre-Out นี่แหละ

ในการทดสอบ KC92 ในลักษณะของการใช้งานร่วมกับชุดฟังเพลงระบบสเตริโอ 2 แชนเนลของผมในครั้งนี้ ผมเลือกใช้ อินติเกรตแอมป์ที่มีช่อง Pre-Out เป็นแอมปลิฟายหลักของระบบ โดยอาศัยกำลังขับของแอมป์ในตัวอินติเกรตฯ ขับลำโพงหลักแบบฟูลเร้นจ์ แล้วอาศัยสัญญาณ Line Level จากช่อง Pre-Out ของอินติเกรตแอมป์ตัวนั้นเป็นสัญญาณอินพุตสำหรับ KC92 ทั้งสองตัวที่ผมนำมาทดสอบ ซึ่งลักษณะการเชื่อมต่อระบบที่ผมใช้ทดสอบครั้งนี้จะเป็นไปตามชาร์ตด้านบน

ช่วงที่ทดสอบผมมีอินติเกรตแอมป์ให้เลือกหยิบมาทดลองฟังอยู่ 4 ตัว ได้แก่ Arcam รุ่น A5 (REVIEW), LEAK รุ่น Stereo 230 (REVIEW), Audiolab รุ่น 9000A (REVIEW) และ Rega รุ่น Aethos (REVIEW) และมีลำโพงที่หยิบมาทดลองแม็ทชิ่งในระบบอยู่ทั้งหมด 4 คู่ คือ Usher Auio รุ่น S 520 (55-20kHz)(REVIEW), Audio Physic รุ่น Classic 8 (34-30kHz)(REVIEW), Totem Acoustics รุ่น The One (50-22kHz) และ Dynaudio รุ่น Special Forty (41-23kHz)(REVIEW)

แม็ทชิ่งซิสเต็มก่อนไฟน์จูน

หลังจากทดลองสลับแอมป์+ลำโพงที่มีอยู่หลายรอบ ผมก็พบซิสเต็มที่แม็ทชิ่งกันในระดับที่ให้เสียงน่าพอใจอยู่ 3 ชุด ชุดแรกคือ ArcamA5’ + Audio PhysicClassic 8’, ชุดที่สองคือ Audiolab9000A’ + Totem AcousticThe Oneและสุดท้ายคือชุด RegaAethos’ + DynaudioSpecial Fortyซึ่งในการทดสอบจากการทดลองฟังจริงครั้งนี้ ผมได้เพิ่มซับวูฟเฟอร์ KEFKC92จำนวน 2 ตัวเข้าไปกับสามซิสเต็มนี้ โดยทดลองฟังและปรับจูนไปทีละซิสเต็ม

ส่วนแหล่งต้นทางผมใช้สตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ตของ InnuosPULSE’ + Ayre AcousticsQB-9 DSD Twentyโดยใช้สาย USB ของ NordostBlue Heaven’ x2 + USB isolator ของ IntonaUSB-3 SuperSpeed Isolatorเป็นซิสเต็มต้นทางที่ทำหน้าที่ป้อนสัญญาณอะนาลอกให้กับทุกแอมป์กับลำโพงทั้งสามชุดข้างต้น

ทดสอบ
ขั้นตอนที่ 1: เซ็ตอัพลำโพงหลักให้ลงตัวก่อน

ผมเริ่มต้นด้วยการ แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูน ระหว่างลำโพงหลักกับแอมปลิฟายไปตามมาตรฐานของการเซ็ตอัพลำโพงที่ใช้กับชุดฟังเพลง 2 แชนเนลแบบปกติทุกประการ

ซึ่งในขั้นตอนแรกนี้จะยังไม่ทำการต่อเชื่อมลำโพงซับวูฟเฟอร์ KC92 เข้าไปในระบบ หลังจากขยับตำแหน่งลำโพงจนได้จุดที่ลงตัว ได้เสียงโดยรวมที่ดีที่สุดแล้ว จึงค่อยเอาลำโพงซับวูฟเฟอร์ทั้งสองตัวเข้าไปติดตั้งเพิ่มเติม ซึ่งในขั้นตอนการไฟน์จูนตำแหน่งของลำโพงซ้ายขวานั้น ผมแนะนำให้พิจารณาที่ โฟกัสของเสียงในย่าน กลางแหลมให้มากเป็นพิเศษ เอาโฟกัสให้เป๊ะมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้

ขั้นตอนที่ 2: เชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์เข้ากับซิสเต็มหลัก

ดึงสัญญาณจากช่อง Pre-Out ไปใช้กับลำโพงซับวูฟเฟอร์ KC92

ใช้สายสัญญาณอะนาลอกในการเชื่อมต่อระหว่างช่อง Pre-Out ของแอมป์ ทั้งแชนเนลซ้าย L และแชนเนลขวา R ไปที่ช่องอินพุต SmartConnect ของ KC92 แต่ละข้างแยกกัน ซึ่งอาจจะต้องใช้สายสัญญาณที่มีความยาวมาก ขึ้นอยู่กับลักษณะการเซ็ตอัพซิสเต็มของแต่ละคน ถ้าจำเป็นต้องใช้สายสัญญาณที่ยาวเกิน 2 เมตรขึ้นไป แนะนำให้ใช้สายสัญญาณที่ออกแบบมาสำหรับการเชื่อมต่อซับวูฟเฟอร์โดยเฉพาะ ที่เรียกว่า สายซับฯจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าสายธรรมดาทั่วไป (*มีผลกับเสียงแน่นอน แม้ว่าจะส่งผลกับความถี่ย่านต่ำซึ่งอยู่ในช่วงแคบๆ ก็ตาม)

ขั้นตอนที่ 3: เซ็ตอัพซับวูฟเฟอร์ให้กลมกลืนกับลำโพงหลัก

ขั้นตอนนี้จะแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนย่อย เนื่องจากเราต้องทำการปรับจูนพารามิเตอร์บนซับวูฟเฟอร์จำนวน 3 ตัว นั่นคือ จุดตัดความถี่” (crossover point), “เฟส” (phase) และ วอลลุ่ม” (volume)

ขั้นตอน 3.1: กำหนด จุดตัด” (crossover point)

จุดตัดความถี่ (ลูกศรสีแดง) เป็นสิ่งแรกที่เราต้องกำหนด โดยดูจากสเปคฯ ของลำโพงหลักที่หัวข้อ Frequency Response ของลำโพงหลัก แล้วเลือกเอาตัวเลข ความถี่ต่ำสุดที่ลำโพงหลักสามารถตอบสนองได้มาใช้เป็นจุดตัดเริ่มต้นของตัวซับวูฟเฟอร์ก่อนการไฟน์จูน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าจับกับลำโพง Usher AudioS 520ให้ตั้งจุดตัดไว้ที่ตำแหน่ง 55Hz, ถ้าจับกับลำโพง Audio PhysicClassic 8ให้ตั้งจุดตัดที่ KC92 ไว้ที่ตำแหน่ง 40Hz ซึ่งใกล้เคียงกับตำแหน่ง 32Hz ซึ่งเป็นความถี่ต่ำสุดที่ Classic 8 ตอบสนองได้มากที่สุด ตอนจับกับลำโพง DynaudioSpecial Fortyผมตั้งจุดตัดที่ KC92 ไว้ที่ตำแหน่ง 40Hz ซึ่งใกล้เคียงกับตำแหน่ง 41Hz ซึ่งเป็นความถี่ต่ำสุดที่ Special Forty ตอบสนองได้ (KC92 แบ่งสเต็ปของความถี่ไว้คลิ๊กละ 2.5Hz) ส่วนวอลลุ่ม (ลูกศรสีเขียว) แนะนำให้ปรับตั้งไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา

ขั้นตอน 3.2: กำหนด เฟส” (Phase) และฟังท์ชั่นอื่นๆ บนตัว KC92

โดยหลักการแล้ว การปรับจูน ตำแหน่งของซับวูฟเฟอร์มีความหมายเดียวกันกับการปรับจูน เฟส” (phase) นั่นเอง ซึ่งในทางปฏิบัติแนะนำให้โยกสวิทช์ Phase (ภาพด้านบน) ที่แผงหลังของตัวซับฯ ไปที่ตำแหน่ง 0 องศา แล้วทิ้งค้างไว้แบบนั้นตลอด ไม่ต้องเปลี่ยน

การปรับตั้งค่าต่างๆ บน KC92 ก่อนเริ่มต้นไฟน์จูน

ส่วนกรอบด้านบนนี้คือการปรับตั้งฟังท์ชั่นอื่นๆ บนตัวซับวูฟเฟอร์ตอนเริ่มต้นก่อนไฟน์จูน โดยที่ตำแหน่งของ จุดตัดความถี่” (crossover) นั้นให้อ้างอิงกับความสามารถในการตอบสนอง ความถี่ต่ำสุดที่ลำโพงหลักสามารถทำได้ โดยดูได้จากตัวเลข Frequency Response ในสเปคฯ ของลำโพงหลัก จากตารางข้างบนนี้จะเห็นว่า ลำโพงบางคู่ อาทิเช่น Audio PhysicClassic 8นั้น จริงๆ แล้วตัวมันเองสามารถตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ลึกถึง 35Hz แต่สเกลฯ จุดตัดต่ำสุดของวงจรครอสโอเว่อร์ในตัว KC92 มีมาให้แค่ 40Hz (คือเลือกได้ตั้งแต่ 40Hz – 140Hz) กรณีนี้จึงต้องเริ่มต้นที่ 40Hz ส่วนค่าอื่นๆ ก็ยึดตามที่ระบุไว้ในกรอบข้างบน

ขั้นตอน 3.3: จูนตำแหน่งวางของ KC92 เพื่อปรับเฟสให้กลมกลืนกับลำโพงหลัก

เมื่อปรับตั้งค่าต่างๆ ที่เป็น จุดเริ่มต้นสำหรับการปรับจูนซับวูฟเฟอร์ให้เข้ากับลำโพงหลักตามที่แนะนำไว้ในตารางข้างบนนั้นเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็เป็นการปรับจูน เฟสก่อน โดยการขยับหา ตำแหน่งวางลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่ให้เสียงทุ้มจากซับวูฟเฟอร์ กลืนเข้ากับเสียงทุ้มของลำโพงหลักให้มากที่สุด

วิธีการไฟน์จูนเฟส ผ่านตำแหน่งวางซับวูฟเฟอร์

ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับ KC92 มาทดสอบ ผมได้ทดลองเซ็ตอัพตำแหน่งของ KC92 ด้วยการเริ่มต้นวางไว้ในตำแหน่งที่เสมอหน้าลำโพงหลักและอยู่ใกล้กับลำโพงหลักทั้งสองข้างมากที่สุดตามรูปข้างบนนั้น จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับเลื่อนตำแหน่ง, ปรับวอลลุ่มขึ้นๆ ลงๆ และปรับจุดตัดขึ้นๆ ลงๆ ไปเรื่อยๆ ซึ่งในขณะปรับจูนนั้นผมพบว่า ตำแหน่งวางซับวูฟเฟอร์มีความสำคัญมากเป็นอันดับหนึ่งในจำนวนพารามิเตอร์ทั้ง 3 ตัวข้างต้น (เฟส, วอลลุ่ม, จุดตัด) ซึ่งโดยหลักการแล้ว การปรับจูน ตำแหน่งของซับวูฟเฟอร์มีความหมายเดียวกันกับการปรับจูน เฟส” (phase) นั่นเอง ซึ่งในทางปฏิบัติแนะนำให้โยกสวิทช์ Phase ที่แผงหลังของตัวซับฯ ไปที่ตำแหน่ง 0 องศา แล้วทิ้งค้างไว้แบบนั้นเลยไม่ต้องไปแตะ

หลังจากปรับจูนอยู่นานเป็นอาทิตย์ ผมพบว่า ถ้าเริ่มต้นวางลำโพงซับวูฟเฟอร์ไว้ที่ขอบนอกด้านข้างของลำโพงซ้ายขวาตามภาพข้างบนนั้นจะไม่เวิร์ค เพราะมันมีระยะน้อยเกินไปในการขยับซับฯ เพื่อจูนเสียง สุดท้ายผมพบว่า วิธีที่ดีที่สุดคือ ให้ดันลำโพงซับวูฟเฟอร์ลงไปชิดผนังหลัง ให้เลยระนาบของตำแหน่งลำโพงหลักลงไปด้านหลังจะดีกว่า แต่ต้องไม่ดันลงไปเลยเส้น ความลึก หาร 5” (เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหารูมโหมด) ซึ่งพบว่าให้ผลลัพธ์ดีกว่าวางขนาบข้างลำโพงหลัก คือได้ระยะขยับลำโพงซับฯมากขึ้น ทำให้จูนเสียงได้ละเอียดมากขึ้น และยังเป็นจุดที่ลำโพงหลักกับลำโพงซับวูฟเฟอร์มีระยะห่างระหว่างกันไม่มากเกินไป ยังเป็นตำแหน่งที่ปรับจูนให้เกิดปรากฏการณ์ ซับฯ ล่องหนได้

เพื่อย่นระยะเวลาในการปรับจูนแบบลองผิดลองถูก ผมขอสรุปจากประสบการณ์ที่ได้ทดลองจูน KC92 สองตัวนี้ โดยนำเสนอ ทางลัดในการเซ็ตอัพที่ทำให้คุณปรับจูนได้ง่ายและเร็วขึ้น ดังนี้

กรณีใช้ซับวูฟเฟอร์ ตัวเดียว” (mono sub) ให้เริ่มต้นจูนด้วยการวางลำโพงซับฯ ไว้ในตำแหน่งตรงกลางระหว่างลำโพงหลักซ้ายขวา (ตามรูปบนด้านซ้าย) หลังจากนั้น ในการปรับจูน phase ให้ใช้วิธีเลื่อนซับวูฟเฟอร์ลงไปตามแนวเส้นกึ่งกลางนั้น โดยที่ระยะการปรับจูนจะอยู่ในช่วงลูกศรสีขาว กินพื้นที่อยู่ในช่วงระยะความลึกของห้องหารด้วย 3 และหารด้วย 5 นั่นเอง แต่กรณีที่ใช้ซับวูฟเฟอร์ สองตัว” (stereo sub) ให้เริ่มต้นวางตำแหน่งซับฯ ทั้งสองตัวลักษณะตามรูปบนด้านขวา คือวางลำโพงซับฯ ของแต่ละข้างไว้ตรงกับ ด้านหลังของลำโพงหลัก ส่วนการปรับจูน phase สามารถทำได้ด้วยการค่อยๆ เลื่อนลำโพงซับฯ เข้าใกล้ผนังด้านข้างของแต่ละด้าน (ตามแนวลูกศรสีขาว)

ไม่ว่าจะเป็นซับวูฟเฟอร์แบบยิงเสียงออกด้านหน้า (front-firing), แบบยิงเสียงออกด้านข้าง (side-firing) หรือแบบยิงเสียงลงพื้น (down-firing) ก็ใช้ตำแหน่งเริ่มต้นแบบเดียวกันตามภาพที่เห็นข้างบนนี้ทั้งหมด

อัลบั้ม : Nameless (TIDAL MAX-FLAC 24/88.2)
ศิลปิน : Dominique Fils-Aime
สังกัด : TIDAL

ตอนขยับลำโพงซับฯ เพื่อไฟน์จูนเฟส แนะนำให้ขยับเลื่อนทีละนิด ครั้งละ 1 – 2 .. โดยใช้เพลง Birds ของ Dominique Fils-Aime (ลิ้งค์ใน TIDAL : https://tidal.com/browse/track/82811590?u) เป็นเพลงอ้างอิง ให้ฟังเสียงทุ้มที่กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว ทุกครั้งที่มีเสียงทุ้มดังขึ้น จะต้องมีโฟกัสที่ชัดเป็นเสียงเดียว ต้องไม่รู้สึกว่าได้ยินมาจากตำแหน่งที่วางซับวูฟเฟอร์ แต่ต้องรู้สึกว่าเสียงทุ้มนั้นหลุดตู้ออกไปลอยอยู่ในอากาศ และต้องไม่มี เงาของเสียงทุ้มที่ซ้อนกัน ซึ่งถ้าคุณลงมือขยับตำแหน่งของลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปเรื่อยๆ โดยโฟกัสฟังที่เสียงทุ้มของเพลงนี้อย่างเดียว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานคุณก็จะสามารถฟังจับความแตกต่างได้ หลังจากนั้นก็พยายามขยับลำโพงซับวูฟเฟอร์ไปทีละนิดจนเจอตำแหน่งที่ทำให้โฟกัสของเสียงทุ้มมีความคมชัดเป็นเนื้อเดียวกันมากที่สุด และเป็นจุดที่เสียงร้องและเสียงแหลมออกมาดีที่สุดด้วย เพราะเสียงทุ้มทิ้งห่างออกมาจากเสียงกลางแหลม จากนั้นให้ทดลองฟังโดยเปิดและปิดซับวูฟเฟอร์เปรียบเทียบกัน ถ้าทุกอย่างลงตัวจริงๆ คุณจะพบว่า เปิดใช้ซับวูฟเฟอร์ให้เสียงโดยรวมออกมาดีกว่า ฐานล่างของเสียงแน่นกว่า เสียงโดยรวมออกมาอิ่มเต็มมากกว่า และตอนเปิดใช้ซับฯ จะต้องไม่ทำให้เสียงกลางแหลมด้อยลง แต่ถ้าเปิดใช้ซับวูฟเฟอร์แล้วได้ยินเสียงเบสมากขึ้น แต่รายละเอียดของเสียงร้องและเสียงแหลมมัวลง ก็แสดงว่ายังตำแหน่งซับวูฟเฟอร์ยังไม่ลงตัว

ในขั้นตอนขยับซับวูฟเฟอร์นี้ อย่าเพิ่งเปลี่ยนค่าที่ปรับตั้งไว้ตอนเริ่มต้น ให้ขยับตำแหน่งของซับวูฟเฟอร์อย่างเดียว แล้วฟังว่าเสียงทุ้มจากซับวูฟเฟอร์กับเสียงทุ้มจากลำโพงหลักมันกลืนเป็นเสียงเดียวกันแล้วยัง พยายามขยับหาตำแหน่งที่เสียงทุ้มกลืนกันให้มากที่สุด โดยที่ยังไม่ต้องสนใจกับเรื่องอื่น หลังจากได้เสียงทุ้มที่กลืนกันแล้ว ค่อยมาทดลองปรับเพิ่ม/ลด วอลลุ่มโดยฟังทางด้านโทนัลบาลานซ์ของเสียงทุ้มกลางแหลม (ของเพลง Birds) ที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด ความเด่นของทุ้มต้องไม่เบียดเสียงร้องและเสียงแหลม จากนั้นให้ทดลองปรับ จุดตัดความถี่ขึ้น/ลงทีละนิดแล้วฟังดูความกลมกลืน ซึ่งในขั้นตอนนี้ หลังจากทดลองปรับจุดตัดแล้วอาจจะต้องวกกลับมาทดลองปรับความดังผสมผสานกันไปด้วย ซึ่งถือว่าเป็นขั้นตอนของการไฟน์จูนอย่างละเอียด โดยอาศัยทักษะการฟังของตัวคุณเอง ถามว่า ปรับยากมั้ย.? จะบอกว่า หากคุณลงมือเซ็ตอัพตามที่ผมแนะนำมาถึงจุดนี้โดยให้เวลาตัวเองลองฟังอย่างพินิจพิเคราะห์มาเรื่อยๆ สักระยะ เชื่อว่าคุณจะเริ่มมองเห็น ความสัมพันธ์ระหว่าง จุดตัดความถี่กับ วอลลุ่มได้เอง และคุณจะเริ่มจับทางมันได้ คือพอได้ยินเสียงแล้ว คุณจะเริ่มวิเคราะห์ได้ว่าควรจะปรับค่าไหน และควรจะปรับไปมากน้อยแค่ไหน.. เท่านี้คุณก็สามารถปรับจูนได้ด้วยตัวเองแล้ว

อย่างไรก็ดี จากการทดสอบของผมพบว่า การปรับจูน phase (เลื่อนตำแหน่งลำโพงซับวูฟเฟอร์) โดยใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์ 2 ตัวจะทำได้ง่ายกว่าการใช้ซับวูฟเฟอร์ตัวเดียว เพราะเราสามารถตรวจสอบลักษณะความเป็น stereo ที่แยกซ้ายขวาของความถี่ต่ำได้ง่าย กรณีใช้ซับฯ ตัวเดียว จะเหมาะกับลำโพงที่มีขนาดใหญ่หน่อย ใช้วูฟเฟอร์สัก 8 นิ้ว และสามารถทำความถี่ต่ำลงไปได้ลึกกว่า 40Hz ลงไป การใช้ซับฯ ตัวเดียวไม่เหมาะกับลำโพงเล็ก เพราะถ้าต้องตั้งจุดตัดความถี่ไว้สูง จะมีผลทำให้ความถี่ต่ำที่ต่อจากเสียงทุ้มของลำโพงหลักทั้งข้างซ้ายและขวาจะมารวมกันอยู่ที่ลำโพงซับวูฟเฟอร์ เป็นโมโน ซึ่งทำให้ไม่ได้สนามเสียงที่เป็น stereo ที่สมบูรณ์แบบ แค่ได้โทนัลบาลานซ์ที่ดีขึ้นเพราะได้ความถี่ต่ำจากซับฯ ซึ่งลำโพงหลักทำไม่ได้เข้ามาเสริมเท่านั้น

ผลลัพธ์หลังจากไฟน์จูน KC92 จนลงตัวแล้ว

หลังจากทดลองเพิ่ม KC92 เข้าไปกับชุดที่ใช้ทดลองฟังทั้ง 3 ชุด แล้วทำการเซ็ตอัพตามขั้นตอนที่ให้รายละเอียดไปข้างต้น ผมพบว่า เสียงทุ้มจาก KC92 มันกลมกลืนไปกับเสียงของลำโพงหลักทั้งสามคู่นั้นได้อย่างง่ายดายกว่าที่คาดเยอะเลย.!

ตัวเลขสีแดงที่ช่อง Crossover ในตารางข้างบนนั้นคือตัวเลขความถี่ เริ่มต้นที่ตั้งไว้บน KC92 ก่อนเริ่มขั้นตอนไฟน์จูน ส่วนตัวเลขสีฟ้าคือความถี่ของจุดตัดที่ได้หลังจากไฟน์จูนจนลงตัวมากที่สุดแล้ว ซึ่งจะเห็นว่า คู่ Classic 8 กับคู่ Special Forty นั้น จุดตัดบน KC92 ที่ลงตัวจะอยู่ในระดับที่ สูงกว่าระดับความถี่ต่ำสุดที่เริ่มต้นไว้ แต่คู่ The One กลับเป็นอะไรที่สวนทางไปอีกด้านเลย คือจุดตัดบนซับฯ KC92 ที่ลงตัวกับความถี่ต่ำที่ The One ให้ออกมากลับอยู่ในระดับที่ ต่ำกว่าความถี่ต่ำสุดที่ The One ระบุไว้ในสเปคฯ ซึ่งต้องบอกก่อนว่า ปรากฏการณ์นี้เป็นอะไรที่เกิดขึ้นได้ เพราะลำโพงที่ใช้ตู้ที่มีช่องระบายเบสเกือบทั้งหมด จะให้ความถี่ต่ำที่ขยายเพิ่มจากตัวเลขต่ำสุดในสเปคฯ ลงไปได้อีก เขาเรียกว่า bass extension ซึ่งลำโพงบางคู่นั้นสามารถสร้างความถี่ต่ำออกไปทางช่องระบายเบสได้ลึกกว่าความถี่ต่ำสุดในสเปคฯ มากเกิน 10Hz ก็มี ซึ่งกรณีของ Totem Acoustics ถือว่าไม่แปลกใจ เพราะลำโพงยี่ห้อนี้มีชื่อเสียงในแง่ของเสียงทุ้มที่เกินตัวอยู่แล้ว

ตัวเลขสีม่วงในช่อง Volume คือปริมาณวอลลุ่มของ KC92 ที่ใช้ไป ณ จุดที่ลงตัวกับลำโพงหลักพอดีๆ โดยที่ เลข 12 หมายถึง 12 นาฬิกา แทนที่สเกลของวอลลุ่มที่อยู่ตรงกลางนั่นเอง ส่วน เครื่องหมายลบกับ ตัวเลข+ตัว cที่ตามมานั้นหมายถึงปริมาณวอลลุ่มที่ ลดลงจากจุดกึ่งกลางไปเป็นจำนวนคลิ๊กนั่นเอง (-1c ก็คือลดลงไปจากจุดกึ่งกลางเท่ากับหนึ่งคลิ๊ก, ถ้า -2c ก็คือลดลงไปสองคลิ๊กนั่นเอง)

ส่วนระยะวางลำโพงซับวูฟเฟอร์ KC92 ที่ให้เสียงลงตัวกับลำโพงหลักนั้น หลังจากทดลองเซ็ตอัพจนครบทั้งสามชุดแล้ว ผมพบว่า ระยะวาง KC92 เมื่อจับคู่กับทั้งสามชุดนั้นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต่างกันมาก ระยะมันห่างจากกันไม่ถึง 10 .. เท่านั้น ซึ่งเป็นไปได้ว่า เพราะจุดตัดความถี่ของ KC92 ที่ใช้กับลำโพงทั้งสามคู่นั้นมันไม่ได้ห่างกันมากก็เป็นได้ อีกอย่างน่าจะเป็นเรื่องของ roommode ที่บังคับจุดตั้งลำโพงซับวูฟเฟอร์ด้วย คือพอลองขยับเปลี่ยนระยะวาง KC92 ออกไปมากๆ เกิน 10 .. ขึ้นไป จะเริ่มมีปัญหาเสียงเบสบวมขึ้นมาให้รู้สึกได้ทันที สุดท้ายจึงขยับ KC92 ไปไหนได้ไม่ไกลจากจุดที่เห็นในภาพข้างบนนั้น

อีกข้อสังเกตที่ได้จากการเซ็ตอัพ KC92 เข้ากับลำโพง Audio PhysicClassic 8ผมพบว่า แม้ว่า Classic 8 จะแจ้งไว้ในสเปคฯ ว่าสามารถตอบสนองความถี่ต่ำลงไปได้ลึกถึง 34Hz แต่เมื่อเพิ่ม KC92 เข้าไปพบว่าต้องขยับจุดตัดของ KC92 ขึ้นไปสูงถึง 55Hz มากกว่าความถึ่ต่ำสุดที่ Classic 8 ทำได้ถึง 21Hz (55Hz – 34Hz) แสดงว่า แม้ว่า Classic 8 จะสามารถตอบสนองลงไปถึง 34Hz ด้วยตัวของมันเอง แต่ความถี่ต่ำๆ ที่ Classic 8 สร้างขึ้นมาน่าจะมีความดังที่ไม่สูงมาก คงจะ roll-off ไปเยอะจากระดับฟูลสเกล เมื่อเอา KC92 เข้าไปเสริมจึงต้องขยัยจุดตัดของ KC92 ขึ้นไปช่วยค่อนข้างสูงจึงได้ความดังของความถี่ต่ำที่หนาแน่นมากขึ้น ดังนั้น การที่จะประเมินว่าลำโพงหลักให้ความถี่ต่ำที่มีปริมาณวอลลุ่มมากแค่ไหน เราจะดูแค่ตัวเลข Frequency Response ของลำโพงหลักอย่างเดียวไม่ได้ ซึ่งในกรณีที่เกิดกับ Audio PhysicClassic 8ตัวนี้ก็เป็นเพราะว่า ไดเวอร์ที่ใช้ขับทุ้มของ Classic 8 มีขนาดเล็ก ปริมาตรอากาศในตัวตู้ก็ไม่ได้เยอะมาก ในขณะเดียวกัน ทางผู้ออกแบบได้จัดวงจรเน็ทเวิร์คให้ตอบสนองความถี่ที่กว้างมาก คือตั้งแต่ 34Hz – 30kHz จึงไม่แปลกใจที่เสียงทุ้มด้านล่างของ Classic 8 ออกมาเบาบาง

คุณภาพเสียงที่ได้จากการเพิ่ม KC92 เข้าไป

จากการทดลองฟังเพลงหลากหลายแนวและหลายยุคสมัย ผมพบว่า เสียงทุ้มของ KC92 ส่งผลกับเพลงเหล่านั้นทั้งหมด แม้ว่าจะส่งผลมากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับเพลงที่ทำออกมาในแต่ละยุค แต่มีอยู่ 4 อย่างที่ส่งผลเหมือนกันกับทุกเพลง นั่นคือ ความกลมกลืน“, “ความนิ่ง“, “ความเคลียร์กระจ่างและ ความสะอาดของปลายเสียง

อัลบั้ม : YinYang Taiko (TIDAL/FLAC-24/48)
ศิลปิน : Zhang Hao, Zhao Junrui
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/299245330?u)

สิ่งแรกที่ KC92 สร้างความประทับใจให้กับผมอย่างมาก นั่นคือ ความกลมกลืนของเสียงทุ้มจาก KC92 กับเสียงทุ้มของลำโพงหลักที่สมานเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างแนบเนียน สังเกตได้จากเสียงทุ้มจากหลายๆ เพลงที่ลองฟังมัน หลุดตู้ออกมาลอยอยู่ในอากาศได้อย่างอิสระ มีโฟกัสที่ชัดเจน สามารถชี้ชัดตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ และความพิเศษของการใช้ KC92 สองตัวแยกซ้ายขวาก็คือเสียงทุ้มที่ได้ออกมาจาก KC92 ยังสามารถแยกตำแหน่งของเสียงทุ้มให้ฉีกออกไปทางซ้ายหรือขวาตรงตามตำแหน่งเสียงที่เพลงนั้นมิกซ์มาจากสตูดิโอซะด้วย

แนะนำให้ลองฟังเสียงกลองจีนในเพลง Golden Peonies Garden แทรคที่ 5 ในอัลบั้มชุด YinYang Taiko ตามที่แนะนำไว้ข้างบนนั้นดูเถอะ ช่วงนาทีที่ 17 จะมีเสียงกลองจีนใบกลางๆ ดังขึ้นมาในตำแหน่งที่เยื้องไปทางซ้ายต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงนาทีที่ 35 จะมีเสียงกลองจีนใบใหญ่กว่าดังประสานขึ้นมาทางขวา แยกข้างกันชัดเจน ซึ่งตอนที่ผมทดลองปิด KC92 ก็พบว่าเสียงกลองจีนทั้งสองใบนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเดียวกับตอนเปิด KC92 ขึ้นมา.! แต่ความแน่นของเสียงกลองต่างกันเยอะ และอีกสิ่งที่ลดด้อยลงไปชนิดที่รู้สึกได้ชัดหลังจากปิดการทำงานของ KC92 ลงไปก็คือ แอมเบี๊ยนต์ซึ่งตอนเปิดใช้งาน KC92 จะรู้สึกได้ว่าเวทีเสียงมันแผ่กว้าง พองกลม และเปิดลอยออกมาเต็มห้อง ลักษณะคล้ายลูกโป่งที่เป่าลมเข้าไปเต็มที่ พอปิดการทำงานของ KC92 ทั้งสองตัวลงไป จะรับรู้ได้เลยว่า เวทีเสียงโดยรวมมันแฟบลง ความอิ่มเต็มของบรรยากาศหายไปเยอะ.!!

อัลบั้ม : ‘Round About Midnight (Mono Version) (TIDAL MAX/FLAC-24/96)
ศิลปิน : Miles Davis
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/26726602?u)

อัลบั้ม : Midnight Blue (2012 Remaster) (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Kenny Burrell
สังกัด : Blue Note/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/77698515?u)

อัลบั้ม : At The Organ (TIDAL HIGH/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Jimmy Smith
สังกัด : Blue Note/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/1389340?u)

สังกัด : Way Out West (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Sonny Rollin
สังกัด : Contemporary/TIDAL (https://tidal.com/browse/album/77826548?u)

คนที่ชอบฟังเพลงสแตนดาร์ดแจ๊สที่บันทึกเสียงไว้ช่วงปี ‘50 – ‘60 พอมาฟังเพลงเหล่านี้ผ่านสตรีมมิ่งแล้วมักจะร้องยี้ เพราะเสียงที่ออกมามันสู้แผ่นเสียงไม่ได้ ซึ่งประเด็นหลักคือเนื้อเสียงไม่หนาและแน่นเท่า และในแง่ของ ความดิบของน้ำเสียงด้วย เหตุผลก็เป็นเพราะระบบบันทึกเสียงในยุคนั้นยังให้แบนด์วิธได้ไม่กว้าง ถ้าเล่นบนซิสเต็มเครื่องเสียงที่ใช้มาตรฐานไฮไฟฯ ที่กำหนดแบนด์วิธไว้ที่ระดับ 20Hz – 20kHz เนื้อเสียงจะออกมาแน่นและได้ฟิลลิ่งของความดิบออกมาเต็มที่

ผมทดลองเอาเพลงในยุคนั้นที่ทำมาสเตอร์ดิจิตัลบนฟอร์แม็ต Hi-Res ออกมาเป็นไฟล์ 24/96 และ 24/192 มาลองเล่นบนซิสเต็มที่เพิ่มซับวูฟเฟอร์ KC92 ทั้งสามชุด พบว่าได้ข้อดีคือ ความเปิดโล่งของเสียงที่ดีกว่ายุคที่ทำออกมาเป็นฟอร์แม็ตซีดี 16/44.1 มาก และยังได้มวลเสียงที่แผ่ใหญ่กับให้เนื้อเสียงที่มีความหนาแน่นมากกว่าฟอร์แม็ตซีดีอย่างชัดเจน และเนื่องจากมาสเตอร์ของเพลงที่ทำมาในยุคนั้นไม่ได้ให้ปริมาณของเสียงทุ้มที่หนาแน่นมากเหมือนยุคปัจจุบัน การเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้าไปจึงมีผลกับการเพิ่มปริมาณความถี่ที่ต่ำมากๆ ซึ่งเป็นส่วนของแอมเบี้ยนต์ให้รับรู้ได้ชัดขึ้น มีผลทำให้เสียงโดยรวมออกมานวลหูมากขึ้น ไม่แห้ง ส่วนในแง่ของมวลเสียงทุ้มตอนต้น (upper bass) ลงไปจนถึงทุ้มตอนกลาง (mid bass) นั้นจะออกมาจากลำโพงหลัก ดังนั้น ซิสเต็มที่ใช้ลำโพงหลักขนาดใหญ่จะให้เนื้อมวลที่มีความหนาแน่นสูงกว่าลำโพงขนาดเล็ก ซึ่งเข้าทางการเพิ่มซับวูฟเฟอร์แบบที่ใช้สัญญาณ Pre-Out ที่ทำงานร่วมกับลำโพงคู่หลักที่ทำงานแบบฟูลเร้นจ์ หลังจากทดลองฟังเพลงแนวนี้กับซิสเต็มทั้งสามชุด + KC92 แล้ว มันทำให้ผมนึกอยากลงเอา KC92 ไปแจมกับลำโพงฟูลเร้นจ์รุ่นเล็กๆ ที่ให้เสียงกลางเด่นๆ อย่างพวก Tannoy, Klipsch หรือ JBL รุ่นเล็กๆ น่าจะได้เสียงที่เข้ากันได้ดีมากๆ หรือจะเป็นลำโพงยุคใหม่ๆ ที่เด่นเสียงกลางมากๆ อย่างพวก Harbeth, Roger, Totem Acoustics หรือแม้แต่ ProAc ก็น่าจะได้เสียงที่ยกระดับขึ้นไปได้มาก..

อัลบั้ม : Never Gets Late Here (TIDAL MAX/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : Shennseea
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/363827172?u)

เพลงใหม่ๆ ที่ทำออกมาในยุคดิจิตัล หลังปี ’80 เป็นต้นมาจะได้รับมรรคผลจากการเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้ากับชุดฟังเพลง 2 แชนเนลมากเป็นพิเศษ เพราะเพลงเหล่านี้ผ่านขั้นตอนการบันทึก+มิกซ์+มาสเตอร์บนแพลทฟอร์ม Hi-Res เต็มระบบอยู่แล้ว เมื่อนำมาเล่นบนซิสเต็มที่ให้แบนด์วิธกว้างๆ สามารถถ่ายทอดความถี่ได้กว้างกว่า 20Hz – 20kHz ขึ้นไปก็จะได้เห็นถึงศักยภาพของมาตรฐาน Hi-Res Audio ได้ชัดถนัดหูมากขึ้น.!!

ยกตัวอย่างจากเพลง Tap Out จากอัลบั้มชุด Never Gets Late Here ของ Shenseea ที่แนะนำไว้ข้างบนนั้นจะรับรู้ได้ชัดเจนมากๆ เมื่อเปิดใช้งาน KC92 เสียงทุ้มจะแน่น กระชับ ลึกและมวลหนาเข้ม ขึ้นมาทันที พอปิดซับฯ KC92 เสียงทั้งหมดจะห่อเหี่ยวลง โดยรวมจะออกมาหลวมๆ ซึ่งก่อนจะเพิ่มซับฯ เข้าไปจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่างที่ว่านี้ หลังจากฟังสองอัลบั้มนี้แล้ว ผมทดลองกดเลือกเพลงอัลบั้มใหม่ๆ ที่ TIDAL แนะนำไว้ในหัวข้อ ‘New Albumsลองฟังด้วยการทดลองเปิด/ปิด KC92 เทียบกัน พบว่า เกือบทั้งหมดของอัลบั้มใหม่ๆ ที่ TIDAL แนะนำมานั้น จะฟังดีมากก็ต่อเมื่อเปิดใช้งาน KC92 ไปด้วย โดยเฉพาะเพลงยุคใหม่ๆ ที่เป็นแนว Rap และ Contemporary Pop ที่เน้นบีทหนักๆ ทั้งหลายนั้นต้องบอกเลยว่า ไม่มีซับวูฟเฟอร์ไม่ได้เลย..!!!

อัลบั้ม : Liberty (TIDAL MAX/FLAC-24/48)
ศิลปิน : Anette Askvik
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/5761227?u)

อัลบั้ม : Turn Up The Quiet (TIDAL MAX/FLAC-24/192)
ศิลปิน : Diana Krall
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/77623825?u)

จะบอกว่า ไม่ใช่เฉพาะเพลงใหม่ๆ ที่เน้นบีทหนักๆ เท่านั้น แม้แต่เพลงใหม่ๆ ที่มีลีลาดนตรีที่เล่นแผ่วๆ เอื่อยๆ อย่างสองอัลบั้มข้างบนนี้ก็ยังแสดงความแตกต่างของเสียงออกมาให้รับรู้ได้ชัดมากระหว่างการใช้และไม่ใช้ KC92 อย่างเพลง Liberty ของ Anette Askvik ซึ่งเป็นเพลงช้าๆ นั้น แม้ว่าลีลาของดนตรีจะไม่หวือหวา ไม่เน้นบีทหนักๆ แต่พอเปิดซับฯ KC92 จะรู้สึกเลยว่ามีมวลของแอมเบี้ยนต์แผ่ออกมาโอบล้อมอยู่รอบๆ ห้อง ซึ่งมวลแอมเบี้ยนต์ที่เป็นความถี่ต่ำๆ ที่ซับวูฟเฟอร์ KC92 ทั้งสองตัวสร้างขึ้นมานั้น มันช่วยโอบอุ้มทุกเสียงในเพลงนี้ให้ลอยฟ่องขึ้นมาในอากาศ ไม่จมลงไปกับแบ็คกราวนด์ทั้งๆ ที่เสียงดนตรีและเสียงร้องก็เล่นกันออกมาด้วยระดับความดังที่บางเบา แต่น่าแปลกที่รู้สึกว่าเสียงมันแผ่เต็มห้องได้ทั้งๆ ที่มีความดังรวมไม่มาก นี่คืออิทธิพลของแอมเบี้ยนต์ล้วนๆ

ส่วนเพลง Sway ในอัลบั้มชุด Turn Up The Quiet นั้นก็เช่นกัน เมื่อเปิดใช้งาน KC92 จะรับรู้ได้ถึงการแยกแยะรายละเอียดของเสียงที่ดีมาก ทั้งๆ ที่ลีลาของเพลงมันออกจากเฉื่อยฉ่ำ และอ่อนระทวยปานนั้น

สรุป

การเพิ่ม KC92 ครั้งนี้ มันให้ผลลัพธ์ของเสียงโดยรวมที่แตกต่างในปริมาณที่ มากกว่าการอัพเกรดอุปกรณ์หลักบางชิ้นซะอีก หรือแม้แต่การเพิ่มอุปกรณ์เสริมก็ยังให้ความแตกต่างที่ไม่มากเท่า.! หลังจากเอา KC92 ทั้งสองตัวเข้าไปเซ็ตอัพกับซิสเต็มเดิมที่ผมคุ้นเคย ในห้องฟังห้องเดิมที่ผมฟังอยู่ประจำ ผมพบว่า เสียงที่ได้ยินมันเปลี่ยนไปเยอะมาก หลังจากทดสอบเสร็จแล้ว ผมทดลองปิดซับฯ KC92 ทั้งสองตัวแล้วเปิดเพลงเดิมๆ ที่เคยฟัง พบว่า มีเพลงอยู่บางส่วนที่ผม ทนฟังไม่ได้เมื่อไม่มีซับวูฟเฟอร์ทั้งสองตัวนั้น.!!

หลังจากได้ลองฟังด้วยตัวเองแล้ว ต้องยอมรับว่า ซับวูฟเฟอร์ของ KEF รุ่น KC92 นี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ร่วมกับลำโพงฟังเพลงด้วยระบบเสียงสเตริโอ 2 แชนเนลจริงๆ และผมยอมรับโดยดุษฎีเลยว่า ชิปโปรเซสเซอร์ MIE ที่วิศวกรของ KEF ออกแบบมาใช้กับซับวูฟเฟอร์ตัวนี้ มันทำงานได้ผลจริง.!!

ถ้าคุณยังไม่พร้อมสำหรับการเพิ่มซับวูฟเฟอร์เข้าไปในชุดฟังเพลงของคุณ ผมขอเตือนว่าอย่าได้ลองฟัง KC92 เป็นอันขาด เพราะถ้าได้รับรู้ถึงผลลัพธ์ของเสียงที่ได้จากประสิทธิภาพของมันแล้ว คุณจะขาดมันไม่ได้อีกต่อไป..!!!

***********************
ราคา : 89,900 บาท / ตัว
***********************
ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อที่
บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โทร. 02-692-5216
Line OA: @kefthailand (https://lin.ee/XUf7NaM)

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า