รีวิว Dynaudio รุ่น Special Forty ลำโพงสองทางวางขาตั้ง

ลำโพงคู่นี้แคล้วคลาดกับผมมาหลายครั้งมาก.. เคยคุยกับคุณมุ ณ บลูด็อก ตั้งแต่ตอนออกมาใหม่ๆ ว่าจะยืมมาทดสอบ ก็ไม่ลงตัวกันสักที สาเหตุก็เพราะความฮ็อตของมันนั่นแหละ.! ทำไมผมถึงสนใจลำโพงคู่นี้..? หรือจะพูดให้ถูกคือ ลำโพงคู่นี้มีอะไรให้น่าสนใจ..??

ชื่อของ Dynaudio คงจะไม่ต้องเกริ่นอะไรกันมากมายสำหรับวงการเครื่องเสียงเมืองไทย ถามจริงๆ ว่าจะมีสักกี่คนที่ไม่รู้จักแบรนด์นี้ แต่สาเหตุที่ทำให้ Special Forty มีความโดดเด่นก็เพราะว่า รุ่นนี้ถูกทำขึ้นมาเพื่อฉลองวาระครบรอบปีที่ 40 ของแบรนด์ Dynaudio นั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่า นั่นทำให้ Special Forty มีคุณค่าเป็นที่หมายตาของนักสะสมที่อยากจะหาโอกาสครอบครองลำโพงแบรนด์นี้สักคู่

หน้าตาธรรมดา… แต่สวยจับใจ.!!!

ถ้าดูเผินๆ จากรูปร่างภายนอกแล้ว โดยรวมๆ ก็จะคล้ายกับลำโพงวางขาตั้งที่พวกเขาเคยทำออกมาก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็นรุ่น Contour 1.3SE หรือรุ่น The Special Twenty-Five ที่ทำออกมาฉลองครบรอบยี่สิบห้าปีของแบรนด์ คือตัวตู้ก็ยังคงเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมที่มีไดเวอร์สองตัวแปะอยู่บนแผงหน้า เป็นภาพลักษณ์ที่เจนตา แต่ถ้าพิจารณาแบบเจาะเข้าไปในรายละเอียดลึกๆ แล้ว จะพบว่า รุ่น Special Forty คู่นี้มีความพิเศษอยู่หลายจุด ที่เห็นชัดที่สุดเริ่มตั้งแต่ตัวตู้ที่เงาวับ โดยเฉพาะคู่นี้ลายไม้สวยมาก เคลือบเงาวาววับ มาในระดับมาตรฐานเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหรูกันเลย ยิ่งขยับเข้าไปมองใกล้ๆ ที่ตัวตู้แล้วใจละลาย.. ขอบอก.!!

ส่วนสัดภายนอกของตัวตู้ดูจะอวบอึ๋มกว่าลำโพงสองทางวางบนขาตั้งทั่วไปที่ใช้ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ขนาด 6.5 นิ้ว อยู่หน่อยๆ เพียงแต่ว่าถ้าไม่ยกคู่อื่นเข้าไปประกบเทียบก็อาจจะไม่รู้สึกถึงความต่าง คงเพราะตัวตู้ของ Special Forty ตัวนี้มันออกมาสมส่วน และขยายขึ้นไปทางด้านสูงมากกว่าขยายออกด้านข้างนั่นเอง

เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดพบว่า ที่ตัวตู้มีความพิเศษอยู่นิดนึง คือผนังตู้ด้านข้างซ้ายขวาจะมีลักษณะที่ไม่ขนานกัน เนื่องจากแผงหน้าของตัวตู้ที่ติดตั้งไดเวอร์มีความกว้างอยู่ที่ 20 .. ในขณะที่แผงหลังที่ติดตั้งขั้วต่อสายลำโพงมีความกว้างแค่ 18 .. มีผลให้แผงด้านข้างซ้ายขวาจึงมีลักษณะที่ลู่สอบจากด้านหน้าเข้าไปด้านหลัง ซึ่งเข้าใจว่า พวกเขาคงหวังผลทางด้านป้องกันไม่ให้เกิด flutter echo หรือคลื่นเสียงที่สะท้อนไปมาบนผนังตู้ทั้งสองข้างจนเกิดเป็นเรโซแนนซ์นั่นเอง

ไดเวอร์

Special Forty ถูกกำหนดให้เป็นลำโพงใช้งานบนขาตั้ง กระจายเสียงผ่านไดเวอร์สองตัวที่ประกอบด้วย ทวีตเตอร์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 28 .. (หนึ่งนิ้วนิดๆ) หนึ่งตัว ทำงานร่วมกับไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6.5 นิ้ว อีกหนึ่งตัว

คนที่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์นี้มาก่อน จะทราบดีกว่า ดาวเด่นที่สร้างชื่อของแบรนด์ Dynaudio ให้กระฉ่อนไปทั้งวงการก็คือ ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมตัวกลั่นของพวกเขา ตัวที่มีชื่อนิคเนมว่า Esotar นี่เอง ซึ่งตัวที่ติดตั้งมาบนตู้ของ Special Forty เป็น Esotar เวอร์ชั่นใหม่คือ ‘Esotar Fortyเป็นเวอร์ชั่นที่พวกเขาปรับปรุงพื้นที่อากาศหลังโดมไดอะแฟรมของตัวทวีตเตอร์ให้มีช่องว่างมากขึ้น เพื่อเปิดช่องให้โดมขยับตัวเดินหน้าถอยหลังได้ช่วงชักที่ยาวขึ้น เพราะพื้นที่หลังโดมที่มากขึ้นนั้นจะช่วยลดแรงต้านของมวลอากาศที่อยู่ด้านหลังของโดมทวีตเตอร์ให้น้อยลง และเพิ่มการแด้มป์ภายในพื้นที่หลังโดมมากขึ้น เพื่อช่วยซับเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นจากแรงกดอากาศจังหวะที่โดมถอยหลัง

นอกจากนั้น พวกเขายังได้ปรับปรุงช่องทางที่กระบอกวอยซ์คอยของตัวโดมทวีตเตอร์เคลื่อนผ่านให้สลายแรงต้านอย่างรวดเร็ว.. เร็วพอที่ทำให้วอยซ์คอยเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็วเป็นธรรมชาติไปตามแรงกระตุ้นของสัญญาณฉับพลัน “โดยปราศจากเรโซแนนซ์” ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญมากสำหรับการถ่ายทอดรายละเอียดของตัวทวีตเตอร์

ถ้าคุณขยับเข้าไปมองที่โดมของทวีตเตอร์ Esotar ใกล้ๆ คุณจะสามารถมองทะลุผนังโดมลงไปมองเห็นโครงสร้างด้านหลังของโดมลางๆ ซึ่งนี่คือเอกลักษณ์ของทวีตเตอร์ Esotar ซึ่งเป็นโดมผ้าที่บางมากและถูกชุบเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสูตรพิเศษเฉพาะของ Dynaudio เอง ซึ่งกระบวนการในการเคลือบก็ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างมาก ความหนาของน้ำยาเคลือบบนโดมจะต้องเท่ากัน ไม่หนาและไม่บางจนเกินไป

กระบอกวอยซ์คอยของทวีตเตอร์ลอยตัวอยู่ระหว่างแม่เหล็กสองด้านโดยมีแม่เหล็กเหลวหล่อเลี้ยงอยู่โดยรอบเพื่อช่วยลดความร้อนที่เกิดขึ้นบนกระบอกวอยซ์คอย ทำให้ทวีตเตอร์ตัวนี้มีความสามารถทนรับกับกำลังขับได้สูงขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้า ซึ่งแน่นอนว่า คุณสมบัติที่ได้มานี้จะส่งผลไปถึงแนวทางการออกแบบด้วย

พวกเขาหยิบเอาไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์รุ่น 17W75 MSP ซึ่งเป็นรุ่นดังของพวกเขามาทำการปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นก่อนนำมาใช้ใน Spcial Forty ซึ่งจุดที่ปรับปรุงเป็นส่วนประกอบที่เรียกว่า spider ที่ทำหน้าที่คอยยึดพยุงกรวยไดอะแฟรมไว้ไม่ให้เสียทรงขณะที่ไดอะแฟรมกำลังเคลื่อนที่ปั๊มอากาศให้เกิดเป็นความถี่เสียง มีผลทำให้กรวยไดอะแฟรมมีความคงตัวได้ดีขึ้นแม้ว่าในจังหวะที่ถูกขับดันด้วยพลังขับจากแอมป์ด้วยความรุนแรง

พื้นฐานของตัวมิด/วูฟเฟอร์รุ่นนี้ถือว่ามีดีอยู่ในตัวอยู่แล้ว อย่างเช่นตัวกรวยที่ทำมาจากวัสดุโพลีเมอร์เป็นโครงหลักแล้วพ่นทับผิวด้วยผงแร่แม็กนีเซียม ซิลิเคต ช่วยเพิ่มความแกร่ง ความนิ่ง และช่วยแด้มปิ้งได้ดี และที่สำคัญคือ คุณสมบัติของกรวยไดอะแฟรมจะคงที่ไปยาวนานโดยที่คุณสมบัติไม่เปลี่ยน อีกทั้งแผ่นไดอะแฟรมก็เป็นผืนเดียวไร้รอยต่อ มีดัสแค็ปขนาดใหญ่ประกบอยู่ตรงใจกลางของกรวย ช่วยควบคุมให้แผ่นกรวยขยับเคลื่อนตัวอย่างสมดุลตลอดระดับความดัง ไม่บิดเบี้ยวเสียรูปแม้ว่าจะเป็นช่วงที่เจอกับสัญญาณความถี่ต่ำที่รุนแรง.. อ่าา.! ใครที่ชอบเสียงเบสเน้นๆ น่าจะถูกใจ.!

กระบอกวอยซ์คอยของกรวยมิด/วูฟเฟอร์เชื่อมต่อเข้ากับไดอะแฟรมโดยตรง ทำให้สามารถดันแผ่นไดอะแฟรมให้ขยับสร้างความถี่ขึ้นไปได้สูงถึง 4000Hz .!!! ซึ่งแน่นอนว่าต้องส่งผลไปถึงการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คด้วยอย่างแน่นอน

ลำโพงตู้เปิด + ขั้วต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ล

มวลอากาศภายในตัวตู้จะแปรเปลี่ยนหมุนเวียนผ่านท่อขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังของตัวตู้ เป็นท่อทรงกระบอกที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 9.5 .. ที่ปากท่อแล้วค่อยๆ คอดเล็กลงเข้าไปด้านในตัวตู้เล็กน้อย ตำแหน่งของท่ออยู่ตรงกับตำแหน่งที่ติดตั้งทวีตเตอร์พอดีๆ

เพื่อลดตัวแปรแทรกซ้อนจากภายนอกไม่ให้เข้าไปรบกวนดีไซน์ที่พวกเขาตั้งใจออกแบบเอาไว้ Special Forty จึงให้ขั้วต่อสายลำโพงมาแค่ชุดเดียว (หลายคนชอบ.!)

ทั้งหมดนั้นคือภาพใหญ่ของการออกแบบ แต่ภายใต้สิ่งที่เห็นนั้น ยังมีความลับที่ซุกซ่อนอยู่อีกบางอย่างที่แสดงถึงความละเอียดพิถีพิถันใส่ใจกับสิ่งเล็กสิ่งน้อยที่ส่งผลกับเสียง ที่ว่านั้นก็มี ระบบแม่เหล็กที่ใช้ในตัวได้เวอร์ทั้งสองที่มีพิเศษกว่าทั่วไป คือพวกเขาใช้ระบบแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยมสำหรับทวีตเตอร์ Esotar ซึ่งมีขนาดเล็กแต่ทรงพลัง แต่ในขณะเดียวกัน ระบบแม่เหล็กที่ใช้กับตัวมิด/วูฟเฟอร์กลับเป็นแบบไฮบริดจ์ คือใช้นีโอไดเมี่ยมผสมกับเฟอร์ไร้ท์ ซึ่งพวกเขาให้เหตุผลว่ามันส่งผดีต่อเสียงมากกว่า เพราะให้กับควบคุมการทำงานของวอยซ์คอยที่แม่นยำมากกว่า ให้ผลลัพธ์ของเสียงที่ถ่ายทอดความเป็นดนตรีจากงานบันทึกเสียงออกมาได้แม่นยำกว่า

และอีกอย่างที่แตกต่างจากคนอื่น สิ่งนั้นคือลวดตัวนำที่ใช้พันวอยซ์คอย ซึ่งพวกเขาเลือกใช้ลวดอะลูมิเนียมแทนที่จะเป็นลวดทองแดงอย่างทั่วไป เหตุผลก็เพราะว่า ลวดอะลูมิเนียมมีน้ำหนักเบากว่าทองแดงเกือบครึ่ง ทำให้สามารถพันวอยซ์คอยออกมาได้ขนาดใหญ่กว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนักเท่ากันกับการพันด้วยลวดทองแดง ข้อดีที่ได้คือ เมื่อวอยซ์คอยมีขนาดใหญ่กว่า การควบคุมไดอะแฟรมขณะเคลื่อนไหวก็ทำได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่า เสียงที่เกิดขึ้นก็ย่อมดีกว่า

แม็ทชิ่ง

ในแง่สมรรถนะของลำโพงคู่นี้ พบว่ามันสามารถตอบสนองความถี่แบบ เต็มๆ เสียงออกมาได้ตั้งแต่ 41Hz ขึ้นไปจนถึง 23000Hz (แถบสีเทา) โดยเริ่มลดระดับความดังลงด้วยอัตรา +/-3dB ต่ออ็อกเตรป ทั้งด้านสูง (เลยจาก 23000Hz ไปแล้ว) และด้านต่ำ (ต่ำกว่า 41Hz ลงไป) ซึ่งก็อยู่ในระดับมาตรฐานทั่วไปของลำโพงสองทางที่มีขนาดตัวตู้ประมาณนี้

แต่จุดที่น่าสนใจกลับไปอยู่ที่ จุดตัดความถี่กับ การออกแบบสโลปของวงจรเน็ทเวิร์ค” (แถบสีม่วง) ซึ่งสังเกตว่า คนออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คของลำโพงคู่นี้ได้กำหนดจุดตัดแบ่งความถี่สำหรับทวีตเตอร์กับมิด/วูฟเฟอร์อยู่ที่ 2000Hz ซึ่งต่ำกว่าลำโพงสองทางทั่วไปที่มักจะตัดกันอยู่ที่ระดับ 2300 – 2500Hz

กำหนดจุดตัดบนวงจรเน็ทเวิร์คให้อยู่ในระดับ ต่ำกว่าเพื่ออะไร.? เหตุผลในการกำหนดจุดตัดสำหรับลำโพงสองทางให้ลงไปต่ำๆ ก็เพื่อให้ทวีตเตอร์ลดเพดานในการตอบสนองความถี่ด้านล่างให้ต่ำลง ไปกินพื้นที่การทำงานของไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์มากขึ้น ส่วนจุดประสงค์จริงๆ ของการทำเช่นนี้ต้องไปส่องดู สโลปของวงจรเน็ทเวิร์คมาประกอบไปด้วย ซึ่งในสเปคฯ ของ Special Forty ระบุชัดว่าใช้วงจรฟิลเตอร์ (ทั้ง high-pass filter สำหรับทวีตเตอร์ และ low-pass filter สำหรับมิด/วูฟเฟอร์) ที่มีสโลปของความลาดชันอยู่ที่ระดับ -6dB ต่ออ็อกเตรป (1st order) ซึ่งเป็นอัตราสโลปที่มีระยะลาดยาวมาก ซึ่งก็หมายความว่า การทำงานของทวีตเตอร์มันไต่ลงไปถึงความถี่ที่อยู่ในย่านเสียงกลางด้วย ในขณะเดียวกัน การทำงานของตัวมิด/วูฟเฟอร์ก็ไต่ขึ้นไปแตะความถี่ในย่านเสียงแหลมตอนล่างๆ ด้วย นั่นทำให้ส่วนของความถี่ที่ ซ้อนทับกันระหว่างความถี่ของทวีตเตอร์ตอนล่าง กับความถี่ของมิด/วูฟเฟอร์ตอนบน มีพื้นที่ซ้อนกันเยอะมาก ถ้าคนออกแบบจัดการกับเรื่องของ phase response กับ impedance ของความถี่ที่สร้างออกมาจากไดเวอร์ทั้งสองให้กลืนกันได้สนิทจริงๆ ผลดีก็คือ จะทำให้ได้ความถี่ที่อยู่บริเวณจุดตัดความถี่ (รอบๆ ความถี่ 2000Hz) ที่มีมวลหนา ไม่บาง มีความเข้มของมวลที่ใกล้เคียงกับความถี่อื่นๆ ที่ไดเวอร์ทั้งสองสร้างขึ้นมา

เมื่อกลับไปอ่านรายละเอียดของเทคนิคในการออกแบบที่ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้อ้างถึงเหตุลที่เลือกใช้วงจรเน็ทเวิร์คที่ทำงานด้วยสโลปแบบ 1st order พบว่า พวกเขาก็อ้างถึงผลลัพธ์ที่ว่า “even better overlap and integrationและพวกเขายังได้พูดถึงการคัดสรรคอมโพเน้นต์ (ในการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์ค) ที่มีผลทำให้อิมพีแดนซ์ของลำโพงนิ่งและมีเสถียรภาพมากที่สุดด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมก็คงต้องอาศัยการทดสอบด้วยการทดลองฟังจริงเท่านั้น

เลือกแอมป์ให้ Special Forty

ในสเปคฯ ของ Special Forty ระบุกำลังขับสูงสุดที่รับไหวอยู่ที่ 200W ที่โหลด 6 โอห์ม (แถบสีฟ้า) ถ้าคำนวนบัญญัติไตรยางค์เทียบกับอิมพีแดนซ์ที่ 8 โอห์ม (เพื่อให้ง่ายต่อการเลือกเฟ้นแอมปลิฟายมาจับคู่กัน) ก็จะได้เท่ากับ 150W ที่ 8 โอห์ม ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใช่ตัวเลขกำลังขับที่มากมายอะไร คำนวนตามสูตรกำลังขับ อย่างต่ำที่หวังผลได้ (75% x กำลังขับสูงสุดที่ลำโพงแนะนำ) ก็อยู่ที่ 112.5W (75 x 150 หารด้วย 100) เท่านั้น แต่พอไปดูตัวเลข ความไว” (sensitivity) ของลำโพงคู่นี้ (แถบสีแดง) พบว่าอยู่ที่ 86dB เท่านั้น ซึ่งถือว่าค่อนข้างต่ำ ดังนั้น แอมป์ที่จะใช้ขับลำโพงคู่นี้ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดี (ขับออกเต็มที่) จึงควรจะมีกำลังขับอยู่ระหว่าง 112.5 – 150W ที่โหลด 8 โอห์ม หรือมากกว่า

ช่วงที่ Special Forty ผ่านเข้ามาในห้องทดสอบของผม ตอนนั้นมีแอมปลิฟายอยู่ในห้อง 3 – 4 ชุด ผมทดลองยกมาทดลองขับลำโพงคู่นี้ดูหมดแล้ว ในจำนวนนั้นมีอินติเกรตแอมป์อยู่ตัวหนึ่งที่ไปกับลำโพงคู่นี้ได้ดี เป็นอินติเกรตแอมป์ของแบรนด์ Rega รุ่น Aethos ที่ให้กำลังขับข้างละ 125W ที่ 8 โอห์ม และขยับขึ้นไปเป็น 156W ที่โหลด 6 โอห์ม จากที่ลองฟังดูแล้วพบว่า กำลังขับที่ Aethos มีอยู่ถือว่ามากพอในการขับดันเสียงของ Special Forty ให้แสดงศักยภาพออกมาเต็มที่ได้ จับคู่กันแล้วได้โทนเสียงออกไปทางมวลหนา เนื้อเนียน และสปีดดี

ส่วนแอมป์อีกจำนวนหนึ่งที่ผมใช้ทดลองขับลำโพงคู่นี้เป็นชุดปรี+เพาเวอร์ฯ ซึ่งมีทั้งแอมป์หลอดและโซลิดสเตท ในส่วนของปรีแอมป์มีอยู่ 2 ตัวสลับกัน ได้แก่ Ayre Acoustic รุ่น K-5 (โซลิดสเตท) กับ NAT Acoustics รุ่น Magnetic (หลอด) ในขณะที่เพาเวอร์แอมป์มีอยู่ 3 ชุดทั้ง Stereo และ Monoblock ตัวแรกเป็นเพาเวอร์แอมป์สเตริโอ class-AB ของ QUAD รุ่น Artera Stereo ให้กำลังขับข้างละ 140W ที่ 8 โอห์ม ตัวที่สองเป็นของ QUAD เหมือนกัน ซีรี่ย์เดียวกัน แต่เป็นรุ่น Artera Mono ซึ่งแยกซ้ายขวาสำหรับขับลำโพง ให้กำลังขับสูงถึง 300W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม

จากการใช้เพาเวอร์แอมป์ของ QUAD ทั้งสองรุ่นทดลองขับ Special Forty พบว่า Artera Mono หรือตัวที่เป็นโมโนบล็อกมันให้เสียงออกมาตึงมากไป คงเป็นเพราะกำลังขับมันสูงเกินกว่าตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่ลำโพงรับได้ไปมาก ซึ่งจริงๆ ก็ใช้ขับได้ แต่เสียงที่ออกมาจะมีลักษณะที่ตึงตัวมากไปนิด ไม่ค่อยโอนอ่อนผ่อนปรน ไทมิ่งของเสียงออกไปทางกระชับ เก็บตัวเร็วไปหน่อย ฟังเพลงช้าๆ แล้วอารมณ์มันไม่สุด ไม่ว่าจะจับกับปรีแอมป์ Magnetic หรือ K-5 เสียงก็มีโทนๆไปในทางเดียวกัน แค่จับกับปรีหลอด Magnetic จะได้วรรณะของเสียงออกมาทางนุ่มนวลและเปล่งปลั่งมากกว่าหน่อย แต่ตามมาตรฐานของผม ผมก็ถือว่า Artera Mono ไม่แม็ทชิ่งกับ Special Forty อยู่ดี

แต่ตัว Artera Stereo กลับขับ Special Forty ออกมาได้ค่าเฉลี่ยที่ดีน่าพอใจมาก ผมชอบเสียงของ Special Forty ที่ได้จากการขับด้วยชุดปรีแอมป์ Magnetic + เพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo มากเป็นพิเศษ ค่าเฉลี่ยมันออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีในแต่ละคุณสมบัติ ถือว่ามีระดับความแม็ทชิ่งที่อยู่ในเกณฑ์น่าพอใจมาก

แต่ถ้าโฟกัสที่ความถี่ในย่านกลางขึ้นไปถึงแหลม รวมถึงความรุ่มรวยของฮาร์มอนิกและแอมเบี้ยนต์ของเสียงที่โอ่โถงก็ต้องยกให้ตอนขับด้วยคู่ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ NAT Audio คือ Magnetic + Transmitter HPS (REVIEW) ซึ่งปรี+เพาเวอร์ฯ หลอดของเซอร์เบียชุดนี้ทำให้เสียงกลางและแหลมของ Special Forty แสดงตัวออกมาได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับแอมป์ทุกตัวที่ใช้ขับลำโพงคู่นี้ จะมีก็แต่เสียงทุ้มต่ำๆ เท่านั้นที่จะติดนุ่มอยู่หน่อยๆ

สรุปแล้ว ผมเลือกชุดปรีแอมป์ Magnetic + เพาเวอร์แอมป์ QUAD Artera Stereo เป็นตัวยืนในการฟังเพื่อวิเคราะห์บุคลิกเสียงของ Special Forty ครั้งนี้ เนื่องจากเป็นชุดแอมป์ที่ขับ Special Forty แล้วให้ค่าเฉลี่ยของเสียงแต่ละด้านออกมาน่าพอใจมากที่สุดกับเพลงทุกแนว

แหล่งต้นทางที่ใช้ในการทดสอบ Special Forty ครั้งนี้ผมใช้ Roon nucleus+ เป็นเน็ทเวิร์ค ทรานสปอร์ตทำหน้าที่ในการเล่นไฟล์เพลง โดยใช้ Ayre AcousticQB-9 DSD Twentyทำหน้าที่เป็น ext.DAC แปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกก่อนส่งไปให้แอมป์ (*ตัวปรีแอมป์ Magnetic กับ QB-9 DSD Twenty เสียบผ่านตัวกรองไฟ Pulito รุ่น µ0.6hr (REVIEW) และใช้ตัว USB Isolator ของ Intona รุ่น 3.0 คั่นกลางระหว่างเอ๊าต์พุต USB ของ nucleus+ กับอินพุตของ QB-9 DSD Twenty เพื่อลด noise โดยใช้สาย USB ของ Nordost รุ่น Blue Heaven จำนวน 2 เส้นเป็นตัวเชื่อม)

เซ็ตอัพตำแหน่ง

ระยะซ้ายขวา = 172.5 ..
ห่างหลัง = 176.5 ..
ระยะนั่งฟัง (ห่างจากระนาบลำโพง) = 280 – 350 ..

คำกล่าวที่ว่า ตำแหน่งที่ลงตัวในห้องๆ หนึ่งสำหรับลำโพงแต่ละคู่ จะมีอยู่แค่ตำแหน่งเดียวอันนี้ผมพบว่าเป็นจริงตามนั้น แต่อยากจะเพิ่มเติมว่า ถ้าคุณหาตำแหน่งที่ลงตัวสำหรับลำโพงคู่ใดในห้องหนึ่งได้แล้ว เมื่อเปลี่ยนลำโพงคู่อื่นๆ เข้ามาเซ็ตอัพในห้องนั้นจะพบว่า ตำแหน่งที่ลงตัวของลำโพงคู่ที่สองสามสี่.. ก็แทบจะไม่ได้ต่างไปจากตำแหน่งลงตัวของลำโพงคู่แรกไปมากเลย อย่างดีก็ห่างจากตำแหน่งลงตัวของคู่แรกอยู่ในเร้นจ์ +/-10 .. เท่านั้น สรุปจากประสบการณ์ในห้องฟังของผม หลังจากทำการวัดสัดส่วนห้องและตีเทปทำมาร์คกิ้งเสร็จแล้ว เมื่อไฟน์จูนลำโพงคู่ใดคู่หนึ่งจนลงตัวแล้ว เมื่อเปลี่ยนลำโพงคู่ใหม่ลงไปเพื่อทำการทดสอบ ผมพบว่า ระยะลงตัวของลำโพงแต่ละคู่ในห้องฟังของผมมันห่างกันไม่เกิน +/-10 .. เท่านั้น (*กรณีที่ไม่มีปัญหาแม็ทชิ่งระหว่างแอมป์กับลำโพง)

ยกตัวอย่าง ช่วงที่ทดสอบ Special Forty ผมมีลำโพงอีกคู่ที่ทดสอบไปพร้อมกันก็คือ Dali รุ่น Epicon 6 ซึ่งเป็นลำโพงตั้งพื้น ขนาดตู้ใหญ่กว่า Special Forty หลายเท่า แต่ตำแหน่งที่ลงตัวในห้องของผมระหว่างลำโพงทั้งสองคู่นี้ห่างกันไม่เกิน +/-10 .. เท่านั้น.!

ลำโพงที่ทนกำลังขับได้สูง (เปิดได้ดัง) ในขณะที่ยังคงรักษาความถูกต้องเชิงเฟสของสัญญาณเอาไว้ได้ดี (โฟกัสไม่หลุด) และจัดความดังของเสียงจากทวีตเตอร์กับมิด/วูฟเฟอร์ออกมาได้ลงตัว (โทนัลบาลานซ์ไม่เสีย) จะทำให้ผู้ฟังสามารถขยับจุดนั่งฟังให้ห่างออกมาจากจุด sweet spot ได้ไกลกว่า ใครที่ชอบฟังไกลในระยะ mid-field ถึง far-field ต้องเลือกลำโพงที่ดีไซน์แบบ Special Forty คู่นี้ เพราะผมพบว่า แม้จะขยับจุดนั่งฟังห่างจากระนาบลำโพงออกมามากถึง 350 .. ผมก็ยังได้โฟกัสกับโทนัลบาลานซ์ที่ดี ในขณะเดียวกัน ผมยังได้เวทีเสียงที่โอ่อ่าขยายใหญ่ออกมาพร้อมกันด้วย

ขาตั้งที่ผมใช้วาง Special Forty ในการทดสอบครั้งนี้มีความสูง 24 นิ้ว มวลระดับกลาง (medium mass) เป็นขาตั้งไฮบริดจ์ไม้ผสมโลหะของแบรนด์ Atacama รุ่น Moseco XL600 (REVIEW) ซึ่งไปกับลำโพงคู่นี้ได้ดีเลย (*ใช้จานรองเดือยแหลมของ Audio Bastion รุ่น X-PAD Plus II (REVIEW) ช่วยลดเรโซแนนซ์ด้วย)

เสียงของ Special Forty

ปกติแล้ว ความไวของตัวทวีตเตอร์กับตัวมิด/วูฟเฟอร์มักจะไม่เท่ากัน ด้วยเหตุนี้ เมื่อเอาทวีตเตอร์กับมิด/วูฟเฟอร์มาลงตู้ทำลำโพงสองทาง ถ้าไม่มีวงจรเน็ทเวิร์คเข้ามาช่วยเกลี่ย ทุกระดับวอลลุ่มที่แอมป์ส่งกำลังขับไปที่ลำโพงจะมีผลให้เสียงแหลมที่ออกมาจากทวีตเตอร์ ดังกว่าเสียงกลางและทุ้มที่ออกมาจากมิด/วูฟเฟอร์ ซึ่งจะส่งผลเสียต่อ โทนัลบาลานซ์ของลำโพงคู่นั้น ยิ่งไปกว่า ถ้าไดเวอร์ทั้งสองไม่ได้ถูกจัดการทางด้าน time alignment มาดีพอ จะทำให้ความถี่ในย่านแหลมกับความถี่ในย่านกลางลงมาทุ้มไม่กลืนกัน ส่งผลเสียต่อคุณภาพเสียงทางด้านมิติโฟกัสที่ไม่คมชัด

จะเห็นว่า ในการออกแบบลำโพง มีประเด็นทางเทคนิคให้ผู้ออกแบบต้องใส่ใจและหาวิธีแก้ไขอยู่เยอะ มีแง่มุมให้ต้องคำนึงถึงอยู่มาก ถ้าผู้ออกแบบขาดความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ หรือถ้าคนออกแบบเข้าใจประเด็นเหล่านี้ แต่ขาดเครื่องไม้เครื่องมือในการที่จะวัดผลได้แม่นยำพอ และขาด tools ที่ต้องใช้ในการออกแบบ/ปรับจูนส่วนประกอบสำคัญๆ อย่างเช่นตัวตู้, ไดเวอร์ ฯลฯ ก็ยากที่จะทำลำโพงที่มีคุณภาพดีออกมาได้

ถ้าได้เข้าไปศึกษาพื้นเพของแบรนด์ Dynaudio เจ้านี้ให้ละเอียด แค่อ่านบทความต่างๆ ที่พวกเขาเขียนอธิบายไว้ในหัวข้อ ‘Dynaudio Magazine’ (ลิ้งค์) แล้วเข้าไปดูคลิปต่างๆ ในหัวข้อ ‘Ask the Expert’ (ลิ้งค์) ประกอบกัน คุณจะพบว่าแบรนด์นี้ เก๋าขนาดไหน พวกเขามีความเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาทำคือการออกแบบลำโพงในมิติที่ล้ำลึกกว่าที่เราคิดมาก เมื่อพิจารณาจากข้อความที่พวกเขาใช้ในการอธิบายแนวทางการออกแบบ Special Forty คู่นี้ (ลิ้งค์) แล้ว ทำให้เห็นว่า พวกเขามีความเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นทางเทคนิคในการออกแบบลำโพงแบบทะลุปรุโปร่งจริงๆ เขามีพูดถึงการจัดการทางด้าน phase (time) alignment กับ impedance alignment เอาไว้ด้วย มีการคัดสรรคอมโพเน้นต์ที่ใช้ออกแบบเพื่อปรับจูนอิมพีแดนซ์ด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนก่อนที่จะนำวงจรเน็ทเวิร์คแบบ 1st order เข้ามาใช้ ทั้งหมดนี้เป็นอะไรที่มีผู้ผลิตลำโพงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะลงรายละเอียดในการออกแบบมาให้รู้เยอะขนาดนี้

แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับว่า สิ่งที่พวกเขาอ้างถึงในการออกแบบนั้น มันส่งผลกับเสียงจริงมั้ย.? ถ้าจริง.. ส่งผลกับเสียงตรงจุดไหนบ้าง.?

อัลบั้ม : Necessarily So… (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Siri’s Svale Band
สังกัด : Sonor Records

เหตุผลที่ทีมออกแบบ Special Forty พยายามทำให้ทวีตเตอร์ตอบสนองความถี่ลงไปได้ต่ำๆ และพยายามรักษาคุณสมบัติทาง phase alignment และ impedance optimization ให้อยู่ในจุดที่เหมาะสมนั้น จุดประสงค์ที่พวกเขาต้องการก็คือ เพื่อให้ Special Forty สามารถรักษา โทนัลบาลานซ์ของเสียงให้อยู่ในระดับที่สมดุลระหว่างความถี่ในย่านทุ้มกลางแหลมที่เสมอกันไปตลอด ทุกระดับความดังที่ลำโพงถูกผลักดันด้วยแอมปลิฟาย และสามารถรักษา เฟสของสัญญาณให้ไม่แปรเปลี่ยน มีความคงที่และนิ่งไปตลอดระดับความดังด้วย

เพลงในอัลบั้มชุด Necessarily So… จะมีเสียงร้อง, เสียงอะคูสติกเบส, เสียงกลอง และเครื่องเป่า โดยมีเสียงร้อง, เสียงอะคูสติกเบส กับเสียงกลอง สามเสียงนี้เป็นองค์ประกอบหลักเกือบทุกเพลง ซึ่งทั้งสามเสียงนี้ต่างก็อยู่ในเร้นจ์ความถี่ที่แยกห่างกันชัดเจน คืออะคูสติกเบสอยู่ในย่านทุ้ม, เสียงร้องอยู่ในย่านกลาง และเสียงฉาบของกลองอยู่ในย่านเสียงแหลม ซึ่งถ้าลำโพงจัดโทนัลบาลานซ์มาไม่ดี จะส่งผลกระทบกับเพลงในอัลบั้มนี้ค่อนข้างชัด

ในเพลง Smoke Get In Your Eye มีเสียงร้อง, เสียงอะคูสติกเบส และเสียงมือกลองใช้แส้โลหะกวาดไล้ไปบนสแนร์ไฮแฮท และฉาบ ซึ่งทั้งสามชิ้นนี้เล่นอยู่พร้อมกัน โดยที่เสียงเบสและเสียงร้องในเพลงนี้ถูกกำหนดให้เป็นตัวเด่น ซึ่งต่างก็มีลีลาการขับร้องและบรรเลงที่โดดเด่นไม่แพ้กัน โดยมีเสียงมือกลองใช้แส้ไล้ไปบนสแนร์และฉาบดังคลอเป็นตัวประกอบอยู่ตลอด มีอยู่หลายครั้งที่ผมฟังเพลงนี้ผ่านลำโพงสองทางขนาดเล็กแล้วพบว่า ถ้าผมเปิดดังๆ เพื่อให้ได้ยินรายละเอียดของเสียงเบสออกมาชัดเจนมากที่สุด มีไดนามิกของโน๊ตเบสที่สวิงได้เต็มสเกล ผมมักจะพบว่า เสียงร้องโน๊ตบนๆ กับเสียงแส้ที่ไล้ไปบนฉาบจะมีอาการแปร๋นและจัดจ้าน โดดลอยล้ำหน้าออกมาแยงหู พอลดวอลลุ่มให้เบาลงจนอาการเพี้ยนของเสียงร้องหายไป กลายเป็นว่ารายละเอียดของเสียงเบสก็จมหายไปด้วย พลังดีดตัวของหัวเบสกับน้ำหนักของโน๊ตเบสลดลงไป รวมถึงไดนามิกก็สวิงได้ไม่เต็มสเกลด้วย เสียงโดยรวมเหมือนฟังสบายหูขึ้นแต่ทว่าอรรถรสของเพลงจางหายไปเลย

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นข้างต้นนั้นเป็นเพราะว่าลำโพงคู่นั้นจัดโทนัลบาลานซ์มาไม่ดีพอ ทุกครั้งที่มีการเร่งวอลลุ่มจากแอมป์ไปที่ลำโพง กำลังขับที่ไปถึงทวีตเตอร์และมิด/วูฟเฟอร์ไม่เท่ากัน ทำให้เสียงแหลมที่ออกมาจากทวีตเตอร์กับเสียงกลางทุ้มที่ออกมาจากตัวมิด/วูฟเฟอร์มี ความดังไม่เท่ากัน ซึ่งในแง่ของคนออกแบบ อาจจะมองว่าเป็นความตั้งใจที่จะให้ลำโพงของพวกเขามีโทนเสียงเด่นไปทางไหน คือถ้าอยากให้โทนเสียงของลำโพงออกไปทางสด สว่าง ก็จะปรับจูนให้ตัวทวีตเตอร์มีความไว สูงกว่าตัวมิด/วูฟเฟอร์นิดๆ และในทางกลับกัน ถ้าต้องการให้ลำโพงของพวกเขาให้โทนเสียงออกไปทางหนานุ่ม มวลเข้ม ก็จะปรับจูนให้มิด/วูฟเฟอร์มีความไวสูงกว่าทวีตเตอร์มากหน่อย ซึ่งนี่คือความแตกต่างที่ทีมออกแบบลำโพง Special Forty คิดไปอีกอย่าง คือพวกเขาพยายามปรับจูนและชดเชยตัวทวีตเตอร์และตัวมิด/วูฟเฟอร์ให้มี ความไวออกมาเท่าๆ กัน..

เมื่อผมทดลองฟังเพลง Smoke Get In Your Eye ในอัลบั้มนี้ผ่าน Special Forty ผมพบว่า เมื่อผมเร่งวอลลุ่มที่ปรีแอมป์ Magnetic ขึ้นไปจนถึงจุดที่ผมได้ยินเสียงอะคูสติกเบสที่มีรายละเอียดครบ ได้ยินหัวเบสที่มีทั้งความหนักและเร็ว รู้สึกได้ว่าเป็นเสียงที่เกิดจากปลายนิ้วกระตุกสายเบส แต่ละโน๊ตแยกตัวจากกันได้ชัดมาก ในขณะที่มวลของบอดี้ของเสียงเบสก็มีความแน่นและหนา แต่กระชับและเคลื่อนตัวได้ฉับไวไปตามไทมิ่งของเพลงอย่างแม่นยำ ไม่มีอาการเฉื่อย ในขณะเดียวกัน ผมก็ได้ยินเสียงร้องที่แยกตัวออกมาจากเสียงเบสได้อย่างเด็ดขาด ลอยออกมาอยู่ด้านหน้าของเสียงเบส เป็นเสียงร้องที่มีรายละเอียดชัดเจน มีเนื้อมวลที่อิ่มเข้ม มีความเชื่อมโยงของไดนามิกคอนทราสน์ที่ต่อเนื่องกันไปได้อย่างราบลื่น ไม่ขาดตอน เสียงแส้ที่ไล้ไปบนใบฉาบก็คลออยู่ตลอดด้วยระดับความดังที่พอดีๆ ไม่ได้ถูกดันออกมาจนพุ่งล้ำหน้าและไม่ได้ถูกกดจนจมหายไป ผมทดลองขยับจุดนั่งฟังถอยห่างจากจุด sweet spot ออกมาประมาณ 2 ฟุต แล้วลองเร่งวอลลุ่มเพิ่มความดังขึ้นมาอีกประมาณ 3dB เสียงทั้งหมดมีความดังมากขึ้น ชัดขึ้น บอดี้ของทุกเสียงขยายใหญ่ขึ้น อิ่มขึ้น มีพลังดีดตัวมากขึ้น แต่ก็ยังไม่รู้สึกว่าสัดส่วนความดังของเสียงร้อง, เสียงเบส และเสียงแส้ จะเปลี่ยนไป แต่ละเสียงยังคงตรึงตัวอยู่ในตำแหน่งเดิมบนเวทีเสียงได้อย่างเหนียวแน่น และนิ่ง

ผมทดลองเร่งวอลลุ่มขึ้นไปอีก พบว่า จุดที่ทำให้แต่ละเสียงเริ่มเสียทรง มีอาการวูบวาบนั้น เป็นระดับวอลลุ่มที่มีความดังมากจนล้นห้อง เกินระดับความดังที่ฟังปกติไปเยอะ และเมื่อผมทดลองหรี่วอลลุ่มให้เบาลงเรื่อยๆ ผมพบว่า ทุกระดับวอลลุ่มที่หรี่ลงไปนั้น ผมได้ยินเสียงเบสและเสียงร้องที่เบาลงไปพร้อมๆ กัน ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน

อัลบั้ม : Bizet, Beethoven, Pachelbel & Berlioz (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The All Star Percussion Ensemble
สังกัด : FIM (First Impression Music)

อัลบั้มนี้โชว์รายละเอียดของเสียงในย่านแหลมที่ดีมาก ทุกแทรคจะเป็นเสียงเพลงที่เกิดจากเครื่องดนตรีประเภทเพอร์คัสชั่นทั้งหมดที่บรรเลงแทนวงออเคสตร้าทั้งวง เสียงเครื่องเคาะในอัลบั้มนี้จึงมีทั้งเครื่องเคาะที่ทำมาจากโลหะและไม้ มีทั้งชิ้นใหญ่และชิ้นเล็ก เสียงในอัลบั้มนี้จึงมีทั้งเสียงแหลม, เสียงกลาง และเสียงทุ้มกระจายอยู่ครบทั้งย่านเสียง

หลังจากทดลองฟังอัลบั้มนี้ผ่าน Special Forty แล้ว ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้มีความสามารถในการรองรับกับไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างมาก และยิ่งไปกว่านั้น ผมพบว่ามันยังรองรับสัญญาณฉับพลันได้กว้างมากเช่นกัน บางช่วงของเพลง Carmen Fantasy ในอัลบั้มนี้ที่มีแต่เสียงเครื่องเคาะโลหะเบาๆ ผมก็ยังได้ยินชัด แม้ว่าจะเป็นเสียงที่เบามากๆ ซึ่งมาพร้อมแอมเบี้ยนต์ซึ่งเกิดจากการสะท้อนจากผนังฮอลล์ที่ใช้บันทึกแล้วแผ่เข้ามาในไมโครโฟน ซึ่งผมสังเกตุว่า ถ้าหลับตาฟัง เสียงของมวลแอมเบี้ยนต์นี้จะกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกขึ้นมา 2 อย่าง อย่างแรกคือทำให้รู้สึกถึงความโอ่โถงที่แผ่คลุมเข้ามาในห้อง คล้ายกับตัวเราถูกดึงเข้าไปอยู่ในฮอลล์ที่ใช้บรรเลงขณะนั้น กับอีกความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับน้ำเสียงโดยรวมที่ทำให้รู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินมันมี ความฉ่ำหล่อเลี้ยงอยู่โดยรอบ มีผลให้เสียงไม่แห้ง ซึ่งจุดนี้ผมถือว่า Dynaudio ได้พัฒนาตัวทวีตเตอร์ Esotar ของพวกเขาให้ก้าวข้ามไปอีกขั้นแล้ว เพราะที่ผ่านๆ มานั้น การที่จะได้มวลแอมเบี้ยนต์ออกมาแบบนี้ ลำโพงคู่นั้นจะต้องมีความสามารถในการตอบสนองความถี่ได้ สูงกว่า20kHz ขึ้นไป ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นทวีตเตอร์โดมโลหะ หรือไดเวอร์พิเศษอย่างพวก AMT กับริบบ้อนเท่านั้น ที่ผ่านมาบอกได้เลยว่า ยากที่ลำโพงที่ใช้ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมจะสามารถสร้างมวลแอมเบี้ยนต์ออกมาได้เท่ากับ Special Forty คู่นี้.!!!

อัลบั้ม : Folk Singer (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Muddy Waters
สังกัด : Mobile Fidelity Sound Lab

เพื่อความชัวร์ ผมรีบเลือกอัลบั้มชุดนี้มาลองฟังกับ Special Forty ด้วย ซึ่งผลที่ออกมาก็ยืนยันชัดเจนได้ถึงความสามารถในการถ่ายทอดมวลแอมเบี้ยนต์ที่ชัดเจน บรรยากาศอบอวลไปทั่วห้อง ยิ่งเร่งวอลลุ่มยิ่งชัดและฟังมันส์มาก และผมสังเกตอะไรได้อีกอย่างตอนทดลองฟังอัลบั้มนี้ ซึ่งที่ผ่านมาผมเคยพบว่า ถ้าเปิดดังๆ จะได้ยินเสียงสไลด์กีต้าร์โปร่งที่พุ่งแหลมออกมาเป็นช่วงๆ ซึ่งลำโพงที่ใช้ทวีตเตอร์โดมโลหะเสียงจะให้เสียงสไลด์กีต้าร์ออกมาแข็งและมีความหยาบปนออกมาด้วย

Special Forty คู่นี้แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นของทวีตเตอร์ซอฟท์โดมในแง่ที่ไม่มีเรโซแนนซ์ของวัสดุที่ใช้ทำโดมออกมาปนกับเสียงดนตรีเหมือนวัสดุประเภทโลหะ เปิดโอกาสให้สามารถเร่งวอลลุ่มได้ดังขึ้น เพื่อให้ได้อัตราสวิงของไดนามิกที่กว้างขึ้นโดยที่ไม่มีความหยาบของเสียงเป็นของแถม (ที่ไม่พึงประสงค์) ออกมาด้วย

อัลบั้ม : Gentle Jug – The Gene Ammons Story (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Gene Ammons
สังกัด : Analogue Productions

อัลบั้ม : My Foolish Heart (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Eddie Higgins Quartet, Scott Hamilton
สังกัด : Venus Jazz

ตอนที่เลือกเพลงที่ไม่ได้ฟังนานแล้วมาลองฟังกับลำโพงคู่นี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งตอนลองฟังอัลบั้มชุด Gentle Jug – The Gene Ammons Story ผมจับสังเกตได้ว่า เสียงแซ็กโซโฟนของ ‘The Bossยูจีน แอมม่อนส์มันอวบใหญ่ผิดจากที่เคยฟังมา คือถ้าเป็นลำโพงสองทางวางขาตั้งที่ใช้ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ 6.5 นิ้ว ทั่วไป ฟังอัลบั้มนี้แล้วเสียงแซ็กฯ จะไม่ออกมาอวบใหญ่ขนาดนี้ ผมลองเร่งวอลลุ่มขึ้นไปอีกหน่อย เสียงแซ็กฯ ยิ่งขยายตัวใหญ่ขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ใช่เสียงแซ็กฯ อย่างเดียว ทั้งเสียงเปียโน, เสียงเบส และเสียงกลอง ก็ขยายใหญ่ขึ้นทั้งหมด ซึ่งเป็นลักษณะเสียงที่ได้จากการบันทึกเสียงแบบ close-miking ที่นิยมกันในยุคนั้น เมื่อเลือกเพลงสแตนดาร์ดแจ๊สที่บันทึกเสียงในยุค ’50-60 ออกมาฟังผ่าน Special Forty คู่นี้แล้ว พบว่ามันให้ลักษณะเสียงออกมาคล้ายกับฟังผ่านลำโพง vintage หรือลำโพงฟูลเร้นจ์ตัวใหญ่ๆ เลย คือให้สนามเสียงที่แผ่คลุมเต็มห้อง ฟังแล้วได้อารมณ์ย้อนยุคมากเพราะซาวนด์มันใช่.!!

ตัวเสียงมีบอดี้ที่อวบใหญ่ แต่ไม่ใช่ลักษณะของเสียงที่ใหญ่แต่เบลอเพราะหลุดโฟกัสเนื่องจากเฟสไม่ซ้อนกันสนิท แต่เป็นเสียงที่มีโฟกัส นั่นทำให้ตำแหน่งของแต่ละเสียงมีความชัดเจน สามารถรับรู้ถึงตำแหน่งที่ชี้ชัดได้อย่างแม่นยำ การวางตำแหน่งของแต่ละเสียงก็มีพื้นที่ที่มั่นคง แยกแยะได้ชัด กอปรกันขึ้นเป็นเวทีเสียงที่ชัดเจน แผ่กว้างออกไปรอบด้าน และอีกจุดที่ทำให้ลำโพง Dynaudio คู่นี้มีความแตกต่างจากลำโพงสองทางวางขาตั้งทั่วไปก็คือ คุณภาพของเสียงแหลมซึ่งจะเห็นได้ชัดเมื่อลองฟังเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊สยุค ’50 – 60 ซึ่งลำโพงเล็กทั่วไปจะใช้ฟังเพลงแนวนี้ได้ไม่ดี เพราะพอเร่งความดังเพื่อให้ได้เสียงกลางและเสียงเบสที่อวบใหญ่ เสียงแหลมก็มักจะมีลักษณะที่สว่างจ้าเกินไปและพุ่งแซงหน้าเสียงกลางกับเสียงทุ้มออกมาซะก่อน ทำให้โทนัลบาลานซ์เสียสมดุลไป ซึ่ง Special Forty คู่นี้ไม่มีอาการนั้น เข้าใจว่าคงเป็นผลที่ได้มาจากการออกแบบทวีตเตอร์ให้รองรับกำลังขับได้สูงขึ้น บวกกับการใช้เน็ทเวิร์คที่ทำงานด้วยวงจรโลว์พาสและไฮพาสฟิลเตอร์ที่ใช้สโลป -6dB (1st order) นั่นเอง

สรุป

ลำโพง Dynaudio รุ่นนี้ถูกจูนเสียงออกมาได้ต่างไปจาก Dynaudio ยุคก่อนที่ผมเคยฟังมาบางอย่าง เห็นชัดว่ามันให้ ขนาดของตัวเสียงในย่านกลางและทุัมที่ขยายใหญ่ มีมวลหนา ทำให้มีความโดดเด่นในแง่ที่ถ่ายทอดเนื้อเสียงออกมาได้อิ่มใหญ่เกินตัวเมื่อเทียบกับขนาดตัวตู้ของมัน

ด้วยคุณสมบัติที่สามารถเปิดฟังที่ระดับความดังสูงๆ ได้โดยไม่มีอาการเสียดแทงของความถี่สูงออกมาแยงหูเหมือนลำโพงสองทางขนาดเล็กทั่วไปนี่แหละที่ผมถือว่าเป็นไม้เด็ดของ Special Forty คู่นี้.! มันให้เสียงที่นวลหูตลอดทั้งย่านแม้จะฟังที่ระดับความดังสูงๆ มันช่วยทำให้ฝันเป็นจริง สำหรับคนที่มีห้องเล็ก แต่อยากได้เสียงใหญ่ๆ เต็มห้องโดยที่ไม่ต้องเล่นลำโพงขนาดใหญ่ เป็นหนึ่งในลำโพงสองทางที่น่าสนใจมากที่สุดในงบประมาณ ไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับวันนี้.!!!

***********************
ราคา : 155,000 บาท / คู่
***********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Bulldog Audio

facebook: bulldogaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า