รีวิว NAT Audio รุ่น Magnetic + Transmitter HPS ปรีแอมป์หลอด + เพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อก

จุดเด่นในน้ำเสียงของแอมป์หลอดอยู่ที่ความกังวานฉ่ำของฮาร์มอนิกที่คละคลุ้ง ส่วนแอมป์โซลิดจะเก่งไปทางพละกำลัง ความเน้นย้ำที่เด็ดขาด แสดงว่าแอมป์หลอดก็ไม่ได้ มีดีไปซะทั้งหมด จุดอ่อนด้อยก็ยังมีให้เห็นอยู่บ้าง แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ.. ทำไม.? นักเล่นฯ รุ่นเก๋าที่มีประสบการณ์มานาน ผ่านอะไรมาเยอะ เล่นมาจนครบทุกกระบวนท่า สุดท้ายทำไมส่วนใหญ่ของนักเล่นฯ เหล่านั้นถึงมาฝังใจอยู่กับเสียงของแอมป์หลอดจนยอมที่จะมองข้ามเสียงทุ้มที่หย่อนความเด็ดขาดของมันไปได้.. นั่นซิ.! เป็นเพราะอะไร.?

ส่วนนักเล่นฯ ที่ฟังเพลงหลากหลาย ชอบเสียงของแอมป์หลอด แต่ก็อยากได้อรรถรสของเสียงออกมาตามแนวทางของเพลงที่มีลักษณะดุดัน แรงปะทะหนักๆ ก็มักจะเลือกเล่น แอมป์ลูกผสมซึ่งมีอยู่ 2 รูปแบบ แบบแรกก็คือ เล่นแอมป์ Hybrid ซึ่งในตัวเดียวกันจะมีทั้งภาคขยายด้วยหลอด (โดยมากจะอยู่ที่ภาคขยายส่วนหน้า) กับภาคขยายด้วยโซลิดสเตท (โดยมากจะอยู่ที่ภาคเอ๊าต์พุตสุดท้าย) ทำงานร่วมกัน ส่วนอีกรูปแบบคือใช้ปรีแอมป์ที่ใช้ภาคขยายด้วยหลอดแท้ๆ (pure tube) จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ภาคขยายด้วยทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นสองแนวทางที่ตอบโจทย์ได้ตรงใจของนักเล่นฯ ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบของทั้งหลอดและโซลิดสเตทผสมกัน

ปรีแอมป์หลอดรุ่น Magnetic

แม้ว่าอินติเกรตแอมป์ในปัจจุบันจะได้ถูกพัฒนาให้มีสมรรถนะสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะทางด้านกำลังขับที่สามารถไปได้สูง เกิน 200 วัตต์ขึ้นไป แล้ว แต่สำหรับนักเล่นฯ รุ่นใหญ่จริงๆ พวกเขายังให้ความมั่นใจระบบแอมป์ที่แยกภาคปรีฯ กับภาคเพาเวอร์ฯ ออกจากกันมากกว่า ในยุคที่ปรีแอมป์อะนาลอกแท้ๆ หายากอย่างในปัจจุบัน (เพราะปรีแอมป์บางส่วนผนวกเอา DAC เข้ามาไว้ในตัว) ยังนับว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสพบเจอกับปรีแอมป์แบรนด์ NAT Audio จากประเทศเซอร์เบียตัวนี้ ซึ่งเป็นปรีแอมป์อะนาลอกแท้ๆ ที่ออกแบบโดยใช้หลอดสุญญากาศล้วนๆ ในการจัดการกับสัญญาณ

รูปร่างหน้าตา

1 = ปุ่มกดสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง และกดเพื่อหยุดเสียงชั่วคราว (mute)
2 = ปุ่มปรับเพิ่ม/ลดความดัง
3 = ไฟ LED สีฟ้า เรียงเป็นแถว ใช้แสดงตำแหน่งของช่องอินพุตที่กำลังใช้งาน
4 = ไฟ LED สีฟ้า เรียงเป็นแถว ใช้แสดงระดับของวอลลุ่มที่ใช้
5 = ช่องรับสัญญาณรีโมทไร้สาย
6 = ไฟ LED ดวงบนจะสว่างขึ้นตอนใช้ฟังท์ชั่น mute ส่วนดวงล่างจะสว่างขึ้นตอนเปิดเครื่องใช้งาน
7 = ปุ่มกดเลือกตำแหน่งอินพุต
8 = ปุ่มกดเลือกอินพุต/เอ๊าต์พุตระหว่าง RCA กับ XLR

ปรีแอมป์ตัวนี้ใช้ตัวถังเดียวกันกับอินติเกรตแอมป์รุ่น Single HPS ที่ผมทดสอบไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา (https://bit.ly/48Rf4Gu) หน้าตามันจึงเหมือนกันเป๊ะ.! ตำแหน่งของปุ่มกดและไฟ LED ที่ใช้แสดงลักษณะการทำงานก็อยู่ในตำแหน่งเดียวกัน จุดที่ต่างกันมีอยู่แค่จุดเดียวคือปุ่มกดที่อยู่ทางขวามือสุดของหน้าปัดซึ่งตัวอินติเกรตแอมป์มีไว้สำหรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของภาคขยายระหว่าง Low Power กับ High Power ในขณะที่ตัวปรีแอมป์ใช้ปุ่มนี้ในการปรับเลือกรูปแบบของขั้วต่อสัญญาณระหว่างซิงเกิ้ลเอ็นด์ (RCA) กับบาลานซ์ (XLR)

สำหรับการควบคุมสั่งงานทุกอย่างบนปรีแอมป์ตัวนี้ ผมพบว่า สั่งงานผ่านทางรีโมทไร้สายที่แถมมาให้สะดวกกว่าใช้ปุ่มกดบนหน้าปัดเครื่องมาก วอลลุ่มของปรีแอมป์ตัวนี้แบ่งออกเป็น 96 ระดับ แสดงโดยไฟ LED สีฟ้าจำนวน 16 ดวง ที่เรียงกันอยู่ตอนล่างของหน้าปัด โดยที่ LED แต่ละดวงจะแทนค่าความดังที่ต่างกันเท่ากับ 6dB กรณีที่คุณใช้รีโมทไร้สายทำการควบคุมวอลลุ่มเพื่อเพิ่ม/ลดความดัง คุณต้องกดลงไปที่ปุ่มวอลลุ่มบนรีโมทถึง 6 ครั้งไฟ LED จึงจะสว่างขึ้นหนึ่งดวง ซึ่งเป็นการแสดงผลที่ดูยากอยู่สักหน่อย เวลาปรับวอลลุ่มจริงๆ ผมจะใช้วิธีฟังเอามากกว่า พอได้ความดังที่พอใจแล้วจึงค่อยหันไปมองว่าไฟ LED สว่างขึ้นมากี่ดวง ก็จำไว้พอเป็นไอเดีย

อินพุต / เอ๊าต์พุต

9 = เต้ารับปลั๊กไฟสำหรับสายไฟเอซี
10 = เมนสวิทช์
11 = จุดเชื่อมต่อกราวนด์
12 = ช่องใส่ฟิวส์
13 = สวิทช์สำหรับเลือกเชื่อมต่อกราวนด์เข้ากับตัวถัง
14 = ช่องสัญญาณเอ๊าต์พุต out1 และ out2
15 = ช่อง ta out และ ta in สำหรับเครื่องบันทึกเสียง

ปรีแอมป์รุ่น Magnetic ตัวนี้ให้อินพุตมาทั้งหมด 6 ชุด โดยที่หนึ่งในนั้นเป็นลู๊ป In/Out (15) ที่ใช้กับเครื่องบันทึกเสียง ส่วนอีก 5 อินพุตที่เหลือเป็นอินพุตระดับ Line Stage ที่รองรับสัญญาณที่มีความแรงอยู่ในระดับ 2.0V (+/-) โดยแต่ละอินพุตจะมีชื่อกำกับไว้ด้วย เริ่มจาก CD (a), DVD (b), Tape (c), Tuner (d), AUX1 (e) และ AUX2 (f) ส่วนทางด้านเอ๊าต์พุตก็มีมาให้ใช้ถึง 2 ชุด (14)

ความพิเศษของปรีแอมป์ตัวนี้อยู่ที่ขั้วต่อ ซึ่งดูจากรูปจะเห็นว่า ทุกตำแหน่งของการเชื่อมต่อสัญญาณจะมีขั้วต่อให้เลือกใช้ทั้ง 2 รูปแบบวางเคียงคู่กันอยู่นั่นคือ RCA กับ XLR ครบหมดทุกช่องรูเสียบของอินพุตและเอ๊าต์พุต.! นั่นก็หมายความว่า คุณสามารถนำปรีแอมป์ตัวนี้ไปแม็ทชิ่งกับเพาเวอร์แอมป์และแหล่งต้นทางของคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกสถานการณ์ ไม่ว่าเพาเวอร์แอมป์และแหล่งต้นทางของคุณจะใช้มาตรฐานการเชื่อมต่อด้วย RCA หรือ XLR

สิ่งที่นักเล่นเครื่องเสียงหวั่นเกรงกันมากเรื่องหนึ่งก็คือ เสียงฮัมหรือ เสียงจี่ที่เกิดจากระบบกราวนด์ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดจากต้นเหตุสำคัญก็คือ กราวนด์ลู๊ปนั่นเอง เพื่อช่วยแก้ปัญหานี้ วิศวกรที่ออกแบบปรีแอมป์ตัวนี้จึงได้ทำสวิทช์ไว้ให้หนึ่งอัน (13) ใช้สำหรับกดเลือกว่าจะให้กราวนด์ของสัญญาณที่มากับสายสัญญาณเชื่อมต่อเพื่อถ่ายเทไปกับตัวถังเครื่องหรือไม่

ทำไมต้องมีฟังท์ชั่นนี้.? สาเหตุก็เพราะว่าการทำงานของวงจรในปรีแอมป์ตัวนี้ถูกออกแบบให้เปิดรับและปล่อยผ่าน ความถี่ที่มีแบนด์วิธกว้างมากเป็นพิเศษ คือตั้งแต่ 2Hz ขึ้นไปจนถึง 350kHz (สามแสนห้าหมื่นเฮิร์ต.!!) ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ภายในซิสเต็มตรงจุดใดที่ทำตัวเป็นเสาอากาศ เปิดช่องให้คลื่น RF เล็ดลอดเข้ามา ก็มีโอกาสที่จะทำให้คลื่นรบกวนนั้นแทรกผ่านวงจรในปรีแอมป์ตัวนี้แล้วทะลุผ่านไปถึงเพาเวอร์แอมป์จนไปเกิดเป็นเสียงฮัมหรือจี่โผล่ออกทางลำโพงได้ วิธีใช้งานฟังท์ชั่นนี้ก็คือ หลังจากทำการเชื่อมต่อสายสัญญาณและสายลำโพงจบครบทั้งซิสเต็มแล้ว เมื่อกดสวิทช์เมนเปิดเครื่องขึ้นมาทั้งระบบ ถ้ามีเสียงฮัมหรือเสียงจี่ดังออกมาจากลำโพง ให้ลองกดสวิทช์ตัวนี้ไปที่ตำแหน่ง On หรือ Off แล้วดูว่าตำแหน่งใดที่ทำให้เสียงฮัมหรือจี่หายไป หรือเหลือน้อยที่สุดก็ให้เลือกปรับตั้งไว้แบบนั้น

ในสเปคฯ แจ้งว่า สัญญาณอะนาลอกเอ๊าต์พุตของปรีแอมป์ตัวนี้จะให้ออกไปเป็นสัญญาณ invert phase นั่นก็หมายความว่า ถ้านำปรีแอมป์ตัวนี้ไปใช้ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ที่ขยายสัญญาณด้วยเฟสปกติ คือเข้ามายังไงก็ออกไปอย่างนั้น หรือเข้ามาเป็น 0 องศา ตอนออกไปก็เป็น 0 องศา (in/out phase = 0 องศา) ลักษณะนี้ก็ต้องไปทำการสลับขั้วสัญญาณที่ขั้วต่อของลำโพงจาก + ไปเข้า และจาก ไปเข้า + จึงจะได้สัญญาณออกมาถูกเฟส

ในภาพข้างบนแสดงตัวอย่างในการเชื่อมต่อสายลำโพงจากเพาเวอร์แอมป์เข้ากับลำโพง DynaudioSpecial Fortyจะเห็นว่า สายลำโพงขั้ว (เส้นสีดำ) กับสายลำโพงขั้ว + (เส้นสีแดง) ต่อไขว้สลับกัน เป็นการแก้มุมเฟสจากเอ๊าต์พุตของปรีแอมป์ Magnetic ให้กลับมาเป็นเฟสปกติก่อนเข้าไปที่ลำโพง

ปรีแอมป์ Magnetic ตัวนี้ให้เอ๊าต์พุตมาสองชุด ใครอยากจะลองเล่นระบบไบแอมป์แบบ Horizontal Bi-amp ที่ใช้เพาเวอร์แอมป์สเตริโอ 2 ตัวแยกกันขับแหลมและทุ้มของลำโพงที่แยกขั้วต่อสายลำโพงสองชุดก็สามารถใช้ปรีแอมป์ตัวนี้เป็นตัวจ่ายสัญญาณได้เลย

ดีไซน์

หลอดที่ใช้ในปรีแอมป์ตัวนี้มีอยู่ทั้งหมด หลอด โดยหลอดที่ใช้จัดการกับสัญญาณมีอยู่ทั้งหมด 4 หลอด แยกกันทำงานแชนเนลละ 2 หลอด ลักษณะเป็นหลอดขนาดเล็ก ทรงผอมๆ เรียวๆ ซึ่งทางผู้ผลิตไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับหลอดตัวนี้เอาไว้ ในคู่มือบอกแค่ว่าเป็นหลอด millitary grade super-miniature vacuum tube N.O.S. เท่านั้น ส่วนอีก 2 หลอด เป็นหลอดเบอร์ PY88 ซึ่งใช้ในภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่แยกซ้ายขวาข้างละหลอด เป็นหลอด N.O.S. เหมือนกัน

หน้าตาของหลอด PY88 ที่ใช้ในภาคเพาเวอร์ซัพพลาย

หลอด PY88 ติดตั้งอยู่ที่มุมด้านซ้ายและขวาด้านหน้าเครื่อง ส่วนการออกแบบวงจรภายในมีการแยกแชนเนลซ้ายและขวาออกจากกันในลักษณะที่เรียกว่า Dual Mono, ไม่ใช้สัญญาณฟีดแบ็คใดๆ เลย, ใช้ทรานสฟอเมอร์เชื่อมต่อวงจรโดยไม่ใช้คาปาซิเตอร์ (แบบนี้ noise ต่ำแน่ๆ.!), แยกทรานสฟอเมอร์สำหรับภาคอะนาลอกและส่วนดิจิตัลที่ใช้ควบคุมการทำงาน (ไม่เกี่ยวกับสัญญาณเสียงเลย)

ตัวเอ๊าต์พุต ทรานสฟอเมอร์ก็ออกแบบและสั่งพันพิเศษ โดยใช้ลวดตัวนำ nano-crystalline core ซึ่งคัสต้อมสำหรับ NAT Audio โดยเฉพาะ พันด้วยมือทั้งหมด ใช้จำนวน 3 ตัวแยกสำหรับสัญญาณอะนาลอก 2 ตัวและสำหรับจ่ายไฟให้ภาคคอนโทรลดิจิตัลอีก 1 ตัว ภาควอลลุ่มก็ออกแบบพิเศษ ควบคุมด้วยรีเลย์

ขอบเขตของการตอบสนองความถี่ของปรีแอมป์ตัวนี้เปิดกว้างสุดๆ ไล่ตั้งแต่ 2Hz ขึ้นไปจนถึง 450kHz (-3dB) ในขณะที่ให้แบนด์วิธ 20Hz – 20kHz (+.-0.1dB) จึงมั่นใจได้ว่า แอมป์เบี้ยนต์มาเต็มแน่นอน.! THD & N ก็ <0.1% เท่านั้น นับว่าต่ำมากเมื่อเทียบกับแอมป์หลอดทั่วไป

ปรีแอมป์ Magnetic มีรีโมทไร้สายมาให้ใช้ควบคุมเครื่องระยะไกลด้วย

เพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อก
รุ่น
Transmitter HPS

คุณโจ้ กับคุณธง จากสำนัก Sound Box ยกเพาเวอร์แอมป์รุ่น Transmitter HPS มาพร้อมกับปรีแอมป์รุ่น Magnetic เพื่อให้ผมทดลองฟังพร้อมกัน ซึ่งเป็นคู่ปรี+เพาเวอร์ฯ หลอดที่เหมาะสมกันมากเพราะออกแบบมาจากแบรนด์เดียวกัน

คุณธง กำลังประกอบร่างเพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS โดยมีคุณโจ้ คอยควบคุมอย่างใกล้ชิด ซึ่งเพาเวอร์แอมป์ตัวนี้ใช้ไฟเลี้ยงสูงมาก ต้องใช้ความพิถีพิถันมากหน่อย ตั้งแต่การขนย้ายเพราะน้ำหนักเยอะ ไปจนถึงการประกอบร่างที่ต้องแม่นยำ หลอดต้องตรึงอยู่ในซอคเกตอย่างแน่นหนา ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพเสียง คุณโจ้เน้นให้ฟังว่า หลอดแต่ละข้างต้องติดตั้งตามนั้น ข้างใครข้างมัน ห้ามสลับเปลี่ยนโดยเด็ดขาด เพราะผู้ผลิตจูนมาด้วยกันแล้ว

ขึงขัง อลังการมาก..!!

1. หลอดเอ๊าต์พุต QB5/1750
2. หลอดอินพุต (ขวา) และหลอดภาคไดร้ (ซ้าย) เบอร์ 6N6P
3. หม้อแปลง output
4. หม้อแปลง power สำหรับไฟเข้า
5. สวิทช์เปิด/ปิดเครื่อง
6. สวิทช์เลือกโหมด High/Low
7. ไฟ LED แสดงสภาวะของตัวเครื่อง

เพาเวอร์แอมป์คู่นี้มีขนาดใหญ่มาก น้ำหนักข้างละ 40 กิโลกรัม ตัวถังที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าหน้าแคบแต่ลึก มีการจัดวางเลย์เอ๊าต์ของหลอดและทรานสฟอเมอร์ทั้งสองก้อนออกมาในลักษณะมาตรฐานลุคเดียวกับแอมป์หลอดโมโนบล็อกระดับโลกหลายๆ คู่ อย่างพวก Cary Audio Design รุ่น CAD-805 หรือ Jadis รุ่น JA30 ประมาณนั้น

เพื่อ ขูดรีดความบริสุทธิ์และเพื่อให้เข้าถึงบุคลิกเสียงที่แท้จริงของหลอดเพาเวอร์เบอร์ QB5/1750 (1) ให้ได้มากที่สุด คนออกแบบแอมป์คู่นี้จึงเลือกใช้วงจรขยายแบบ single ended, class-A ที่มีเส้นทางสัญญาณและขั้นตอนการทำงานที่สั้นที่สุด และเพื่อให้ได้ ตัวตนของเสียงจากหลอดยักษ์หลอดนี้ออกมาตรงปกมากที่สุด พวกเขาจึงเลือกใช้ดีไซน์รูปแบบการทำงานของวงจรขยายเอ๊าต์พุตแบบที่ ไม่ใช้วงจรป้อนกลับเข้ามาเกี่ยวข้องเลย (zero global feedback) และใช้วิธีส่งกำลังจากหลอดไปที่เอ๊าต์พุตของแอมป์แบบ “ต่อตรง(direct heated triode) เพื่อให้สัญญาณเสียงถูกขับออกไปจากหลอดเอ๊าต์พุตแบบตรงไปตรงมามากที่สุดนั่นเอง

พวกเขาใช้หลอด 6N6P สองหลอด (2) ที่ส่วนหน้าของหลอดเพาเวอร์ฯ โดยหลอดหนึ่งทำหน้าที่จัดการกับสัญญาณอินพุต ส่วนอีกหลอดรับหน้าที่เป็นภาคไดร้ ขยายสัญญาณจากอินพุตก่อนส่งไปที่อินพุตของหลอดเพาเวอร์ฯ ซึ่งเป็นดีไซน์ที่ทำให้สัญญาณจากอินพุตไปจนถึงหลอดเอ๊าต์พุตเดินทางด้วยระยะทางที่สั้นมาก ตรงนี้ก็ความความพยายามของผู้ออกแบบที่ต้องการรักษาความสะอาดบริสุทธิ์ของสัญญาณเอาไว้ให้ใกล้เคียงกับต้นฉบับที่เข้ามาทางอินพุตให้ได้มากที่สุดนั่นเอง (แน่นอนว่าส่งผลดีต่อคุณสมบัติทางด้านเฟสของสัญญาณมากเป็นพิเศษ.!)

นอกจากนั้น ในส่วนต่างๆ ที่มีผลต่อเสียงอย่างเช่น เอ๊าต์พุตทรานสฟอเมอร์ก็ออกแบบมาพิเศษสำหรับแอมป์รุ่นนี้โดยเฉพาะ พันลวดเอ๊าต์พุตด้วยมือ, ใช้คาปาซิเตอร์โพลี่โพรไพลีนในภาคเพาเวอร์ซัพพลาย ซึ่งเป็นแบบ hybrid regulated power supply ซึ่งเป็นเทคนิคใหม่ที่นำมาใช้ในรุ่นนี้ (ที่มาของตัวอักษรท้ายรุ่น HPS นั่นเอง), และใช้ in-oil คาปาซิเตอร์กับเทฟล่อน คาปาซิเตอร์เกรดทหารในจุดสำคัญๆ ของวงจรที่ส่งผลกับเสียง ซึ่งเป็นคาปาซิเตอร์แบบ เก่าเก็บ” (New Old Stock)

ภาคขยายของเพาเวอร์แอมป์คู่นี้ถูกออกแบบมาให้เลือกใช้ 2 โหมด คือโหมด High ซึ่งให้กำลังขับข้างละ 80W กับโหมด Low ที่ให้กำลังขับข้างละ 40W ผู้ใช้สามารถเลือกได้จากการโยกก้านสวิทช์ (6) บนหน้าปัด และการเปิด/ปิดเครื่องก็ใช้วิธีโยกก้านสวิทช์ (5) ลักษณะเดียวกัน ซึ่งก่อนจะโยกก้านสวิทช์ตัวนี้คุณต้องดึงก้านสวิทช์ออกมานิดนึงก่อน มันเป็นระบบกลไกล็อคสวิทช์ อย่าฝืนโยกขึ้นหรือลงโดยไม่ดึงก้านสวิทช์ออกมาเพราะจะทำให้ก้านสวิทช์เสียหายได้

ขั้วต่อ

เพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS มีทั้งหมด 2 เวอร์ชั่น เวอร์ชั่นแรกคือ single ended ซึ่งให้ขั้วต่อ RCA มาชุดเดียว ส่วนอีกเวอร์ชั่นเป็นเวอร์ชั่น balance ซึ่งติดตั้งขั้วต่อ XLR มาให้โดยมีให้เลือกอ๊อปชั่นได้ 2 อ๊อปชั่น ระหว่างเวอร์ชั่นที่ใช้อินพุต ทรานสฟอเมอร์ที่พันด้วยลวดทองแดง กับเวอร์ชั่นที่ใช้อินพุต ทรานสฟอเมอร์ที่พันด้วยลวดตัวนำทองแดง OFC เส้นเล็กระดับนาโน เคลือบผิวด้วยเงิน (nano-cystalline core silver-ofc coiled) ซึ่งราคาก็จะต่างกันในแต่ละเวอร์ชั่น

8. ขั้วต่ออินพุต RCA สำหรับสัญญาณซิงเกิ้ลเอ็นด์
9. ข้วต่ออินพุต XLR สำหรับสัญญาณบาลานซ์
10. สวิทช์โยกเพื่อเลือกขั้วต่ออินพุต
11. สวิทช์กราวนด์
12. ขั้วต่อสายลำโพงเฟสลบ
13. จุดติดตั้งฟิวส์
14. เต้ารับสำหรับหัวปลั๊กสายไฟเอซีเข้าเครื่อง
15. ขั้วต่อสายลำโพงเฟสบวก สำหรับอิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม
16. ขั้วต่อสายลำโพงเฟสบวก สำหรับอิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม
17. ขั้วต่อสายกราวนด์

ภาพด้านบนนั้นเป็นแผงหลังข้างหนึ่งของเพาเวอร์แอมป์รุ่นนี้ ซึ่งเป็นเวอร์ชั่น XLR ที่อินพุต ทรานสฟอเมอร์ที่พันด้วยลวดตัวนำ nano-cystalline core silver-ofc coiled อีกข้างก็มีลักษณะเดียวกัน จากซ้ายไปขวา เริ่มด้วยช่องอินพุตที่มีมาให้ทั้งแบบอันบาลานซ์ (8) ผ่านขั้วต่อ RCA กับอินพุตสำหรับสัญญาณบาลานซ์ (9) ผ่านขั้วต่อ XLR ซึ่งสามารถเชื่อมต่อสัญญาณขาเข้าได้แค่ช่องเดียว คุณต้องเลือกว่าจะใช้อินพุตไหนระหว่าง RCA กับ XLR โดยโยกสวิทช์ (10) ไปทางซ้ายถ้าเลือกอินพุต RCA และโยกไปทางขวาถ้าต้องการใช้งานอินพุต XLR อย่าลืมว่าก่อนโยกสวิทช์นี้ให้ดึงก้านสวิทช์ออกมาเพื่อปลดล็อคซะก่อน ลักษณะเดียวกับสวิทช์เปิด/ปิดเครื่องกับสวิทช์เลือกโหมดการทำงานของเครื่องที่อยู่บนแผงหน้านั่นเอง

ถัดไปก็เป็นสวิทช์เชื่อมกราวนด์ของสัญญาณอินพุตเพื่อถ่ายลงตัวถังเครื่อง (11) ถ้ามีเสียงฮัมหรือจี่เกิดขึ้นในระบบ ให้ทดลองกดสวิทช์นี้ดูอาจจะแก้ปัญหาได้ ตรงขั้วต่อสายลำโพงจะมีขั้วต่อเฟสบวก (สีแดง) ให้เลือกอยู่ 2 ขั้วต่อ คือ 8 โอห์ม (15) กับ 4 โอห์ม (16) ซึ่งในการใช้งานให้ดูจากสเปคฯ อิมพีแดนซ์ของลำโพงว่าเป็น 4 หรือ 8 โอห์ม ก็ให้เชื่อมสายลำโพงไปตามนั้น และทางผู้ผลิตมีย้ำเตือนไว้ว่า ห้าม ต่อเชื่อมที่ขั้วต่อ 4 และ 8 โอห์มพร้อมกัน

เซ็ตอัพเพื่อการทดสอบ

ผมเริ่มต้นทดสอบปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ของ NAT Audio คู่นี้ด้วยการจับคู่มันเข้าด้วยกัน โดยใช้ Roon nucleus+ กับ Ayre Acoustic QB-9 DSD Twenty เป็นแหล่งต้นทาง โดยส่งสัญญาณเอ๊าต์พุตจาก QB-9 DSD Twenty ไปเข้าที่อินพุตของปรีแอมป์ Magnetic ซึ่งในช่วงแรกของการทดสอบ ผมลองใช้การเชื่อมต่อสัญญาณด้วยรูปแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ ตลอดเส้นทางคือใช้เอ๊าต์พุต RCA ของ QB-9 DSD Twenty ไปเข้าที่อินพุต RCA ข่อง AUX1 ของปรีแอมป์ Magnetic ด้วยสายสัญญาณ Nordost รุ่น Tyr II ยาว 2 เมตร แล้วต่อเชื่อมเอ๊าต์พุต RCA Out 1 ของปรีฯ ไปเข้าที่อินพุต RCA ของเพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS โดยใช้สายสัญญาณของ Life Audio รุ่น Gold MK II ยาว 7 เมตร หลังจากทดลองฟังเสียงการเชื่อมต่อแบบแรกนี้เสร็จแล้ว ผมก็เปลี่ยนมาใช้การเชื่อมด้วยรูปแบบบาลานซ์ ตลอดเส้นทางโดยใช้สายบาลานซ์ของ Nordost รุ่น Valhalla ยาว 1.5 เมตรเชื่อมต่อระหว่าง QB-9 DSD Twenty กับปรีแอมป์ Magnetic และใช้สายบาลานซ์ของ Life Audio รุ่น Gold MK II ยาว 6 เมตร เชื่อมต่อระหว่างปรีแอมป์ Magnetic กับเพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS

ทดลองขับลำโพง PSBImagine T65

ทดลองขับลำโพง DynaudioSpecial Forty

ทดลองขับลำโพง DaliEpicon 6

ส่วนลำโพงที่ใช้ทดสอบปรี+เพาเวอร์ฯ คู่นี้มีทั้งหมด 3 คู่ ด้วยกัน เรียงลำดับตามราคา ตารางข้างบนนี้แสดงคุณสมบัติบางส่วนของลำโพงทั้งสามคู่นี้ซึ่งสามารถใช้วิเคราะห์ประเมินสำหรับการแม็ทชิ่งกับปรี+เพาเวอร์ฯ NAT Audio ได้คร่าวๆ คู่แรกที่ผมใช้ทดลองฟังกับปรี+เพาเวอร์หลอดคู่นี้ เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางยี่ห้อ PSB รุ่น Imagine T65 (REVIEW) ราคาคู่ละเกือบแปดหมื่นบาท มีความไวสูงถึง 90dB คู่ที่สองเป็นลำโพงสองทางวางบนขาตั้งของยี่ห้อ Dynaudio รุ่น Special Forty ราคาประมาณแสนกลางๆ ส่วนคู่ที่สามที่ผมใช้ปิดท้ายการฟังทดสอบปรี+เพาเวอร์หลอดคู่นี้ เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลาง ยี่ห้อ Dali รุ่น Epicon 6 ราคาประมาณสี่แสนกลางๆ ต่อคู่

กำลังขับของ Transmitter HPS มีให้เลือกใช้ 2 โหมด คือโหมด High ได้ 80W ในขณะที่โหมด Low ได้ 40W แต่เนื่องจาก Transmitter HPS เป็นแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาส เอ ถ้าจะเทียบกับกำลังขับของแอมป์โซลิดสเตท class AB โดยทั่วไป ก็จะเทียบได้กับแอมป์โซลิดสเตท class AB ที่มีกำลังขับประมาณ 40 x 3 = 120W ที่โหมด Low และพุ่งขึ้นไปถึงประมาณ 80 x 3 = 240W ที่โหมด High ซึ่งถือว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอ็นด์ คลาส เอ ที่ให้กำลังขับสูงมาก

ระวังเรื่อง เฟส” ..!!!

*** เอ๊าต์พุตของปรีแอมป์ Magnetic ให้สัญญาณเสียงออกมาเป็นแบบ สลับเฟส 180 องศา” (invert phase) ส่วนตัวเพาเวอร์แอมป์นั้น ที่เอ๊าต์พุต 8 โอห์ม จะเป็นแบบ สลับเฟส 180 องศา” (invert phase) แต่ที่เอ๊าต์พุต 4 โอห์ม จะเป็นแบบ เฟสตรง 0 องศา” (non invert) เวลาเชื่อมต่อต้องระวังส่วนนี้ด้วย คือถ้าใช้ Magnetic + Transmitter HPS ชุดนี้เชื่อมต่อกับลำโพงที่เอ๊าต์พุตอิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม ก็ให้ต่อสายลำโพงจากเพาเวอร์แอมป์ไปที่ลำโพง แบบ +/- ปกติ” (แดง > แดง, ดำ > ดำ) แต่ถ้าใช้เอ๊าต์พุตที่ 4 โอห์ม ต้องต่อสายลำโพงจากเพาเวอร์แอมป์ไปที่ลำโพงแบบ สลับเฟสระหว่าง +/-ที่ขั้วต่อลำโพง คือ แดง > ดำ, ดำ > แดง)

*** างผู้ผลิต ไม่แนะนำให้ใช้เอ๊าต์พุตบาลานซ์ (XLR) ของปรีแอมป์ Magnetic กับเพาเวอร์แอมป์ที่เป็นบาลานซ์เทียม นั่นคือ ถ้าจะใช้เอ๊าต์พุตบาลานซ์ (XLR) ของปรีแอมป์ Magnetic กับเพาเวอร์แอมป์ยี่ห้ออื่น ต้องมั่นใจว่าภาคขยายของเพาเวอแอมป์ยี่ห้ออื่นตัวนั้นออกแบบมาเป็นบาลานซ์แท้เท่านั้น.!!!

ผลการทดลองฟังกับลำโพงทั้ง 3 คู่

ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า เพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS คู่นี้จะแผ่ความร้อนออกมามากพอสมควรที่เปิดใช้งาน แต่ถ้าห้องที่นำไปใช้มีขนาดใหญ่และมีแอร์ก็ไม่มีปัญหา

ในจำนวนลำโพงทั้ง 3 คู่ ที่เอามาทดลองฟังกับปรี+เพาเวอร์ฯ ของ NAT Audio คู่นี้ ลำโพง PSBImagine T65มีความไวสูงที่สุด คืออยู่ที่ 90dB ที่ 8 โอห์ม และแนะนำกำลังขับ ต่ำสุดอยู่ที่ 20W เท่านั้น ในขณะที่ DaliEpicon 6มีความไวรองลงมาคือ 88dB ที่ 5 โอห์ม แนะนำกำลังขับต่ำสุดอยู่ที่ 50W และ DynaudioSpecial Fortyมีความไวต่ำที่สุดในสามคู่นี้ คืออยู่ที่ 86dB เมื่อวัดที่โหลด 6 โอห์ม แต่ไม่ได้แนะนำกำลังขับต่ำสุดเอาไว้ ซึ่งถ้าวิเคราะห์จากตัวเลขสเปคฯ ความไว + แอมพีแดนซ์ + กำลังขับต่ำสุดที่แนะนำของลำโพงแต่ละตัว จะพบว่า PSBImagine T65ขับง่ายสุด รองลงมาคือ DaliEpicon 6ตบท้ายด้วย DynaudioSpecial Forty

*** ข้อสังเกต สเปคฯ อิมพีแดนซ์ทั้งของ DynaudioSpecial Fortyและของ DaliEpicon 6แสดงถึงความซับซ้อน ละเอียดอ่อนของการออกแบบวงจรเน็ทวิร์คของลำโพงสองคู่นี้ ทำให้ตัวเลขอิมพีแดนซ์ของลำโพงสองคู่นี้วัดออกมาได้ ต่ำกว่ามาตรฐานของลำโพงโฮมยูสที่ระดับ 8 โอห์ม ซึ่งแน่นอนว่า สเปคฯ แปลกๆ ลักษณะนี้จะส่งผลต่อการทำงานของแอมปลิฟายพอสมควรในการคลี่คลายทั้งความถี่และไดนามิกออกมาจากลำโพงทั้งสองคู่นี้ได้อย่างหมดจดจริงๆ นั่นคือแอมปลิฟายต้องมีสมรรถนะที่สูงพอถึงจะสามารถ render สัญญาณเสียงผ่านลำโพงระดับนี้ออกมาได้อย่างสวยงาม

สรุปเสียงโดยรวมของปรีฯ Magnetic + เพาเวอร์ฯ Transmitter HPS

ถ้าพิจารณากันในแวดวงของผู้ผลิตแอมป์หลอดที่มีอยู่ในวงการเครื่องเสียงแล้ว ต้องยอมรับว่า NAT Audio เป็นหนึ่งในผู้ผลิตไม่กี่เจ้าในโลกที่ใช้หลอดเพาเวอร์ขนาดใหญ่ๆ เบอร์แปลกๆ แบบนี้ ซึ่งบอกเลยว่า หลังจากได้ลองฟังเสียงของหลอดเอ๊าต์พุตใหญ่ๆ แบบนี้แล้ว มันทำให้ผมต้อง ลบความทรงจำเกี่ยวกับเสียงของแอมป์หลอดที่เคยฟังมาไปจากสมอง แล้วเอาสิ่งที่ได้ยินจากเสียของหลอดใหญ่ๆ แบบนี้บันทึกลงไปแทน.. มันให้ประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับเสียงของแอมป์หลอดที่ผมอยากจะใช้คำจำกัดความสั้นๆ ว่า สมบูรณ์แบบมากที่สุดเท่าที่เคยฟังแอมป์หลอดมา..!!!

หลังจากทดลองฟังเสียงโดยการปรับเลือกกำลังขับของเพาเวอร์แอมป์ Transmitter HPS ทั้ง 2 โหมดเทียบกันแล้ว ผมพบว่า เมื่อขับลำโพงที่มีความไวสูงพออย่าง PSBImagine T65ผมชอบเสียงที่ได้จากโหมด Low มากกว่าที่โหมด High เพราะได้เนื้อเสียงออกมาเนียนกว่า ในขณะที่ไดนามิกก็ไม่ถึงกับยวบยาบ ทรานเชี้ยนต์ไดนามิกที่ได้จากสัญญาณที่สวิงฉับพลันก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ ไม่เฉื่อย ไทมิ่งดีเยี่ยม เสียงโดยรวมเปิดกระจ่าง รายละเอียดของเสียงถูกเปิดเผยออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนตั้งแต่ย่านสูงสุดลงมาถึงย่านต่ำสุด ฟังจบแล้วอยากจะพูดว่า ดีที่สุดเท่าที่ PSBImagine T65จะสามารถทำได้แล้ว.!!

อัลบั้ม : Wilson Audio Ultimate Reference CD (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Top Music

แม้ว่าที่โหมด Low ของ Transmitter HPS จะให้กำลังขับออกมาแค่ 40W แต่นั่นก็แค่ตัวเลข.! เมื่อฟังจากเสียงจริงที่ปรากฏขึ้นมาในห้องฟังของผม มันไม่ได้มีอาการไหนเลยที่จะแสดงออกมาให้เห็นว่าแอมป์ฯ ไม่พอ.! เสียงเพอร์คัสชั่นหนักๆ เร็วๆ กระชั้นๆ และมีพลังในเพลง Mating Dance จากอัลบั้มชุด Wilson Audio Ultimate Reference CD ที่หลุดลอยออกมาจากตัวตู้ PSBImagine T65กระจายออกไปทั่วห้องและดีดเด้งอย่างมีชีวิตชีวาเป็นเครื่องพิสูจน์ที่ชัดเจนว่ากำลัง 40W ของ Transmitter HPS นั้นอยู่ในเกณฑ์ เหลือเฟือสำหรับ PSBImagine T65คู่นี้

อัลบั้ม : Dream with Dean – The Intimate Dean Martin (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Dean Martin
สังกัด : Reprise

อัลบั้ม : The Nat King Cole Story (DSF64)
ศิลปิน : Nat King Cole
สังกัด : Analogue Productions / Capital

เมื่อใช้ Magnetic + Transmitter HPS ขับ DynaudioSpecial Fortyผมก็ได้ยินสียงกลางที่อยู่ในเกณฑ์ ดีเยี่ยมในแทบทุกด้านออกมาจากลำโพงคู่นี้ เสียงร้องของ Dean Martin ในเพลง Blue Moon จากอัลบั้มชุด Dream with Dean – The Intimate Dean Martin ออกมาดีที่สุดเท่าที่เคยฟังเพลงนี้มา ซึ่งจริงๆ แล้ว Eddie Brackett ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่ดูแลอัลบั้มนี้เขาบันทึกเสียงร้องของดีน มาร์ตินในชุดนี้ออกมาได้ดีมากๆ อยู่แล้ว แต่เสียงที่ปรากฏผ่านลำโพงออกมาแต่ละครั้งจะดีมาก-ดีน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพของแอมป์+ลำโพงแต่ละชุด ซึ่งเสียงร้องของดีน มาร์ตินในอัลบั้มนี้ที่ถูกขับดันผ่านชุดแอมป์ Magnetic + Transmitter HPS กับลำโพง DynaudioSpecial Fortyชุดนี้มันอยู่เกณฑ์ที่ ดีที่สุดครั้งหนึ่งที่ผมเคยฟังมาอย่างที่บอก

แอมป์หลอดคู่นี้ช่วยเปิดเผยรายละเอียดที่แผ่วเบาอย่างเช่น เสียงสูดและผ่อนลมหายใจ เสียงขยับริมฝีปาก ซึ่งเกิดขึ้นขณะที่ดีนกำลังเปล่งเสียงขับร้องในแต่ละคำออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ผสมไปกับเกนขยายของไมโครโฟนที่ใช้บันทึกเสียงที่ปรากฏออกมาด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกถึงลักษณะของความเป็น ออริจินัลรับรู้ได้ถึงลักษณะการบันทึกเสียงที่ไม่สมบูรณ์ของยุคนั้น ซึ่งไม่ได้เป็นข้อด้อย แต่กลับเป็นข้อดีที่แอมป์คู่ปลดปล่อยสิ่งเหล่านั้นออกมา เพราะมันทำให้บรรยากาศของเพลงถูกดึงย้อนกลับไปอยู่ในช่วงเวลาที่เพลงนี้ถูกบันทึกเสียงเอาไว้ คละคลุ้ง อบอวลไปด้วยบรรยากาศที่กระจ่างชัด อิ่มฉ่ำ และน่าฟัง

เสียงร้องของ Nat King Cole ในเพลง Danny Boy จากอัลบั้มชุด The Nat King Cole Story ก็ออกมาเยี่ยมยอดมาก ตัวเสียงหลุดลอยออกมาอยู่ในเลเยอร์ชั้นหน้าสุดของเวทีเสียง บอดี้ของเสียงมีสัณฐานที่กลมกลึง ชัดลอย โดดเด่นอยู่บนพื้นเสียงที่ใส สะอาด ฉีกตัวออกมาจากเสียงสตริง, เปียโน และไวโอลินที่เล่นแบ็คอัพอยู่ด้านหลัง ในเลเยอร์ที่ซอยลงลึกไปเป็นชั้นๆ ซึ่งแอมป์หลอดของ NAT Audio ชุดนี้ได้ฉายแสดงความโดดเด่นของการบันทึกเสียงด้วยระบบเสียง 3-channel stereo แล้วเอามามิกซ์เป็นระบบเสียง 2-channel stereo ออกมาให้รับรู้ได้อย่างชัดเจน ฟังแล้วเสียงมันดึงดูดความรู้สึกตั้งแต่วินาทีแรกๆ ที่แว่วมาเข้าหู ซึ่งนอกจากความชัด ความฉ่ำ ความเนียนแล้ว ปรี+เพาเวอร์ฯ หลอดคู่นี้มันยังถ่ายทอด บรรยากาศที่พาให้ความรู้สึกย้อนยุคกลับไปหาต้นตอของเวลาที่เพลงนั้นถูกบันทึกเอาไว้ มันเป็นประสบการณ์ที่รับรู้ได้ด้วย sense ที่ได้รับมาจากการฟังและสัมผัสทางผิวหนัง (ผมเปิดดังอยู่แล้ว!) ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่หาได้ยากจากแอมปลิฟายประเภทโซลิดสเตท.!!

หลังจากทดลองฟังมาสักพัก ผมก็มีความรู้สึกว่า คู่ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ NAT Audio คู่นี้มันให้บุคลิกเสียงที่คล้ายกับแอมป์หลอดทั่วไปอยู่หลายจุด แต่มีอยู่จุดหนึ่งที่รู้สึกแตกต่าง คือผมรู้สึกว่า ปรี+เพาเวอร์ฯ แอมป์หลอดคู่นี้ มันไม่ได้พยายาม กลัดเกลาเสียงเพลงที่ผ่านตัวมันออกมาให้มีลักษณะนุ่มเนียนและอิ่มฉ่ำ จนเกินจริง” เหมือนแอมป์หลอดส่วนใหญ่ มันสามารถเปลี่ยนเสียงที่ออกมาให้มีความแตกต่างไปตามเพลงที่ฟังได้อย่างหลากหลาย ไม่ได้บังคับให้แต่ละเพลงมีบุคลิกตายตัวไปทั้งหมด เพลงที่มีไทมิ่งเร็วๆ ก็ออกมากระฉับกระเฉงได้ มันไม่ได้พยายาม เพิ่มปริมาณของเสียงในย่านใดย่านหนึ่งขึ้นมาจากต้นฉบับที่ป้อนเข้าไป มีอยู่แค่อย่างเดียวที่ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ NAT Audio คู่นี้แสดงออกมา เหมือนกันจากการจับคู่กับลำโพงทั้งสามคู่นี้ สิ่งนั้นก็คือ บรรยากาศ” (ambient) ที่โปร่งพองเหมือนบอลลูน ครอบคลุมและล้อมรอบอาณาบริเวณแทบจะ ทุกตารางนิ้วในห้องฟัง ซึ่งบรรยากาศที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งแปลกปลอมที่แอมป์คู่นี้สร้างเทียมขึ้นมา แต่มันเป็นผลที่เกิดการรวมตัวของ มวลอากาศที่เรียกกันว่า airy ซึ่งก็คือ harmonic + natural frequency (resonanceของเครื่องดนตรีที่เกิดขึ้นขณะที่นักดนตรีกำลังบรรเลงเครื่องดนตรีนั้นๆ

อัลบั้ม : Cantate Domino (DSF64)
ศิลปิน : Oscars Motettkor Choi; Torsten Nilsson – conductor, Alf Linder – organ & Marianne Mellnas – soprano
สังกัด : Proprius (PROP 7762)

เมื่อพูดถึง แอมเบี้ยนต์ก็ต้องบอกว่า นั่นคือไฮไล้ท์ที่ผมได้สัมผัสตอนจับคู่ปรี+เพาเวอร์หลอดของ NAT Audio คู่นี้กับลำโพงตั้งพื้นของ Dali รุ่น Epicon 6 ซึ่งแอมป์กับลำโพงชุดนี้ทำให้ผมค้นพบว่า การที่จะเข้าให้ถึงอรรถรสของดนตรีแนวที่เป็นเพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า อย่างเช่นอัลบั้มชุด Cantate Domino นี้ มันต้องฟังผ่านชุดเครื่องเสียงที่นอกจากจะต้องเซ็ตอัพลงตัวจริงๆ แล้ว ชุดเครื่องเสียงที่ใช้ยังต้องมีลักษณะเฉพาะทางด้านแบนด์วิธที่เปิดกว้างมากๆ ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าฟังผ่านแอมป์และลำโพงที่สามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างมากๆ เราก็จะสัมผัสถึงจิตวิญญาณของเพลงแนวนี้ได้อย่างชัดเจนมากขึ้นนั่นเอง

ผมกล้าพูดแบบนี้หลังจากได้ลองฟังอัลบั้มชุด Cantate Domino ของค่าย Proprius เวอร์ชั่น DSD ผ่านแอมป์หลอด NAT Audio จับคู่กับลำโพง DaliEpicon 6ซึ่งประสบการณ์ที่ได้ยินเหมือนยกโบสถ์ Oscarskyrkan จากเมืองสต็อคโฮห์มเข้ามาอยู่ห้องฟังของผมเลยทีเดียว.! มวลแอมเบี้ยนต์คละคลุ้งออกมาเต็มห้อง ทั้งเสียงร้องประสาน,เสียงทรัมเป็ต, เฟรนฮอร์น และเสียงไปป์ออร์แกน ต่างก็เปล่งเสียงที่อยู่กันคนละแถบคลื่นสเปคตรัมออกมาต่อเติมกันจนแน่นเต็มห้อง ฟังแล้วบอกเลยว่าขนลุก.! ซึ่งนี่เองคือประสบการณ์พิเศษที่ระบบเสียง Hi-Res Audio พยายามนำพามาให้เราสัมผัส เมื่อ source ถึง (DSD64), สเปคฯ ของแอมป์ถึง (ตอบสนองความถี่ 8Hz120kHz) และสเปคฯ ของลำโพงถึง (35Hz30kHz กับความดังสูงสุดที่ 110dB) บรรยากาศการขับร้องและบรรเลงภายในโบสถ์ Oscarskyrkan จึงถูกจำลองขึ้นมาในห้องฟังของผม แม้ว่าจะยังไม่ถึงกับใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ที่ได้ยินได้สัมผัสครั้งนี้ ผมบอกได้เลยว่า มันมีความรู้สึกถึงโถงฮอลล์ที่ต่างไปจากบรรยากาศที่อยู่ในเพลงทั่วๆ ไปปรากฏออกมาชัดเจนมากกว่าหลายๆ ครั้งที่ฟังอัลบั้มนี้ คือบรรยากาศมันไม่ได้แค่โอบวนอยู่รอบๆ ในแนวระนาบ แต่มันโอบวนขึ้นไปถึงด้านบนด้วย นั่นมีผลทำให้พื้นที่ส่วนบนของวงยืดขยายยกสูงขึ้นไปเหนือความสูงของลำโพงอย่างชัดเจน ผลคือเสียงที่โอ่อ่า แผ่กว้าง ขยายตัวออกไปได้รอบด้านโดยไม่มีอาการ compress ของปลายเสียงเกิดขึ้นเลย (เมื่อฟังที่ระดับความดังที่เกินพอดีนิดๆ)

สังกัด : Bizet – Carmen (DSD64)
ศิลปิน : Maria Callas, Andrea Guiot, Nicholai Gedda, Robert Massard & Orchestre du Theatre National de L’Opera, George Pretre
สังกัด : Esoteric/EMI Classic

ผมทดลองฟังชุดแอมป์ Magnetic + Transmitter HPS จับคู่ลำโพง DaliEpicon 6ติดต่อกันอยู่นานหลายวัน ได้ฟังเพลงหลากหลายแนว กับเพลงร้อง, เพลงแจ๊ส และไล้ท์มิวสิค ชุดนี้ให้เสียงออกมาดีมาก มันให้ออกมาทุกอย่างที่อยากได้ยิน ทั้งรายละเอียด, มิติเวทีเสียง, มวลเนื้อที่อิ่มหนาและเนียนนุ่มชุ่มฉ่ำ มาครบหมด ถ้าคุณชอบฟังเพลงแนวๆ นี้บอกเลยว่าชุดนี้คือคำตอบจากสวรรค์.!

แต่หลังจากลองขุดไฟล์เพลงที่เป็นฟอร์แม็ต DSD64 ของผมหลายๆ ชุดที่เก็บอยู่ใน NAS ออกมาลองฟังกับแอมป์+ลำโพงชุดนี้แล้ว ผมพบว่า ชุดแอมป์ Magnetic + Transmitter HPS จับคู่ลำโพง DaliEpicon 6ชุดนี้มันใช้ฟังเพลงยากๆ ออกมาได้ดีมาก มันทำให้บางอัลบั้มที่เคยฟังได้แค่สั้นๆ มีความน่าฟังและชวนติดตามมากขึ้น ฟังได้ยาวขึ้น บางชุดนั้นสามารถฟังต่อเนื่องไปจนจบได้เลย ยกตัวอย่างเช่นเพลงประกอบละครบัลเล่ต์ชุด Carmen เวอร์ชั่นที่ร้องนำโดยนักร้องเสียงโซฟราโน Maria Callas ซึ่งเป็นงานบันทึกเสียงของค่าย EMI และรีมาสเตอร์โดย Esoteric เป็นงานเพลงที่ยาวมาก แยกออกเป็น 2 แผ่น ซึ่งสารภาพตามตรงเลยว่า ตั้งแต่ได้อัลบั้มนี้มา ยังไม่เคยฟังจนจบทั้งสองแผ่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่คราวนี้ผมฟังได้จนจบทั้งสองแผ่นโดยไม่ต้องใช้ความอดทนในการฟัง ซึ่งทำให้เข้าใจถึงเหตุผลว่าเพราะอะไรที่ครั้งก่อนๆ เคยลองฟังแล้วถึงไปได้ไม่สุด เพราะแอมป์หลอดของ NAT Audio คู่นี้มันเข้าไปเปิดเผยรายละเอียดที่อัดแน่นอยู่ภายในให้มันมีความโปร่งโล่งหูมากขึ้น แยกแยะรายละเอียดเหล่านั้นออกมาให้ได้ยิน อย่างเป็นลำดับชั้นไม่มั่วเหมือนทุกครั้งที่เคยฟัง แต่ละเลเยอร์ของเสียงดนตรีถูกตีแผ่ออกมาเป็นฉากๆ เกี่ยวพันกันออกมาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อเป็นเรื่องเป็นราว ชักนำอารมณ์ให้ลื่นไหลตามเนื้อหาของละครไปได้ตลอด ปลายเสียงของอัลบั้มนี้ที่เคยฟังแล้วแห้งและติดหยาบก็หายไปจนเกือบหมด เมื่ออุปสรรคเหล่านี้ถูกเคลียร์ออกไปแล้ว สิ่งที่เหลือก็คือรรถรสของเพลงที่ชวนให้ติดตาม ถึงจะฟังไม่เข้าใจความหมาย แต่ก็รู้สึกได้ถึงอรรถรสที่ดึงดูดความสนใจให้ตามติดไปเรื่อยๆ

สรุป

Magnetic + Transmitter HPS เป็นชุดปรี+เพาเวอร์ฯ หลอดที่สามารถ ท้าชนกับแอมป์หลอดระดับไฮเอ็นด์คู่อื่นๆ ได้อย่างสบาย มันให้พละกำลังมากพอที่จะสามารถควบคุมลำโพงระดับไฮเอ็นด์ฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และให้คุณภาพเสียงที่ดีน่าพอใจในทุกด้าน

ช่วงท้ายของการทดสอบ ผมทดลองใช้ปรีแอมป์ Magnetic จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทของ QUAD รุ่น Artera Stereo ที่มีกำลังขับข้างละ 140W (ไม่ลืมสลับสายลำโพงเพื่อแก้เฟสแล้ว) ขับลำโพง DynaudioSpecial Fortyโดยยังคงใช้แหล่งต้นทางชุดเดิม (Roon nuclrus+ กับ Ayre Acoustic QB-9 DSD Twenty) ผมพบว่า เสียงที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดีมาก แสดงว่า Magnetic + Artera Stereo ก็แม็ทฯ กับ DynaudioSpecial Fortyเหมือนกัน เสียงของชุดนี้ให้เสียงที่ให้ค่าเฉลี่ยระหว่างไดนามิกที่หนักและฉับไวกับความฉ่ำหวานที่ลงตัวระดับพอดีๆ เหมาะกับการฟังเพลงได้ทุกแนว แสดงให้เห็นว่า ปรีแอมป์ NAT AudioMagneticตัวนี้สามารถจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทได้อย่างลงตัว สามารถนำไปอัพเกรดคุณภาพเสียงให้กับซิสเต็มเดิมๆ ที่ใช้ปรีแอมป์ที่มีราคาไม่เกิน 200K ได้ดีเลย ใครกำลังเล็งปรีแอมป์หลอดดีๆ สักตัวที่ให้เสียงดีในทุกด้าน และสามารถไปกับเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทได้อย่างกลมกลืน แนะนำให้ทดลองฟังปรีแอมป์ตัวนี้ก่อนตัดสินใจ.!!

********************
ราคา NAT Audio :
ปรีแอมป์ รุ่น Magnetic = 495,000 บาท / เครื่อง (เวอร์ชั่นล่าสุด)
เพาเวอร์แอมป์ รุ่น Transmitter HPS = 890,000 บาท / คู่ (เวอร์ชั่นมาตรฐาน RCA)

อัพเกรด : เพาเวอร์แอมป์
อ๊อปชั่น 1. เพิ่มอินพุต XLR Transformer Copper ลวดทองแดง
+ 68,000 บาท
อ๊อปชั่น 2. เพิ่มอินพุต XLR Transformer Nano Silver-OFC ลวดเงิน
+150,000 บาท
********************
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่
SoundBox โทร. 089-920-8297 (คุณโจ้)
HiFi House โทร. 096-978-7274 (คุณเอ็ม)
HiFi 99 โทร. 081-999-1699 (คุณนะ)
Inter HiFi โทร. 094-124-2723 (คุณโมท)
TSV โทร. 081-657-3397 (คุณท็อป)
Audi Home HiFi โทร. 089-028-7117 (คุณตั้ม)
Audio Mate โทร. 081-869-3613 (คุณปัน)
Turntable One โทร. 084-814-9011 (คุณพิทักษ์)
MAS HiFi โทร. 081-982-0282 (คุณมาศ)

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า