รีวิวเครื่องเสียง Audio Physic รุ่น Classic 8 ลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็ก

Audio Physic เป็นแบรนด์ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเยอรมันที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเกิน 30 ปี เริ่มต้นการออกแบบและผลิตที่เมือง Brilon, Sauerland ในประเทศเยอรมันทั้งหมดมาตั้งแต่เริ่มต้น จนถึงปัจจุบันก็ยังคงผลิตในเยอรมันเหมือนเดิม แบรนด์นี้เอาดีทางผลิตลำโพงอย่างเดียว ไม่มีผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิคเลย ลำโพงที่มีอยู่ในปัจจุบันมีอยู่ 3 ซีรี่ย์ เริ่มด้วยซีรี่ย์ ‘Medeosซึ่งเป็นซีรี่ย์สูงสุด ขณะนี้มีอยู่แค่รุ่นเดียว ถือว่าเป็นรุ่นเรือธงของแบรนด์ เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อตอนกลางปี 2022 ที่ผ่านมานี้เอง ในงาน HIGHEND 2022 ที่มิวนิค ประเทศเยอรมัน ซีรี่ย์กลางที่รองลงมาจาก Medeos ชื่อว่า Reference Lineมีอยู่ทั้งหมด 9 รุ่น มีทั้งรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการฟังเพลงด้วยระบบเสียง stereo และรุ่นที่เป็นลำโพงเซ็นเตอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการเซ็ตอัพระบบเสียงเซอร์ราวนด์ด้วย

จะว่าไปแล้ว ซีรี่ย์ Medeos เหมือนจะทำออกมาโชว์ศักยภาพของแบรนด์เป็นหลัก ส่วนซีรี่ย์ Reference Line น่าจะเป็นรุ่นใหญ่ที่ทำออกมาหวังผลทางการขายในกลุ่มไฮเอ็นด์ โดยมีซีรี่ย์ ‘Classic Lineเป็นตัวขายสำหรับกลุ่มที่รองลงมาคือระดับมิดเอ็นด์ฯ โดยมีทั้งรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับการฟังเพลงด้วยระบบเสียงสเตริโอ 2 แชนเนลและสามารถนำไปเซ็ตอัพเพื่อใช้งานกับระบบเสียงเซอร์ราวนด์ได้ เพราะในซีรี่ย์นี้มีลำโพงซับวูฟเฟอร์กับลำโพงเซ็นเตอร์อยู่ด้วย

Classic 8 หนึ่งในดาวเด่นของซีรี่ย์ Classic Line

ในซีรี่ย์ Classic Line มีอยู่ 3 รุ่นที่ได้รับรางวัลจากสื่อในเยอรมัน คือรุ่น Classic 15, Classic 8 และ Classic 3 ซึ่งรุ่น Classic 8 ที่ผมกำลังจะพูดถึงในรีวิวนี้เป็นลำโพงตั้งพื้นรุ่นรองจาก Classic 15 ที่เป็นลำโพงตั้งพื้นเหมือนกัน ซึ่งรุ่น Classic 8 นี้เป็นรุ่นที่อัพเกรดมาจากรุ่น Classic 5 ที่เป็นลำโพงตั้งพื้นออกมาก่อนหน้านี้ ความแตกต่างคือรุ่น Classic 5 มีไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์กับทวีตเตอร์แค่สองตัว ไม่มีไดเวอร์ซับเบสตัวที่อยู่ด้านล่างไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์เหมือนรุ่น Classic 8 ที่ผมกำลังทำรีวิวตัวนี้

Classic 8 เป็นลำโพงตั้งพื้นที่มีแผงหน้าแคบมาก.! ถ้าสังเกตในรูปจะเห็นได้ชัดว่า ความกว้างของแผงหน้าลำโพงรุ่นนี้มีขนาดเกือบจะ เท่ากับขอบนอกของไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์เป๊ะๆ..!! ซึ่งไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้ในลำโพงรุ่นนี้มีขนาดเส้นศูนย์กลางอยู่ที่ 6.7 นิ้ว คำนวนออกมาเป็นหน่วยมิลลิเมตรก็เท่ากับ 165 .. ในขณะที่ข้อมูลในสเปคฯ ของผู้ผลิตได้แจ้งความกว้างของแผงหน้าลำโพงรุ่นนี้ไว้ที่ 170 .. ว้าวว.. ทำไมต้องหน้าแคบขนาดนั้น อันนี้มีเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องคุณภาพเสียง ประเด็นนี้เดี๋ยวจะมาคุยกันต่อตอนเซ็ตอัพทดสอบ

ความสูงของ Classic 8 อยู่ที่ 1055 .. หรือเมตรนิดๆ เท่านั้น ส่วนด้านลึกก็แค่ 290 .. ไม่ถึงฟุต สะระตะแล้ว ต้องเรียกว่าเป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็ก เพราะผู้ผลิตเอาลำโพงวางขาตั้งรุ่น Classic 3 ไปต่อตู้ลงไปแทนขาตั้งนั่นเอง รูปทรงของลำโพงรุ่นนี้เลยออกมาผอมสูง เพียวบางแบบนี้

ในเว็บไซต์ของผู้ผลิตแจ้งว่ามีสีตู้ให้เลือก 4 สี คือ สีขาว Satin White, สีดำ Black Ash, ลายไม้ Cherry และลายไม้ Walnut แต่ไม่แน่ใจว่าทางตัวแทนผู้นำเข้าในประเทศไทยจะเอาเข้ามาจำหน่ายกี่สี คู่ที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นตู้ลายไม้วอลนัท เนื้องานสวย เก็บงานดี ให้ความรู้สึกคลาสสิกมาก

ตัวตู้หุ้มด้วยวีเนียร์ลายไม้ ทั้งตัวตั้งแต่แผงหน้าวนรอบไปถึงแผงหลัง ส่วนบนของแผงหลัง ตำแหน่งที่อยู่ตรงกับตำแหน่งติดตั้งทวีตเตอร์มีท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 .. (2 นิ้ว) อยู่ตรงนั้น 1 ท่อ

วกลงมาด้านล่างของแผงหลังเป็นที่ติดตั้งขั้วต่อสายลำโพงที่ให้มาชุดเดียว เป็นแบบซิงเกิ้ลไวร์ ตัวน็อตที่ใช้ขันยึดทำด้วยโลหะชุบทอง ตรงกลางขั้วต่อมีรูให้เสียบขั้วต่อสายลำโพงแบบบานาน่าปลั๊กด้วย ด้านล่างของแป้นขั้วต่อสายลำโพงจะสังเกตเห็นป้ายกระดาษสีบรอนซ์เงินวาวๆ ที่มีรายละเอียดของลำโพงข้างนั้นเขียนด้วยลายมือกำกับไว้ แสดงว่าลำโพงแต่ละข้างได้ผ่านการตรวจเช็คมาอย่างละเอียดจริงๆ ซึ่งลำโพงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วๆ ไปจะไม่มีอะไรแบบนี้ให้เห็น.!!

ที่ส่วนล่างของตัวตู้จะมีส่วนของฐานที่แยกออกมาจากตัวตู้เป็นคนละชิ้น ทำด้วยไม้เป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีสัดส่วน กว้าง x ลึก มากกว่าตัวลำโพงนิดหน่อย และด้านล่างของแผ่นฐานมีรูขันเกลียวเดือยแหลมโลหะ 4 รู อยู่ใกล้ๆ กับมุมทั้งสี่มุมของแผ่นฐาน ช่วยเฉลี่ยน้ำหนักของตัวลำโพงให้กระจายห่างจากตัวตู้ออกไป เป็นเทคนิคที่ทำให้ได้ความมั่นคงของตัวตู้มากขึ้น

ไดเวอร์ที่ใช้ กับการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์ค

ความถี่เสียงตั้งแต่ 34Hz ขึ้นไปจนถึง 30kHz ถูกสร้างขึ้นโดยไดเวอร์ทั้งสามตัวที่ติดตั้งอยู่บนแผงหน้าของตัวตู้ โดยที่ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมขนาด 8/9 นิ้ว (บนสุด) กับตัวมิด/วูฟเฟอร์ขนาด 6.7 นิ้ว (ตัวกลาง) ช่วยกันสร้างความถี่ตั้งแต่ 34Hz – 30kHz ออกมา (ไม่ได้แจ้งความถี่ที่จุดตัดเอาไว้) ส่วนตัววูฟเฟอร์ที่อยู่ล่างสุดถูกกำหนดให้สร้างความถี่ตั้งแต่ 500Hz ลงมาถึง 34Hz เสริมให้กับตัวมิด/วูฟเฟอร์ (* โดยปกติของลำโพงสองทางทั่วไป ตัวมิด/วูฟเฟอร์จะรับภาระในการสร้างความถี่ประมาณ 2 – 3kHz ลงมา)

นั่นก็คือ ถ้ามีสัญญาณอินพุตจากเพาเวอร์แอมป์ที่ครอบคลุมความถี่ช่วง 500Hz ลงไปผ่านเข้ามา ตัวไดเวอร์ Mid/Woofer กับตัว Woofer จะขยับตัวผลักอากาศออกไปพร้อมกัน ทำให้ความถี่ช่วงตั้งแต่ 500Hz ลงไปถูกสร้างขึ้นโดยไดเวอร์สองตัว ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า 2½ Way Design (สองทางครึ่ง) เป็นการเอาวูฟเฟอร์ที่มีช่วงการทำงานเฉพาะย่านต่ำๆ มาเสริมเข้ากับความถี่ต่ำที่สร้างขึ้นโดยตัวมิดเร้นจ์/วูฟเฟอร์นั่นเอง

ตัว Mid/Woofer กับตัว Woofer มีขนาดเท่ากันคือ 6.7 นิ้ว ไดอะแฟรมก็เป็นแบบเดียวกัน จุดที่ต่างกันอยู่ที่ใจกลางของกรวยไดอะแฟรม ถ้าสังเกตของตัว Mid/Woofer จะเป็นแท่งทรงกระบอกยื่นออกมาและนิ่งอยู่กับที่ เรียกว่า เฟสปลั๊กในขณะที่ใจกลางของตัว Woofer มีลักษณะเป็นแป้นทรงกลมแบนๆ ปิดติดอยู่ตรงกลางเป็นเนื้อเดียวกับตัวกรวยไดอะแฟรม เรียกว่า ดัสแค็ปซึ่งจะขยับตัวเคลื่อนที่ไปตามการขยับตัวของไดอะแฟรมตลอดเวลา

แท่งเฟสปลั๊กของตัวมิด/วูฟเฟอร์จะมีหน้าที่ควบคุมการขยับเดินหน้าถอยหลังของกรวยไดอะแฟรมให้มีความมั่นคงเหมือนการเคลื่อนที่ของลูกสูบที่อยู่ในเครื่องยนต์ของรถยนตร์ ซึ่งส่งผลกับความคมชัดของโฟกัสและความชัดเจนของมิติเวทีเสียง ในขณะที่ไดอะแฟรมของตัววูฟเฟอร์ต้องรับภาระในการขยับดันอากาศเพื่อสร้างความถี่ต่ำที่ต้องใช้พลังมากกว่าตัวมิด/วูฟเฟอร์ จึงต้องอาศัยการจับยึดของแผ่นดัสแค็ปมาช่วยยึดโยงแผ่นไดอะแฟรมไว้ให้มีความแข็งแรงมากขึ้นนั่นเอง

ทดลองแม็ทชิ่งกับแอมป์

ในสเปคฯ ระบุว่า Classic 8 มีความไว (sensitivity) ในการตอบรับกับสัญญาณอินพุตจากแอมป์อยู่ที่ 89dB คือสามารถสร้างความดังของเสียงออกมาได้เท่ากับ 89 ดีบี (ใช้ไมโครโฟนวัดห่างจากหน้าลำโพงออกมา 1 เมตร) เมื่อเพาเวอร์แอมป์ส่งกำลังขับที่มีความแรงเท่ากับ 1 วัตต์ มาให้ ซึ่งถือว่าเป็นความไวที่จัดอยู่ในระดับ ปานกลาง” (ระหว่าง 88 – 90dB)

ในสเปคฯ ระบุแนะนำกำลังขับไว้ค่อนข้างกว้าง คือต่ำสุด 25W ไปจนถึงสูงสุดที่ 150W โดยอ้างอิงกับโหลดเอ๊าต์พุตที่ 4โอห์ม ซึ่งหากดูเฉพาะตัวเลข Power Recommended อาจจะมองว่า แอมป์ที่มีกำลังขับ 25W ก็ขับออก แต่เมื่อเอาโหลดเข้าไปพิจารณาด้วยจะเห็นว่า แอมป์ที่มีกำลัง 25W จะต้องมีกำลังสำรองเยอะหน่อยนะถึงจะขับลำโพงคู่นี้ออกมาได้ดี ประเภทแอมป์ Class-D ตัวเล็กแค่ฝ่ามือ ถึงจะมีตัวเลขกำลังขับอยู่ในเกณฑ์ก็ไม่น่าจะให้เสียงออกมาได้ดี อาจจะขับมีเสียงออกมาแต่ความแน่นของมวลเนื้อเสียงน่าจะไม่ผ่าน ผมทดลองใช้แอมป์หลอด Single-End Class-A ของ Dared รุ่น Saturn Signature (REVIEW) ที่ระบุกำลังขับอยู่ที่ 25W ที่โหลด 4 และ 8 โอห์ม ลองขับลำโพงคู่นี้ ปรากฏว่า เสียงออกมาดีมาก.! โดยรวมเปิดกระจ่าง ไม่มีอม รายละเอียดของแสดงตัวออกมาให้ได้ยินครบทั้งย่านเสียง เบสไม่ยวบยาบ ดีดและเด้งตัวได้ เวทีเสียงฉีกกว้างออกไปรอบด้าน แสดงว่ากำลังขับ 25W ของ Saturn Signature สามารถขับดัน Classic 8 ออกมาได้อย่างน่าพอใจ (ต่อเอ๊าต์พุตของ Saturn Signature ไว้ที่ 4 โอห์ม ตรงกับอิมพีแดนซ์ของลำโพง)

จังหวะดีผมได้รับอินติเกรตแอมป์ Sugden รุ่น IA4 มาทดสอบ ซึ่งเป็นแอมป์โซลิดสเตทที่ใช้วงจรขยายเอ๊าต์พุตในโหมด Class-A โดยให้กำลังขับอยู่ที่ 33W ผมจึงลองใช้ขับลำโพงคู่นี้ดูด้วย ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาก็เป็นเครื่องยืนยันได้อีกหนึ่งเสียงถึงความขับง่ายของลำโพงคู่นี้ว่ามันสามารถถ่ายทอดคุณภาพเสียงที่น่าพอใจออกมาให้ได้ยินแบบง่ายๆ แม้กับแอมป์ที่มีกำลังขับไม่สูงแค่ 25-30W แต่ที่ต้องเน้นเป็นพิเศษคือต้องเป็นแอมป์ที่มีสำรองดีหน่อยนะ

ขยับจาก 25 และ 33W ผมก็ลองเซ็ตอัพชุดปรี+เพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับอยู่ที่ 140W ที่โหลด 8 โอห์ม ลองขับลำโพงคู่นี้ โดยมี Audiolab รุ่น Omnia (REVIEW) ทำหน้าที่เป็น Source + Pre จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตท Class A/B ของ QUAD รุ่น Artera Atereo เสียงก็ออกมาน่าพอใจ พอใช้แอมป์วัตต์สูงขึ้น เสียงที่ออกมาก็จะมีความกระชับตึงตัวมากขึ้น โดยเฉพาะในย่านทุ้มจะเห็นได้ชัด ใครที่ชอบเสียงเบสกระชับๆ หรือชอบฟังเพลงแนวที่ให้เบสเร็วและแน่นกระชับ แนะนำให้ใช้แอมป์โซลิดที่มีวัตต์สูงหน่อย ประมาณ 100W ขึ้นไป แต่ถ้าชอบเสียงกลางเด่นๆ กลางต่ำหนาๆ เบสทอดตัว อย่างพวกเพลงร้องกับดนตรีน้อยชิ้น แนะนำให้หาแอมป์หลอดดีๆ มาจับคู่กับลำโพงคู่นี้

ตอนท้ายๆ ก่อนปิดการทดสอบ ผมทดลองใช้แอมป์ที่มีสเปคฯ สูงกว่าที่ลำโพงแนะนำไว้มาลองขับดู เริ่มด้วยเพาเวอร์แอมป์ของ Usher รุ่น Reference 1.5 ที่มีกำลังขับ 150W ที่ 8 โอห์ม และ 260W ที่ 4 โอห์ม เกินกำลังขับสูงสุดที่ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้แนะนำไปเยอะเลย ผลของเสียงที่ออกมาก็ถือว่าพอฟังได้ แต่โดยรวมไม่น่าพอใจนัก คือเสียงมีอาการตึงตัวมากไป เบสแน่นกระชับก็จริง แต่รู้สึกได้ว่าเบสเก็บตัวเร็วไป หางเบสมีปริมาณน้อย มิติเวทีเสียงเปิดกระจ่างสุดๆ แต่มวลเสียงขาดความอิ่มฉ่ำไปหน่อย ฟังยาวๆ ไม่น่าจะรอด

ตบท้ายด้วยอินติเกรตแอมป์ของ Boulder รุ่น 866 (REVIEW) ที่เผอิญได้มาทดสอบในเวลาไล่เลี่ยกันเลยลองจับคู่ลองฟังดู กำลังขับของ 866 อยู่ที่ 200W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม และสวิงขึ้นไปได้สูงถึง 400W ที่โหลด 4 โอห์ม เสียงที่ออกมาก็ไปทางเดียวกับตอนขับด้วย Usher Reference 1.5 คือตึงตัว เร็ว ได้ความกระชับแน่น แต่ขาดความฉ่ำนุ่ม แสดงอาการไม่แม็ทชิ่งทางด้านกำลังขับออกมาอย่างชัดเจน

หลังจากทดลองแม็ทชิ่งแอมป์มาหลายตัว ผมพบว่า คู่ที่แม็ทชิ่งกับ Classic 8 มากที่สุด ทำคะแนนในแต่ละด้านได้ค่าเฉลี่ยออกมาน่าพอใจมากที่สุดก็คืออินติเกรตแอมป์หลอด Dared รุ่น Saturn Signature โดยใช้คู่กับสายลำโพงรุ่น Aqueous Aureus ของแบรนด์ Purist Audio Design ส่วนแหล่งต้นทางคือชุดเล่นไฟล์เพลงที่มี Roon Nucleus+ ทำหน้าที่เป็นทรานสปอร์ตส่งสัญญาณดิจิตัลให้กับ Bluesound รุ่น Node เวอร์ชั่นล่าสุดด้วยฟังท์ชั่น Roon Ready ผ่านระบบเน็ทเวิร์ค

ส่วนแอมป์ตัวที่นำมาจับคู่กับ Classic 8 แล้วทำคะแนนรวมได้มากเป็นอันดับสองก็คือ Sugden IA4 ถ้างบประมาณไม่จำกัดและกล้าเล่น เสียงที่ได้จาก Classic 8 + IA4 เป็นอะไรที่น่าฟังมาก ความนุ่มนวลกับความจะแจ้งมีสัดส่วนที่ผสมรวมกันมากำลังดี ฟังเพลงได้หลากหลาย ถ้าชอบสปีดเร็วๆ เบสกระชับหน่อย หาสายลำโพงที่ให้เสียงเร็วๆ อย่าง Kimber Kable หรือ Nordost มาแม็ทฯ จะช่วยปรับแนวเสียงไปในทิศทางที่ต้องการได้

ทดลองเซ็ตอัพ

Classic 8 มาในร่างของลำโพงทรงสูงชะลูดที่เรียกติดปากกันว่า ทรงทาวเวอร์ซึ่งเป็นรูปแบบของตัวตู้ลำโพงที่ผู้ออกแบบตั้งใจให้มันมีลักษณะผอมสูงแบบนั้น นัยว่าเพื่อทำให้ตัวตู้มันไม่เป็นอุปสรรคในการกระจายเสียงออกไปรอบๆ ตัวลำโพง โดยเฉพาะทางด้านข้าง ซึ่งจะทำให้ได้ผลดีทางด้านมิติเวทีเสียงที่ทำให้ชิ้นดนตรีหลุดออกไปลอยอยู่นอกตู้ได้อย่างเด็ดขาด.!

เพราะลำโพงทรงตู้ทาวเวอร์แบบนี้มักจะมีแผงหน้าแคบๆ ด้วยเหตุที่ต้องการหลบเลี่ยงปัญหาคลื่นเสียงจากไดเวอร์ตกกระทบลงบนแผงหน้าแล้วสะท้อนย้อนกลับมาปะปนกับคลื่นเสียงหลักที่แผ่กระจายออกมาจากไดเวอร์ ด้วยเหตุนี้ คลื่นเสียงที่แผ่ออกไปจากไดเวอร์ทั้งหมดจึงมีเฟสที่ถูกต้องแม่นยำ ในการเซ็ตอัพให้ได้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ดีที่สุดจากลำโพงที่ดีไซน์ตัวตู้ลักษณะนี้จึงต้องใส่ใจเป็นพิเศษเพื่อให้ลำโพงทั้งสองข้างทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

เมื่อลำโพงแต่ละข้างสร้างคลื่นเสียงที่มีเฟสเที่ยงตรงและแม่นยำออกมา เรามีหน้าที่ที่ต้องทำให้เฟสสัญญาณที่แผ่ออกมาจากลำโพงทั้งสองข้างเคลื่อนที่เข้ามาผสานกันอย่าง ลงตัวมากที่สุด ซึ่งจะทำให้เราได้ยินเสียงที่มีมิติโฟกัสที่คมชัด และได้ยินเวทีเสียงที่เปิดโล่งและแผ่กว้างออกไปเป็นสามมิติมากที่สุด ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องทำหลังจากที่เราขยับตำแหน่งลำโพงซ้ายขวาจนได้ระยะห่างซ้ายขวาที่ลงตัวมากที่สุดแล้วก็คือ หาอุปกรณ์ปรับระดับของลำโพงทั้งสองข้างให้ ตั้งฉากกับพื้นซึ่งจะทำให้ตัวตู้ของลำโพงทั้งสองข้างมีลักษณะที่ขนานกันตั้งแต่ฐานล่างขึ้นไปจนถึงผนังด้านบนของตัวตู้ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่า ไดเวอร์ทุกตัวมีระยะห่างซ้ายขวาที่ถูกต้องตามที่ผู้ผลิตออกแบบไว้ ส่งผลให้สนามเสียงที่สร้างขึ้นจากลำโพงทั้งสองข้างมีความกลมกลืนผสานกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เราได้มิติเสียงที่คมชัดมากที่สุดนั่นเอง

ห้องฟังที่บ้านผมมีสัดส่วน กว้าง ลึก อยู่ที่ 3.8 x 6.6 ตรม. หลังจากที่ทำการเซ็ตอัพอยู่พักใหญ่ๆ ผมก็ได้ตำแหน่งลงตัวของ Classic 8 ตามรายละเอียดในภาพข้างบน (*ใครที่มีห้องฟังไม่ใหญ่เกิน 4 x 6 ตรม. จะทดลองลอกการบ้านไปใช้ก็ได้) ขณะเซ็ตอัพตำแหน่งผมพบว่า การเซ็ตตำแน่งเพื่อหาโฟกัสของลำโพงคู่นี้ทำได้ไม่ยาก อาจจะเป็นเพราะแผงหน้าของมันแคบ ไม่มีปัญหาเสียงตกกระทบบนแผงหน้าแล้วสะท้อนกลับมากวนเสียงจากไดเวอร์ จึงทำให้ได้โฟกัสของเสียงที่คมชัดมากเป็นพิเศษ การขยับลำโพงทั้งสองข้างให้ชิดห่างจากกันแม้เพียงเล็กน้อยก็รับรู้ถึงระดับความชัดคมของโฟกัสได้ง่าย ส่วนการเซ็ตอัพตำแหน่งเพื่อปรับโทนัลบาลานซ์ผมพบว่า ผมไม่ต้องดันลำโพงไปชิดผนังหลังมากอย่างที่คาด เนื่องจากตอนแรกที่เห็นรูปทรงของตัวตู้ที่ผอมเรียวแบบนั้น ผมคิดว่าเบสน่าจะบาง คงต้องดันลำโพงชิดหลังช่วยเยอะๆ แต่เอาเข้าจริงไม่ต้องดันหลังไปมากอย่างที่คิดเลย ผมแค่ดันลำโพงจากระยะเริ่มต้น ความลึก/3 = 660/3 = 220ลงไปแค่สี่สิบกว่าเซนติเมตร เสียงเบสก็มีปริมาณออกมาพอดีๆ กับกลางแหลมแล้ว นี่คงเป็นผลมาจากวูฟเฟอร์ตัวล่างที่สร้างความถี่ย่านต่ำออกมาเสริมนั่นเอง

เมื่อไม่ต้องดันลำโพงลงไปชิดหลังมาก ทำให้ลำโพงทั้งสองข้างอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากผนังทุกด้านออกมามากพอสมควร บริเวณรอบๆ ตัวลำโพงจึงโปร่งโล่งไม่มีอะไรขวางกั้น เปิดโอกาสให้ชิ้นดนตรีหลุดลอยออกมาไปนอกตัวตู้ได้อย่างอิสระ เวทีเสียงจึงเปิดโล่งและแผ่กว้าง จากการทดลองขยับเก้าอี้เพื่อหาระยะนั่งฟังที่ดีที่สุด ผมพบว่า ระยะนั่งฟังที่ดีสำหรับลำโพงคู่นี้อยู่ที่ระยะ mid-field ขึ้นไปจนถึงระยะ far-field คือถอยห่างจากจุด sweet spot (หลังจากได้ระยะห่างซ้ายขวาที่ลงตัวแล้ว) ออกมาประมาณ 2-4 ฟุต (60 – 120 ..) จึงจะสามารถฟังเก็บรายละเอียดได้หมด ถือว่าเป็นลำโพงที่ให้สนามเสียงออกมากว้างใหญ่เกินตัวมาก

เสียงของ Classic 8

คนที่ชอบมิติเวทีเสียงที่โปร่งโล่ง ชอบให้ตัวเสียงหลุดลอยจากตู้ลำโพงออกไปกระโดดโลดเต้นอยู่ในอากาศอย่างอิสระมักจะลงตัวกับลำโพงเล็ก แต่อีกใจก็ยังอยากได้เสียงทุ้มที่มีมวลอิ่มหนา ลงลึก พอหันไปเล่นลำโพงตั้งพื้นก็ได้เบสที่อวบหนาถูกใจ แต่ทางด้านมิติเวทีเสียงก็ไม่หลุดตู้อย่างเด็ดขาด สู้ลำโพงเล็กไม่ได้อีก.!

ผมว่าทีมออกแบบลำโพง Audio Physic คงจะรู้ถึงปัญหาข้อนี้ดี พวกเขาจึงเลือกให้ตัวตู้ของ Classic 8 มีลักษณะผอมเรียวเพื่อให้ได้คุณสมบัติทางด้านมิติเวทีเสียงที่ดีไม่แพ้ลำโพงเล็ก ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ทำการขยายตู้ให้ยาวลงไปทางด้านล่างเพื่อเพิ่มปริมาตรอากาศในตัวตู้ แล้วเอาวูฟเฟอร์ 6.7 นิ้ว อีกตัวมาช่วยปั๊มความถี่ต่ำเสริมกับเสียงทุ้มที่ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์สร้างออกมา ในขณะที่ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ก็ดูแลทางด้านเสียงกลางอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องพะวงว่าเสียงทุ้มจะบางเพราะมีวูฟเฟอร์ตัวล่างคอยช่วยเสริมเบสให้อยู่แล้ว นั่นคือเหตุผลที่เมื่อลองฟังเพลงทั่วไป ผมยังคงได้ยินเสียงร้องที่ลอยเข้ม ทั้งๆ ที่มีเสียงเบสหนักๆ แผ่ออกมาพร้อมกัน

ผมสงสัยตรงการออกแบบของลำโพงคู่นี้ที่เป็นแบบ 2.5 ทาง ซึ่งในช่วงความถี่ตั้งแต่ 500Hz ลงไปมันมีการทำงานของไดเวอร์ 2 ตัวช่วยกันอยู่ ผมเลยอยากจะเช็คดูว่าลักษณะการทำงานแบบนี้จะส่งผลต่อคุณสมบัติทางด้านใดของเสียงบ้างหรือไม่.? นอกจากข้อดีที่ช่วยเสริมในย่านเบสแล้ว จะมีข้อด้อยอะไรออกมาด้วยหรือเปล่า.? อย่างเช่น เสียงในย่านตั้งแต่ 500Hz ลงไปมันจะเยอะไปมั้ย.? จะมีอาการเบลอหรือบวมบ้างมั้ย.? เพราะมันใช้ไดเวอร์สองตัวช่วยกันสร้างออกมา..

ดูจากกราฟข้างบนที่แสดงความถี่เสียงเทียบกับโน๊ตดนตรีจะเห็นว่า ตั้งแต่ความถี่ 500Hz ลงไปถึง 34Hz จะซ้อนทับอยู่กับโน๊ตดนตรีของเครื่องดนตรีจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะซ้อนแค่บางส่วนที่เป็นโน๊ตต่ำๆ แต่ก็มีบางชิ้นอย่างเช่น 4 String Bass, 5 String Bass และ Tuba ที่ครอบคลุมโน๊ตทุกโน๊ต และที่น่าสังเกตคือเสียงร้องของนักร้องชาย (male vocal) ที่คลุมอยู่เกือบหมดทั้งย่านเสียงร้องผู้ชาย

อัลบั้ม : The Greatest Basso Vol.1 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Zhao Peng
สังกัด : Tuya Records

อัลบั้ม : Super Bass (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ray Brown / John Clayton / Fredie Green / Jeff Clayton / Jeff Hamilton
สังกัด : Capri Records

อัลบั้ม : What A Difference A Day Makes (DSF64)
ศิลปิน : Ingram Washington
สังกัด : STS Digital

ผมเริ่มต้นด้วยการกดอัลบั้ม ‘The Greatest Basso Vol.1ขึ้นมาลองฟังว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเสียงร้องของจ้าว เผิงบ้าง.? โดยใช้ลำโพง Totem Acoustic รุ่น The One ของผมเป็นตัวฟังเทียบ พบว่า เสียงร้องของจ้าว เผิงเมื่อฟังผ่าน Classic 8 ก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติไปมาก แค่ว่าช่วงที่เขาร้องลงโน๊ตต่ำๆ เนื้อเสียงที่ออกมากลับไม่หนามากเท่ากับตอนฟังผ่าน The One แต่พอถึงช่วงที่มีเสียงเบสต่ำๆ ออกมา พบว่า มีเสียงทุ้มอื้อๆ เบาๆ ลอยออกมาด้วย ลักษณะเป็นเงาบางๆ คลุมอยู่ในย่านความถี่ต่ำๆ (เปิดเบาจะไม่ค่อยได้ยิน) ทำให้โน๊ตเบสที่อยู่ในย่านความถี่เดียวกันมีลักษณะที่มัวนิดๆ ซึ่งผมไม่ได้ยินแบบนั้นจาก The One

แต่แปลกที่ว่า พอเปลี่ยนมาลองฟังเสียงทุ้มต่ำๆ ที่เป็นโน๊ตจากอะคูสติกเบสในอัลบั้มชุด Super Bass อาการเงาเสียงทุ้มบางๆ ที่เกิดกับอัลบั้มชุด The Greatest Basso Vol.1 กลับไม่มีออกมาให้ได้ยิน หรือมีแต่เบามากจนไม่รู้สึกว่ามีผลกับโฟกัสของโน๊ตจากอะคูสติกเบส คล้ายกับว่า อาการเงาของเสียงทุ้มที่แผ่ออกมาบางๆ จะเกิดกับเสียงทุ้มที่มาจากการสังเคราะห์ แต่ถ้าเป็นเสียงทุ้มจากเครื่องดนตรีอะคูสติกที่บันทึกจากเสียงจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติอาการนั้นแทบจะไม่มีออกมาให้ได้ยิน เพราะหลังจากนั้นผมก็ทดลองฟังเพลงจากวงคลาสสิกอีกจำนวนหลายอัลบั้มก็ไม่พบอาการที่ว่า ซึ่งอาการที่ว่านั้นเป็น คนละแบบกับเสียงทุ้มขุ่นๆ ที่เกิดจากคุณภาพการบันทึกเสียงของอัลบั้มนั้นๆ คือถ้าขุ่นเพราะการบันทึก เสียงทุ้มขุ่นๆ นั้นจะไม่ลอยออกมา แต่อาการ เงาเสียงที่ว่านี้มันเหมือนลอยออกมาแปลกๆ หูหน่อย

จากนั้นผมได้ลองเอาอัลบั้มชุด ‘What A Difference A Day Makeของอิงแกรม วอชิงตันมาลองฟังด้วยและพบอาการมัวนิดๆ ที่เสียงร้องของอิงแกรมตอนร้องโน๊ตต่ำๆ ออกมาเช่นกัน (ที่ The One ไม่มี) นี่อาจจะเป็นผลข้างเคียงของดีไซน์วงจรเน็ทเวิร์คแบบ 2 ทางครึ่ง หรือจะเป็นอาการที่เกิดจากเรโซแนนซ์ของตู้.? หรือจะเป็นบุคลิกของไดอะแฟรมของตัววูฟเฟอร์.? ถามว่า ถ้าไม่พยายามฟังแบบจับผิดตรงประเด็นนี้ซ้ำไปซ้ำมา อาการมัวที่ว่านี้จะทำให้เป็นปัญหากับการฟังเพลงมั้ย.? หลังจากผมทดลองฟังลำโพงคู่นี้มานานแรมเดือน ผมจับได้ว่า ลำโพงคู่นี้ให้เสียงในย่านต่ำที่มีมวลมากกว่าขนาดของตัวตู้ที่ตาเห็น กับบางอัลบั้มฟังแล้วจะแอบรู้สึกได้ว่ามีอาการบู๊สต์ความถี่ในย่านต่ำออกมานิดนึง แต่ไม่มากถึงขนาดทำให้ตัวโน๊ตเสียรูปทรงไป ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาในแง่ ปริมาณแล้วผมกลับชอบความถี่ต่ำที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมานะ เพราะด้วยขนาดของไดเวอร์และตัวตู้ของลำโพงตัวนี้ ถ้าไม่ใช้เทคนิคเข้าช่วยก็คงไม่มีโอกาสได้ยินเสียงทุ้มต่ำๆ ออกมาในปริมาณที่มากขนาดนี้ ถึงแม้จะมีผลข้างเคียงที่มีอาการมัวบางๆ ในย่านความถี่ต่ำช่วงมิดเบสผสมออกมาด้วย แต่ก็เล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับข้อดีที่ทำให้ได้ปริมาณของความถี่ต่ำตั้งแต่ 500Hz ลงไปที่มีความหนาแน่นมากขึ้น ให้มวลที่อิ่มหนามากขึ้น ซึ่งเป็นข้อดีที่คุ้มกับการแลกด้วยผลข้างเคียงเล็กๆ น้อยๆ นั้น

อัลบั้ม : Blue Light (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Harry Connick Jr.
สังกัด : Columbia Records

หลังจากผ่านขั้นตอนทดสอบเจาะหาผลข้างเคียงของการออกแบบไปแล้ว ผมก็เริ่มตรวจสอบคุณภาพของลำโพง Classic 8 คู่นี้ด้วยการทดลองฟังเพลงทั่วๆ ไป โดยเลือกงานเพลงชุด Blue Light ชุดนี้มาลองฟังก่อนเพราะช่วงนี้ผมกำลังอินอยู่กับงานเพลงของ Harry Connick Jr.  ผู้นี้

อัลบั้มนี้ออกมาใน ปี 1991 ซึ่ง Harry Connick Jr. กับ Ramsey McLean ช่วยกันแต่งและเรียบเรียงเพลงในอัลบั้มชุดนี้ออกมาในลักษณะที่แบ่ง “ความเด่นให้กับภาคร้องและภาคดนตรีพอๆ กัน โทนของเพลงออกมาเป็นบิ๊กแบนด์แจ๊สที่มีความสดกระจ่างมากเป็นพิเศษ เลเยอร์ของดนตรีมีความซับซ้อนและทรงพลังมากไม่ย่อหย่อนไปกว่าเสียงร้องของแฮรี่ย์ที่ประทุพลังออกมาประชันกันอย่างเต็มที่

Gregg Rubin จัดการบันทึกและมิกซ์เสียงอัลบั้มนี้ออกมาได้อย่างเยี่ยมยอดมาก.! แม้ว่านักวิจารณ์ไม่ค่อยปลื้มกับอัลบั้มนี้ แต่อัลบั้ม Blue Light ชุดนี้กลับได้รางวัลแกรมมี่ 1992 และเพลงเอก Blue Light, Red Light ก็ได้รางวัลแกรมมี่สาขา Best Instrumental Arrangment w/ Vocals ด้วย ซึ่งหูของผมฟังแล้วชอบมากสำหรับอัลบั้มนี้ ชอบทั้งแง่ของสาระดนตรีและคุณภาพเสียง เมื่อนำมาฟังทดสอบครั้งนี้ ผมพบว่า ลำโพง Classic 8 คู่นี้ได้ทำหน้าที่เป็นมอนิเตอร์ถ่ายทอดคุณสมบัติเด่นๆ ของเพลง Blue Light, Red Light ออกมาได้อย่างหมดเปลือก.! ได้ยินแล้วขนลุก นั่งฟังไปอ้าปากค้างไปตลอดเพลง เริ่มจากมิติเสียงที่ Classic 8 ทำได้เยี่ยมยอดสุดๆ ทุกชิ้น ทุกเสียงที่อยู่ในเพลงนี้ถูกเหวี่ยงออกมาจากตู้ลำโพงกระจัดกระจายไปทั่วทั้งห้อง เวทีเสียงสุดขอบของคำว่ายอดเยี่ยม มาครบทั้งสามมิติ ทั้งกว้าง, ลึก และสูง จะจะต่อหน้าต่อตา รู้สึกได้ชัดๆ แบบไม่ต้องมโน

อีกสองคุณสมบัติที่มีอยู่ในเพลงนี้และ Classic 8 ก็ทำหน้าที่ ขุดมันออกมาโชว์ได้อย่างไม่มีที่ติ นั่นคือ ทรานเชี้ยนต์ไดนามิกของเครื่องเป่าในวงบิ๊กแบนด์ที่มีทั้งความฉับพลันแบบสายฟ้าแลบ และน้ำหนักที่พุ่งพรวดออกมาแบบมีชีวิต เร็วแต่ไม่บาง หลุดลอยออกมาแบบเต็มตัว ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเสียงเหล่านั้นพุ่งออกมาจากลำโพงทั้งสองข้าง นั่นเท่ากับว่า Classic 8 ทั้งสองข้างหายวับไปกับตาทันทีที่เสียงเพลงนี้ดังขึ้น.!!! จบแล้วต้องกดฟังซ้ำเพราะไม่เชื่อหูตัวเอง..!!! สุดจริง.. โอ้แม่เจ้า..!!!

อัลบั้ม : The Best Of Groove Note Volume 2 (DSF64)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Groove Note Records

อัลบั้มนี้เป็นการรวมเพลงเด่นๆ จากผลงานอัลบั้มที่ค่ายเพลงไฮเอ็นด์ Groove Note ของคุณยิง ตัน มีเพลงแจ๊สดีๆ หลายเพลง มีอยู่เพลงหนึ่งผมชอบฟังเสียงร้องมากเป็นพิเศษคือเพลง ‘Looking Backแทรคที่ 9 ซึ่งคนร้องคือ Diana Krall เธอสอดใส่อารมณ์ในเพลงนี้ออกมาได้ดีมาก ฟังแล้วเคลิบเคลิ้ม บันทึกเสียงก็ดี ซึ่งลำโพง Classic 8 คู่นี้ก็นำเสนอรายละเอียดของเพลงนี้ออกมาได้อย่างหมดจดจริงๆ มันถ่ายทอดโทนเสียงออกมาได้แม่นยำ ฟังปั๊บรู้เลยว่าคือไดอาน่า ครอล แถมยังเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียดระดับไมโครฯ ได้ด้วย สามารถรับรู้ได้ถึงลักษณะการถ่ายทอดคำร้องแต่ละพยางค์ออกมาอย่างชัดเจน ไม่มีตกหล่น ทั้งช่วงที่แผ่วเบาและช่วงเน้นย้ำ ฟังเพลินดีจริงๆ

สรุป

หลังจากทดสอบจบลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงชิ้นไหน ผมก็มักจะหวนกลับไปนึกถึงความรู้สึกของตัวเองตอนได้รับเครื่องเสียงชิ้นนั้นมาวันแรก เทียบความรู้สึกกับหลังจากได้ใช้ชีวิตอยู่กับมันมา ซึ่งที่ผ่านมาผมยอมรับว่า มีอยู่หลายชิ้นที่พลิกความคาดหมายจากที่ได้เห็นในวันแรกไปไกลมาก ซึ่งลำโพง Audio Physic Classic 8 คู่นี้ก็อยู่ในข่ายนั้น คือหลังจากได้ลองเล่นกับมันมาแรมเดือน ผมพบว่า สิ่งที่มันให้ออกมานั้นเกินที่ผมคาดคิดไปเยอะมาก.!

ผมอยากจะพูดว่า สิ่งที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมานี้ เป็นผลลัพธ์ที่เกิดจากการนำเอาประสบการณ์จริงของคนที่คุ้นเคยอยู่กับการออกแบบลำโพงระดับไฮเอ็นด์ฯ มาใช้ ออกแบบและ ปรับจูนเพื่อให้ลำโพงตั้งพื้นทรงผอมชะลูดตัวนี้สามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ดีที่สุดเท่าที่สรีระของมันจะให้ได้ ซึ่งหากหลับตาฟังแต่เสียง หลายๆ ครั้งที่ผมอดคิดไม่ได้ว่า เสียงแบบนี้น่าจะไปอยู่ในลำโพงที่มีราคาสูงกว่า Classic 8 คู่นี้สัก 3-4 เท่า..!! พูดแบบนี้คุณอาจจะไม่อยากเชื่อ.. ไม่ต้องเชื่อผมครับ แต่ไปลองฟังด้วยหูตัวเองเลย หลังจากนั้นค่อยมาคุยกันอีกที..!!! /

**********************
ราคา : 89,000 บาท / คู่
**********************
สนใจติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่
Audio Physic Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า