รีวิว Clef Audio รุ่น StreamBRIDGE-X เน็ทเวิร์ค สวิทช์ สำหรับเครื่องเสียง

จริงๆ แล้ว ประโยชน์ของอุปกรณ์ประเภท network switch ที่ใช้กันอยู่ในวงการไอทีก็คือเอามาช่วยขยายช่องทางการเชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับเน็ทเวิร์คเป็นหลัก ไม่ใช่อะไรที่หวังผลทางด้านคุณภาพเสียง แต่พอวงการเครื่องเสียงหันไปหยิบยืมกรรมวิธีในการ stream สัญญาณเสียงผ่านทางเน็ทเวิร์คมาใช้ในการเล่นเพลง นั่นทำให้ จุดประสงค์ในการนำเอาอุปกรณ์ที่ชื่อว่า เน็ทเวิร์ค สวิทช์ประเภทนี้มาใช้ในชุดเครื่องเสียงจึงเบี่ยงเบนไปจากเดิม จากวัตถุประสงค์เพื่อช่วยขยายช่องทางเชื่อมต่ออุปกรณ์ กลายมาเป็นหวังผลทางคุณภาพเสียง ด้วยการ ลด noiseและ ปรับสปีดในการรับ/ส่งข้อมูลของอุปกรณ์ที่เชื่อมโยงอยู่กับเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนั้นให้มีไทมิ่งที่ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเป็นหน้าที่ที่มีความสำคัญมากกว่าหน้าที่เดิมของมันมากมายมหาศาล.!

StreamBRIDGE-X
เน็ทเวิร์ค สวิทช์ สำหรับเครื่องเสียง

เน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่ถูกปรับปรุงประสิทธิภาพในการ ลด noiseและ ปรับจูนสปีดในการรับ/ส่งข้อมูลมาเป็นพิเศษ มักจะถูกเรียกว่าเป็น ‘audio grade network switchหรือสั้นๆ ว่า ‘audio network switchเพราะจุดประสงค์ในการปรับปรุงก็เพื่อให้ใช้กับชุดเครื่องเสียงโดยเฉพาะนั่นเอง

หลังจากปล่อย network switch ตัวแรกคือรุ่น StreamBRIDGE เวอร์ชั่นแรกออกมาเมื่อช่วงกลางปี 2565 ที่ผ่านมา (REVIEW) และได้รับการตอบรับดีมาก ก่อให้เกิดกระแสความต้องการ network switch ที่มีคุณภาพสูงขึ้นตามมาอย่างล้นหลาม นั่นคือที่มาของ StreamBRIDGE-X ตัวนี้

เน็ทเวิร์ค สวิทช์รุ่น StreamBRIDGE-X ของ Clef Audio ตัวนี้มีความพิเศษตรงไหนบ้าง.?

เมื่อมีประสบการณ์มาแล้ว ก็ย่อมรู้ถึงจุดอ่อน-จุดแข็งของอุปกรณ์ประเภทนี้มากขึ้น ซึ่งโนฮาวที่รับรู้กันในวงการเครื่องเสียงว่าส่วนประกอบของ network switch ที่ “ส่งผลต่อคุณภาพเสียง” มีอยู่ 2 ส่วนหลักๆ นั่นคือ

1. ระบบ clock ที่ใช้ควบคุมไทมิ่งในการรับส่งข้อมูลระหว่างตัว network switch กับอุปกรณ์ตัวอื่นๆ (Streamer, NAS และ Network DAC) ที่เชื่อมต่ออยู่กับตัว network switch ตัวนั้น

2. ระบบไฟเลี้ยง ซึ่งปัจจุบันได้ผ่านการพิสูจน์จนเป็นที่ยอมรับกันในวงกว้างมาแล้วว่า ระบบไฟเลี้ยงที่เป็นแบบ Linear Power Supply ให้คุณภาพเสียงที่เหนือกว่าระบบไฟเลี้ยงแบบสวิชชิ่งราคาถูกๆ ที่มักจะแถมมากับเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนั้น

StreamBRIDGE-X ของ Clef Audio ตัวนี้คือผลลัพธ์ของการ อัพเกรดประสิทธิภาพจาก StreamBRIDGE เวอร์ชั่นแรกขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่น X โดยจัดการลงไปที่ส่วนประกอบสำคัญทั้งสองส่วนที่กล่าวมาข้างต้น อย่างแรกคือทำการเปลี่ยนระบบที่ใช้สร้างสัญญาณ clock จากแบบ TCXO (Temperature-Compensated crystal Oscillators) ที่ใช้ใน StreamBRIDGE เดิมมาเป็นแบบ OCXO (Oven-Controlled crystal Oscillators) ในรุ่น StreamBRIDGE-X ซึ่งในทางเทคนิคแล้ว OCXO เป็นระบบสร้างสัญญาณ clock ที่มีความแม่นยำสูงกว่าแบบ TCXO มาก คือมีความคลาดเคลื่อนเพียงแค่ +/-10 ส่วนในพันล้านส่วน (+/-10 PPB) เท่านั้น เพราะตัวคริสตัล ออสซิลเลเตอร์ที่สร้างสัญญาณนาฬิกาของ OCXO จะถูกอุ่นด้วยเตาความร้อนเพื่อให้มีอุณหภูมิคงที่ตลอดเวลา (ถ้าอุณหภูมิไม่นิ่ง จะทำให้สัญญาณนาฬิกาที่สร้างขึ้นมาไม่นิ่งตามไปด้วย) ซึ่งแน่นอนว่า คริสตัล ออสซิลเลเตอร์แบบ OCXO มีต้นทุนสูงกว่าแบบ TCXO หลายเท่า.!

จุดที่สองที่ทำให้ StreamBRIDGE-X มีความโดดเด่นมากเป็นพิเศษ ก็คือทาง Clef Audio เขาทำการบรรจุภาคจ่ายไฟแบบลิเนียร์เข้าไปไว้ในตัว ซึ่งถือว่าแหวกแนวไปจากเน็ทเวิร์ค สวิทช์แบบดั้งเดิมไปไกล เพราะเน็ทเวิร์ค สวิทช์แบบ 8 ช่องแทบทั้งหมดที่วงการไอทีใช้กันอยู่ ส่วนใหญ่จะแถมสวิชชิ่ง เพาเวอร์ซัพพลายตัวเล็กๆ มาให้ แต่หลังจากวงการเครื่องเสียงค้นพบว่า เพาเวอร์ซัพพลายแบบสวิทชิ่งคุณภาพต่ำส่งผลเสียต่อเสียง เพราะมันเป็นแหล่งผลิต noise หรือสัญญาณรบกวนที่ลอดเข้าไปเป็นมลพิษในระบบทำให้เสียงแย่ลง นักนิยมเครื่องเสียงจึงต้องโยนเพาเวอร์ซัพพลายแบบสวิทชิ่งทิ้งไป แล้วไปขวนขวายหาเพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์ (Linear Power Supply) มาใช้แทน

ไม่เพียงแค่เอาเพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์ใส่เข้าไปในตัว StreamBRIDGE-X เท่านั้น ด้วยพื้นฐานของแบรนด์ Clef Audio ที่เชี่ยวชาญในการทำอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าจะต้องปรับจูนไฟเลี้ยงอย่างไร จัดวงจรเลกูเลเตอร์แบบไหน วางไลน์ของกราวนด์แบบใด เพื่อให้สามารถจ่ายไฟเลี้ยงให้ลงตัวกับความต้องการของวงจรอิเล็กทรอนิคที่อยู่ในตัว StreamBRIDGE-X พอดีๆ โดยไม่ทิ้งผลข้างเคียงเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ภาคจ่ายไฟลิเนียร์ในตัว StreamBRIDGE-X จึงเป็นภาคจ่ายไฟที่ ‘คัสต้อม‘ มาสำหรับเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนี้โดยเฉพาะ.!

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยเหตุที่ Clef Audio เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Furutech เจ้าแห่งแอคเซสซอรี่ที่เกี่ยวกับระบบไฟและสายตัวนำระดับไฮเอ็นด์จากประเทศญี่ปุ่น พวกเขาจึงเลือกใช้สายไฟและขั้วต่อระดับออดิโอ เกรดของฟูรูเทคในทุกจุดเชื่อมต่อที่สำคัญในตัว StreamBRIDGE-X ซึ่งนี่คือรายละเอียดในรายละเอียดที่ไม่ได้พบเห็นได้บ่อยในอุปกรณ์เสริมประเภทนี้

ตัวถัง.. ความพิเศษอีกอย่างที่ต้องเอ่ยถึง.!

ถ้าไม่รู้มาก่อน และไม่ได้เห็นโลโก้แบรนด์ที่พิมพ์อยู่บนตัวเครื่อง เชื่อเลยว่า ใครที่ได้มีโอกาสพบเห็นจนถึงขนาดได้ลูบคลำตัวเครื่องของ StreamBRIDGE-X ตัวนี้แล้ว คงต้องคิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากต่างประเทศอย่างแน่นอน.!

เพราะตัวถังของ StreamBRIDGE-X มันเกลี้ยงเกลามาก มองยังไงมุมไหนก็ไม่เห็นน็อตสักตัว เนื่องจากตัวถังหลักทำมาจากก้อนอะลูมิเนียมตันๆ ที่ขุดขึ้นรูปด้วย CNCทั้งตัว” จึงไร้รอยต่อ ผมยังนึกไม่ออกว่ามีอุปกรณ์เครื่องเสียงของไทยตัวไหนอีกที่ใช้ตัวถังแบบนี้ ซึ่งตัวถังแบบนี้มีข้อดีที่เกี่ยวข้องกับเสียงอยู่หลายอย่าง เครื่องเสียงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ของเมืองนอกหลายๆ แบรนด์ต่างก็ใช้ตัวถังอะลูมิเนียมขุดแบบนี้มานานแล้ว เขาว่ามันช่วยลดน้อยซ์จากคลื่นรบกวนจากภายนอก และช่วยลดปัญหา mechanical resonance ที่เกิดจากตัวถังสั่นค้างลงไปได้อย่างเด็ดขาดด้วย ซึ่งตัวถังแบบนี้ไม่ค่อยได้เห็นในอุปกรณ์ประเภทเดียวกันตัวอื่นๆ แม้แต่ของต่างประเทศที่มีราคาใกล้เคียงกัน (*ส่งผลดีกับเสียงยังไง ตอบยาก ต้องลองฟัง แต่ลองลูบคลำแล้วยกดูจะรู้สึกมั่นใจมากกว่าตัวถังเบาๆ แบบเวอร์ชั่นเก่ามากนะ..)

หน้าตาหล่อเหลาเอาเรื่อง

ผมชอบดีไซน์หน้าตาของเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวนี้มาก ชอบในลุคที่ดูมินิมอลแต่เท่ อีกอย่างที่ถูกใจคือ “น้ำหนัก” ของตัวเครื่องที่มากกว่าเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวอื่นๆ อย่างชัดเจน เป็นเพราะตัวถังที่ขุดมาจากอะลูมิเนียมตันๆ ทั้งแท่งนี่เอง ซึ่งผมชอบที่มันไม่กระดกตอนเสียบสายแลนเข้าไป ผมใช้สายแลนของ LINK CAT8 ปลอกสีเหลือง ซึ่งเป็นสายแลนที่มีความแข็ง เวลาเสียบใช้งานกับเน็ทเวิร์ค สวิทช์ตัวอื่นๆ ที่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเบา สายแลนตัวนี้มันจะยกตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ให้ลอยขึ้นมาจากพื้น ต้องคอยหาอะไรมากดทับบนตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ให้วุ่นวาย แต่พอเปลี่ยนมาใช้ StreamBRIDGE-X ตัวนี้แล้วหมดปัญหาเลย.! ไม่ว่าจะต่อสายแลนของ LINK เข้าไปสักกี่เส้น ตัวเครื่องก็ยังวางสงบนิ่งอยู่บนพื้นได้อย่างมั่นคง ถูกใจมาก.!!

เทียบขนาดกับ Silent Angel รุ่น Bonn N8 (ศรชี้) ที่ผมใช้อยู่เดิม

ถึงแม้ว่าตัวถังเครื่องจะอยู่ในรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ทว่า ตรงส่วนที่เป็นมุมแหลมๆ ได้ถูกลบเหลี่ยมคมออกไปจนมน ช่วยลดความกระด้างแข็งทางสายตาลงไปได้มาก แผงหน้าของตัวเครื่องไม่มีปุ่มปรับหรือสวิทช์ใดๆ เลย มีแต่โลโก้แบรนด์ที่พิมพ์ประทับอยู่ทางซ้ายมือของแผงหน้า (หันหน้าเข้าหาเครื่อง) กับไฟ LED สีน้ำเงินที่ทำเป็นแนวตั้งทางขวามือของแผงหน้าเท่านั้น อ้อ.. ส่วนฐานของตัวเครื่องที่เป็นสีดำๆ ก็ทำมาจากอะลูมิเนียมเช่นเดียวกัน ตรงนั้นมีชื่อรุ่น StreamBRIDGE-X สกรีนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษสีขาวๆ อยู่

แผงหลังของตัวเครื่องเป็นสีดำ ติดตั้งฟังท์ชั่นใช้งานไว้เท่าที่จำเป็น เริ่มจากซ้ายไปขวาก็มีเต้ารับสำหรับปลั๊กของสายไฟเอซี, สวิทช์โยกสำหรับการเชื่อมต่อกราวนด์, ไฟ LED และทางขวามือสุดก็คือช่องต่อสายแลนจำนวน 8 ช่อง

เข้าไปเจาะดูกันใกล้ๆ จะเห็นว่า ที่เต้ารับไฟเอซี (A) ใช้ของ Furutech FI-03 ซะด้วย.! เป็นเวอร์ชั่นขาชุบทอง มาพร้อมกล่องใส่ฟิวส์ในตัว ถัดไปทางขวาที่เป็นสวิทช์โยกสีเงินๆ นั้น (B) เอาไว้โยกเลือกอ๊อปชั่นว่าจะเชื่อมต่อกราวนด์ที่มากับสายแลนลงไปที่กราวนด์ของตัวเครื่องหรือเปล่า.? ถ้าโยกสวิทช์ลงไปที่ตำแหน่ง ‘GND’ ก็คือดึงกราวนด์ของสายแลนลงไปรวมกับกราวนด์ของตัวถังเพื่อฝากไปลงดินทางขั้วกราวนด์ของไฟเอซีที่บ้านคุณ แต่ถ้าต้นทางที่ส่งสัญญาณ Ethernet มาที่ StreamBRIDGE-X มีการไอโซเลตกราวนด์มาตั้งแต่ต้นทางแล้ว ก็ควรจะโยกสวิทช์ไปที่ตำแหน่ง ‘LIFT’ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกราวนด์ลู๊ป แต่ก็อย่างที่เคยบอกนั่นแหละว่า ระบบกราวนด์ของชุดเครื่องเสียงมันเหมือนผี บทจะมาหลอกหลอนก็หึ่งมา บทจะไม่มาก็เงียบสนิท ดังนั้น ทางที่ดีแนะนำว่า หลังจากเชื่อมต่อสายแลนเสร็จ ต่อสายไฟเอซีเข้าที่ตัว StreamBRIDGE-X แล้ว เปิดเครื่องเสียงทุกชิ้นในระบบเสร็จ ให้ทดลองโยกสวิทช์แล้วฟังเสียงดูทั้งสองแบบ แบบไหนให้เสียงออกมาดีที่สุดก็เลือกโยกไว้แบบนั้น

ในระบบของผมพบว่า ไม่ว่าจะปรับโยกไว้ที่ตำแแหน่ง GND หรือ LIFT ก็ไม่มีเสียงหึ่งหรือฮัมออกมาจากลำโพง แต่มีผลกับเสียงพอให้รู้สึกได้ คือส่วนใหญ่แล้ว ตอนปรับไปที่ตำแหน่ง GND เสียงจะถอยหลังลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงมากขึ้น เมื่อโยกไว้ที่ตำแหน่ง LIFT เสียงจะลอยออกมามากกว่า แอมเบี้ยนต์แผ่และฟูเต็มพื้นที่มากกว่า โอบล้อมมาถึงตำแหน่งนั่งฟังด้วย และรู้สึกได้ว่าลีลาการเคลื่อนไหวของแต่ละเสียงมีความเป็นอิสระมากกว่า ปลายเสียงเปิดและลากไปได้ไกลกว่า สรุปแล้วผมชอบโยกไว้ที่ตำแหน่ง LIFT มากกว่า ส่วนตำแหน่ง (C) นั้นเป็นไฟ LED ที่จะติดสว่างขึ้นเป็นสีเขียวขณะเปิดเครื่องใช้งาน

การเชื่อมต่อ StreamBRIDGE-X เข้ากับชุดเครื่องเสียง

เนื่องจากตัว StreamBRIDGE-X มีช่องเสียบสายแลนมาให้มากถึง 8 ช่อง มันจึงมีความสามารถรองรับการเชื่อมต่อกับระบบสตรีมมิ่งของคุณได้แทบจะทุกระบบ ไล่ตั้งแต่ระบบเล็กๆ ที่มีแค่ all-in-one ตัวเดียวไปจนถึงระบบใหญ่ระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ที่แยกสตรีมเมอร์ ทรานสปอร์ต, สตรีมเมอร์ DAC, DDC, music server, external Clock ฯลฯ

แต่… พูดมาถึงตรงนี้ต้องขอมีแต่ เพราะตามความเข้าใจเบื้องต้นของเราคิดว่า การเสียบทุกอย่างที่มีอยู่ในชุดสตรีมมิ่งเข้าไปที่ตัว network switch ทั้งหมด น่าจะทำให้เสียงออกมาดีที่สุด เพราะหน้าที่หลักของอุปกรณ์ประเภท network switch มันถูกออกแบบมันเพื่อให้เสียบอุปกรณ์ที่มีไว้รวมกัน เพื่อให้ clock ในตัว network switch มันเข้าไป ส่งผลกับการทำงานของอุปกรณ์แต่ละตัว

แต่.. จากประสบการณ์ที่เคยทดสอบอุปกรณ์ประเภท network switch มาแล้วหลายตัว ผมพบว่า การเสียบอุปกรณ์ในชุดสตรีมมิ่ง ทั้งหมดเข้าไปที่ตัว network switch อาจจะไม่ได้ให้ผลดีที่สุดตามที่เข้าใจก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นว่า เสียบอุปกรณ์แค่บางชิ้นมีสิทธิ์ที่จะให้ผลลัพธ์ดีกว่าด้วยซ้ำไป.! ถามว่าเพราะอะไร.? ตอบได้เลยว่า.. ไม่รู้! แต่ถ้าให้เดา คิดว่าน่าจะเป็นผลมาจาก reaction ที่เกิดขึ้นระหว่างอุปกรณ์แต่ละตัวในระบบที่เอาไปต่อพ่วงรวมอยู่ใน network switch ตัวเดียวกันนั่นแหละ ซึ่งอาจจะเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการทำงานของ clock ในตัว network switch กับ clock ที่อยู่ในตัวอุปกรณ์แต่ละตัวในชุดสตรีมมิ่งก็เป็นได้ พอต่อเข้าไปหลายๆ ตัว ณ จุดเดียวกัน clock ตัวไหนจะทำหน้าที่เป็น MASTER ตัวไหนจะทำหน้าที่เป็น SLAVE คงวุ่นวายน่าดู… นี่คือเดาล้วนๆ แต่ผลทางเสียงที่เกิดขึ้นมันฟังออกว่า ต่อแค่บางชิ้นเข้ากับ network switch เสียงโดยรวมออกมาดีกว่าต่อ ทุกชิ้นเข้าไปที่ network switch ตัวเดียวกัน

จากการทดลองกับตัว StreamBRIDGE-X ผมก็พบว่า ผลลัพธ์ทางเสียงที่เกิดขึ้นมันก็ไปในทิศทางเดียวกันกับ network switch ตัวอื่นๆ ที่เคยทดลองมา คือผมพบว่า เมื่อเริ่มเสียบอุปกรณ์ตัวแรกคือ Roon nucleus+ เข้าไปที่ StreamBRIDGE-X เสียงของระบบออกมาดีกว่าเสียบ Roon nucleus+ เข้ากับ Router โดยตรง หลังจากนั้น ผมลองเสียบ Bluesound New NODE เข้าไปที่ StreamBRIDGE-X เป็นตัวที่สอง พบว่า เสียงโดยรวมดีขึ้นไปอีก ดีกว่าตอนเสียบ Bluesound New NODE เข้ากับ Router โดยตรง ตอนที่ทดสอบ dCS LINA DAC ผมก็ทดลองเสียบ LINA DAC เข้าไปที่ตัว StreamBRIDGE-X สลับฟังกับตัว Bluesound New NODE เสียงก็ดีทั้งคู่ อยู่ในร่องในรอยเดียวกัน ต่างกันแค่ระดับคุณภาพเสียงกับบุคลิกเสียงเท่านั้น

แต่พอเสียบตัว NAS พ่วงเข้าไปที่ StreamBRIDGE-X โดยที่มีทั้ง Roon nucleus+, Bluesound New NODE และ LINA DAC เสียบคาอยู่ที่ตัว StreamBRIDGE-X เสียงโดยรวมกลับฟังแย่ลง โฟกัสเบลอออกไปเลย ภาพรวมของเสียงออกมานัวๆ เบลอๆ ความคมชัดแย่ลง ไดนามิกแย่ลง พอปลดเอา NAS ออกจากตัว StreamBRIDGE-X แยกออกไปต่อตรงเข้ากับ Router เสียงโดยรวมของระบบก็กลับมาดีขึ้น.. คิดๆ ดูแล้วก็น่าแปลกใจ เพราะถึงแม้ว่า NAS จะไม่ได้ต่อผ่าน StreamBRIDGE-X แต่มันก็ต้องเชื่อมต่อกับระบบสตรีมมิ่งชุดเดียวกันนี้ผ่านทาง Router ตัวเดียวกันอยู่ดี.. ทำไมผลทางเสียงจึงออกมาต่างกันได้..???

แต่ไม่รู้ล่ะ.. ผมยึดเอาผลทางเสียงที่ดีที่สุดเป็นเกณฑ์ สรุปแล้ว ในการทดสอบ StreamBRIDGE-X ตัวนี้ กับซิสเต็มเครื่องเสียง ผมทำการเชื่อมต่ออุปกรณ์ในส่วนของ source ที่ใช้งานร่วมกับ StreamBRIDGE-X ตามภาพชาร์ตข้างบน คือเอาเฉพาะตัว music streamer คือ (Roon nucleus+) กับ network DAC (คือ Bluesound New NODE สลับกับ dCS LINA DAC) แค่สองตัวที่ต่อผ่าน StreamBRIDGE-X ส่วน NAS ผมต่อตรงเข้า Router ซึ่งเป็นอ๊อปชั่นที่ให้เสียงออกมาดีที่สุดในสภาพแวดล้อมของผม

ส่วนชุดแอมป์+ลำโพงที่ใช้ทดสอบร่วมกัน ผมใช้อินติเกรตแอมป์ของ LFD รุ่น NCSE HR (REVIEW) จับคู่กับลำโพงตั้งพื้นรุ่นเล็กยี่ห้อ Fischer&Fischer คือ SN/SL 270AMT ซึ่งลำโพงรุ่นนี้มีคุณสมบัติเหมาะกับการทดสอบ network switch มากเป็นพิเศษ เนื่องจากว่ามันใช้ทวีตเตอร์ AMT ที่ถูกกำหนดให้ทำงานในย่านแหลมไปได้ไกลถึง 27,000Hz ซึ่งเป็นระดับความถี่สูงที่เปิดขึ้นไปมากพอที่จะทำให้เห็นถึงผลที่เกิดจาก noise ในย่านความถี่สูงได้ชัด (ตอบสนองตลอดย่านตั้งแต่ 39Hz – 27kHz)

เสียงของ StreamBRIDGE-X

ผมทดลองฟังผลทางเสียงของ StreamBRIDGE-X จากซิสเต็มข้างต้นด้วยการสลับฟังเทียบกันระหว่าง เอา StreamBRIDGE-X เข้ามาใช้ในระบบกับถอด StreamBRIDGE-X ออกไปจากระบบ และตอนเอา StreamBRIDGE-X เข้ามาใช้ในระบบ ผมจะทดลองต่ออุปกรณ์เข้าไป ทีละตัวโดยเริ่มจาก Roon nucleus+ แล้วลองฟัง ก่อนจะเพิ่ม Bluesound New NODE เข้ามาแล้วลองฟัง จากนั้นจึงตามด้วย NAS เพิ่มเข้ามาแล้วลองฟัง

ผมสังเกตว่า ทุกครั้งที่มีการนำเอาอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีการ ปรับปรุงในส่วนของภาค clock ที่ดีขึ้นเข้าไปทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ที่ทำงานเป็นส่วนประกอบอยู่ในแหล่งต้นทางที่เป็นระบบดิจิตัลแล้ว ผลลัพธ์ที่ออกมามักจะเป็นไปในทิศทางที่ ดีขึ้นเสมอ หมายถึงได้ คุณภาพเสียงโดยรวมออกมาดีขึ้นทุกครั้ง.!

ดีขึ้นยังไง.? ส่วนไหนบ้างที่รับรู้ได้.?? โดยพื้นฐานแล้ว ระบบ clock มีความสำคัญกับ ทุกภาคส่วนที่ทำงานอยู่ในระบบเพลย์แบ็คของแหล่งต้นทางที่จัดการกับสัญญาณเสียงที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัล ไม่ว่าจะเป็นส่วนของ server, streamer หรือ DAC เพราะระบบ clock ที่ดีมีความแม่นยำสูง มีความผิดพลาดต่ำ มันจะเข้าไปช่วยจัดจังหวะเวลาในการรับส่งสัญญาณดิจิตัลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ (router, NAS, DAC) ที่อยู่ในระบบเพลย์แบ็คให้ตรงตาม timing ที่ถูกต้องทุกบิตข้อมูลเพื่อไม่ให้มีความเพี้ยนรูปแบบที่เรียกว่า ‘phase noiseเกิดขึ้น

ถ้าสัญญาณทุกบิต ถูก process หรือจัดการในแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง ทุกห่วงโซ่มีการรับส่งสัญญาณตรงตามคาบเวลาเป๊ะๆ ผลที่เกิดขึ้นกับเสียงอย่างแรกเลยคือ เฟสของสัญญาณจะซ้อนทับกันสนิท ส่งผลให้คุณสมบัติทางด้าน โฟกัสที่ดีขึ้น ซึ่งผู้ฟังจะสามารถรับรู้ได้แม่นยำมากขึ้นผ่านความคมชัดของ ตัวเสียงที่ทำให้เราสามารถระบุ ตำแหน่ง” (localization) ของเสียงแต่ละเสียงในเพลงที่ฟังได้แม่นยำมากขึ้น เมื่อแต่ละเสียงมี โฟกัสที่คมชัดมากขึ้น แต่ละเสียงมี ตำแหน่งที่ถูกต้องตามต้นฉบับมากขึ้น ก็จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงคุณสมบัติทางด้าน เวทีเสียงที่มีการเรียงตัวของรูปวงที่เป็นสามมิติ คือมีตื้นลึก, ซ้ายขวา และหน้าหลัง ที่ชัดเจน และยังต่อเนื่องไปถึงคุณสมบัติทางด้าน seperation อีกด้วย คือทำให้สามารถ แยกแยะรายละเอียดของแต่ละเสียงออกจากกันได้ง่ายขึ้น แต่ละเสียงจะไม่มีอาการปนเข้าหากัน แม้ว่าบางเสียงจะมีตำแหน่งที่ซ้อนกัน เพราะอยู่กันคนละ เลเยอร์ความลึกของเวทีเสียง แต่ก็จะยังคงแยกแยะออกจากกันได้ ไม่ปนกัน นั่นเป็นเพราะไทมิ่งที่เกิดจากระบบ clock ที่ดีจะทำให้ได้ เฟสของสัญญาณที่แม่นยำตรงตามต้นฉบับด้วย ไม่มีการรบกวนจาก phase noise เข้ามายุ่ง ทำให้แต่ละเสียงมีลักษณะที่เยื้องมาทางด้านหน้า และถอยไปทางด้านหลังได้ (คือมี depth-of-field เกิดขึ้นกับเวทีเสียง) นั่นทำให้เรายังคงสามารถแยกแยะเสียงที่ซ้อนกันออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะเวทีเสียงที่เกิดขึ้นจะไม่แบนเป็นหน้ากระดาน

นอกจากนั้น ระบบ clock ที่ดี ที่ทำให้ปัญหา phase noise ต่ำมากๆ จะทำให้เราสามารถเจาะลงไปถึงคุณสมบัติแต่ละประเด็นของแต่ละเสียงได้ทะลุลึกลงไปถึงระดับ inner detail อีกด้วย.!!!

อัลบั้ม : Tracy Chapman (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Tracy Chapman
สังกัด : Elektra

จากประสบการณ์ที่เคยทดสอบอุปกรณ์ประเภท network switch ผ่านมาหลายตัว ทำให้ผมรู้ว่าต้องสังเกตฟังตรงไหน ซึ่งสมัยก่อนเมื่อพูดถึงผลของ noise หรือสัญญาณรบกวนที่เข้ามาในระบบเครื่องเสียง เรามักจะมองไปที่ ความสะอาดเนียนของเนื้อเสียง ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ถือว่าผิด เพราะ noise ที่เกิดขึ้นในระบบเครื่องเสียงบางรูปแบบ ไม่ว่าจะเริ่มต้นมาจากจุดไหน และไม่ว่าจะเป็น noise ประเภทไหน เมื่อเกิดขึ้นและเข้าไปรบกวนการทำงานของชุดเครื่องเสียงแล้วมันจะทำให้มี ความหยาบเกิดขึ้นกับเนื้อเสียงเสมอ ซึ่งความหยาบที่เกิดขึ้นกับเนื้อเสียงที่ว่านี้จะมี ปริมาณมากน้อยแต่ไหน มันจะมีตัวแปรเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ 2 ตัว นั่นคือความถี่และ ความดัง

ในแง่ความถี่นั้น “ความหยาบ” หรือผลจาก phase noise ที่เข้าไปรบกวน “ความถี่สูง” จะสังเกตได้ง่ายกว่า phase noise ที่เข้าไปรบกวนเสียงในย่านกลางและย่านทุ้ม เป็นเพราะหูของมนุษย์ไวต่อความถี่แต่ละย่านไม่เท่ากัน ส่วนในแง่ของความดัง คุณจะรับรู้ถึง “ความหยาบ” ที่เกิดขึ้นกับเสียง (ซึ่งเป็นผลจากการรบกวนของ phase noise) ได้ชัดเจนมากกว่าถ้าเปิดวอลลุ่มดังๆ นั่นหมายความว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ฟังเพลงเบาๆ ถึงแม้ว่าจะมี noise เข้ามารบกวนอยู่ในซิสเต็ม คุณก็อาจจะไม่รับรู้ถึง “ความหยาบ” ที่ phase noise เหล่านั้่นทำให้เกิดขึ้นกับเนื้อเสียงที่ซิสเต็มของคุณปล่อยออกมาก็ได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าเสียงที่ฟังอยู่นั้นไม่มี noise รบกวน)

ผมเป็นคนชอบฟังเพลงดังๆ เหตุผลเพราะต้องการดึงคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกเร้นจ์ของเสียงให้สวิงออกมาจากซิสเต็มได้กว้างที่สุด เพราะผมเป็นคนที่ชอบฟังความสดสมจริงของเสียงทุกเสียงที่ประกอบอยู่ในเพลงที่ฟัง ต้องการเจาะลงไปให้ถึงรายละเอียดระดับ inner detail ของแต่ละเสียงเพื่อซึมซับอรรถรสที่นักดนตรีตั้งใจบรรเลงลงไปบนเครื่องดนตรีของพวกเขาให้ได้มากที่สุด ซึ่งผมพบว่า เมื่อเอา StreamBRIDGE-X ของ Clef Audio เข้ามาใช้งานร่วมกับซิสเต็มทดสอบของผม มันทำให้ผมแยกรายละเอียดในแต่ละเพลงของอัลบั้มชุด Tracy Chapman ออกมาได้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งอัลบั้มนี้เป็นตัวอย่างของงานเพลงที่ดี แต่บันทึกเสียงไม่ค่อยดี

ก่อนหน้าตอนที่ยังไม่มี StreamBRIDGE-X อยู่ในซิสเต็ม ผมสังเกตได้ว่า ในตอนช่วงต้นๆ ของเพลง ‘Talkin’ Bout a Revolution’ ผมจะได้ยินเสียงกีต้าร์โปร่งค่อนข้างชัด แต่พอไปถึงช่วงท้ายๆ ของเพลง ผมพบว่าเสียงกีต้าร์โปร่งมันจมหายไปใน “ก้อนเสียง” ที่ผสมปนกันจนขมุกขมัวไปหมด แยกอะไรไม่ออกเลย.. เมื่อผมทดลองเร่งวอลลุ่มที่แอมป์ให้สูงขึ้น เพื่อหวังจะ “คลี่คลาย” ความขมุกขมัวของเสียงในท่อนท้ายๆ ของเพลงนี้ออกมา ซึ่งพอเสียงดังขึ้น ช่วงต้นเพลงจะฟังดีขึ้นอีก เพราะทั้งเสียงกีต้าร์และเสียงร้องมีน้ำหนักเสียงมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รับรู้ได้ว่า เนื้อเสียงมีเกนของความหยาบปนออกมามากขึ้นพร้อมกับความดังที่เพิ่มขึ้นด้วย และพอถีงช่วงท้ายของเพลง แทนที่รายละเอียดต่างๆ จะถูกคลี่คลายออกมาอย่างที่ผมหวัง กลับกลายเป็นแย่หนักกว่าเก่า.! คือพอเร่งวอลลุ่มมากขึ้น ความขมุกขมัวของเดิมไม่ได้หายไป แต่เติมเอาความหยาบแข็งและพุ่งสาดเพิ่มเข้ามาอีก ฟังแค่แว๊บเดียวก็ต้องรีบกดหยุดเพลง.. ไปต่อไม่ไหว.!!!

หลังจากผมเชื่อมต่อ StreamBRIDGE-X เข้าไปในซิสเต็ม แล้วหวนกลับมาลองฟังเพลงเดิมใหม่อีกครั้ง บิงโก้.!! หลายๆ อย่างดีขึ้นอย่างชัดเจน อย่างแรกที่รับรู้ได้ทันทีคือ สปีดของเพลงมันเนิบช้าลงนิดนึง ซึ่งฟังแล้วรู้สึกได้ว่าจังหวะของเพลงมันถูกต้องมากขึ้น สามารถขยับเท้าตามจังหวะเพลงได้อย่างเมามันมากขึ้น ต่อจากนั้นก็เป็นเสียงกีต้าร์และเสียงร้องที่รับรู้ได้ว่ามันมี ความชัดมากขึ้น คือผมได้ยินสายกีต้าร์ที่ถูกตีคอร์ดแยกออกมาได้ชัดขึ้น เทียบกับตอนไม่มี StreamBRIDGE-X มันจะออกมานัวๆ แยกไม่ชัดเท่า และปลายเสียงกีต้าร์จะออกนุ่มและ smear แต่พอเติม StreamBRIDGE-X เข้ามา ปลายเสียงกีต้าร์ก็ดีดตัวมากขึ้น ส่วนเสียงร้องของเทรซี่ก็ชัดถ้อยชัดคำมากขึ้น เริ่มมีปฏิกิริยาที่แสดง “อารมณ์ไปกับเสียงร้องผ่านทักษะการขยับริมฝีปากกับการควบคุมลมหายใจออกมาให้ได้ยินบ้าง ทั้งหมดนี้ทำให้เพลงนี้มีความรู้สึกดึงดูดความสนใจให้หยุดฟังมากขึ้น ช่วงท้ายของเพลงก็สวิงไดนามิกได้กว้างขึ้น ความอึดอัดน้อยลงไปเยอะ สามารถทนฟังที่ระดับความดังสูงๆ ได้มากขึ้น นั่นทำให้ฟังแล้ว เข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้มากขึ้น..

อัลบั้ม : Always On My Mind (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Willie Nelson
สังกัด : CBS

เพลง ‘Bridge Over Troubled Waterที่ร้องคัฟเวอร์โดยวิลลี่ เนลสันในอัลบั้มนี้เป็นเพลงที่มิกซ์มาดีมาก มีการใช้ไดนามิก เฮดรูมที่เหมาะสม เมื่อปรับระดับความดังลงตัว จะได้ยินรายละเอียดที่ออกมาครบตั้งแต่ช่วงเบาตอนต้นเพลง แล้วค่อยๆ เพิ่มความดังกับอัตราสวิงไดนามิกที่เปิดกว้างขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงช่วงพีคสุดๆ ตอนเสียงกลองโผล่มาช่วงท้ายๆ ของเพลง ซึ่งก่อนจะเอา StreamBRIDGE-X เข้ามาในระบบ จะรู้สึกได้เลยว่าบาลานซ์ความดังยาก คือพอเปิดให้ดังมากขึ้นเพื่อเปิดรายละเอียดช่วงต้นเพลงขึ้นมา พอถึงท่อนท้ายๆ ของเพลงมันจะโอเว่อร์ มีอาการมั่วและแผดติดมาด้วย ต้องลดวอลลุ่มลงนิดนึงอาการแผดที่ว่าจึงลดลงมาอยู่ในระดับที่ฟังได้ แต่ ณ จุดนั้น อารมณ์ของเพลงมันหดหายไปพอสมควร เสียงกลองตอนช่วงพีคระเบิดออกมาไม่เต็มพลัง และพอลองฟังตอนเริ่มต้นใหม่กลายเป็นเสียงจมๆ ไม่ลอยเปิดขึ้นมา ต้องเร่งวอลลุ่มเพิ่มอีก วนอยู่แบบนี้..

พอเอา StreamBRIDGE-X เข้ามาใช้ในระบบ แล้วฟังเพลง ‘Bridge Over Troubled Waterเพลงเดียวกันนี้อีกครั้ง คราวนี้ผมสามารถเร่งวอลลุ่ม เพิ่มขึ้นจากเดิมจนได้ยินเสียงกีต้าร์กับเสียงร้องตอนขึ้นต้นเพลงที่ลอยตัวขึ้นมาเหนือพื้นเสียงได้อย่างชัดเจน และเมื่อฟังไปจนจบเพลงผมพบว่า ระดับความดังของเพลงมันค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นเป็นช่วงๆ ไปตามลักษณะการเรียบเรียงดนตรีอย่างมีลีลา โดยไม่ต้องแตะวอลลุ่มที่แอมป์เลย.! จนถึงช่วงท้ายที่เสียงกลองปรากฏขึ้นมา ผมได้ยินเสียงกลองที่มีการสวิงไดนามิกทรานเชี้ยนต์แบบเต็มสเกล.. เสียงของไม้กลองที่เคาะลงไปบนขอบกลองมันก้องกังวานออกมาให้ได้ยินชัดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เด่นชัดเท่านี้ จนถึงช่วงพีคก่อนจบเพลง เสียงกลองที่มือกลองกระแทกน้ำหนักลงไปบนหนังกลองช่วงส่งก่อนจบห้องสุดท้ายของเพลง มันฟังแล้วได้อารมณ์ซะเหลือเกิน.. ได้อารมณ์มากถึงขนาดที่ต้องกดย้อนกลับไปฟังอีกรอบ..!!!

มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งตอนฟังเพลง ‘Bridge Over Troubled Waterเพลงนี้ คือหลังจากเอาตัว StreamBRIDGE-X เข้าไปใช้ในระบบแล้วฟังช่วงแรก ผมสังเกตว่าเสียงโดยรวมมันจะเบาลงไปนิดนึง (ผมเริ่มต้นฟังเทียบด้วยระดับวอลลุ่มเดียวกัน) ผมต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อยจึงได้ระดับความดังที่ใกล้เคียงกับตอนที่ไม่ได้ใช้ StreamBRIDGE-X ซึ่งตอนแรกเหมือนกับจะไม่มีอะไรต่างกันมาก แค่ว่าหลังเอา StreamBRIDGE-X เข้ามาใช้แล้ว รู้สึกว่าเสียงกีต้าร์กับเสียงร้องมันลอยตัวขึ้นมาจากแบ็คกราวนด์มากกว่าตอนไม่มี StreamBRIDGE-X นิดนึง แต่พอฟังไปเรื่อยๆ จนจบเพลงถึงค่อยรู้สึกว่า เฮ่ยย.. มันต่างกันเยอะนะ.!! คือหลังจากใส่ StreamBRIDGE-X เข้ามาในระบบ มัน (StreamBRIDGE-X) ทำให้ซิสเต็มที่ใช้ทดลองฟังสามารถสวิงไดนามิกเร้นจ์ได้กว้างขวางมากขึ้นอย่างชัดเจน และทำให้ช่วงพีคของเพลงที่มีระดับความดังสูงๆ มีอาการแผดน้อยลง รวมถึงอาการหยาบก็น้อยลงด้วย นอกจากนั้น รูปวงเวทีเสียงก็มีความเป็นสามมิติดีขึ้น และอีกอย่างที่สำคัญคือ จังหวะของเพลงที่แม่นยำมากขึ้น ฟังเพลงช้าก็รู้สึกช้าแต่สด เพราะไม่ได้ช้าแบบเฉื่อย ฟังเพลงเร็วก็รู้สึกถึงความกระชับเร็ว ในขณะที่ยังคงฟังจับรายละเอียดของแต่ละเสียงในเพลงออกมาได้ครบ

สรุป

ยอมรับว่า ผมทดสอบ StreamBRIDGE-X ตัวนี้โดยมีอาการไบอัสเล็กๆ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว ใจผมนั้นเปิดรับอุปกรณ์เสริมประเภท network switch แบบนี้อยู่แล้ว เพราะเคยทดสอบไปแล้วหลายตัว พบว่าทั้งหมดนั้นล้วนส่งผลดีกับเสียงของชุดสตรีมมิ่งทั้งนั้น

StreamBRIDGE-X ของ Clef Audio ตัวนี้เป็นเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่ออกมาหลังคนอื่นเขาพอสมควร ทำให้มีโอกาสศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งของอุปกรณ์เสริมประเภทนี้มาเป็นอย่างดี ก่อนจะนำความรู้ไปพัฒนาปรับปรุงจากรุ่น StreamBRIDGE ออกมาเป็น StreamBRIDGE-X ที่ดีขึ้นกว่าเดิมมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นภาคเพาเวอร์ซัพพลายแบบลิเนียร์ที่คัสต้อมมาในตัว และภาค clock แบบ OCXO ที่มีความแม่นยำสูงกว่า รวมถึงตัวถังที่สวยมาก จึงทำให้ StreamBRIDGE-X เป็นเน็ทเวิร์ค สวิทช์ที่น่าสนใจมากที่สุดในระดับราคาไม่เกิน 25K สำหรับวันนี้.!!!

********************
Clef Audio รุ่น StreamBRIDGE-X
ราคา = 21,900 บาท / เครื่อง
********************
ออกแบบ/ผลิต และจัดจำหน่ายโดย
Clef Audio
โทร. 02-932-5981

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า