รีวิว Meridian Audio รุ่น Ellipse

เพื่อนๆ ที่ติดตามเพจของผมทุกคนเป็นคนที่มีพื้นฐาน “ชอบฟังเพลง” ทั้งนั้น บางคนใช้เพลงเป็นเพื่อนคลายเหงา ในขณะที่บางคนมองว่าเพลงเป็น “งานศิลปะ” แขนงหนึ่งที่มีความละเอียดอ่อน ส่งผลกับจิตใจในแง่บวก ซึ่งระดับของความชื่นชอบในบทเพลงเป็นประสบการณ์ที่สามารถพัฒนาได้ บางคนเริ่มจากแค่ชอบฟังเพลินๆ สุดท้ายกลายมาเป็นหลงไหลไปเลยก็มีเยอะ

แม้ว่าทุกคนจะชอบฟังเพลงเหมือนๆ กัน แต่พอพูดถึง “การเล่นเครื่องเสียง” จะพบว่ามีความแตกต่างกันโดยแยกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกคือคนที่มีพื้นฐานชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์มาก่อน กลุ่มนี้จะเปิดรับกับการเล่นเครื่องเสียงไปพร้อมกับการฟังเพลง ส่วนอีกกลุ่มที่ไม่ได้พิศมัยทางด้านอิเล็กทรอนิคส์เลย เผลอๆ จะมองว่าเป็นอะไรที่ยุ่งยากซับซ้อนไปอีก ความประสงค์ของเพื่อนๆ กลุ่มหลังนี้ที่เข้ามาจอยอยู่ในเพจ ก็แค่อยากฟังเพลงอย่างมีคุณภาพเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้,
เครื่องเสียงจึงมีความหลากหลาย

จริงอยู่ว่า เครื่องเสียงใดๆ ต่างก็ทำหน้าที่เดียวกัน คือขับขานบทเพลงให้เราฟัง แต่การออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ดีจะต้องทำให้อุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นมีคุณสมบัติที่ “ตรง” กับพฤติกรรมในการใช้งานของคนซื้อด้วย (ภาษาการตลาดเขาว่า ตรงกับ “ไล้ฟ์สไตล์” ของผู้ใช้นั่นเอง.!)

all-in-one คือคำตอบของหลายๆ คน.!!

เครื่องเสียงประเภท all-in-one อาจจะถูกเมินจากคนเล่นเครื่องเสียง แต่มันคือรูปแบบของเครื่องเสียงที่ “ตอบโจทย์” ได้อย่างตรงความต้องการของคนทั่วไปที่ชอบฟังเพลงมากที่สุด ถ้าไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเข้าสู่วงการ “เล่นเครื่องเสียง

Meridian รุ่น Ellipse
all-in-oneระดับไฮเอ็นด์” สำหรับ “คนฟังเพลง” ที่ไม่ได้ต้องการ “เล่นเครื่องเสียง

ถึงแม้ว่าจะไม่ได้อยากเล่นเครื่องเสียง แต่คนชอบฟังเพลง ทุกคนล้วนอยากได้เครื่องเสียงที่ “เล่นง่าย“ และ ”เสียงดี“ กันทั้งนั้น จะเลือกยังไง.?

สำหรับโจทย์ “เล่นง่าย” คิดว่าคงจะไม่มีเครื่องเสียงประเภทไหนที่จะตอบโจทย์นี้ได้ตรงประเด็นมากเท่ากับเครื่องเสียงประเภท all-in-one อีกแล้ว อย่างลำโพง Meridian ตัวนี้ที่รวมทุกอย่างเข้ามาไว้ในตัวครบ มีแค่สมาร์ทโฟนอันเดียวก็ฟังเพลงได้เแล้ว ส่วนเรื่อง เสียงดีนั้น สำหรับคนที่ไม่ได้เล่นเครื่องเสียงอาจจะใช้วิธีพิจารณาจาก เครดิตของแบรนด์ของผู้ผลิต all-in-one ตัวนั้นๆ ก็พอจะได้ กรณีนี้ ถ้าคุณเปิด Google ขึ้นมาแล้วพิมพ์คำว่า ‘Meridianลงไปในช่องค้นหา คุณจะพบกับข้อมูลเบื้องหลังชื่อแบรนด์ Meridian Audio ที่พอจะการันตีให้มั่นใจได้ว่า ในแง่คุณภาพเสียงนั้นคงจะไม่ธรรมดาแน่นอน เพราะแบรนด์นี้มีนวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับเครื่องเสียงมาช้านาน แถม Meridian ยังเป็นผู้ค้นคิดเทคโนโลยี MQA ที่ใช้ในการสตรีมไฟล์เพลงระดับไฮเรซฯ ที่รู้จักกันดีอีกด้วย แสดงว่าแบรนด์นี้คลุกคลีและเชี่ยวชาญกับเทคโนโลยีที่ใช้กับการสตรีมไฟล์เพลงเป็นพิเศษ อันนี้ยิ่งช่วยให้มีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นไปอีกระดับ

ความโดดเด่นของ all-in-one รุ่น ‘Ellipseของ Meridian ตัวนี้อยู่ที่รูปลักษณ์ที่สวย  เก๋ ใช้งานง่าย และเสียงดี

ดีไซน์เก๋

บอดี้ของลำโพงไร้สายตัวนี้ถูกออกแบบมาได้ตรงกับชื่อของมันเป๊ะๆ คือมีลักษณะภายนอกเป็นวงรีเหมือนลูกหนำเลี๊ยบผ่าครึ่ง ผิวตู้เป็นสีดำด้าน แผงหน้าที่ติดตั้งไดเวอร์มีตะแกรงโลหะปิดอยู่ ด้านล่างมีขาเตี้ยๆ สีขาวสองขาทำหน้าที่ค้ำยันให้แผงหน้าของตัวลำโพงเชิดขึ้นเล็กน้อย

ขนาดตัวเครื่องก็ไม่ได้เล็กนะ แต่ด้วยดีไซน์ที่โค้งและมนเกลี้ยง ทำให้มันดูไม่เทอะทะ และมีขนาดที่ดูย่อมกว่าความเป็นจริง

ตรงขอบของแผงหน้าด้านบนเป็นพื้นที่ติดตั้งจุดสัมผัสเพื่อการควบคุมการทำงานของตัวเครื่อง หลักๆ คือ เพิ่ม/ลดความดัง, เชื่อมต่อ Bluetooth และคำสั่งที่ใช้ควบคุมการเล่นเพลง อาทิข้ามไปแทรคต่อไป, ถอยหลังไปแทรคก่อนหน้า, หยุดชั่วคราว/เล่นต่อ ซึ่งคุณสามารถสั่งงานฟังท์ชั่นเหล่านี้ได้อีกทางหนึ่งผ่านระบบไร้สายจากแอพฯ ที่ติดตั้งอยู่บนสมาร์ทโฟน

ขั้วต่อ

1. ไฟแสดงสถานะของการเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์ค
2. ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณ analog กับ optical
3. ช่อง USB-A ใช้เสียบแฟรชไดร้ USB
4. ช่องอินพุต USB-C สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
5. ช่องเสียบสาย LAN (Ethernet)
6. เต้ารับไฟเอซี
7. ปุ่ม Reset กลับไปเป็นค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน

Ellipse ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถในการเล่นไฟล์เพลงแบบไร้สายเป็นอันดับแรก ผ่านทางคลื่น Bluetooth กับคลื่น Wi-Fi แต่ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์คผ่านทางสาย LAN (Ethernet) ได้อีกทางหนึ่งด้วย

ส่วนอินพุตแบบใช้สายช่องอื่นๆ อย่างเช่น USB-C สามารถรองรับสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ได้ โดยรับได้สูงถึงระดับ 24/192, ช่องอินพุตอ๊อปติคัล TOSLINK สามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลได้สูงถึงระดับ 24/96 ส่วนช่องอินพุต Analog มีภาค ADC (Analog-to-Digital converter) ระดับ 24/88.2kHz ทำหน้าที่แปลงสัญญาณอะนาลอก อินพุตให้เป็นสัญญาณดิจิตัลก่อนจะป้อนเข้าสู่การทำงานของ DSP ภายในตัวเครื่อง

การเชื่อมต่อผ่าน Bluetooth

ถ้าบ้านคุณไม่ได้ติดตั้งระบบเน็ทเวิร์คเอาไว้ หรือกรณีที่คุณนำ Ellipse ไปใช้งานในสถานที่ที่ไม่มีสัญญาณเน็ทเวิร์ค วิธีเชื่อมต่อที่ง่ายที่สุดก็คือผ่านทางคลื่น Bluetooth ไม่ว่าจะเป็นบลูทูธที่มาจากสมาร์ทโฟน, แท็ปเล็ต หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้งานร่วมกับลำโพงตัวนี้ได้หมด (สามารถเชื่อมต่อด้วยเทคโนโลยี NFC กับอุปกรณ์ android ได้ด้วย)

การเชื่อมต่อระหว่าง Ellipse กับอุปกรณ์อื่นๆ ของคุณผ่านทาง Bluetooth จะทำให้คุณสามารถสตรีม สัญญาณเพลงจากอุปกรณ์เหล่านั้นมาที่ Ellipse ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเล่นไฟล์เพลงจาก TIDAL, Spotify, Apple Music, YouTube รวมถึงเล่นจากแอพฯ ทุกตัวที่เล่นบนอุปกรณ์เหล่านั้น และสามารถปรับวอลลุ่ม, เล่น/หยุด, เลือกข้ามเพลง/ถอยหลัง ผ่านทางแอพฯ บนอุปกรณ์เหล่านั้นได้โดยตรง นี่เป็นวิธีใช้งาน Ellipse ที่ง่ายที่สุด และจากการทดลองใช้งานพบว่า คุณภาพเสียงของ Ellipse ที่ได้จากการเล่นเพลงผ่าน Bluetooth อยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะทาง Meridian ผู้ผลิตลำโพงรุ่นนี้ให้ข้อมูลไว้ว่าพวกเขาตั้งใจปรับจูนอินพุต Bluetooth มาเป็นพิเศษ

การเชื่อมต่อผ่าน Network

อย่างไรก็ดี ทางผู้ผลิตแนะนำว่า ถ้าคุณเชื่อมต่อ Ellipse ผ่านทางเน็ทเวิร์ค ไม่ว่าจะเชื่อมต่อด้วยวิธีไร้สายผ่านคลื่น Wi-Fi (A) หรือเชื่อมต่อด้วยวิธีใช้สายผ่านทาง Ethernet (B) คุณจะสามารถใช้งาน Ellipse ได้เต็มประสิทธิภาพมากกว่า

เล่นไฟล์เพลงด้วยการสตรีมจาก TIDAL ด้วย ‘TIDAL Connect

ประโยชน์ที่ได้จากการเชื่อมต่อ Ellipse เข้ากับเน็ทเวิร์คนั้น นอกจากจะได้ความเสถียรในการเชื่อมต่อตอนเล่นไฟล์จาก TIDAL และ Spotify ที่เป็นแบบ TIDAL Connect และ Spotify Connect แล้ว การเชื่อมต่อผ่าน network ยังทำให้คุณสามารถใช้งานฟังท์ชั่นต่างๆ ที่อยู่ในแอพลิเคชั่นของ Meridian ได้ด้วย

แอพลิเคชั่น Meridian Control App

แอพลิเคชั่น Meridian Control App เป็นแอพฯ ที่ผู้ลิตออกแบบมาเพื่อให้ใช้ในการควบคุมสั่งงานและทำการปรับตั้งค่าต่างๆ ของตัว Ellipse เป็นแอพฯ ฟรีที่มีให้โหลดใช้ทั้งสองระบบปฏิบัติการณ์คือ iOS และ Android หน้าตาของแอพฯ ออกแนวเรียบง่าย เนื่องจากเป็นแอพฯ ที่ใช้ควบคุมการทำงานของตัว Ellipse เป็นหลัก ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นแอพฯ เพลเยอร์ (ดึงไฟล์เพลงจากเซิฟร์ฟเวอร์ และเล่นไฟล์เพลง) อยู่ในตัว ซึ่งหัวข้อเมนูที่มีให้เข้าไปใช้งานในแอพฯ นี้มีอยู่ทั้งหมด 6 หัวข้อ คือ Control, Configuration, Device Manager, System Settings, App Settings และ About

ข้างบนนั้นเป็นหน้าตาของแอพเมื่อเลือกหัวข้อ ‘Controlซึ่งเป็นแค่แสดงให้รู้ว่า Ellipse กำลังรองรับการเล่นไฟล์เพลงจากอุปกรณ์ภายนอก (สมาร์ทโฟน, แท็ปเล็ต และคอมพิวเตอร์) ผ่านทาง TIDAL Connect นั่นคือแอพ TIDAL ทำหน้าที่เป็น Player ในการดึงไฟล์เพลงจากเซิร์ฟเวอร์มาเล่น ในขณะที่ Ellipse ทำหน้าที่เป็น Renderer คือรองรับสัญญาณดิจิตัลจาก TIDAL Connect เข้ามาแปลงเป็นอะนาลอกและขยายเสียงออกลำโพง 

ที่เมนู Configuraton มีหัวข้อให้ปรับตั้งทั้งหมด 11 หัวข้อ เปิดโอกาสให้คุณจัดการกับ “ภายใน” ของตัว Ellipse ได้หลายอย่าง อาทิเช่น เปลี่ยนชื่อจากที่ตั้งมาจากโรงงานว่า ‘Meridian Ellipseให้เป็นไปตามที่คุณต้องการ, ปรับตั้งการทำงานของ AirPlayGoogle CastSpotifyBluetooth และ Ethernet, ตรวจเช็คเฟิร์มแวร์และอัพเดตได้จากหัวข้อ FIRMWARE UPDATE และมีหัวข้อ RESTORE SETTINGS เพื่อแก้ไขค่าที่ปรับตั้งไว้ให้กลับไปเป็นค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน

ทั้ง 11 หัวข้อที่มีมาให้ปรับตั้งที่เมนู Configuration นั้น มีอยู่หัวข้อหนึ่งที่มีผลกับเสียงจากแต่ละอินพุตโดยตรง นั่นคือหัวข้อ ‘Source Configurationซึ่งเป็นหัวข้อที่เปิดโอกาสให้คุณปรับตั้งคุณสมบัติทางด้าน Gain, Q-Sync และ Lipsync ของแต่ละอินพุตได้แก่ Analog, Network, Optical, Bluetooth และ USB

ไดเวอร์กับแอมป์

เพราะ Ellipse เป็น all-in-one มันจึงต้องมีทั้งภาค DAC ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ source และแอมปลิฟายกับลำโพงอยู่ในตัว

Ellipse ถ่ายทอดความถี่เสียงที่ครอบคลุมตั้งแต่ 40Hz ซึ่งเป็นความถี่ต่ำ ขึ้นไปจนถึง 20kHz หรือสองหมื่นเฮิร์ตซึ่งเป็นเสียงแหลม โดยผ่านไดเวอร์จำนวน 3 ตัวช่วยกันสร้างความถี่เหล่านั้น สองตัวแรกเป็นไดเวอร์แบบ full-range ขนาด 90 .. กรวยโพลีโพรไพลีนที่ถูกกำหนดให้สร้างเสียงกลางแหลม คือทำงานตั้งแต่ 180Hz ขึ้นไปจนถึง 20kHz โดยแยกตัวหนึ่งเป็นแชนแนลซ้าย (Left Channel) ส่วนอีกตัวเป็นแชนเนลขวา (Right Channel) กับไดเวอร์ตัวที่สามที่มีขนาด 150 .. กรวยโพลีโพรไพลีนเหมือนกัน แต่ถูกกำหนดให้สร้างความถี่ต่ำของระบบ โดยรับผิดชอบตั้งแต่ 180Hz ลงไปจนถึง 40Hz

เพื่อให้ไดเวอร์ทั้งสามตัวทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ ผู้ออกแบบจึงได้แยกใช้เพาเวอร์แอมป์ถึง 3 ตัว สำหรับขับไดเวอร์ทั้งสามตัวแยกอิสระจากกัน สองตัวที่ใช้ขับไดเวอร์ฟูลเร้นจ์มีกำลังขับตัวละ 25W ส่วนตัวที่ใช้ขับลำโพงซับวูฟเฟอร์มีกำลังขับเท่ากับ 30W เมื่อแอมป์+ไดเวอร์ทั้งสามทำงานร่วมกัน มันสามารถสร้างความดังออกมาได้สูงสุดถึง 100dB ที่ระยะห่างจากตัวลำโพงออกไปเท่ากับ 1 เมตร ซึ่งถือว่าทำได้ดังมากเมื่อเทียบกับขนาดตัวตู้ของลำโพงตัวนี้.!!

เทคโนโลยี เสียงของ Meridian

Meridian เป็นแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้าน Digital Audio มากเป็นพิเศษ พวกเขาพยายามคิดค้นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ฟังมี ‘listening experienceที่แตกต่างไปจากแค่ ได้ยินเพลงผ่านมาเข้าหู ให้ไปไกลถึงระดับที่เรียกว่า รู้สึกเหมือนกำลังฟังศิลปินคนนั้นบรรเลงอยู่ใกล้ๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่มุ่งสู่อุดมคติของความเป็นไฮไฟเดลิตี้นั่นเอง

ด้วยพื้นฐานของ digital ทำให้สามารถออกแบบวิธีการปรับจูนเสียงด้วยการเขียนขึ้นมาเป็นซอฟท์แวร์แล้วเขียนมันลงไปอยู่ใน DSP ก่อนจะบรรจุชิป DSP นั้นลงไปในวงจรของเครื่อง ซึ่งเทคโนโลยีที่ Meridian นำมาใช้กับ Ellipse ตัวนี้มีอยู่ทั้งหมด 12 เทคโนโลยี แยกออกเป็น 4 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นเทคโนโลยีที่ใช้จัดการกับสัญญาณอินพุตให้มีคุณภาพสูงขึ้น (Signal Conditioning) ทั้งหมด 3 เทคโนโลยีคือ Digital Precision, Q-Sync และ True Time กลุ่มที่สองมีอยู่ 4 เทคโนโลยี ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ในการปรับจูนประสิทธิภาพการทำงานของระบบให้อยู่ในระดับสูงสุด (System Optimisation) ได้แก่ Image Elevation, Free-Q, Perfect Balance, Bespoke Signal Mapping

กลุ่มที่สามมีอยู่ 3 เทคโนโลยี ได้แก่ E3 Bass, Image Focus และ Bass & Space ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มประสิทธิภาพในการเพลย์แบ็ค (Playback Enhancement) ของระบบ และกลุ่มที่ 4 คือ Performance Management มีอยู่ทั้งหมด 2 เทคโนโลยี คือ Pro-Active Bass และ Pro-Active Thermal ซึ่งทำหน้าที่จัดการควบคุมเพอร์ฟอร์มานซ์ในการทำงานของระบบให้อยู่ในมาตรฐานตลอดเวลา

ถ้าสนใจอยากรู้ว่า ลึกๆ แล้ว เทคโนโลยีของ Meridian เหล่านี้มีรายละเอียดอะไรบ้าง.? แนะนำให้คลิ๊กเข้าไปอ่านได้จากลิ้งค์นี้ (https://www.meridian-audio.com/innovation/technologies/) ซึ่งในนั้นคุณจะเห็นว่า ยังมีเทคโนโลยีอื่นๆ นอกเหนือจาก 12 เทคโนโลยีที่อยู่ใน Ellipse ตัวนี้อีกเยอะ ซึ่งถูกใช้อยู่ในผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Meridian Audio

เสียงของ MeridianEllipse

ผมทดลองติดตั้ง Ellipse ไว้ที่ห้องรับแขก เพราะดูแล้วมันเป็นที่ที่เหมาะสมกับลำโพงบลูทูธตัวนี้มาก ไม่ว่าจะในแง่ของ รูปร่างหน้าตาที่สวยเก๋ สะดุดตา เหมาะกับการตั้งโชว์ ทุกคนที่เห็นล้วนแต่เอ่ยปากทักตลอด หรือจะในแง่ของ ฟังท์ชั่นใช้งานที่ตอบรับกับมุมบันเทิงของครอบครัวได้อย่างลงตัวมาก ไม่ว่าจะเชื่อมต่อสัญญาณจากทีวี (ทางช่อง optical) เพื่อปรับปรุงคุณภาพเสียงของทีวีให้ดีขึ้นได้เยอะมาก ทั้งในแง่ของความถูกต้องของเสียง และมิติเวทีเสียงก็ดีกว่าเสียงจากทีวีเยอะมาก

นอกจากนั้น ผมยังเชื่อมต่อสายแลน Ethernet เข้ากับ Ellipse เพื่อให้สามารถใช้งาน Ellipse ได้เต็มประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเฉพาะในแง่ของการฟังเพลงที่เน้นคุณภาพเสียง ซึ่ง Ellipse ตัวนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแจกแจงรายละเอียดและอารมณ์ของเพลงออกมาให้สัมผัสในระดับที่สะดุดหูตั้งแต่แรก.!

คือเสียงเพลงที่พุ่งผ่าน Ellipse ออกมามันเป็นเสียงเพลงที่มีความ แตกต่างไปจากที่เคยฟังผ่านลำโพงไร้สายตัวอื่นๆ รวมถึงระบบเครื่องเสียงแบบเดิม อย่างแรกที่รู้สึกแตกต่างก็คือ เสียงที่ ลอยออกมาในอากาศในลักษณะที่แผ่กว้างเหมือนบอลลูนที่พองตัวออกไปรอบด้าน ทำให้รู้สึกว่าเสียงเพลงที่ฟังมันมีการเรียงตัวของเสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีที่แผ่กระจายออกมาอย่างเป็นระเบียบ เป็นรูปวง ไม่ปนกัน เพราะไม่ว่าในเพลงที่กำลังฟังจะมีจำนวนของเสียงจากเครื่องดนตรีและเสียงอื่นๆ มากแค่ไหน แต่ ทุกเสียงเหล่านั้นได้ถูกตีแผ่ออกมาให้ได้ยินครบทุกชิ้นโดยไม่ต้องตั้งใจฟัง.. ใช่ครับ.! พูดสั้นๆ ได้ว่า เสียงมันเคลียร์มาก..!!

ผมทดลองเร่งวอลลุ่มจากสมาร์มโฟนให้สูงขึ้นขณะกำลังสตรีมไฟล์เพลงที่เล่นจากแอพ TIDAL (ผ่าน TIDAL Connect) ไปยัง Ellipse ผมพบว่า สามารถเปิดได้ดังจนเกินพอกับระยะห่างจากจุดที่ผมนั่งทำงานกับตำแหน่งที่วาง Ellipse ประมาณสิบเมตร มันดังเกินพอโดยที่เสียงไม่มีอาการแผดจ้าเลย.!!

ประเด็นนี้ต้องสรุปเลยว่า Ellipse ให้เสียงที่มีความดังเกินตัวมาก มันสามารถ fill เสียงเพลงให้ลอยแผ่ออกมาได้เต็มพื้นที่อากาศ 30- 40 ตรม. ได้อย่างสบายๆ ..!!!

ผมทดลองใช้โปรแกรม Roon สตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาเล่นบนคอมพิวเตอร์แล้วส่งสัญญาณเอ๊าต์พุตมาที่ Ellipse ผ่านทางเน็ทเวิร์คด้วยโหมด Roon Ready ปรากฏว่าเสียงออกมาดีมาก.! ยกระดับไปอีกขั้น เป็นคุณภาพเสียงระดับที่คนเล่นเครื่องเสียงต้องหยุดฟัง ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจสำหรับคนทั่วไปที่ไม่ได้เล่นเครื่องเสียงแต่ชอบฟังเพลงได้ยินแล้วต้องหลงไหลกับเสียงเพลงที่เคยฟังแต่ไม่เคยได้ยินเวอร์ชั่นที่ดีขนาดนี้มาก่อน

ถ้าสังเกตจากสองภาพข้างบนนี้ ซึ่งภาพบนแสดงเส้นทางสัญญาณที่เกิดขึ้นขณะเล่นไฟล์เพลงจาก TIDAL ด้วยโปรแกรม Roon แล้วส่งมาที่ Ellipse ทางเน็ทเวิร์ค จะเห็นว่า เมื่อสัญญาณจาก Roon ส่งมาถึง Ellipse จะถูกปรับปรุงคุณภาพเสียงหลายขั้นตอน เริ่มด้วยการอัพแซมปลิ้งสัญญาณอินพุตจาก 44.1kHz ขึ้นไปเป็น 176.4kHz จากนั้นก็ถูกส่งไปผ่านเทคโนโลยี Free-Q, Image Elevation และ Bass & Space ที่อยู่ใน DSP ของตัว Ellipse ก่อนจะส่งไปที่ภาคแอมปลิฟายในตัว Ellipse เพื่อขยายออกไปที่ลำโพงแผ่ออกมาเป็นคลื่นเสียงให้เราได้ยินในขั้นตอนสุดท้าย

สรุป

หลังจากทดลองใช้งาน Ellipse อยู่นานแรมเดือน ผมก็เริ่มเคยชินกับการมีลำโพงตัวนี้อยู่ในห้องรับแขกซะแล้ว ด้วยการทำงานที่ไม่สะดุด และคุณภาพเสียงที่ยิ่งฟังยิ่งรู้สึกถึง ความนวลของเสียงที่ผ่านการขัดเกลามาอย่างละเอียด ไม่ว่าจะฟังเพลงใหม่ที่เพิ่มออกมา หรือจะเป็นเพลงเก่าที่บันทึกเสียงมาตั้งแต่ 30- 40 ปีที่แล้ว เสียงโดยรวมที่พุ่งผ่าน Ellipse ออกมามันก็ยังคงความละมุนหูอยู่ตลอด เป็นเสียงที่ฟังแล้ว อินกับเพลงได้ง่าย มีความเป็นดนตรีสูง เหมาะมากกับคนที่ชอบฟังเพลงเป็นพื้นฐาน..

*** HIGHLY RECOMMENDED.!!! ***
สำหรับ
ลำโพง all-in-one ที่มีราคาไม่เกิน 100,000 บาท

***********************
ราคา : 79,900 บาท / ตัว
***********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บริษัท Deco2000
โทร. 089-870-8987

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า