รีวิว KEF รุ่น Q Concerto Meta

ลำโพง “3 ทางดีตรงไหน..?? การที่ไดเวอร์แต่ละตัวถูกกำหนดให้รับผิดชอบในการกระจายคลื่นเสียงออกมาในช่วงความถี่แคบๆ จะส่งผลดีต่อคุณภาพเสียงถึง 2 ประการ ด้วยกัน อย่างแรกคือ ทำให้ความถี่เสียงที่ออกมาจากไดเวอร์แต่ละตัวมีความเที่ยงตรงมากขึ้น โดยเฉพาะในย่านเสียงกลาง ซึ่งถ้าเป็นลำโพง 2 ทางที่ใช้ไดเวอร์ตัวเดียวที่ต้องรับหน้าที่ในการถ่ายทอดความถี่ในย่านกลางและทุ้ม ถ้ากำหนดให้ตอบสนองเสียงทุ้มเยอะหน่อย เสียงกลางก็จะย่อหย่อนลงไป และในทางตรงข้าม ถ้ากำหนดให้ไดเวอร์ตัวนั้นตอบสนองเสียงกลางออกมามากหน่อย เสียงทุ้มก็จะอ่อนด้อยลง เมื่อแยกไดเวอร์ขับเสียงกลางและไดเวอร์ขับเสียงทุ้มออกจากกันเป็นคนละตัว ต่างคนต่างทำหน้าที่เฉพาะในย่านความถี่ที่ถูกกำหนดมา ผู้ออกแบบก็สามารถปรับจูนให้ทั้งเสียงกลางและเสียงทุ้มออกมาดีทั้งคู่ได้

ข้อดีอีกประการของการแยกไดเวอร์ขับย่านเสียงทุ้มกลางแหลม ออกจากกัน นั่นคือ ทำให้ลำโพงคู่นั้นสามารถเปิดได้ดังมากขึ้นโดยที่ไม่ทำให้ความเพี้ยนเพิ่มขึ้น เนื่องจากไดเวอร์แต่ละตัวมีภาระในการถ่ายทอดความถี่ในช่วงที่แคบลง จึงสามารถขับดันความถี่ในย่านนั้นให้ดังมากขึ้นได้

3 ทาง vs 2.5 ทาง

ดูจากภายนอกอาจจะไม่รู้ เพราะลำโพง 3 ทาง กับลำโพง 2.5 ทาง จะดูเหมือนๆ กัน คือมีไดเวอร์ 3 ตัวเหมือนกัน แต่ลักษณะการทำงานจะต่างกัน ซึ่งถ้าเป็นลำโพง 3 ทางแท้ๆ ไดเวอร์ทั้ง 3 ทางจะแยกกันสร้างความถี่ทุ้ม (woofer) – กลาง (midrange) – แหลม (tweeter) ออกจากกันเด็ดขาด ในขณะที่ตัวไดเวอร์มิดเร้นจ์ของลำโพง 2.5 ทางจะทำงานคร่อมระหว่างเสียงกลางกับเสียงทุ้มตอนต้น ส่วนวูฟเฟอร์ก็ไม่ได้ถูกกำหนดให้สร้างความถี่ต่ำอย่างเดียว แต่กำหนดให้สร้างความถี่กลางต่ำขึ้นไปเสริมความถี่จากตัวมิดเร้นจ์ด้วย

ทำไมต้อง 2.5-way แทนที่จะเป็น 3-way ไปเลย.?

กรณีที่สามารถติดตั้งไดเวอร์ได้ 3 ตัว (ทวีตเตอร์ 1 + วูฟเฟอร์ 2) แต่ตัวตู้ไม่ได้ใหญ่มาก ไม่สามารถติดตั้งไดเวอร์ที่มีขนาดใหญ่เกิน 6 นิ้วหรือ 6.5 นิ้วลงไปได้ การออกแบบให้ไดเวอร์ทั้ง 3 ตัว ทำงานในโหมด 2.5 ทาง จะได้เสียงกลางที่มีมวลอิ่มหนามากกว่าลำโพงขนาดตู้พอๆ กันแต่เป็นแบบ 2 ทาง (ทวีตเตอร์+มิด/วูฟเฟอร์) ในขณะเดียวกัน ด้วยขนาดตัวตู้ที่กระทัดรัด ติดตั้งวูฟเฟอร์ได้ไม่เกิน 6 นิ้วหรือ 6.5 นิ้ว สองตัว + ทวีตเตอร์หนึ่งตัว จะออกแบบให้ทำงานเป็น 3 ทางแท้ๆ ก็จะได้เสียงทุ้มที่ดีกว่าดีไซน์เป็นแบบ 2 ทางแค่นิดหน่อย สู้ออกแบบให้ทำงานเป็น 2.5 ทางจะได้ประโยชน์มากกว่า

3 ทาง ดีกว่า 2.5 ทาง .??

แหงอยู่แล้ว..!! ถ้าเป็นลำโพง 3 ทาง “แท้ๆ” คือติดตั้งไดเวอร์ 3 ตัว (ทวีตเตอร์+มิดเร้นจ์+วูฟเฟอร์) บนตัวตู้เดียวกัน และใช้วงจรเน็ทเวิร์คที่กำหนด จุดตัด 2 จุด บนย่านความถี่ตอบสนองตลอดทั้งย่าน จะได้เสียงแหลมเสียงกลางเสียงทุ้มที่แยกเป็นอิสระเด็ดขาดจากกัน แบบนั้นคือดีที่สุด ดีกว่าแบบ 2.5 ทางอย่างแน่นอน

มีข้อสังเกตอยู่ 2 จุดว่าลำโพงตัวนั้นเป็นแบบ 3 ทางหรือ 2.5 ทาง ซึ่งจะนับจากจำนวนไดเวอร์ไม่ได้ ต้องสังเกตจาก (1) “ขนาดของไดเวอร์มิดเร้นจ์” คือถ้ามีขนาด “เล็กกว่า” ไดเวอร์ขับทุ้ม (วูฟเฟอร์) ก็น่าจะเป็นลำโพง 3 ทางแท้ๆ กับอีกจุดคือเปิดสเปคฯ ดู (2) “จุดตัดความถี่ (crossover network)” ของวงจรเน็ทเวิร์คในลำโพงรุ่นนั้นๆ ถ้ามีจุดตัดความถี่ 2 จุด ก็แสดงว่าเป็นลำโพง 3 ทาง สรุปคือ ถ้าลำโพงรุ่นไหนมีครบทั้ง 2 คุณสมบัติข้างต้นนั้นก็น่าจะเป็นลำโพง 3 ทางแท้ๆ แน่นอน..!!

KEF รุ่น Concerto
คือสามทางแท้ๆ ระดับ entry-levelตัวแรกจาก KEF

Kent Engineering & Foundry เป็นชื่อเต็มของ KEF ที่ใช้ในยุคแรก พวกเขาเริ่มทำลำโพง bookshelf แบบ 3-way ออกมาตัวแรกเมื่อ ปี 1969 โดยให้ชื่อรุ่นว่า ‘Concerto

ตามภาพข้างบนจะเห็นว่า ในยุคนั้นไดเวอร์ Uni-Q ยังไม่เกิด พวกเขาใช้ไดเวอร์ 3 ตัวช่วยกันทำงานในการสร้างความถี่เสียงตั้งแต่ 30Hz – 30,000Hz ออกมา ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นสเปคฯ ที่เดิ้นมากๆ สำหรับลำโพงวางขาตั้ง (ประมาณ 55 ปี ที่แล้ว.!) แต่ถ้าอ่านจากข้อความในภาพข้างบน จะเห็นว่า พวกเขาใช้ ไดเวอร์ตัวที่สามซึ่งก็คือวูฟเฟอร์รูปไข่ในการเสริมความถี่ในย่านเสียงกลางตอนล่างช่วง 300Hz ลงไปถึง 30Hz แสดงให้เห็นว่า ผู้ออกแบบให้ความสำคัญกับ เสียงกลางมากเป็นพิเศษ และที่น่าสังเกตคือ ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ตัวนี้ทำมาจากวัสดุโพลีสไตลีนโดยมีแผ่นอะลูมิเนียมบางๆ ปะทับอยู่บนผิวหน้า ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันที่ใช้กับตัววูฟเฟอร์ยุคปัจจุบัน ส่วนมิดเร้นจ์ขนาด 5 นิ้ว ที่ใช้ในลำโพงรุ่นนี้ถูกกำหนดให้สร้างความถี่ในช่วง 500Hz ขึ้นไปจนถึง 3000Hz ซึ่งครอบคลุมย่านเสียงกลางส่วนใหญ่ ข้างในมีแยกตู้ย่อยเฉพาะมิดเร้นจ์ด้วย เพื่อป้องกันการรบกวนจากมวลอากาศภายในตัวตู้ที่พุ่งพ่านด้วยแรงดันของวูฟเฟอร์

Q Concerto Meta ที่เพิ่งปรากฏตัวออกมาเมื่อปลาย ปี 2024 ที่ผ่านมาก็คือผลผลิตที่เกิดจากการ พัฒนาปรับปรุงต่อยอดมาจากรุ่น Concerto ตัวนั้นนั่นเอง..!!

Q Concerto Meta
วางขาตั้ง+สามทางรุ่นใหม่ล่าสุดของ KEF

นับถึงปัจจุบัน KEF ทำลำโพงแบบวางขาตั้งที่ทำงานในโหมด “3 ทางแท้ๆ ออกมาถึง 3 รุ่นแล้ว ถ้านับรุ่น Q Concerto Meta คู่นี้เข้าไปด้วย เมื่อพูดถึงลำโพงทั้งสามรุ่นนี้แล้ว ถ้ามองเผินๆ มันจะคล้ายกันมาก ต้องเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ ถึงจะพบความแตกต่าง

ในเมืองไทย รุ่น Reference 1 Meta (REVIEW) ออกมาช่วงต้นปีต่อกลาง ปี 2566 ที่ผ่านมา ส่วนรุ่น R3 Meta (REVIEW) ตามออกมาประมาณช่วงกลางปีต่อปลาย ปี 2566 ในขณะที่รุ่น Q Concerto Meta เพิ่งจะวางตลาดในประเทศไทยช่วงนาทีสุดท้ายของ ปี 2566 นี้เอง

จากข้อมูลสเปคฯ ในตารางข้างบนนั้น จะเห็นว่า ทั้งสามรุ่นนี้มีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต่างกันอยู่หลายจุด หลักๆ คือ ขนาดตู้ของทั้งสามรุ่นที่ไม่เท่ากันเลย แม้ว่ารูปทรงของตัวตู้จะมาทางเดียวกัน แต่ในแง่ของสัดส่วน กว้าง x ลึก x สูง ต่างกันทั้งสามรุ่น และเมื่อพิจารณาคุณสมบัติด้านอื่นเข้ามาเสริมกัน อย่างเช่น ความถี่ตอบสนอง, จุดตัดความถี่ รวมถึงความไว จะเห็นว่ามันต่างกันทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ทางผู้ผลิตได้ทำการ ปรับจูนองค์ประกอบต่างๆ ของลำโพงทั้งสามรุ่นให้มีความเหมาะสมลงตัวกันไปเฉพาะในแต่ละรุ่น ไม่ได้ใช้วิธีก็อปปี้ค่าจากรุ่นหนึ่งไปใช้กับรุ่นอื่นๆ

ถึงแม้ว่าตัวตู้ของ Q Concerto Meta จะมีขนาดเล็กที่สุดในจำนวนสามรุ่นข้างต้น แต่ถ้าดูเฉพาะรุ่น Q Concerto Meta ตัวเดียว ผมว่าตัวตู้ของมันก็ไม่ได้เล็กนะ คือจะเรียกว่าเป็นลำโพงขนาดเล็ก ก็เรียกได้ไม่เต็มปากเต็มคำนัก เพราะเมื่อยก TotemThe Oneของผมเข้าไปเทียบกัน พบว่า พิกัดสัดส่วนของ Q Concerto Meta มันใหญ่กว่า The One ของผมไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นด้านกว้าง, ด้านลึก และสูง ซึ่งระดับของความแตกต่างถือว่าชัดเจนมาก เรียกว่าพี่กับน้องก็ได้

รุ่น Reference 1 Meta มีสีตู้ให้เลือก 5 สี รุ่น R3 Meta มีให้เลือก 4 สี ในขณะที่รุ่น Q Concerto Meta มีให้เลือกแค่ 3 สี คือ ขาวซาติน, ดำซาติน และลายไม้วอลนัทสีธรรมชาติ (คู่ที่ผมได้รับมาทดสอบ)

ไดเวอร์ Uni-Q เจนเนอเรชั่น 12

สำหรับมือใหม่กับแบรนด์ KEF ที่ไม่เคยศึกษาทำความรู้จักกับแบรนด์นี้มาก่อนมองเผินๆ อาจจะเข้าใจว่าลำโพงรุ่นนี้เป็นลำโพงสองทางที่มีไดเวอร์แค่ 2 ตัว แต่จริงๆ แล้วที่เห็นนั้นคือไดเวอร์ 3 ตัว โดยที่ตัวทวีตเตอร์กับมิดเร้นจ์ถูกผนึกไว้ด้วยกันในลักษณะที่เรียกว่า coaxial คือตัวทวีตเตอร์จะถูกฝังอยู่ตรงใจกลางของมิดเร้นจ์..

ดูกันให้ชัดๆ กับภาพข้างบนนี้ จะเห็นว่า ตรงใจกลางของไดเวอร์มิดเร้นจ์ขนาด 4 นิ้ว นั้น จะมีทวีตเตอร์ขนาด 75 .. ลักษณะเป็นโดมโลหะวาวๆ ฝังตัวอยู่โดยมี wave guide ที่ทำเป็นแฉกๆ เหมือนกลีบลำดวนติดตั้งอยู่หน้าทวีตเตอร์เพื่อควบคุมมุมกระจายเสียงของทวีตเตอร์ ซึ่งทาง KEF ตั้งชื่อเรียกเทคนิคการจัดวางไดเวอร์ทั้งสองแบบนี้ว่า Uni-Q และได้ทำการจดสิทธิบัตรเอาไว้ ข้อดีของการจัดตำแหน่งของทวีตเตอร์กับมิดเร้นจ์ลักษณะนี้ก็คือทำให้ความถี่ในย่านแหลมลงมาถึงย่านกลางมีแหล่งกำเนิดออกมาจากจุดเดียว ทำให้ความถี่ย่านกลางขึ้นไปถึงแหลมทั้งหมดมีลักษณะการกระจายตัวในรูปแบบที่เรียกว่า point-source radiation ซึ่งมีการกระจายความถี่เสียงในแนว off-axis ได้ราบเรียบกว่าการวางทวีตเตอร์กับมิดเร้นจ์แยกจากกัน ซึ่งทางผู้ผลิตให้ข้อมูลว่า ไดเวอร์ Uni-Q ของพวกเขาให้การกระจายเสียงนอกแกน (off-axis) ในแนวตั้ง (vertical plane) ที่มีความสม่ำเสมอกว่า (ที่ความถี่ประมาณ 1kHz รอบๆ ความถี่จุดตัดครอสโอเวอร์)

ผลดีทางเสียงที่ได้จากการวางทวีตเตอร์กับมิดเร้นจ์ตามมาตรฐาน Uni-Q นี้ทำให้ได้เวทีเสียงที่แผ่กว้างออกไปโดยรอบ เป็นสนามเสียงที่แผ่คลุมพื้นที่ได้กว้าง ทำให้ผู้ฟังที่นั่งอยู่นอกจุด sweet spot ก็สามารถรับรู้ถึงสนามเสียงที่เปิดโล่งได้ไม่น้อยไปกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงจุดที่ดีที่สุด

ไดเวอร์ Uni-Q ของ Q Concerto Meta มีขนาด 4 นิ้ว เล็กกว่าที่ใช้อยู่ในรุ่น R3 Meta และรุ่น Reference 1 Meta ที่ใช้ไดเวอร์ Uni-Q ขนาด 5 นิ้ว แต่ก็เป็นไดเวอร์ Uni-Q เจนเนอเรชั่น 12 เหมือนกัน และมีเทคโนโลยี MAT หรือ Metamaterial Absorption Technology เหมือนกัน ซึ่งช่วยดูดกลืนและสลายคลื่นเสียงแหลมที่แผ่ออกไปจากด้านหลังของโดมทวีตเตอร์ออกไปเพื่อไม่ให้ย้อนกลับไปรบกวนเสียงแหลมที่ออกมาจากด้านหน้าของโดมทวีตเตอร์

วูฟเฟอร์ขับเบสตัวใหม่

ข้อมูลในสเปคฯ ระบุว่า วูฟเฟอร์ที่ใช้ใน Q Concerto Meta มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 165 .. หรือประมาณ 6.5 นิ้ว ซึ่งผมทดลองใช้ตลับเมตรวัดดูแล้วก็งงนิดๆ ว่าเขาวัดแบบไหนหว่า.? คือผมลองวัดจากขอบเซอร์ราวนด์ก็ได้แค่ 5 นิ้วครึ่ง ลองวัดจากขอบนอกของไดเวอร์ก็ได้ 7 นิ้ว..??

ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ตัวนี้มีลักษณะที่โค้งเว้าเป็นก้นกระทะเข้าไปด้านในตัวตู้ แผ่เป็นผืนเดียวทั้งชิ้น เนื้อไดอะแฟรมเป็นแบบไฮบริดจ์ คือเป็นกรวยกระดาษที่มีแผ่นอะลูมิเนียมซ้อนทับอยู่ด้านบนเพื่อเพิ่มความแกร่ง ทำให้สามารถรองรับกำลังขับได้มากขึ้นโดยที่ไดอะแฟรมไม่บิดเบี้ยวตอนเจอกับสัญญาณที่มีทรานเชี้ยนต์รุนแรง

ใน Q Serie เวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ก็ใช้วูฟเฟอร์ลักษณะนี้เหมือนกัน แต่ในเจนเนอเรชั่นล่าสุดได้มีการปรับปรุงขึ้นมา 2 จุด จุดแรกคือปรับปรุงที่ระบบแม่เหล็กให้มีพลังสูงขึ้น ควบคุมว้อยคอยซ์ได้ดีขึ้น ส่วนอีกจุดคือปรับปรุงเซอร์ราวนด์ให้มีความยืดหยุ่นสูงขึ้น ช่วยลดอาการบิดเบี้ยวของไดอะแฟรมให้น้อยลง

ขั้วต่อสายลำโพง + ท่อระบายอากาศ

ในจำนวนลำโพงวางขาตั้งแบบ 3-way ของ KEF ทั้งสามรุ่นที่มีอยู่ตอนนี้ รุ่น Q Concerto Meta มีราคาต่ำที่สุด เป็นที่มาของความแตกต่างของวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในบางส่วนที่พอจะลดต้นทุนลงไปได้ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีขั้วต่อสายลำโพง ถ้าเข้าไปดูขั้วต่อสายลำโพงที่ใช้ในรุ่น Reference 1 Meta กับรุ่น R3 Meta จะเห็นว่ามันวิลิศมาหรามากเป็นพิเศษ ตัวจั๊มเปอร์เป็นระบบแมคคานิคที่ KEF คิดค้นขึ้นมาใช้เอง ไม่ต้องกลัวจั๊มเปอร์หายอีกต่อไป

ในรุ่น Q Concerto Meta พวกเขาหันมาใช้ขั้วต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลไวร์แทนแบบไบไวร์ที่ใช้ในรุ่น Reference 1 Meta และรุ่น R3 Meta ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบมากกว่า เพราะไม่ต้องไปวุ่นวายหาจั๊มเปอร์มาแม็ทชิ่ง แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างกับการขยับขยายระบบถ้าต้องการเล่นไบแอมป์ก็จะทำไม่ได้ แต่จะว่าไปแล้ว กับลำโพงที่มีราคาไม่กี่หมื่นการจะขยับไปเล่นไบแอมป์ก็อาจจะไม่คุ้มกับการลงทุน สรุปคือผมว่าให้มาเป็นแบบซิงเกิ้ลไวร์อย่างนี้ดีแล้ว

ท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 .. (ประมาณ 3.2 นิ้ว) ติดตั้งอยู่ตรงกลางเยื้องขึ้นไปด้านบนบริเวณตรงกับด้านหลังของตำแหน่งไดเวอร์ Uni-Q มีท่อวัสดุพีวีซีที่มีลักษณะเรียวตีบเข้าไปข้างในติดตั้งอยู่ที่ท่อระบายอากาศ ช่วยรีดอากาศจากภายในตู้ให้ไหลเข้าออกได้อย่างราบลื่น ไม่มีเสียงลมเสียดสีที่ปากท่อออกมาให้ได้ยิน

แม็ทชิ่ง

Q Concerto Meta ถูกกำหนดให้ตอบสนองความถี่แคบลงกว่ารุ่น Concerto ในอดีต จาก 30Hz – 30,000Hz ลงมาเหลือ 48Hz – 20kHz นัยว่าเพื่อให้ได้ ความเข้มของเสียงมากขึ้น (ถ้าเปิดแบนด์วิธกว้างๆ เสียงจะโปร่งแต่เนื้อบาง) และปรับอิมพีแดนซ์ปกติของระบบจาก 8 โอห์ม ลงมาอยู่ที่ 4 โอห์ม นัยว่าเพื่อจะทำให้เปิดได้ดังมากขึ้น ซึ่งตามสเปคฯ ระบุว่ารุ่นนี้ทำความดังสูงสุดได้ 108 ดีบี

ความไวของ Q Concerto Meta อยู่ที่ 85dB ซึ่งถือว่าอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่แนะนำกำลังขับ ต่ำสุดไว้แค่ 15W เท่านั้น ในขณะที่กำลังขับสูงสุดรับได้ถึง 180W โดยอ้างอิงที่โหลด 4 โอห์ม ซึ่งถ้าใช้หลักง่ายๆ ในการแม็ทชิ่งก็คือ ควรใช้แอมป์ที่มีกำลังขับอยู่ระหว่าง 50 – 75% ของกำลังขับสูงสุดที่ลำโพงแนะนำไว้ นั่นคือ เป็นแอมป์ที่มีกำลังขับอยู่ระหว่าง 90 – 135W ที่โหลด 4 โอห์ม (คำนวนย้อนกลับไปที่ 8 โอห์ม ก็อยู่ที่ 45 – 67.5W) ถึงจะขับลำโพงคู่นี้ออกมาอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่ถ้างบประมาณของคุณไม่ใช่ปัญหาและอยากได้ความมั่นใจว่าสามารถรีดคุณภาพเสียงออกมาจากลำโพงคู่นี้ได้อย่างหมดจดจริงๆ ก็แนะนำให้ใช้แอมป์ที่มีกำลังขับอยู่ระหว่าง 75 – 100% ของกำลังขับสูงสุดที่ลำโพงแนะนำไว้ไปเลย สำหรับคู่นี้ก็คือ 135 – 180W ที่โหลด 4 โอห์ม (คำนวนย้อนกลับไปที่ 8 โอห์ม ก็อยู่ที่ 67.5 – 90W) รับรองว่าขับออกมาได้เต็มที่แน่นอน ส่วนถ้าจะใช้แอมป์ที่มีกำลังขับมากกว่านี้เพื่อเพิ่มความชัวร์ว่าขับได้หมดจดจริงๆ ก็ไม่มีอะไรผิด เพราะจริงๆ แล้ว ตอนฟังจริงๆ เราก็ไม่ได้เร่งวอลลุ่มจนสุดเพื่อใช้กำลังขับของแอมป์ทั้งหมดอยู่ดี

การทดสอบขั้นตอนแรก ผมใช้อินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 (REVIEW) ที่มีกำลังขับข้างละ 115W ที่โหลด 4 โอห์ม ทดลองขับ Q Concerto Meta โดยอาศัยสตรีมเมอร์ WiiM รุ่น Ultra (REVIEW) ทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณ ซึ่งกำลังขับของ Stereo 230 อยู่ในระดับที่ มากเกินพอสำหรับขับลำโพงคู่นี้ ซึ่งลักษณะเสียงที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมาก็ไม่ได้แสดงอาการขับไม่ออกโผล่ออกมาให้ยินแม้แต่น้อย โทนเสียงของแอมป์+ลำโพงคู่นี้มีลักษณะที่อิ่มหนา มูพเม้นต์นุ่มนวล ลีลาผ่อนคลาย ฟังสบาย ใครเลือกใช้ลำโพงคู่นี้แล้วอยากได้โทนเสียงลักษณะที่กล่าวมาแนะนำให้ลองหาอินติเกรตแอมป์ตัวนี้มาขับเลย ไม่พลาดแน่..!!

หลังจากนั้น ผมก็ยก Stereo 230 ออกไปแล้วยก Audiolab9000A’ (REVIEWเข้าไปแทนที่ โดยยังคงใช้ WiiMUltraทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางเหมือนเดิม อุปกรณ์อื่นๆ เหมือนเดิมหมด ซึ่งกำลังขับที่ระดับ 160W ต่อข้างที่โหลด 4 โอห์ม ของ 9000A ก็ได้แสดงประสิทธิภาพของมันให้ได้ยินผ่านน้ำเสียงที่พุ่งผ่านลำโพงออกมาได้อย่างมีอิสระเต็มที่ สวิงไดนามิกได้เต็มสเกล ได้แรงปะทะของสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ฉับไว เต็มกำลัง ไม่มีอาการป้อแป้ออกมาให้เห็นเลย ใครเลือกใช้ลำโพง KEF รุ่นนี้และอยากได้โทนเสียงที่มีความกระชับ คึกคัก สดใส แนะนำให้ลองหาแอมป์ตัวนี้ไปขับเลย.!

ขั้นตอนท้ายสุดของการทดสอบ ผมเปลี่ยนมาใช้ Audiolab รุ่น 9000N (REVIEW) ให้ทำหน้าที่เป็นทั้งสตรีมเมอร์และปรีแอมป์ จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ 2 ตัว ตัวแรกคือเพาเวอร์แอมป์ในตัวอินติเกรตแอมป์ 9000A โดยปรับโหมดของ 9000A ให้เป็น “Pre-Powerแล้วต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์จาก 9000N เข้าไปที่อินพุต ‘Powerของ 9000A ส่วนเพาเวอร์แอมป์อีกตัวที่นำมาทดลองขับลำโพงคู่นี้เป็นของ QUAD รุ่น Artera Stereo ซึ่งมีกำลังขับข้างละ 140W ที่โหลด 8 โอห์ม แม้ว่าในสเปคฯ ของ Artera Atereo ไม่ได้ระบุกำลังขับที่โหลด 4 โอห์ม เอาไว้ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วก็น่าจะมากกว่า 140W ขึ้นไป ซึ่งยังไงๆ ก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับขับลำโพง KEF คู่นี้อย่างแน่นอน เสียงที่ออกมาพบว่า มันให้ คุณภาพเสียงที่ก้าวข้ามตอนขับด้วยอินติเกรตแอมป์ Stereo 230 กับ 9000A ขึ้นไปอีกระดับอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสิ่งที่ก้าวข้ามนั้นไม่ใช่ในแง่ของ ความดังเพราะแอมป์ทั้งสามชุดที่ใช้ขับลำโพงคู่นี้สามารถเร่งความดังของเสียงให้ออกมาแผ่เต็มห้องได้อย่างสบายๆ แต่สิ่งที่ทำให้เสียงของลำโพง Q Concerto Meta ตอนขับด้วย 9000N + Artera Stereo ก้าวข้ามเสียงที่ได้จากตอนขับด้วยอินติเกรตแอมป์ทั้งสองตัวนั้นก็คือ คุณสมบัติหลายๆ ด้านของคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นอย่างที่สามารถรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติทางด้านไดนามิก, คุณสมบัติทางด้านโฟกัส, คุณสมบัติทางด้านเวทีเสียง และทางด้านเนื้อเสียง มันดีขึ้นทั้งหมด แสดงว่า ลำโพง KEF รุ่น Q Concerto Meta คู่นี้มีศักยภาพสูง สามารถคลี่คลาย คุณภาพเสียงในแต่ละด้านออกไปได้ไกล เมื่อได้จับคู่กับชุดแอมป์และแหล่งต้นทางที่มีคุณภาพสูงๆ ขึ้นไป (*ผมใช้เสียงที่ได้จากการขับด้วย Audiolab9000N’ + QUADArtera Stereoในการสรุปตอนสุดท้าย)

เซ็ตอัพ

มีคนสงสัยเหมือนกันว่า หลังจากทดลองแม็ทชิ่งด้วยการเปลี่ยนอุปกรณ์บางชิ้นเข้าไปในซิสเต็มแล้ว จะต้องทำการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงด้วยมั้ย.? คำตอบคือ ต้องมีการเช็คตำแหน่งลำโพงด้วย ทุกครั้งที่ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่งเข้าไปในซิสเต็ม โดยเฉพาะลำโพงหรือแอมปลิฟาย

เมื่อใดก็ตามที่คุณให้ความสำคัญกับคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของเสียงมาเป็นอันดับหนึ่งเวลาเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพง และเมื่อคุณเข้าถึงคุณภาพทางด้านโฟกัสที่ลึกซึ้งลงไปมากขึ้น คุณจะพบว่า ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้ายขวาจะหดแคบลงเรื่อยๆ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ปกติของการเกิด holographic ทางโสตที่รับรู้ด้วยอวัยวะที่มีลักษณะเป็น biaural อย่างเช่นการมองด้วยตาทั้งสองข้าง รวมถึงการฟังด้วยหูทั้งสองข้างด้วย ซึ่งการที่ประสาทหูของเราจะรับรู้ถึงลักษณะเสียงที่มีตัวตนเป็นสามมิติ เราจะต้องจัดการให้เสียง (เสียงร้อง, เสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น) ที่กระจายออกมาจากลำโพงทั้งสองข้าง ให้แผ่เข้ามาซ้อนทับกัน (ทางด้านเฟส) ได้อย่างแนบสนิทมากที่สุดจนกลืนเป็นเนื้อเดียวกันซะก่อน เพราะตราบใดที่แต่ละเสียงที่อยู่ในเพลงยังถูก ฉีกออกเป็นสองส่วนแยกกันแผ่กระจายออกมาจากลำโพงทั้งสองข้าง เราก็ไม่มีทางที่จะได้ยินเสียงที่มีทรวดทรงกลมกลึงเป็นสามมิติเหมือนในชีวิตจริงได้เลย

ผมไม่มั่นใจว่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของไดเวอร์ Uni-Q หรือเปล่า ที่ทำให้ระยะ in-phase ของลำโพง Q Concerto Meta ทั้งสองข้างมันอยู่ชิดกันมากเป็นพิเศษ หลังจากแม็ทชิ่งแหล่งต้นทางกับแอมป์จนลงตัวสำหรับลำโพงคู่นี้แล้ว ผมก็เริ่มวางลำโพงทั้งสองข้างเข้าสู่จุดเริ่มต้นของการเซ็ตอัพคือซ้ายขวาห่างกัน = 180 .. และทั้งคู่ห่างผนังหลังขึ้นมาเท่ากับ ความลึกของห้อง หารด้วย 3หลังจากนั้นผมก็เปิดเสียงฟังเพื่อทำการไฟน์จูนจนพบว่า ระยะห่างซ้ายขวาที่ทำให้ โฟกัสของเสียงที่แผ่ออกมาจากลำโพงซ้ายขวาเคลื่อนเข้ามาซ้อนทับกันสนิทมันห่างกันแค่ 161 .. เท่านั้นเอง เชื่อว่าหลายคนคงจะมองว่า ใกล้มาก.! แต่พอผมขยับลำโพทั้งสองข้างเข้ามาถึงตำแหน่งของระยะห่างที่ว่านี้ ผมพบว่า ทั้งโฟกัสและเวทีเสียงมันลงตัวเป๊ะ.!! มันเป็นระยะห่างที่คลิ๊กเข้าล็อคกันแบบสมบูรณ์ ความเป็นสามมิติบังเกิดขึ้นมาในห้องทันทีทั้งในแง่ของตัวเสียง (image) และเวทีเสียง (soundstage) หลังจากนั้น ผมก็ค่อยๆ ดันลำโพงทั้งสองข้างลงไปชิดผนังหลังทีละนิดเพื่อปรับจูนในส่วนของโทนัลบาลานซ์และตรึงเวทีเสียงให้มีความนิ่ง มีการแยกชิ้น (seperation) ระหว่างซ้ายขวา, หน้าหลัง และมีการแยกเลเยอร์ของระนาบลึกที่ชัดเจนมากที่สุด ซึ่งมาได้จุดลงตัวที่ระยะห่างผนังหลังเท่ากับ 177 .. ทั้งสองข้างเท่ากัน ส่วนระยะนั่งฟังห่างจากระนาบวางลำโพงออกมาอยู่ที่ 280 ..

ไฟน์จูน

จริงๆ แล้ว ผู้ผลิตมีทำขาตั้งที่ตรงรุ่นกับลำโพงออกมาด้วย โครงสร้างทำด้วยอะลูมิเนียมกล่อง น้ำหนักเบา ผมทดลองใช้และลองฟังดูแล้ว พบว่า ความสูงของขาตั้งอยู่ที่ 24 นิ้ว แต่เนื่องจากน้ำหนักขาตั้งที่เบามาก ทำให้เสียงไม่นิ่งและน้ำหนักเสียงยังไม่ดี ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำให้ใส่ filler ลงไปในปล่องของขาตั้งซึ่งมีลักษณะกลวง แต่ผมไม่มีวัสดุที่จะใส่เลยยังไม่ได้ลอง

ก่อนจะเริ่มต้นฟังเสียงแบบเอาจริงเอาจัง ผมได้ทดลองเปลี่ยนมาใช้ขาตั้งของ Atacama รุ่น Moseco XL600 (REVIEW) ที่ผมใช้อ้างอิงอยู่เข้าไปแทน พบว่าเสียงมันออกมาดีมาก ไปกันได้ดีกับลำโพงคู่นี้ และในช่วงของการไฟน์จูน ผมทดลองเอาจานรองเดือยแหลมของ Audio Bastion รุ่น X-PAD Plus II (REVIEW) มารองใต้เดือยแหลมของขาตั้งลำโพงทั้งสองข้าง (ข้างละ 4 ตัว) พบว่า มันช่วยให้เสียงนิ่งขึ้น มีความเคลียร์มากขึ้นทุกความถี่ ผมจึงใช้จานรองเดือยแหลมของ Audio Bastion ตัวนี้ในการสรุปฟังเสียงขั้นตอนสุดท้ายด้วย

อีกจุดหนึ่งที่แนะนำให้ทำการไฟน์จูนในขั้นตอนหลังจากที่ได้ตำแหน่งลงตัวแล้วก็คือ ปรับตั้งให้ตัวลำโพงทั้งสองข้างอยู่ในลักษณะที่ตั้งฉากกับพื้นโลกให้มากที่สุด โดยใช้ระดับน้ำจับแล้วหมุนเดือยแหลมที่ฐานล่างของขาตั้งทั้งสี่มุมให้ได้ระดับ ซึ่งหลังจากปรับเสร็จพบว่าได้สมดุลของเวทีเสียงดีขึ้น ตำแหน่งเสียงเกลี่ยไปทางซ้ายและขวาเท่าๆ กัน โฟกัสของเสียงก็นิ่งขึ้นด้วย ถือว่ามีผลเยอะเหมือนกัน สาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะความถี่ในย่านกลางและแหลมจากมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์มันออกมาจากจุดกำเนิดเดียวกันนั่นเอง

เสียงของ Q Concerto Meta

ผมชอบแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ KEF นะ พวกเขาใช้หลักในการพัฒนา คุณภาพเสียงของลำโพงของพวกเขาโดยยึดแนวทางที่ยืนอยู่ในจุดกึ่งกลางระหว่าง ‘objectiveคือ รูปธรรมของเสียงที่ดีที่อ้างอิงกับหลักวิชาการในตำรา กับ ‘subjectiveคือ นามธรรมที่อ้างอิงกับความรู้สึกที่เกิดจากการฟังด้วยหู (อ้างอิงจากข้อความในเอกสาร white paper ซึ่งเป็นข้อมูลในการพัฒนาลำโพง Q Series เวอร์ชั่นล่าสุด 2024 ที่ว่า “.. While objective science forms the foundation of a high- quality loudspeaker system, the ultimate testament to the success of KEF’s designs and ideas lies in listening experiences they deliver. This approach continues to guide the balance of engineering compromises that are inevitable in the design of high-quality loudspeaker systems.”)

ถ้าติดตามอ่านข้อมูลจากตัวหนังสือที่ปรากฏอยู่บนสื่อต่างๆ ที่แบรนด์นี้ใช้ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ คุณอาจจะรู้สึกว่า แบรนด์นี้มีแต่ทฤษฎีและเทคโนโลยีเยอะแยะไปหมด ต่างจากแนวทางของผู้ผลิตเครื่องเสียงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์หลายๆ แบรนด์ที่มักจะไม่ค่อยเอาข้อมูลเชิงเทคนิคมาบอกกล่าวกันมากนัก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมเข้าใจว่าเป็นเพราะการบริหารงานของ KEF มีลักษณะเป็นองค์กรที่มีโครงสร้างซับซ้อน โดยมีบริษัทเงินทุนขนาดใหญ่หนุนอยู่เบื้องหลัง ทุกอย่างจึงต้องแจกแจงออกมาด้วยมาตรฐานที่ยอมรับได้ในวงกว้าง รวมถึงทุกพัฒนาการที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาลำโพงก็ต้องอ้างอิงหลักวิชาการที่เป็นไปได้ขึ้นมารองรับก่อนเป็นขั้นตอนแรก เมื่อนายทุนเห็นด้วยและให้การยอมรับถึงจะได้รับการสนับสนุนเป็นเงินทุนในการวิจัยพัฒนาและผลิตออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ในที่สุด

ผมมองปรากฏการณ์รูปแบบนี้ว่าเป็นข้อดีนะ เพราะการออกแบบลำโพงให้ได้เสียงที่ดีจริงๆ นั้น มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้แค่ subjective คือฟังด้วยหูในการตัดสินทั้งหมด แต่เหตุผลที่ผู้ผลิตเล็กๆ ไม่สามารถทำแบบ KEF ได้ก็เพราะว่ามันเป็นแนวทางที่ต้องอาศัยเม็ดเงินจำนวนมากนั่นเอง

ยกตัวอย่างชัดๆ ก็คือโจทย์ของการปรับปรุงประสิทธิภาพเสียงของลำโพงอนุกรม Q Series ครั้งนี้ที่พวกเขามุ่งเน้นไปที่การปรับเปลี่ยนพื้นฐานการออกแบบระบบการทำงานของไดเวอร์จาก 2.5 way แบบเดิมมาเป็น 3 way ครั้งนี้ มันคือการปรับเปลี่ยนโดยอาศัย subjective เป็นตัวนำ เพราะโดยหลักวิชาการแล้ว ต่างก็ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า การออกแบบให้ไดเวอร์ของลำโพงทำงานแยกอิสระอยู่ในย่านความถี่ที่เหมาะสมกับโครงสร้างทางสรีระของไดเวอร์นั้นๆ จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด นั่นคือ ทวีตเตอร์ก็ให้ขับความถี่ในย่านแหลม, มิดเร้นจ์ก็ให้ทำงานเฉพาะในย่านกลาง ในขณะที่วูฟเฟอร์ก็ให้ดูแลในย่านทุ้มไปอย่างเดียว ส่วนอื่นที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของนักออกแบบที่ต้องค้นหาก็คือจุดตัดและสโลป รวมถึงการวิเคราะห์เสียงจริงที่ได้ตอนเอาพิมพ์เขียวไปทำต้นแบบเพื่อนำมาไฟน์จูนในขั้นตอนสุดท้าย

อัลบั้ม : Divide (Deluxe Edition) (TIDAL MQA/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Ed Sheeran
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/70891466?u)

วิศวกรของ KEF แสดงเจตจำนงค์ไว้ชัดเจนตั้งแต่ตอนออกแบบลำโพงรุ่น Concerto เมื่อ ปี 1969 ถึงเป้าหมายที่พวกเขาตั้งใจออกแบบ Concerto ก็คือพยายามทำให้ได้ เสียงกลางที่มีความสมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่ลำโพงวางบนขาตั้งจะสามารถทำได้ ซึ่งเป้าหมายนี้ก็ยังคงถูกถ่ายทอดมาถึงวิศวกรรุ่นปัจจุบันด้วย ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำการทดสอบเป็นอย่างแรกก็คือ เสียงกลางของลำโพง Q Concerto Meta คู่นี้ และแน่นอนว่า เสียงกลางที่เราคุ้นเคยมากที่สุดก็คือ เสียงร้อง

เพลงแรกที่ผมเลือกมาทดสอบคุณภาพของ เสียงร้องที่ได้จากลำโพงรุ่นนี้ก็คือเพลง Dive แทรคที่สามในอัลบั้มชุด Divide (Deluxe Edition) เป็นผลงานของ Ed Sheeran ซึ่งเพลงนี้เขาร้องได้อารมณ์มากเป็นพิเศษ มีการบดขยี้หนักๆ ช่วงฮุคพร้อมเสียงกระแทกย้ำของภาคดนตรีที่ช่วยทำให้อารมณ์ความคับแค้นของคนร้องมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนตัวแล้ว ตอนฟังเพลงร้องแบบนี้ผมชอบเปิดดูเนื้อเพลงแล้วฮัมตามไปด้วย ทำให้รู้สึกอินไปกับศิลปินที่ร้องเพลงนั้นๆ เพราะรับรู้ได้ว่า พวกเขาใส่อารมณ์ลงไปกับเนื้อร้องแต่ละคำร้องในลักษณะไหน

ไม่รู้เป็นอุปทานหรือเปล่า.?? วันนี้ผมรู้สึกว่าฟังเพลงนี้แล้วมัน เข้าถึงอารมณ์ของคนร้องมากกว่าทุกที เสียงร้องของ Ed มันลอยและมีความชัดมากกว่าทุกที รายละเอียดเล้กๆ น้อยๆ อย่างเสียงลอดไรฟันตอนเขาเน้นขยี้ช่วงฮุคมันปรากฏออกมาชัดมาก แทบจะรู้สึกเหมือนเขามายืนร้องให้ฟังในห้อง.!! เพราะนิสัยผมจะเปิดฟังค่อนข้างดังอยู่แล้ว พอเจอกับลำโพงที่เปิดเผยรายละเอียดเสียงเด่นๆ แบบ KEF คู่นี้เลยเข้าทาง ฟังแล้วรู้สึกมันส์ในอารมณ์มากเป็นพิเศษ..!!

อัลบั้ม : So Strong (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Labi Siffre
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/4117948?u)

คำว่า เสียงกลางดีมีความหมายกว้างมาก.. มันไม่แค่ให้เสียงร้องออกมาชัดเจนเท่านั้น แต่ลำโพงที่ได้ชื่อว่าให้เสียงกลางดีนั้น จะต้องสามารถแยกแยะความถี่ในย่านที่อยู่ใกล้เคียงกันออกมาให้ได้ด้วย ซึ่งประเด็นนี้จำเป็นมากสำหรับลำโพงที่ออกแบบมาเพื่อใช้ฟังเพลง เนื่องจากมีเพลงในโลกนี้จำนวนมากที่มิกซ์เสียงร้องของนักร้องหลายๆ คนออกมาพร้อมๆ กัน ซึ่งการที่จะสามารถแยกแยะเสียงร้องเหล่านั้นออกมาให้รับรู้ได้โดยไม่มีการปนกันจนมั่ว ลำโพงคู่นั้นจะต้องมีความสามารถในการแจกแจง phase ของเสียงในย่านกลางที่แม่นยำมากๆ เพราะเสียงร้องของนักร้องหลายคนที่ร้องออกมาพร้อมกันนั้นแม้ว่าจะมี ความถี่ที่ใกล้เคียงกัน (เพราะเป็นเสียงร้องเหมือนกัน) แต่จะมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในแง่ของ เฟสที่แสดงออกมาให้รับรู้ได้ผ่านทาง โฟกัสของตำแหน่งเสียงร้องแต่ละเสียงที่แยกออกจากกัน

ส่วนใหญ่ในเพลง (Something Inside) So Strong ที่อยู่ในอัลบั้มนี้ มีเสียงร้องนำของ Labi Siffre ลอยเด่นอยู่ด้านหน้า ในขณะที่มีเสียงร้องประสานของคณะนักร้องประสานเสียงกลุ่มใหญ่ร้องแบ็คอัพอยู่ด้านหลัง ซึ่ง Q Concerto Meta คู่นี้สามารถแจกแจงทั้งเสียงร้องของ Labi และเสียงร้องของกลุ่มนักร้องประสานเสียงออกมาได้อย่างครบถ้วน ถูกต้องทั้งในแง่ของโทนเสียงที่ทำให้รู้ว่าเสียงใครเป็นเสียงใคร และถูกต้องในแง่ของโฟกัสที่ทำให้รู้สึกได้ว่า เสียงร้อง Labi ลอยอยู่ด้านหน้าในขณะที่กลุ่มเสียงร้องประสานมีตำแหน่งที่เยื้องลงไปอยู่ด้านหลัง แยกลงไปเป็นเลเยอร์ที่ลึกลงไปเป็นชั้นๆ ส่วนเสียงดนตรีก็แยกออกไปอีกเลเยอร์ไม่ปนกัน

การตอบสนองเฟสที่แม่นยำของลำโพงไม่ได้ส่งผลดีต่อ โฟกัสเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อคุณสมบัติทางด้าน ไดนามิกไปพร้อมกันด้วย ซึ่งในเพลงนี้รับรู้ได้จากเสียงฟาดกลองที่ออกมาครบทั้งความฉับไวของหัวเสียงและน้ำหนักของแรงปะทะระหว่างหัวไม้กลองกับหนังกลองที่รุนแรง กับเสียงทุ้มที่ตามซึ่งมีทั้งความกระชับและความแน่นของมวล ซึ่งจุดนี้ทำให้เห็นถึงข้อดีของความเป็น 3-way ของลำโพงคู่นี้ คืออิมแพ็คของเสียงฟาดกลองที่อยู่ในย่านความถี่ที่ไม่ไกลจากเสียงร้องมากนัก แต่พอมันถูกแยกออกไปอยู่ที่วูฟเฟอร์ ทำให้พลังงานของเสียงฟาดกลองไม่ไปรบกวนเสียงร้อง ซึ่งเดาได้เลยว่า ถ้าเป็นลำโพงสองทางที่ใช้ทวีตเตอร์ทำงานร่วมกับมิด/วูฟเฟอร์แค่สองตัว คุณจะต้องพบกับการ เกลี่ย” (compromise) ระหว่างเสียงร้องกับเสียงฟาดกลองและเสียงทุ้มอย่างแน่นอน คือถ้าผู้ออกแบบอยากได้เสียงร้องที่โดดเด่นมากหน่อย เสียงฟาดกลองกับเสียงทุ้มในเพลงนี้จะถูกทำให้อ่อนด้อยลงไปพอสมควรเพื่อเปิดโอกาสให้เสียงร้องเด่น ในทางกลับกัน ถ้าคนออกแบบต้องการโชว์เสียงทุ้มที่มีมวลหนาๆ เมื่อฟังเพลงนี้คุณจะต้องแลกด้วยเสียงร้องที่อ่อนน้ำหนักและรายละเอียดลงไปบางส่วน เป็นอะไรที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ถ้าลำโพงมีไดเวอร์แค่ 2 ตัว

อัลบั้ม : Arnold Overtures (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : London Philharmonic Orchestra
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/45716315?u)

จุดอ่อนของลำโพงขนาดเล็กอีกจุดหนึ่งก็คือมักจะเล่นเพลงคลาสสิกแนวโหมโรง (overtures) ได้ไม่ดีเท่ากับลำโพงขนาดใหญ่ เพราะเพลงแนวนี้จะมีทั้งแบนด์วิธที่เปิดกว้างตลอดย่านเสียง ไล่ตั้งแต่ทุ้มลึกๆ ขึ้นไปจนถึงเสียงแหลมระดับ top-end ที่เป็นส่วนประกอบของฮาร์มอนิกและแอมเบี้ยนต์ ซึ่งลำโพงวางขาตั้งส่วนใหญ่จะขาดคุณสมบัติทั้งสองด้านนั้น

ผมเลือกเพลงคลาสสิกแนวโอเวอเจ้อร์ของ Malcolm Arnold ในเพลง A Sussex Overture, Op. 31 ที่มาจากอัลบั้ม Arnold Overtures ของค่าย Reference Recordings มาทดสอบประสิทธิภาพความดังสูงสุดที่ระดับ 108dB ของ Q Concerto Meta คู่นี้ว่ามันจะสามารถถ่ายทอดจิตวิญญาณของเพลงคลาสสิกแนวนี้ออกมาได้ดีแค่ไหน ซึ่งจริงๆ แล้ว ความดังเฉลี่ยตอนฟังไม่น่าจะเกิน 80dB ส่วนช่วงพีคก็ไม่น่าจะเกิน 90-95dB เท่านั้น ซึ่ง 108dB ของ Q Concerto Meta คู่นี้ก็น่าจะเอาอยู่ ส่วน S/N ratio ของเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo ระบุไว้ที่ 115dB (A weighted, ref. 140W) แสดงว่าตอนดันลำโพง Q Concerto Meta ขึ้นไปใกล้ๆ 100dB นั้น แบ็คกราวนด์น้อยซ์ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำมาก

ผลจากการฟังเพลง A Sussex Overture ผ่านพ้นไปด้วยความน่าพอใจ.! ผมเร่งวอลลุ่มของ 9000N ไปที่ -18dB สเกลวอลลุ่มหมุนไปอยู่ที่ตำแหน่งประมาณบ่ายสองโมง เป็นระดับความดังที่ผมได้ยินทั้งช่วงพีคและช่วงเบาที่ชัดเจน คือช่วงพีค (ตอนต้นเพลงและท้ายเพลง) ก็ไม่มีอาการ overshoot ในขณะที่ช่วงแผ่วๆ เบาๆ (ช่วงกลางเพลง) รายละเอียดก็ไม่จม แอมเบี้ยนต์ไม่หุบหาย ซึ่งต้องบอกเลยว่า Q Concerto Meta คู่นี้ ทำบททดสอบด้วยเพลงคลาสสิกแนวโอเวอเจ้อร์ออกมาได้คะแนนค่อนข้างสูงทีเดียว ผมยอมรับว่ารู้สึกทึ่งที่มันสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของเพลงนี้ออกมาให้สัมผัสได้ตลอดทั้ง 12:14 นาที โดยไม่รู้สึกว่ามีรายละเอียดส่วนไหนขาดหายไปมากซะจนรับไม่ได้ ความเป็นดนตรีพรั่งพรูออกมาตลอดไม่ขาดสาย จริงอยู่ว่าในย่านต่ำๆ จะขาดฐานเสียงที่แผ่ออกมารองรับไปบ้าง แต่ก็ไม่ได้หายไปมากซะจนทำให้สูญเสียสมดุลของโทนัลบาลานซ์แต่อย่างใด ปริมาณของความถี่ในย่านทุ้มกลางแหลมที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมาก็ถือว่ายังอยู่ในมาตรฐานที่ยอมรับได้ ในช่วงกลางๆ ของเพลงผมยังสัมผัสได้กับความถี่ต่ำเบาๆ ที่คลออยู่ในเพลงตลอด แสดงว่าวูฟเฟอร์ของ Q Concerto Meta ทำงานของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก

อัลบั้ม : Songs Of Innocence, Songs Of Experience (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Al Somma
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/11351128?u)

อัลบั้ม : Acoustic Covers (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : John Adams
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/188599859?u)

อัลบั้ม : Temptation (TIDAL MAX/MQA-24/96)
ศิลปิน : Chantal Chamberland
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/117059387?u)

หลังจากทดลองวนๆ ฟังด้วยเพลงโหดๆ ไปแล้ว ผมก็อดที่จะวกกลับมาลองฟังเพลงร้องไม่ได้ ซึ่งผมว่านี่คือจุดขายของลำโพงคู่นี้เลย ไม่ว่าจะเป็นเสียงร้องของนักร้องชายหรือนักร้องหญิง จะเสียงคนรุ่นหนุ่มสาวอย่าง John Adams กับ Chantal Chamberland หรือนักร้องวัยดึกอย่าง Al Somma ลำโพงคู่นี้ก็ทำหน้าที่ในการถ่ายทอดเสียงร้องเหล่านั้นออกมาได้อย่างน่าชื่นชม เสียงร้องของแต่ละคนมีอัตลักษณ์ที่แตกต่างกัน เป็นเสียงร้องที่มีความเป็นเฉพาะตัวติดออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นโทนเสียงหรือลักษณะการควบคุมลมหายใจ ซึ่งเชื่อเลยว่า ลำโพงวางขาตั้งที่มีขนาดใกล้เคียงกันคู่ไหนก็ตาม ถ้าเป็นลำโพงสองทาง ยกเอามาวัดกับที่เสียงร้องเทียบกับ KEF คู่นี้ผมว่ามีโอกาสที่จะโดนกินเอาง่ายๆ ..!!

พอมีไดเวอร์มิดเร้นจ์ที่ดูแลเฉพาะความถี่ในย่านกลางอย่างเดียว มันเลยทำให้เสียงร้องมีความนิ่ง มีการไต่ระดับไดนามิกคอนทราสน์ที่ไหลลื่นและละเอียดเป็นลำดับ และด้วยความสามารถในการให้ ความดังที่มากพอ จึงทำให้รายละเอียดทั้งในระดับ Low Level และระดับ Peak Level ถูกเผยออกมาให้ได้ยินครบทั้งหมด ด้วยวรรณะที่เปิดกระจ่างกำลังดี ไม่อับทึบหรือขุ่นมัว

สรุป

ผมลืมตัวไปเลยว่ากำลังทดสอบลำโพงวางขาตั้งที่มีราคาแค่ 5-6 หมื่นบาท เพราะตอนกำลังฟังเสียงในใจมันนึกไปว่ากำลังทดสอบลำโพงตั้งพื้นที่มีราคาหลักแสน ซึ่งโดยปกติแล้ว ราคาขายของลำโพงที่อยู่ในระดับ entry-level จะถูกกำหนดด้วยต้นทุนเป็นหลัก โดยที่ผู้ผลิตพยายามกดราคาขายให้อยู่ในระดับที่ดูแล้วรู้สึกคุ้มค่า ชวนให้อยากซื้อ ต่างจากลำโพงที่อยู่ในระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่ผู้ผลิตมักจะแอบบวก goodwill ของความเป็นไฮเอ็นด์ฯ เข้าไปรวมอยู่ในต้นทุนด้วย นี่คือเหตุผลที่ทำให้ลำโพงในระดับราคา 5-6 หมื่นบาทในปัจจุบัน เป็นระดับที่มีความคุ้มค่ามากที่สุดเมื่อเทียบกับราคาบาทต่อบาทที่จ่ายออกไป

อีกอย่าง ลำโพงราคาคู่ละ 5-6 หมื่นบาทยังไปได้ดีกับแอมปลิฟายและแหล่งต้นทางที่มีระดับใกล้เคียงกันอีกด้วย ทำให้การจัดชุดที่ลงตัวทำได้โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ ส่วนที่เหลือก็เป็นเรื่องของความสามารถกับทักษะของคุณในการเซ็ตอัพและไฟน์จูนเพื่อดึงประสิทธิภาพสูงสุดออกมาจากลำโพงคู่นั้น

KEFQ Concerto Metaคู่นี้ได้แสดงให้เห็นว่า ลำโพง 3 ทาง ถ้าออกแบบดีๆ จะให้ประสิทธิภาพเสียงออกมา สูงกว่าลำโพงสองทางหรือสองทางครึ่งอย่างชัดเจน ถ้าลำโพงที่คุณใช้ฟังเพลงอยู่ตอนนี้ มีราคาต่อคู่ไม่เกินแสน แนะนำให้หาโอกาสไปลองฟังเสียงของ Q Concerto Meta เทียบกับลำโพงสองทางในราคาพอๆ กันดูสักที ให้เวลาลองฟังมันให้เยอะหน่อย โดยเฉพาะถ้าได้ลองฟังด้วยเสียงร้องของนักร้องชายและหญิงที่คุณคุ้นเคย เชื่อเลยว่า.. ต้องโดนแน่นอน.!!!

**********************
ราคา : 54,900 บาท / คู่
**********************
ต้องการคำแนะนำเพิ่มเติม ติดต่อที่
บริษัท วีแกดซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด
โทร. 02-692-5216
Line ID: @kefthailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า