รีวิว Life Audio รุ่น Jump Up LAN (Masterpiece) & Ground Up LAN (Reference MK 3)

หลักปฏิบัติที่ทำให้ซิสเต็มเครื่องเสียงให้เสียงที่ดีมีอยู่ 3 ขั้นตอน ซึ่งต้องกระทำการเรียงตามลำดับก่อนหลัง ดังนี้ ขั้นตอนแรกคือ แม็ทชิ่ง” > ขั้นตอนที่สองคือ เซ็ตอัพ” > ส่วนขั้นตอนที่สามคือ ปรับจูนซึ่งหลักการใช้งานอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท อุปกรณ์เสริมหรือ accessories ได้อย่างมีประสิทธิภาพก็คือให้ใช้ในขั้นตอน ปรับจูนซึ่งเป็นขั้นตอนที่ 3 ตามหลังจากทำการ แม็ทชิ่งและ เซ็ตอัพเสร็จแล้ว..

เหตุผลที่แนะนำให้ใช้อุปกรณ์เสริมในขั้นตอน ปรับจูนซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายก็เป็นการแนะนำไปตามความหมายของ อุปกรณ์เสริมคือถ้าซิสเต็มผ่านการแม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพที่ลงตัวดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เสริมเข้ามาช่วย ฉนั้น ก่อนจะเรียกหาเพื่อใช้บริหารอุปกรณ์เสริม คุณต้องรู้ก่อนว่า ซิสเต็มของคุณมี จุดอ่อนตรงไหน ต้องการแก้ไขอะไร ต้องรู้ก่อนถึงจะเลือกอุปกรณ์เสริมเข้ามาช่วยแก้ไขได้ตรงประเด็น.. ต้องไม่ลืมว่า อุปกรณ์เสริมมีหลายชนิด และอุปกรณ์เสริมไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ไขปัญหาในซิสเต็มของคุณได้ทุกอย่าง ต้องรู้ปัญหาก่อน และเลือกใช้อุปกรณ์เสริมที่ตรงกับปัญหาถึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาน่าพอใจ..

รักษาหรือ ชูกำลัง” ..??

อุปกรณ์เสริมยุคนี้สมัยนี้แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ประเภทแรกคืออุปกรณ์ที่เอามาใช้ แก้ไขปัญหาของซิสเต็ม เปรียบไปก็คล้ายยารักษาโรค ซึ่งมีความจำเป็นถ้าซิสเต็มของคุณมีปัญหาที่ไม่ปกติ ยกตัวอย่างเช่น มีเสียงฮัมหรือเสียงจี่ออกมาที่ลำโพง แบบนี้ถือว่าซิสเต็มมีความผิดปกติ เพราะซิสเต็มที่ปกติดีไม่ควรจะมีเสียงฮัมหรือเสียงจี่ออกมาที่ลำโพง เทคโนโลยีสมัยนี้ก้าวหน้าไปมากทั้งที่ใช้ในการออกแบบลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทอิเล็กทรอนิคส์ทั้งหลาย ซึ่งนักออกแบบเครื่องเสียงสมัยนี้ถือว่าก้าวข้ามเสียงฮัมกับเสียงจี่ไปไกลแล้ว ซิสเต็มที่มีความปกติ แม้ว่าจะอยู่ในระดับมิดเอ็นด์ที่ไม่ได้แพงสุดกู่ เปิดเครื่องขึ้นมาก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงอะไรออกมาจากลำโพงเลย เงียบกริบ.!! ดังนั้น ถ้าคุณได้ยินเสียงฮัมหรือเสียงจี่ดังออกมาจากลำโพง แสดงว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว ซึ่งบางกรณี อุปกรณ์เสริมประเภทที่มีผลกับระบบกราวนด์ในซิสเต็มอาจจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหานี้ได้

แต่ในกรณีที่ซิสเต็มทำงานปกติดี การเอาอุปกรณ์เสริมบางชนิดเข้ามาใช้งานในบางจุดของซิสเต็ม อาจจะช่วยทำให้ คุณภาพเสียงโดยรวมของซิสเต็มนั้นดีขึ้น กรณีนี้ก็ถือว่าอุปกรณ์เสริมตัวนั้นเปรียบเสมือนยาชูกำลัง แต่บางครั้งอาจจะดีขึ้นบางคุณสมบัติและแย่ลงในบางคุณสมบัติไปพร้อมกันก็มี อย่างนี้ก็แล้วแต่สถานะการณ์ ไม่ใช้ก็ไม่มีปัญหา ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของเจ้าของซิสเต็ม

แต่.. ประเด็นสำคัญที่สุดของการใช้อุปกรณ์เสริมได้อย่างมีประสิทธิผลก็คือ ผู้ใช้จะต้อง ฟังออกและ วิเคราะห์ได้ซะก่อน มิฉนั้น การใช้อุปกรณ์เสริมที่ขาดการวิเคราะห์ผลที่ถูกต้อง จะทำให้คุณ วนอยู่ในอ่างไม่สามารถปรับจูนเสียงของซิสเต็มให้ออกมาดีขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างที่ควรจะเป็นได้..

ทำไมต้องใช้อุปกรณ์เสริมสำหรับระบบเน็ทเวิร์ค มิวสิค สตรีมมิ่ง ?

ระบบเน็ทเวิร์คเข้ามาอยู่ในวงการเครื่องเสียงนานเกินสิบปีแล้ว แต่จนถึงปัจจุบัน ในกลุ่มของคนเล่นเครื่องเสียงก็ยังมองว่า ระบบเน็ทเวิร์คเป็น แดนสนธยาที่เต็มไปด้วยความลึกลับชวนพิศวง บางเรื่องได้ลองแล้วพบว่า มีผลกับเสียงจริง แต่ยังหาทฤษฎีที่พูดถึงความสัมพันธ์ โดยตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ การจัดการใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ เน็ทเวิร์คที่ใช้สำหรับการเล่นไฟล์เพลง จึงมักจะถูกวิจารณ์จากคนภายนอกอยู่เนืองๆ

อุปกรณ์เสริมที่ทำออกมาใช้กับระบบเน็ทเวิร์ค มีผลกับเสียงจริงมั้ย.?

หลังจากได้ทดลองใช้มาหลายชนิด ผมยอมรับว่า มีผลกับเสียงทุกอย่าง แม้แต่สาย LAN เอง แต่ละยี่ห้อแต่ละระดับราคาล้วนมีผลทำให้เสียงของซิสเต็มเปลี่ยนไปทั้งนั้น ต่างกันแค่ มีปริมาณความแตกต่างมากน้อยไม่เท่ากัน และอุปกรณ์เสริมแต่ละชนิดจะส่งผลกับเสียงในแง่มุมที่ต่างกัน ถามว่า การใช้อุปกรณ์เสริมเหล่านั้นกับระบบเน็ทเวิร์คที่ใช้เล่นไฟล์เพลงมันมีเหตุผลรองรับมั้ย.?

ถ้าคุณลองเซิร์ส google ด้วยคำถามประมาณว่า noise reduction in LAN connectionsคุณจะได้คำตอบจาก AI ออกมาเยอะแยะ ซึ่งพูดถึง noise ที่เกิดขึ้นในระบบเน็ทเวิร์ค อย่างเช่น noise ที่เกิดจากการแทรกแซงของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic interference) และคลื่นวิทยุ (radio-frequency interference) ซึ่งจะส่งผลกับการส่งผ่าน data หรือในที่นี้ก็คือสัญญาณเสียงทางเน็ทเวิร์คโดยตรง โดยที่สาเหตุที่มาของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้านั้นมีอยู่หลายช่องทาง อาทิเช่น มาจากสายไฟเอซีที่ซึ่งสนามแม่เหล็กจะเกิดขึ้นมาขณะที่มีไฟฟ้า (อิเล็กตรอน) ไหลผ่านสายไฟ หรือแม้แต่การทำงานของมอเตอร์ที่อยู่ในอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อย่างเช่น ตู้เย็น, พัดลม แอร์, เครื่องดูดฝุ่น ฯลฯ ก็ทำให้เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า นอกจากนั้น แม้แต่หลอดไฟนีออน, ไมโครเวฟ รวมถึงอุปกรณ์สื่อสารแบบไร้สายก็สร้างคลื่น EMI เข้ามารบกวนระบบเน็ทเวิร์คได้ทั้งนั้น

คลื่น electromagnetic (EMI) ทำให้เกิด noise ได้อย่างไร.?

มีความพยายามอธิบายถึงที่มาของ noise เอาไว้มากมายในโลกโซเชี่ยล ที่พอจะฟังดูมีเหตุมีผลมากหน่อยก็คือ เจ้าคลื่น EMI ที่ว่านี้มันจะไป เหนี่ยวนำ” (induce) ให้เกิด กระแสไฟฟ้า” (current) กับ แรงดันไฟฟ้า” (voltage) ปริมาณน้อยๆ ให้ก่อตัวขึ้นในตัวสาย LAN ซึ่งเจ้ากระแสและแรงดันปริมาณน้อยๆ เหล่านี้นี่แหละ เมื่อเข้าไปผสมปนกับสัญญาณเสียงที่วิ่งผ่านไปบนตัวนำของสาย LAN พวกมันก็จะแปรสภาพเป็น noise ที่ทำให้สัญญาณที่วิ่งผ่านไปบนสาย LAN เกิดความผิดเพี้ยนไปจากเดิม

สาเหตุของ noise ในระบบเน็ทเวิร์ครูปแบบอื่นๆ

ถ้าคุณพยายามค้นหาที่มาที่ไปของต้นเหตุที่ทำให้มีความเปลี่ยนแปลงของเสียงเกิดขึ้นกับการส่งผ่านสัญญาณเสียงทางเน็ทเวิร์ค คุณก็จะพบกับศัพท์แสงที่พูดถึงปรากฏการณ์ที่เป็นต้นเหตุของ noise ในระบบเน็ทเวิร์คเพิ่มเติมขึ้นมาอีกเยอะแยะ อาทิเช่น ปรากฏการณ์ที่เรียกว่า cross-talk คือ noise ที่เกิดจากสัญญาณเสียง (ซึ่งอยู่ในรูปของสัญญาณไฟฟ้า) ที่วิ่งอยู่ในเส้นตัวนำ twisted wires ของสายแลนชุดหนึ่ง เกิดกระโดดข้ามไปในเส้นตัวนำ twisted wires ชุดอื่นที่อยู่ในสาย LAN เส้นเดียวกัน อันนี้ก็ทำให้เกิด noise ขึ้นได้ ซึ่งสาย LAN ที่ออกแบบไม่ดีหรือมีความชำรุดเสียหายภายในตัวสายมีโอกาสจะเกิดปัญหา cross-talk ได้มาก นอกจากนั้น ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกที่ทำให้เกิด noise ขึ้นในสาย LAN อย่างเช่น Impulse Noise และ Thermal Noise (หรือ White Noise) เป็นต้น

วิธีจัดการกับ noise ในระบบเน็ทเวิร์คที่ใช้กับการเล่นไฟล์เพลงในชุดเครื่องเสียง

นักเล่นเครื่องเสียงจำนวนมากรู้สึกท้อแท้และหมดกำลังใจกับการ ปั้นให้การสตรีมไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คแสดงผลลัพธ์ทางเสียงที่ ดีในระดับที่พวกเขาต้องการ หลายๆ คนบ่นว่ามันยากที่จะทำให้แหล่งต้นทางมิวสิค สตรีมมิ่งให้เสียงออกมาสู้แหล่งต้นทางแบบอื่น (ซีดี และ แผ่นเสียง) ซึ่งความเป็นจริงแล้ว การสตรีมไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คมี ปัจจัยหลายอย่างในทางทฤษฎีที่บ่งชี้ว่า ควรจะให้คุณภาพเสียงออกมา ดีกว่าผลลัพธ์ที่ได้จากแหล่งต้นทางประเภทอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่จะไปให้ถึงจุดหมายนั้นได้ จำเป็นต้องอาศัย การจัดการกับระบบมิวสิค สตรีมมิ่งที่ดีด้วย สำหรับยุคนี้หัวใจคือการกำจัด noise ออกไปจากระบบเน็ทเวิร์คที่ใช้สตรีมไฟล์เพลง ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องมี การจัดการที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ

เรื่องของ noise ในระบบเน็ทเวิร์ค เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้นๆ สำหรับชุดมิวสิค สตรีมมิ่งที่ใช้ในชุดเครื่องเสียง เพราะคนที่ต่อสู้กับเรื่องนี้มาต่างก็ยอมรับว่า noise ในระบบเน็ทเวิร์คมันส่งผลกับคุณภาพเสียงที่ได้จากชุดมิวสิค สตรีมมิ่งเยอะมาก.!!

วิธีจัดการกับ noise ในชุดมิวสิค สตรีมมิ่งต้องเริ่มตั้งแต่ต้นตอ คือต้องจัดการตัดช่องทางของ noise ที่แพร่มาจากไฟฟ้ามาที่ตัวอุปกรณ์ในระบบก่อนเลย คือคุณต้องหาอุปกรณ์เสริมที่ช่วยขจัด noise ในระบบไฟฟ้า อย่างพวก Power Conditioner หรือ Power-Line Filter ที่เรียกว่าตัวกรองไฟมาใช้ จะเป็นรูปแบบไหนที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกับซิสเต็มของคุณก็ได้ สำหรับซิสเต็มของผม ผมพบว่าตัวกรองไฟของ Pulito รุ่น micro 0.6hr (REVIEW) ซึ่งเป็นตัวกรองไฟที่ใช้เทคนิค isolate transformer ในการจัดการกับ noise ที่มาจากสายไฟเมนบนปลั๊กผนัง มันให้ผลลัพธ์ที่ผมพอใจมาก ซึ่งผมใช้ตัวกรองไฟตัวนี้ช่วยตัด noise จากระบบไฟเมนก่อนป้อนให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทเน็ทเวิร์ค สตรีมมิ่ง นั่นคือตัวสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต InnuosSTREAM1รวมถึงลิเนียร์เพาเวอร์ซัพพลายรุ่น LPS1 ของ Innuosตัว ext.DAC ของ Ayre AcousticsQB-9 Twentyและปรีแอมป์ที่อยู่ในซิสเต็ม ส่วนตัวเพาเวอร์แอมป์ หรืออินติเกรตแอมป์ หรือออลอินวัน ที่ผมแยกออกไปวางไว้บนชั้นวางที่อยู่ระหว่างลำโพง ซึ่งใช้ไฟจากปลั๊กผนังคนละชุดนั้น ผมก็จัดการกรอง noise จากสายไฟเมนบนปลั๊กผนังที่ป้อนให้กับเพาเวอร์แอมป์ด้วยตัวกรองไฟของ RN Marsh Design รุ่น Noise Trap (REVIEW) ซึ่งใช้เทคโนโลยีการกรอง noise แบบขนานไปกับทางเดินของไฟฟ้า ซึ่งให้ผลดีกว่าแบบที่ไปขวางทางเดินของไฟฟ้า (แบบอนุกรม) คือไม่ทำให้มีอาการอั้นของกระแสไฟเกิดขึ้น

เหตุผลที่ผมแนะนำให้เริ่มจากการกรอง noise ตั้งแต่ต้นทาง ก็เพราะว่า noise ที่เกิดกับระบบเน็ทเวิร์คมันมีปริมาณน้อยกว่า noise ที่เกิดขึ้นกับอุปกรณ์ประเภทแอมปลิฟาย เมื่อคุณจัดการขจัด noise ของระบบแอมปลิฟายด้วยการใช้อุปกรณ์เสริมประเภท Power-Line Filter รูปแบบต่างๆ ที่ผมเกริ่นมาข้างต้นนั้นแล้ว ก็เท่ากับว่าคุณได้ทำการลดน้อยซ์ของระบบเน็ทเวิร์คลงไปด้วยในตัว เพราะคุณสามารถเชื่อมต่อไฟเลี้ยงของอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบมิวสิค สตรีมมิ่งเข้ากับตัวกรองไฟเหล่านั้นเพื่อให้ช่วยลด noise ที่มาจากไฟเลี้ยงได้ด้วย ที่เหลือสำหรับการกรอง noise ที่แพร่มาในอากาศ อย่างพวก EMI และ RFI ก็ค่อยหาอุปกรณ์เสริมอื่นๆ ที่ทำงานตรงตามหน้าที่มาใช้ ซึ่งเป็นการกรอง noise ที่มาจากอีกต้นตอ

Life AudioJump Up LAN’ (Masterpiece)
อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้กับสาย LAN

อุปกรณ์เสริมชิ้นนี้ ทาง Life Audio เขาออกแบบมาเพื่อให้ใช้กรอง noise ที่เกิดขึ้นใน เส้นทางเดินของสัญญาณที่ผ่านทางสาย LAN ภาพข้างบนนั้นคือหน้าตาของ ‘Jump Up LANมีลักษณะเป็นเหมือนจั๊มเปอร์ที่เข้าไปคั่นระหว่างสาย LAN ที่เชื่อมต่อมาจากต้นทางไปสู่ปลายทาง อย่างเช่น จาก router ไปที่ network switch หรือจากเน็ทเวิร์ค สวิทช์ ไปที่ตัวสตรีมเมอร์ หรือตัวสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต หรือตัวออลอินวันที่มีสตรีมเมอร์ในตัว

ความยาวของตัว Jump Up LAN ตลอดทั้งเส้น วัดจากปลายสุดด้านหนึ่งไปถึงปลายสุดอีกด้าน ได้ประมาณ 27.5 .. ที่เห็นในภาพข้างบนนั้นเป็นฝั่งที่ใช้เสียบเข้าไปที่ ปลายทางอย่างเช่น ถ้าเอาไปใช้ระหว่าง router ไปที่ network switch ก็ต้องเสียบปลายด้านนี้เข้าที่ตัว network switch แต่ถ้านำไปใช้คั่นระหว่าง network switch กับตัวสตรีมเมอร์ ก็เสียบปลายด้านนี้เข้ากับอินพุต Ethernet (หรือบางยี่ห้อก็เรียกว่าอินพุต Network) ของตัวสตรีมเมอร์ หรือตัวสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต หรือตัวออลอินวัน

ปลายอีกด้านมีอะแด๊ปเตอร์ Female-to-Female Network Jack ของแบรนด์ Vention ตัวสีดำๆ ในภาพข้างบน เสียบคาอยู่เพื่อให้ใช้เชื่อมต่อกับสาย LAN ที่ต่อมาจากต้นทาง.. ทำไมไม่ต่อตรงไปเลย.? แม้ว่าปลายทั้งสองด้านของตัว Jump Up LAN จะมีหัวต่อ RJ45 อย่างดีต่อเชื่อมไว้ทั้งสองด้าน แต่ด้วยความยาวของตัวสายที่อยู่ระหว่างขั้วต่อ RJ45 ทั้งสองด้านมีเพียงแค่ 25 .. เท่านั้น ไม่สามารถใช้เชื่อมโยงระหว่างเครื่องได้แน่ อีกเหตุผลหนึ่ง เข้าใจว่าทาง Life Audio มองว่าอุปกรณ์ตัวนี้มีลักษณะเป็น จั๊มเปอร์ที่ช่วยอัพเกรดเสียงให้กับสาย LAN ที่เชื่อมต่ออยู่เดิม ลักษณะเดียวกับจั๊มเปอร์ของสายลำโพงนั่นแหละ เขาจึงไม่ได้ทำให้มันยาวมากเหมือนสาย LAN ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างเครื่องทั่วไป ซึ่งเข้าใจว่าทำแบบนั้นน่าจะใช้ต้นทุนสูงมากและทำให้ราคาขายหลุดโลกทะลุไปมากกว่านี้ขึ้นไปอีก

ทดลองฟังเสียง
Jump Up LAN (Masterpiece)

ผมทดลองใช้งานและลองฟังเสียงของตัว Jump Up LAN โดยเริ่มด้วยการเสียบมันเข้ากับช่องอินพุต Ethernet ของออลอินวัน Arcam รุ่น SA45 (REVIEW) แล้วใช้สาย LAN ธรรมดา ราคาเส้นละไม่กี่ร้อยเชื่อมต่อจากตัว Jump Up LAN ไปที่ปลั๊กเสียบเสียบ LAN บนผนังซึ่งต่อตรงออกมาจาก Router

กรณีนี้คือผมอยากจะลองฟังดูว่า ถ้าใช้สาย LAN ธรรมดามากๆ แบบไม่ใช่แบรนด์ที่ทำมาใช้กับเครื่องเสียง (audio grade) โดยตรงแล้ว ตัว Jump Up LAN มันจะช่วยปรับปรุงเสียงจากการใช้แค่สาย LAN โนเนมขึ้นมาได้สักแค่ไหน.? ซึ่งผมเลือกเพลงจาก TIDAL มาทำเพลย์ลิสไว้ทดสอบครั้งนี้ด้วยซึ่งมีเพลงที่โชว์เสียงร้อง, โชว์ไดนามิก, โชว์ไทมิ่ง และโชว์เวทีเสียงอยู่ครบ ชื่อเพลย์ลิสว่า Speaker Setup & Fine Tuneใครอยากจะเอาไปใช้ทดสอบซิสเต็มก็ไปที่ลิ้งค์นี้ (https://tidal.com/playlist/43eeedf3-d686-4703-8371-44f816897757)

เมื่อลองใช้กับสาย LAN โนเนมธรรมดาๆ ผมพบว่า เมื่อฟังเทียบกันระหว่างไม่ได้ใช้ vs. ใช้ Jump Up LAN เข้าไปพ่วง เสียงมันต่างกันเยอะมาก.! ฟังออกแบบง่ายๆ เลย แค่โน๊ตแรกขึ้นมาก็รับรู้ได้แล้วว่า มีตัว Jump Up LAN พ่วงอยู่มันให้เสียงที่มีความอุ่นนวล เนียนสะอาด มากกว่าเยอะ และเมื่อลองฟังยาวๆ จะพบว่า ลีลาอารมณ์ของการบรรเลงก็ออกมาชวนให้อยากฟังมากกว่า ตอนเสียบสาย LAN เข้าไปตรงๆ เสียงมันออกมาคมๆ แห้งๆ ไทมิ่งแย่เลย เหมือนนักร้องนักดนตรีรีบๆ เล่นให้มันจบๆ ไป ไม่มีลีลาอ่อนแก่ของการบรรเลงและขับร้อง แสดงว่า ไดนามิกคอนทราสน์แย่มาก พอเสียบ Jump Up LAN เข้าไปพ่วง ทุกอย่างดีขึ้นอย่างที่บอก ชัดเจนมาก..!!

จากนั้น ผมก็ทดลองทดสอบแบบที่คนทั่วไปน่าจะเป็นอยู่ คือเปลี่ยนสาย LAN มาใช้สายที่ดีขึ้น เลือกใช้สายที่ออกแบบและผลิตขึ้นมาเพื่อใช้กับงานเครื่องเสียงโดยเฉพาะจำนวน 2 เส้นมาทดลองฟังร่วมกับตัว Jump Up LAN เส้นแแรกคือสายแลนของแบรนด์ Pankea รุ่น PREMIER Ethernet Cable ความยาว 2 เมตร (ราคา = 1,800 บาท / เส้น) ส่วนเส้นที่สอง ผมเลือกใช้สาย LAN ของ Nordost รุ่น Blue Heaven 3 ความยาว 3 เมตร (ราคา = 30,000 บาท / เส้น) ซึ่งวิธีการฟังก็ใช้แบบเดียวกับตอนลองฟังสาย LAN ธรรมดา คือฟังโดยไม่มีตัว Jump Up LAN ก่อน จากนั้นก็พ่วงตัว Jump Up LAN เข้าไปแล้วฟังความแตกต่างที่เกิดขึ้น

เสียงที่ออกมาจากการทดสอบรอบที่สองนี้มีประเด็นน่าสนใจมาก คือตอนแรกที่ผมทดลองเปลี่ยนสาย LAN มาใช้ของ Pankea พบว่า ระหว่างการใช้ vs. ไม่ใช้ตัว Jump Up LAN มันให้ผลต่างของเสียงที่มีเปอร์เซ็นต์ น้อยลงสมมุติให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ตอนใช้สาย LAN ธรรมดานั้น พอพ่วงตัว Jump Up LAN เข้าไป เสียงโดยรวมดีขึ้นประมาณ 20% แต่พอเปลี่ยนสาย LAN มาเป็นของ Pankea แล้วฟังเทียบกับตอนพ่วงตัว Jump Up LAN เข้าไปพบว่าเสียงที่ออกมาโดยรวมแล้ว ดีกว่าตอนที่ฟังสาย Pankea เพียวๆ อยู่ประมาณ 30% โดยที่ประเด็นที่ดีขึ้นก็ยังคงคล้ายกับตอนใช้สาย LAN ธรรมดา คือได้เสียงที่มีความอุ่นนวล เนียนสะอาด มากขึ้น บรรยากาศเปิดโล่งออกไปมากขึ้น อาการซิบๆ ที่ปลายเสียงลดน้อยลง และที่ต่างกันเยอะระหว่างสาย LAN ธรรมดากับสาย LAN ของ Pankea ก็คือเนื้อเสียงที่อิ่มหนา ซึ่งตอนใช้สาย LAN ธรรมดา พบว่า ความอิ่มหนาของมวลเนื้อคือจุดอ่อนมากๆ ของสาย LAN ธรรมดา คือเสียงมันจะออกมาบางและเรียว (lean) ทำให้ทรวดทรงของเสียงออกมาแบน บาง เปิดดังๆ จะมีอาการเฟี้ยวเข้าหู แม้ว่าจะพ่วงตัว Jump Up LAN เข้าไปก็ช่วยได้ไม่เยอะ แต่ตอนใช้สาย LAN ของ Pankea แล้วพ่วง Jump Up LAN เข้าไปกลับพบว่า ตัว Jump Up LAN เข้าไปทำให้มวลเนื้อเสียงที่ได้จากการใช้สาย Pankea (ซึ่งให้ออกมาได้ดีกว่าเสียง LAN ธรรมดามากแล้ว) มีความอิ่มหนามากขึ้นไปอย่างมาก แปลกมาก.! เพราะทีแรกผมคาดว่าตัว Jump Up LAN น่าจะเข้าไปช่วยอัพฯ เนื้อเสียงให้กับสาย LAN ธรรมดาได้มากแน่ๆ แต่เอาเข้าจริงก็ช่วยได้ไม่เยอะอย่างที่คิด..

เพราะอะไร.? ผมยังหาเหตุผลไม่เจอ แต่มีคำถามหนึ่งปิ๊งขึ้นมาในหัว คือถ้าตั้งสมมุติฐานจากสิ่งที่เกิดขึ้นข้างต้นว่า เนื้อเสียงน่าจะมาจากคุณภาพของสาย LAN เองเป็นเบื้องต้น ถ้าสาย LAN เองให้เนื้อเสียงไม่อิ่มหนามาก่อน ตัว Jump Up LAN ก็ช่วยได้ไม่มาก ดังนั้น ถ้าเปลี่ยนไปใช้สาย LAN ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าสาย LAN ของ Pankea ขึ้นไป ผลลัพธ์จะเป็นยังไง.? คิดได้ดังนั้น ผมก็เปลี่ยนเอาสาย LAN ของ Pankea ออกแล้วเสียบสาย LAN รุ่น Blue Heaven 3 ของ Nordost เข้าไปแทน แค่ยังไม่ได้เสริมพ่วงด้วยตัว Jump Up LAN เสียงที่ออกมาก็พุ่งขึ้นไปมากกว่าระดับที่สาย LAN ของ Pankea + Jump Up LAN ให้ได้ซะอีก ส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นเพราะพื้นฐานของซิสเต็มค่อนข้างสูง คือชุดที่ใช้ทดสอบนั้น ผมใช้ออลอินวันของ ArcamSA45ขับลำโพง Magnepan รุ่น MG1.7i ซึ่งเกินระดับความสามารถของสาย LAN ของ Pankea ไปพอสมควร (*สาย LAN ของ Pankea ตัวนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนเบิร์นฯ เพื่อทำการทดสอบ เพราะคุณภาพเสียงของมันผ่านระดับความพอใจของผมแล้ว เป็นสาย LAN ที่ผมจะใช้แนะนำสำหรับคนที่มีงบ ไม่เกิน 3,000 บาท) พอเปลี่ยนมาใช้สาย LAN ของ NordostBlue Heaven 3′ ตัวนี้ สาย LAN ของ Nordost ตัวนี้เลยปลดปล่อยศักยภาพของซิสเต็มให้พุ่งขึ้นไปได้เต็มความสามารถมากขึ้นนั่นเอง

หลังจากฟังเก็บประเด็นเสียงสาย LAN ของ Nordost ตัวนี้ไปจนฉ่ำใจแล้ว ผมก็ทดลองพ่วงตัว Jump Up LAN เข้าไป ปรากฏว่า ตัว Jump Up LAN ก็ยังสามารถปรับปรุงเสียงของซิสเต็มให้ดีขึ้นไปได้อีกในสัดส่วนประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับตอนฟังด้วยสาย LAN ตัว Blue Heaven 3 เพียวๆ ซึ่งประเด็นที่ Jump Up LAN เข้าไปทำให้ดีขึ้นจะเป็นการ ต่อขยายจากคุณสมบัติที่สายแลน Blue Heaven 3 ทำได้อยู่แล้วออกไปอีก อย่างเช่น ได้ความสะอาดของพื้นเสียงที่ดีขึ้น, ได้แอมเบี้ยนต์ที่แผ่กว้างและสะอาดโล่งมากขึ้น ได้อัตราสวิงไดนามิกที่กว้างขึ้น และได้ความต่อเนื่องของอารมณ์เพลงที่ดีขึ้น เหล่านี้รวมๆ กันประมาณ 15 – 20% อย่างที่ผมว่ามานั่นแหละ

ผลของ Jump Up LAN เยอะมั้ย.? กรณีใช้กับสาย LAN ของ Nordost สีฟ้าตัวนี้อาจจะดูว่าเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ไม่เยอะมาก แต่พอได้ยินแล้ว เอา Jump Up LAN ออกไปก็จะรับรู้ได้และนึกเสียดายสิ่งที่หดหายไป แต่ถ้าไม่เคยได้ยินตั้งแต่แรกก็คงไม่รู้สึกอะไร เพราะลำพังเสียงของสาย LAN ของ Nordost ตัวนี้ กับซิสเต็มนี้ ก็ถือว่าออกมาดีมากแล้ว

Life AudioGround Up LAN’ (Reference MK 3)
อุปกรณ์เสริมสำหรับใช้กับระบบกราวนด์ของเน็ทเวิร์ค

คุณหน่อย เจ้าสำนัก Life Audio หิ้วอุปกรณ์เสริมตัวนี้มาพร้อมกับตัว Jump Up LAN ซึ่งเจ้าตัวจะทำหน้าที่เป็นเสมือน ถังขยะที่ดึงเอา noise ที่หลุดหลงอยู่ในแผงวงจรที่เกี่ยวกับช่อง Ethernet ออกมาย่อยสลายและป้องกันไม่ให้คลื่นรบกวนจากภายนอกแทรกซึมเข้าไป ลักษณะเดียวกับอุปกรณ์เสริมประเภท จุกมหาอุดที่หลายๆ แบรนด์ทำออกมาใช้เสียบเข้ากับช่องอินพุต RCA หรือ XLR เพื่อ อุดไม่ให้คลื่นรบกวนจากภายนอกแทรกซึมเข้ามาถึงแผงวงจรในตัวเครื่องได้นั่นแหละ

รูปร่างหน้าตาของตัว Ground Up LAN ดูน่าเกรงขามมาก ความยาวตลอดตัวจากหัวถึงหางวัดได้ 10 .. เส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 1.5 .. น้ำหนักดี ส่วนว่าใช้เทคโนโลยีอะไรลืมถามมา ไว้เจอกับคุณหน่อยก็ถามกันเอาเองแล้วกัน

ทดลองฟังเสียง
Ground Up LAN (Reference MK 3)

ตัว Ground Up LAN สามารถเสียบไปที่ช่อง Ethernet ช่องไหนก็ได้ บนอุปกรณ์ตัวไหนก็ได้ที่มีอินพุตนี้ แต่ผมคิดเอาเองว่า ถ้าเสียบมันไว้ที่ตัว Network Switch น่าจะได้ผลมากที่สุดหรือเปล่า.? เพราะ Network Switch มันเป็นจุดที่อุปกรณ์ทุกชิ้นในระบบมิวสิค สตรีมมิ่งต้องเสียบสาย LAN ไปรวมกันอยู่ที่นั่น คิดได้ดังนั้นแล้ว ไม่รอช้า ผมก็จัดการเสียบตัว Ground Up LAN เข้าไปที่ตัว Network Switch ของ Clef Audio รุ่น StreamBRIDGE-X ทันที จากนั้นก็เริ่มเลือกเพลงฟัง..

ผมลองฟังเพลงที่ทำเพลย์ลิสไว้ผ่านไป 2-3 เพลงโดยสลับเสียบใช้ตัว Ground Up LAN และดึงออก ฟังเทียบกัน อือมม.. ก็พอจะฟังออกว่าพื้นเสียงโดยรวมมันมีความใส (transparency) มากขึ้น ส่วนผลที่เกิดกับเสียงโดยรวมสังเกตยาก เหมือนกับว่า ตัวเสียงจะลอยเด่นขึ้นมามากขึ้น โดยเฉพาะในย่านกลางแหลมจะสังเกตได้ง่ายหน่อย ส่วนทุ้มไม่ค่อยชัด จากนั้นผมก็ทดลองย้ายตัว Ground Up LAN ที่เสียบอยู่บนตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ไปเสียบไว้ที่ช่องจ่ายสัญญาณเน็ทเวิร์คของ InnuosSTREAM1ซึ่งเป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตที่ผมใช้อยู่ จากนั้นก็ลองฟังเพลงเทียบด้วยการสลับใช้และไม่ใช้ตัว Ground Up LAN เหมือนเดิม..

อ๊ะ.. คราวนี้เห็นผลชัดขึ้นแฮะ.! ตอนเสียบตัว Ground Up LAN ที่ช่อง Ethernet ของ STREAM1 รับรู้ได้ว่าพื้นเสียงใสขึ้น เพราะผมได้ยินเสียงที่วางตำแหน่งถอยลึกลงไปด้านหลังระนาบลำโพงได้ชัดขึ้น คือเสียงเหล่านั้นไม่ได้ถูกดันขึ้นมา แต่เป็นเพราะพื้นเสียงมันสว่างใสมากขึ้น ทำให้ได้ยินรายละเอียดเบาๆ ของชิ้นดนตรีที่เล่นอยู่ลึกๆ ในเลเยอร์หลังๆ ของเวทีเสียงชัดขึ้น นอกจากนั้น ยังรู้สึกได้ว่า พอเสียบตัว Ground Up LAN เข้าไปที่ช่อง Ethernet ของตัว STREAM1 แล้ว ตัวเสียงแต่ละเสียงในเพลงที่ฟังมันลอยตัวขึ้นมามากขึ้น บอดี้ก็ดูกลมกลึงเป็นสามมิติมากขึ้น เนื้อเสียงเหมือนจะเข้มขึ้นนิดนึงด้วย แต่สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดที่กล่าวมานั้น มันไม่ได้ดีดเด้งดึ๋งดั๋งออกมาทันทีที่เสียบตัว Ground Up LAN เข้าไปนะ คือผมรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่แรกแต่ยังไม่ชัดเจนมาก หลังจากฟังต่อเนื่องไปสักครึ่งเพลงก็เริ่มรู้สึกชัดขึ้น พอดึงออกไป เสียงโดยรวมก็ค่อยๆ วูบสลัวลงไป แต่ก็ไม่มาก คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ตัว Ground Up LAN ส่งผลกับเสียงโดยรวมในแต่ละประเด็นรวมๆ กันน่าจะได้ประมาณ 10-15%

Jump Up LAN (Masterpiece)
+ Ground Up LAN (Reference MK 3)
สองแรงแข็งขัน..!!!

คุณหน่อย เอาตัว Ground Up LAN มาให้ลองใช้ 2 ตัว หลังจากผมทดลองเสียบที่ตัว STREAM1 แล้วรู้สึกชอบผลของมันมากกว่าเสียบที่ตัว Network Switch ผมก็เลยเสียบตัวนั้นคาไว้ที่ STREAM1 แล้วลองเอา Ground Up LAN อีกตัวที่เหลือเสียบไปที่ตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ ตรงรูที่อยู่ติดกับช่องที่เสียบสาย LAN ของ NordostBlue Heaven 3ที่ไปเชื่อมต่อกับตัว STREAM1 ซึ่งก็ทำให้เสียงดีขึ้นอีกนิดนึง ตัวเสียงเข้มขึ้น การเน้นย้ำหนักเบารับรู้ได้ชัดขึ้นถึงน้ำหนักมือของนักดนตรีที่กระทำลงไปบนเครื่องดนตรีของพวกเขา

และท้ายสุดของการทดสอบ ผมลองเสียบตัว Jump Up LAN เข้าไปที่ช่อง LAN ของตัว STREAM1 โดยมีตัว Ground Up LAN เสียบอยู่ด้วย ทั้งที่ตัว STREAM1 และตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ StreamBRIDGE-X ถือว่าเป็นการทดสอบร่วมกันทั้ง 3 ชิ้นในระบบเดียวกัน ผมลัพธ์ที่ได้น่าพอใจมาก พื้นเสียงใส ตัวเสียงลอยเด่น มีทรวดมีทรง ไดนามิกก็สวิงได้กว้างขึ้น รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กระจ่างชัดมากขึ้น เวทีเสียงเปิดกว้างทั้งแนวราบ แนวลึก และแนวสูง รวมถึงไทมิ่งของเสียงก็ดีขึ้นด้วย รับรู้ได้ลึกลงไปถึงอารมณ์ของเพลงมากขึ้น ความต่อเนื่องก็ดีขึ้น..

สรุป

ถึงแม้ว่าผลของตัว Jump Up LAN และตัว Ground Up LAN จะส่งผลดีต่อเสียงโดยรวมของซิสเต็มอยู่ราวๆ 20 – 25% อาจจะไม่เยอะมากสำหรับซิสเต็มขนาดเล็ก แต่จะเห็นผลได้ชัดมากขึ้นในซิสเต็มขนาดใหญ่ โดยเฉพาะซิสเต็มที่ใช้ลำโพงขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์ของอุปกรณ์เสริมของ Life Audio ทั้งสองตัวนี้จะปรากฏออกมาให้รับรู้ได้ชัดเจนมากแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับผลของการแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพซิสเต็มที่ลงตัวด้วย โดยเฉพาะการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพง ถ้าคุณสามารถเซ็ตตำแหน่งลำโพงจนได้โฟกัสที่ลงตัวจริงๆ แล้ว คุณก็จะได้เห็นประสิทธิภาพในการขจัด noise ของอุปกรณ์เสริมทั้งสองตัวของ Life Audio ที่ชัดเจน และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในการอัพเกรดด้วยอุปกรณ์เสริมสองชิ้นนี้ (*ถ้าสนใจอุปกรณ์เสริมสองชิ้นนี้ คุณหน่อยแจ้งว่า ยินดีที่จะหอบหิ้วไปให้ทดลองฟังถึงที่ ถ้าไม่ไกลเกินไป ยังไงก็แนะนำให้ติดต่อสอบถามที่ Life Audio โทร. 084 596 6262 อีกที)

**********
ราคา :
Jump Up LAN (Masterpiece) = 50,000 บาท / ชิ้น
Ground Up LAN (Reference MK 3) = 25,000 / ชิ้น
**********
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Life Audio
โทร. 084-596-6262

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า