ลำโพงแผ่นฟิล์ม เป็นรูปแบบของลำโพงที่สร้าง “ความขัดแย้ง” ขึ้นได้มากที่สุด ระหว่าง “สิ่งที่ตาเห็น” vs “สิ่งที่หูได้ยิน” เพราะก่อนที่จะได้ยินเสียง เมื่อสายตามองเห็นรูปร่างของลำโพงแผ่นฟิล์ม สิ่งที่เห็นนั้นจะนำพามาซึ่ง “จินตนาการ” ที่คาดเดาไปถึง “ลักษณะเสียง” ของมัน ซึ่งเชื่อเลยว่า ร้อยละ 90 ของคนที่ “ยังไม่เคย” ฟังเสียงของลำโพงแผ่นฟิล์มมาก่อนจะต้องจินตนาการออกมาทำนองว่า เสียงน่าจะออกไปทางโปร่งๆ ใสๆ เสียงทุ้มน่าจะบางๆ ดังนั้น ถ้าจะมีใครบอกคุณว่า ลำโพงแผ่นฟิล์มให้เสียงกลาง–แหลมที่โปร่งโล่ง เชื่อว่าคุณจะคล้อยตามทันที แต่ถ้าเขาคนนั้นบอกคุณว่า ลำโพงแผ่นฟิล์มให้เสียงเบสที่แน่น กระชับ เหมือนฟังและซับวูฟเฟอร์ขนาด 12 หรือ 15 นิ้ว ถึงตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่า คุณจะเริ่มไม่เชื่อ..!!!
จริงแล้ว ลำโพงแผ่นฟิล์มมีมานานมากแล้ว อย่างเช่นแบรนด์ Magnepan นี้เริ่มต้นผลิตออกมาจำหน่ายตั้งแต่ ยุค ’70 และยังคงผลิตออกมาจำหน่ายตลอดจนถึงปัจจุบัน แต่เนื่องจาก แบรนด์ผู้ผลิตลำโพงแผ่นฟิล์มลักษณะนี้มีอยู่น้อย ตรงข้ามกับลำโพงตู้สี่เหลี่ยมที่ใช้ไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิก ซึ่งมีผู้ผลิตแบรนด์ใหม่ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คนส่วนใหญ่ หรือแม้แต่นักเล่นเครื่องเสียงที่เพิ่งจะเข้ามาในวงการไม่นานจึงแทบจะไม่มีประสบการณ์กับลำโพงแผ่นฟิล์มลักษณะนี้เลย.. นั่นทำให้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับลำโพงแผ่นฟิล์มก็ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน.!
Magnepan ‘MG1.7i’
พี่ชายของ LRS+
ผมทำรีวิวลำโพง Magnepan รุ่น LRS+ และลงโพสต์ในเว็บไซต์ไปเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมา (REVIEW) ซึ่ง LRS+ เป็นรุ่นเล็กสุด คือเล็กกว่า MG1.7i ลงไปอีกระดับ..

ตัว MG1.7i ใหญ่กว่า LRS+ ทั้งทางด้านกว้างและด้านสูง จากภาพข้างบนนั้นจะเห็นว่า MG1.7i มีส่วนสูงมากกว่า LRS+ เท่ากับ 40.5 ซ.ม. รวมสะระตะความสูงของ MG1.7i อยู่ที่ 162.5 ซ.ม. เมื่อผนวกเข้ากับความกว้างของแผงหน้าที่มากเกือบครึ่งเมตร คืออยู่ที่ 47.5 ซ.ม. อาจจะทำให้ดูเหมือนว่า MG1.7i มีขนาดใหญ่คับห้อง แต่เมื่อเซ็ตอัพลงไปในห้องของผมซึ่งมีหน้ากว้างเท่ากับ 3.6 เมตร สูง 2.5 เมตร ก็ถือว่าไม่ได้ใหญ่เกินไป มิหนำซ้ำ ผมว่ามันกำลังพอดีซะอีก.!

ความหนาของ MG1.7i เมื่อมองจากด้านข้าง วัดที่กรอบของโครงตู้จะอยู่ที่ 2 นิ้ว ซึ่งวิธีติดตั้งก็ง่ายๆ คือในกล่องนอกจากจะมีตัวลำโพงทั้งสองข้างแล้ว ในนั้นยังมีขาตั้งที่ทำด้วยเหล็กที่มีแกนราบกับพื้นหนึ่งเส้นกับแกนที่ตั้งฉากอยู่ด้านบนอีกหนึ่งเส้น ตัวแกนที่ตั้งฉากจะมีรูที่เจาะไว้ร้อยน็อต 2 รู ในแนวบน–ล่าง โดยที่ตำแหน่งรูของขาตั้งทั้งสองจะตรงกันกับรูน็อตที่เจาะอยู่บนด้านหลังของกรอบโครงของตัวตู้พอดี..

ในกล่องนอกจากจะมีตัวลำโพงทั้งสองข้างกับขาตั้ง 4 ขา แล้ว เขายังให้น็อตมา 8 ตัว สั้น 4 ยาว 4 กับแหวนไนล่อนมา 8 วง ซึ่งในคู่มือของ MG1.7i มีคำแนะนำในการติดตั้งตัวลำโพงเข้ากับขาตั้งเอาไว้ว่า คุณสามารถกำหนดให้ตัวลำโพงตั้งอยู่บนพื้นห้องได้ 3 ลักษณะ ตามต้องการ นั่นคือ
1. ตัวลำโพงตั้งอยู่ในลักษณะที่ “เอียง” ไปทางด้านหน้า เข้าหาตำแหน่งนั่งฟัง ตอนขันน็อตยึดลำโพงเข้ากับขาตั้ง เขาให้เอาวงแหวนไนล่อนเข้าไปสวมคั่นระหว่างขาตั้งกับตัวลำโพงที่ “รูน็อตตัวบน” ถ้าเอียงนิดๆ ก็ใส่แหวนแค่วงเดียว ลำโพงจะเอียงมาทางด้านหน้าประมาณ 1 องศา ถ้าต้องการเอียงมากหน่อยก็ใส่แหวน 2 วง ซ้อนกัน ลำโพงจะเอียงประมาณ 3 องศา
2. ตัวลำโพงตั้งอยู่ในลักษณะที่ “เอียง” ไปทางด้านหลัง ถอยห่างจากตำแหน่งนั่งฟัง กรณีนี้เขาให้ใส่แหวนไนล่อนเข้าไปคั่นอยู่ระหว่างขาตั้งกับตัวลำโพงที่ “รูน็อตตัวล่าง” ถ้าใส่วงเดียวก็เอียงน้อยหน่อยคือประมาณ 1 องศา และเอียงมากขึ้นเป็น 3 องศา เมื่อใช้แหวนรอง 2 วง
3. ถ้าต้องการให้ตัวลำโพงวางตั้งฉากกับพื้น ก็ไม่ต้องใช้แหวนไนล่อนรองใต้รูน็อต
3-ทาง + ไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติก + โอเพ่น บัฟเฟิล

MG1.7i เป็นลำโพง 3 ทาง ที่ใช้ไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติกในการสร้างความถี่ตลอดทั้งย่านเสียงตั้งแต่ 40Hz ขึ้นไปจนถึง 22kHz โดยที่ตัวไดเวอร์พลาน่าร์ฯ ถูกขึงตรึงอยู่ในกรอบไม้ MDF ที่มีความหนาประมาณ 2 นิ้ว โดยไม่มีผนังตู้ล้อมรอบ เป็นดีไซน์ในลักษณะที่เรียกว่า Open baffle มีผลให้คลื่นเสียงที่เกิดจากการขยับตัวของไดอะแฟรมถูกดันแผ่ออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวไดเวอร์เพราะไม่มีตู้เข้ามากั้น เป็นแพลทเทิ้นการกระจายเสียงที่เรียกว่า dipole radiation ซึ่งคลื่นเสียงที่แผ่ออกไปทางด้านหน้าและด้านหลังของไดเวอร์ จะมีลักษณะที่ให้เฟสตรงข้ามกัน หรือ out of phase ซึ่งกันและกัน
ลำโพงประเภท Open baffle ลักษณะนี้สามารถดีไซน์โดยใช้ไดเวอร์ทรงกรวยไดนามิก หรือใช้ไดเวอร์แผ่นฟิล์มก็ได้ ที่เหมือนกันคือไม่มีผนังตู้โดยรอบ คือถ้าออกแบบโดยใช้ไดเวอร์กรวยไดนามิก ก็มีแค่แผ่นโลหะหรือไม้แบนๆ ที่ใช้สำหรับติดตั้งไดเวอร์ แต่ถ้าเป็นลำโพง Open baffle ที่ดีไซน์โดยใช้ไดเวอร์แผ่นฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นแผ่นฟิล์มพลาน่าร์ แม็กเนติก หรือแผ่นฟิล์มอิเล็กโตรสแตติก ก็มีแค่กรอบไม้หรือกรอบโลหะสำหรับติดตั้งไดเวอร์ฯ เท่านั้น โดยรอบไม่มีผนังตู้ปิดกั้นแต่อย่างใด ซึ่งข้อดีของลำโพงแบบ Open baffle ที่ไม่มีตู้ลักษณะนี้ก็คือ สามารถตัดปัญหาที่เกิดจากตัวตู้เข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างเด็ดขาด อาทิเช่น ปัญหาที่มีต้นตอมาจากเรโซแนนซ์ของตัวตู้, ปัญหาที่เกิดจากคลื่นสะท้อนภายในตัวตู้ เป็นต้น แต่ลำโพงลักษณะที่ไม่มีตู้แบบนี้ก็มีข้อด้อยอยู่เหมือนกัน ที่เห็นชัดๆ ก็คือ เซ็ตอัพให้ลงตัว 100% ได้ยาก เพราะคลื่นเสียงที่แผ่ออกไปทางด้านหลังของตัวลำโพงซึ่งมี “ความดัง” พอๆ กับคลื่นเสียงที่แผ่ออกไปทางด้านหน้าลำโพง ถ้าไม่สามารถควบคุมคลื่นเสียงที่แผ่ออกไปทางด้านหลังได้ มันก็จะวกออกมาสร้างปัญหาให้กับคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาทางด้านหน้าซึ่งเป็นคลื่นเสียงที่ผู้ฟังต้องการรับฟัง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ข้อด้อยนั้นจะไม่สามารถแก้ไขได้ ถ้าเข้าใจหลักการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงอย่างถ่องแท้ดีพอ ก็จะสามารถค้นหาตำแหน่งวางลำโพงที่ทำให้คลื่นเสียงทั้งสองด้านทำงานสอดประสานกันได้ ซึ่งพอถึงจุดนั้น แทนที่คลื่นเสียงทางแผ่ออกไปทางด้านหลังจะสร้างปัญหา กลับกลายเป็นเข้ามาเสริมทำให้คลื่นเสียงที่แผ่ออกมาทางด้านหน้ามีประสิทธิภาพสูงขึ้นซะด้วยซ้ำ.. (ดูรายละเอียดจากขั้นตอนการเซ็ตอัพเพิ่มเติมอีกที.!)
ไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติก
ลักษณะและส่วนประกอบของไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติกที่ใช้อยู่ในลำโพงของ Magnepan ทุกรุ่นจะมีโครงสร้างแบบเดียวกัน ซึ่งผมมีอธิบายไว้อย่างละเอียดในรีวิวลำโพง Magnepan รุ่น LRS+ (REVIEW) อยากจะแนะนำให้เข้าไปอ่านทำความเข้าใจในนั้น ถ้าคุณอยากทำความรู้จักกับไดเวอร์พลาน่าร์ แม็กเนติกให้มากขึ้น

บนตัวลำโพง MG1.7i ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบนี้มีผ้าโปร่งสีดำคลุมทั้งตัว (มีเวอร์ชั่นที่ใช้ผ้าสีครีมด้วย) แต่ถ้าเข้าไปเพ่งมองใกล้ๆ ก็จะเห็นแถบอะลูมิเนียม ฟอยล์เล็กๆ หลายชิ้นเรียงอยู่ในแนวตั้ง ทอดตัวยาวจากบนลงล่าง ซึ่งในจำนวนแถบอะลูมิเนียมเหล่านั้น จะแยกออกเป็น 3 กลุ่ม โดยที่กลุ่มแรกจะอยู่ตรงขอบด้านซ้ายของลำโพงที่ถูกกำหนดให้เป็นแชนเนลซ้าย (Left Channel) ส่วนอีกข้างที่ถูกกำหนดให้เป็นแชนเนลขวา (Right Channel) จะอยู่ตรงขอบด้านขวา (ศรชี้ในภาพข้างบน) ซึ่งเป็นแถบอะลูมิเนียมที่มีขนาดเส้นเล็กกว่าส่วนอื่นที่เหลือ จับกลุ่มกันอยู่ 7 เส้น กินพื้นที่บนไดอะแฟรมประมาณหนึ่งนิ้วนิดๆ ซึ่งไดเวอร์กลุ่มนี้ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่ในการสร้างความถี่สูงระดับเดียวกับ Super Tweeter ส่วนแถบอะลูมิเนียมที่เหลือนั้นถูกใช้ให้ทำหน้าที่เป็น Mid/bass และ Tweeter เมื่อรวมการทำงานของไดเวอร์พลาน่าร์ฯ ที่อยู่ในตัว MG1.7i ทั้งหมดแล้ว ความถี่ที่ถูกสร้างขึ้นจะครอบคลุมตั้งแต่ 40Hz – 22kHz

แม้ว่าจะสังเกตที่ไดเวอร์ได้ไม่ชัดนักว่าส่วนไหนทำหน้าที่เป็นทวีตเตอร์ ส่วนไหนทำหน้าที่เป็นมิด/เบส เพราะขนาดของเส้นอะลูมิเนียมมันเท่ากันหมด ยกเว้นส่วนที่เป็นซุปเปอร์ทวีตเตอร์ที่อยู่ตรงขอบด้านข้างที่มีขนาดเส้นที่เล็กกว่า แต่ทางผู้ผลิตก็ยืนยันว่า MG1.7i เป็นลำโพง 3 ทาง และมีวงจรเน็ทเวิร์คที่ทำหน้าที่แบ่งความถี่ให้กับไดเวอร์ฯ บรรจุอยู่ที่ด้านหลังส่วนล่างของตัวลำโพง (ในวงกลมสีแดง)
ขั้วต่อสายลำโพง

เชื่อว่าใครที่ยังไม่เคยทำความรู้จักกับลำโพง Magnepan มาก่อน ถ้าเห็นขั้วต่อสายลำโพงของแบรนด์นี้แล้วอาจจะเข้าใจผิดเอาได้ง่ายๆ คือคิดว่าเขาให้ขั้วต่อแบบ bi-wire มา แต่จริงๆ แล้ว ตัวจั๊มเปอร์ที่ตำแหน่ง B ในภาพข้างบนนั้นไม่ได้มีไว้ให้ต่อสายลำโพงนะ แต่เป็นตำแหน่งที่มีไว้ให้ติดตั้งตัวต้านทาน (resistor) เพื่อปรับจูนเสียงของทวีตเตอร์ให้เบาลง


ในกล่องเขามีตัวต้านทาน (resistor) มาให้ 4 ตัว เป็นสเปคฯ 10W/1Ω กับ 10W/2Ω อย่างละสองตัว พร้อมฟิวส์สำรองและป้ายชื่อยี่ห้อ ถ้าหลังจากแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพลำโพงคู่นี้เสร็จแล้ว คุณรู้สึกว่าเสียงแหลมมันเยอะไป คุณก็สามารถปรับลดปริมาณของเสียงแหลมให้น้อยลงได้ด้วยการเอาตัวต้านทานแท่งขาวๆ ที่ผู้ผลิตให้มาไปเชื่อมต่อแทนที่จั๊มเปอร์โลหะ (B) *** ต้องเตือนไว้ก่อนนะว่า ตรงขั้วต่อชุด B ที่มีแท่งจั๊มเปอร์ติดตั้งอยู่นั้น ห้าม.! ต่อสายลำโพงเข้าไป ถ้าทำเช่นนั้นอาจจะทำให้ทวีตเตอร์เสียหายได้ สรุปคือ ขั้วต่อสายลำโพงของลำโพง Magnepan คู่นี้ (รวมถึง Magnepan รุ่นอื่นๆ) เป็นแบบซิงเกิ้ลไวร์ คือเชื่อมต่อได้เฉพาะที่ขั้วต่อคู่บน (ที่เขียนว่า AMPLIFIER) เท่านั้น
ส่วนฟิวส์ที่เห็นใกล้ๆ ขั้วต่อสายลำโพงนั้น (C) มีไว้เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับทวีตเตอร์ คือเขาเผื่อไว้ว่ากรณีที่มีใครไม่รู้แล้วเสียบสายลำโพงเข้าไปตรงตำแหน่ง B ถ้าไฟผ่านเข้ามาที่ทวีตเตอร์มากเกินไป ฟิวส์ตัวนี้ก็จะตัดก่อนที่ทวีตเตอร์จะเสียหาย ซึ่งฟิวส์ที่เขาใช้ตรงนี้เป็นแบบขาดเร็ว ทนกระแสได้สูงสุด 4 แอมป์ เพื่อความปลอดภัยในการใช้งานไม่ควรเปลี่ยนแปลงค่าของฟิวส์ที่ใช้ ถ้าผู้ใช้จะทดลองอัพเกรดไปใช้ฟิวส์ที่มีคุณภาพดีกว่าของแถมที่เขาให้มา แนะนำให้ใช้ฟิวส์ที่เป็นชนิด fast blow ที่มีค่าตรงตามที่ผู้ผลิตใช้
แม็ทชิ่ง

ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้แทบจะไม่มีข้อมูลทางเทคนิคของ MG1.7i มาให้พิจารณาในการแม็ทชิ่งมาก เขาไม่ได้ระบุตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่แนะนำออกมาตรงๆ ไม่มีตัวเลขกำลังขับ (Power Recommendation) ที่ระบุเป็นช่วงต่ำสุดถึงสูงสุดมาให้แบบลำโพงทั่วไป มีแค่ตัวเลข “ความไว” กับ “อิมพีแดนซ์” เท่านั้น ซึ่งดูจากตัวเลขทั้งสองนั้นแล้วก็พอจะประเมินด้วยประสบการณ์ได้ว่า แอมป์ที่จะเอามาใช้ขับลำโพงคู่นี้จะส่งผลกับเสียงของลำโพงคู่นี้มากเป็นพิเศษ เพราะเขาอ้างอิงกับโหลดที่ค่อนไปทางต่ำคือ 4 โอห์ม กับความไวที่ค่อนไปทางต่ำคือ 86dB เท่านั้น
ความไวที่ค่อนไปทาง “ต่ำ” คือ 86dB ของลำโพงคู่นี้ แสดงว่ามันต้องการ “กำลัง” ของแอมป์ค่อนข้างเยอะ ส่วนอิมพีแดนซ์ปกติ (หรือเฉลี่ย) ที่ผูกไว้ที่ 4 โอห์ม นั้นเหมือนจะบอกเป็นนัยๆ ว่ามันต้องการ “กระแส” จากแอมป์เยอะ เมื่อลองสืบค้นเข้าไปในคู่มือและใช้บริการ AI ของ google ก็พบว่า มีคำแนะนำจากผู้ผลิตว่าให้ใช้แอมป์ที่มีกำลังขับ “อย่างต่ำ 120W ที่ 4 โอห์ม” สำหรับขับ MG1.7i คู่นี้เพื่อให้ได้เสียงออกมามีความถูกต้องมากที่สุด (ไม่รู้ไปแนะนำไว้ที่ไหน.? ในคู่มือไม่เห็นมีบอกไว้) และยังพบอีกว่า มีการเน้นย้ำกันไว้ว่า แอมป์ที่มีความสามารถในการ “จ่ายกระแสสูงๆ” (high-current) เป็นคีย์เวิร์คสำคัญที่จะทำให้เสียงของ MG1.7i ออกมาดี
ตอนที่ผมทดสอบลำโพง Magnepan รุ่น LRS+ พบว่า มันไปได้ดีมากกับแอมป์ยี่ห้อ QUAD เพราะผู้ออกแบบแอมป์แบรนด์นั้นคือ Peter Walker เขาตั้งใจทำออกมาเพื่อใช้ขับลำโพงแผ่นฟิล์มของเขาเอง เป็นแอมป์แบบ High-Current ที่มีขนาดตัวไม่ใหญ่ ราคาไม่สูงมาก ซึ่งนอกจาก QUAD แล้วก็มีแอมปลิฟายอีกหลายแบรนด์ที่ดีไซน์โดยใช้เทคนิค High-Current อาทิเช่น Krell, Parasound, Threshold, McIntosh, Pass Labs, Accuphase, naim ฯลฯ ยิ่งในปัจจุบัน แอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-AB ส่วนใหญ่จะเป็นแอมป์ไฮ–เคอเร้นต์แทบทั้งนั้น สรุปคือ แอมป์ที่คาดหวังทางด้าน “คุณภาพเสียง” จากการขับลำโพง MG1.7i ได้ควรจะเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับตั้งแต่ 120W ที่ 4 โอห์ม (หรือ 60W ที่ 8 โอห์ม ที่สามารถเบิ้ลได้สองเท่าเป็น 120W ที่ 4 โอห์ม) ขึ้นไป..

ในจำนวนแอมปลิฟายทั้ง 4 ตัว ที่ผมนำมาทดลองขับ MG1.7i ตามรายชื่อในกรอบข้างบนนั้น มีอยู่แค่ตัวเดียวคือ Arcam ‘SA45’ (REVIEW) ที่ใช้ภาคขยาย class-G นอกนั้น อีก 3 ตัว ที่เหลือเป็นแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-AB ทั้งหมด ซึ่งจากผลการทดลองฟัง ผมก็ได้ข้อสรุปออกมา 1 ข้อ นั่นคือ “ตัวเลขกำลังขับ” ของแอมป์มีผลต่อคุณภาพเสียงโดยรวมของ MG1.7i มากกว่า “ดีไซน์ของวงจรขยาย” ของแอมป์ คือถ้าตัวเลขของกำลังขับสูงพอต่อการตอบสนองความต้องการของ MG1.7i แล้ว เรื่องดีไซน์ของวงจรขยายของแอมป์ตัวนั้นก็แทบจะไม่มีนัยยะใดๆ มากกว่า “บุคลิก” ของเสียงที่ต่างกันกับแอมป์ตัวอื่นเท่านั้น
MG1.7i + Arcam ‘SA45’

ในจำนวนแอมป์ทั้ง 4 ตัว ที่ผมทดลองใช้ขับ MG1.7i ผมพบว่า Arcam ‘SA45’ เป็นตัวที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “กำลังขับ” ที่มากพอมีผลกับการควบคุมเสียงของลำโพงแผ่นฟิล์ม+ไร้ตู้แบบนี้มากแค่ไหน SA45 ทำให้เสียงเบสของ MG1.7i เก็บตัวได้อย่างชงัดนัก ไม่ว่าจะเบสตอนต้น–ตอนกลาง หรือเบสลึกๆ SA45 สามารถควบคุมมูพเม้นต์ของเสียงเบสที่แผ่ออกมาจาก MG1.7i ได้อย่างอยู่หมัด ไม่ว่าจะหยุดแบบปุบปับ หยุดแบบค่อยๆ ผ่อนตัวลง หรือแผ่กระจายออกไปรอบๆ ก่อนที่จะค่อยๆ คลายหายไป ทุกอากัปกิริยาของเสียงเบสที่ออกมาจากลำโพงคู่นี้ได้ถูกกำกับโดยกำลังขับของ SA45 จนอยู่ในร่องในรอย ไม่มีอาการเบสบวม เบสอื้อ หรือเบสล้นออกมาให้ได้ยินเลย.!
นอกจากนั้น คุณสมบัติของความเป็น All-in-One และเป็น Roon Ready กับราคาขาย 200,000 บาท ของ SA45 ทำให้แอมป์ตัวนี้มีความแม็ทชิ่งกับ MG1.7i ได้อย่างลงตัวทุกแง่มุม เข้าข่ายเป็นคู่ Perfect Match! จริงๆ !!!
MG1.7i + Accuphase ‘E-3000’

อินติเกรตแอมป์ของ Accuphase รุ่น E-3000 ผ่านเข้ามาทำรีวิวช่วงนี้พอดี เลยมีโอกาสได้จับคู่ทดสอบร่วมกับ MG1.7i โดยมี Innuos ‘STREAM1’ + Ayre Acoustics ‘QB-9 Twenty’ ทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทาง ซึ่งผลลัพธ์ของเสียงที่ออกมาก็มีความ “ละมุนละม่อม” ผสมออกมากับน้ำเสียงของ MG1.7i มากขึ้น เสียงกลางและแหลมมีมวลที่เนียนและนวล พื้นเสียงสะอาด เบสนุ่มมีมวลอิ่ม แม้ว่ากำลังขับที่ 4 โอห์ม ของ E-3000 จะมากกว่ากำลังขับอย่างน้อยที่ผู้ผลิตลำโพงแนะนำแค่ 30W แต่เสียงที่ออกมาไม่ได้ส่อให้เห็นเลยว่าจะมีปัญหาในแง่การควบคุมลำโพง ผมทดลองเร่งวอลลุ่มให้ได้เสียงที่ค่อนข้างดังจนได้สนามเสียงที่แผ่ขยายเต็มห้อง น้ำเสียงก็ยังคงรักษาความนุ่มนวลเอาไว้ได้ ไม่แผดจ้า ความอิ่มของมวลก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เข้าใจว่าเป็นเพราะ E-3000 รักษาสถานะของอิมพีแดนซ์ที่ระดับ 4 โอห์ม ไว้ได้ค่อนข้างนิ่ง (สำรองกระแสไว้ได้มากพอ) แต่กับเพลงหนักๆ อย่างเพลง Every Breath You Take ของ The Police ที่ระดับความดังเต็มห้อง ความกระชับแน่นจะเป็นรองตอนขับด้วย Arcam ‘SA45’ นิดหน่อย
MG1.7i + QUAD 33 + 303

ปรี+เพาเวอร์แอมป์ของ QUAD รุ่น 33 + 303 (REVIEW) คู่นี้ก็เป็นอีกชุดที่ให้เสียงออกมาลงตัวมากๆ (แหล่งต้นทางเป็น Innuos ‘STREAM1’ + Ayre Acoustics ‘QB-9 Twenty’) แต่ต้องใช้เพาเวอร์แอมป์ 303 จำนวน 2 ตัว และปรับตั้งที่ตัวเพาเวอร์แอมป์ให้ทำงานในโหมด Bridge Mono เพื่อให้ได้กำลังขับตัวละ 170W ที่โหลด 4 โอห์ม แยกขับ MG1.7i ข้างละตัว จึงไม่มีปัญหาในการควบคุมการทำงานของลำโพง และพลังเสียงที่มากพอทำให้สามารถดันเสียงหลุดออกไปนอกตัวลำโพงได้อย่างชัดเจน แผ่กระจายออกไปด้านหลังเป็นแผง ไดนามิกสวิงได้เต็มสเกล เนื้อเสียงเข้มและตึงตัว ไทมิ่งดี กระฉับกระเฉง ฟังสนุกมาก
MG1.7i + QUAD ‘Artera Stereo’

นี่เป็นอีกชุดที่ให้ผลลัพธ์น่าพอใจมาก.! เพาเวอร์แอมป์ของ QUAD รุ่น Artera Stereo ตัวนี้เป็นเพาเวอร์แอมป์ class-AB ที่ผมใช้อ้างอิงในการทดสอบลำโพงมานานแล้ว มันเป็นเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทขนาดเล็กที่ให้กำลังขับอยู่ในระดับปานกลางคือ 140W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม โดยที่ผู้ผลิตไม่ได้แจ้งตัวเลขกำลังขับที่โหลด 4 โอห์ม เอาไว้ (ไม่ทราบสาเหตุ) แต่คิดว่ายังไงก็ตาม ถ้าวัดด้วยโหลด 4 โอห์ม ตัวเลขกำลังขับของแอมป์ตัวนี้ก็น่าจะ “สูงกว่า” 140W ต่อข้างขึ้นไปอย่างแน่นอน
ผมเพิ่งได้รับ Streamer/DAC ของ Wattson Audio รุ่น Madison มาทดสอบ ซึ่งสตรีมเมอร์ตัวนี้มีภาควอลลุ่ม คอนโทรลที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษด้วยการใช้ digital attenuator ที่มีความละเอียดสูงถึง 64-bit เข้ามาแบ่งซอยสเต็ปของวอลลุ่มให้มีระดับของความดัง–เบาต่างกันอยู่ที่สเต็ปละ 0.5dB ซึ่งทำให้ได้ความดังของสัญญาณที่แม่นยำและเพิ่ม–ลดได้อย่างเที่ยงตรง ผมเลยถือโอกาสทดลองจับสตรีมเมอร์ Madison ตัวนี้เข้ากับ Artera Stereo ผ่านทางอินพุต/เอ๊าต์พุต XLR โดยใช้ Madison ตัวนี้ทำหน้าที่เป็น Streamer พร้อมกับใช้ฟังท์ชั่นวอลลุ่มของ Madison ในการควบคุมความดังไปด้วย
จากการทดลองฟังเพลงหลายๆ อัลบั้ม ทั้งที่เป็นฟอร์แม็ต WAV 16/44.1, ไฮเรซฯ FLAC 24-bit และ DSD64 & DSD128 พบว่า output gain ของ Madison กับ input gain ของ Artera Stereo มันไปกันได้ดีเลย แม้ว่าโดยเฉลี่ยของวอลลุ่มที่ใช้จะค่อนข้างสูง คืออยู่ระหว่าง 50 – 80% ของระดับวอลลุ่มทั้งหมดของ Madison แต่เสียงที่ออกมาก็ไม่ได้มีอาการโอเว่อร์ เป็นลักษณะของการออกแบบ gain ขยายที่ใช้สเกลละเอียดมากนั่นเอง เสียงที่ออกมามีความโดดเด่นมากในแง่ของรายละเอียดที่รับรู้ได้ถึงความแตกต่างจากสตรีมเมอร์ตัวอื่นๆ คือมันให้เสียงที่ค่อยๆ ดังขึ้นไปทีละนิดขณะหมุนปรับวอลลุ่ม ซึ่งขณะปรับวอลลุ่มขึ้นไป จะรับรู้ได้ว่าเสียงทั้งหมดมันดังขึ้นในลักษณะที่มีสัดส่วน “เสมอกัน” ทุกสเต็ปที่ปรับวอลลุ่มขึ้นไป เสียงจะดังขึ้นทีละนิดโดยที่ “โทนัลบาลานซ์” (ปริมาณของทุ้ม–กลาง–แหลม) ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย.!!
และเนื่องจากไดอะแฟรมของลำโพง MG1.7i ที่มีลักษณะเป็นแผ่นที่บางและเบามันจึงมี “ความไว” ต่อการเปลี่ยนแปลงของสัญญาณมากเป็นพิเศษ แม้ว่าระดับวอลลุ่มของสัญญาณที่ป้อนเข้ามาจะเปลี่ยนแปลงไปแค่เล็กน้อย ผมก็สามารถรับรู้ได้ชัด ซึ่งระบบวอลลุ่มที่ละเอียดอ่อนของสตรีมเมอร์ Madison ตัวนี้มันไปกับความไวในการตอบสนองของไดเวอร์แผ่นฟิล์มของ MG1.7i ได้อย่างลงตัวมาก ทุกครั้งที่ผมขยับวอลลุ่มไป 0.5dB ผมจะได้ยินรายละเอียดออกมาจาก MG1.7i ที่ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะรายละเอียดที่ระดับความดังต่ำๆ (Low Level Resolution) จะถูกเปิดเผยออกมาให้ได้ยินในขณะที่เสียงที่ดังกว่าก็ยังไม่มีอาการโอเว่อร์ นี่คือจุดเด่นมากๆ ของลำโพง Magnepan ‘MG1.7i‘ คู่นี้..!!!
MG1.7i + Jeff Rowland ‘Model 125’

พอขยับมาลองขับด้วยปรี+เพาเวอร์ของ Jeff Rowland รุ่น Capri S2-SC + Model 125 (REVIEW) ลำโพงคู่นี้ก็แสดงให้เห็นว่า มันมีศักยภาพสูงพอที่จะสามารถขึ้นไปประกบกับแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ อย่าง Jeff Rowland ได้ ด้วยน้ำเสียงที่มีความละมุนละม่อมมากขึ้น คลี่คลายความซับซ้อนของเลเยอร์ดนตรีออกมาให้รับรู้ได้ชัดเจนมากขึ้น แยกแยะคุณสมบัติของฮาร์มอนิกออกมาจากตัวเสียงได้ชัดขึ้น ส่งผลให้เสียงโดยรวมฟังดู “แพง” ขึ้น หรูหรา อร้าอร่าม และพรุ้งพริ้งมากขึ้น โดยเฉพาะเสียงกลางตลอดขึ้นไปถึงเสียงแหลมมีความพลิ้ว กังวาน และมีชีวิตชีวามากขึ้นอย่างชัดเจน..

และเมื่อทดลองใช้เพาเวอร์แอมป์ Model 125 สองตัวบริดจ์ โมโน ช่วยกันขับ MG1.7i ด้วยกำลังขับที่สูงถึง 500W ที่ 8Ω เสียงโดยรวมก็ให้พลังอัดฉีดมากขึ้น มูพเม้นต์โดยรวมมีความสดกระชับมากขึ้น ทรานเชี้ยต์มีความเด็ดขาดมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือใช้ฟังเพลงแนวเพอร์คัสชั่นที่โชว์พลังได้ดีขึ้น และฟังเพลงคลาสสิกวงใหญ่ได้อรรถรสดีขึ้นด้วย..
take MG1.7i to the limit!

มีช่วงจังหวะที่ผมได้รับเพาเวอร์แอมป์ Jeff Rowland รุ่นใหม่คือ Model 555 เข้ามาทดสอบ เลยลองจัดชุดแอมป์ที่มีราคา “ข้ามชั้น” ของลำโพงไปไกลขึ้นมาขับ MG1.7i เพราะอยากรู้ว่าลำโพง Magnepan คู่นี้จะสามารถพาตัวเองขึ้นไปกับแอมป์ได้สูงขนาดไหน ด้วยการจับปรีแอมป์ Capri S2-SC มาเข้าคู่กับ Model 555 ส่วนต้นทางผมใช้ Innuos ‘STREAM1’ (REVIEW) + Wattson Audio ‘Madison’ ทำหน้าที่เป็นแหล่งสร้างสัญญาณต้นทาง
คงจะเป็นเพราะกำลังขับของ Model 555 ที่สูงถึง 300W ที่ 4Ω ซึ่งมากเกินพอสำหรับความต้องการของ MG1.7i เสียงที่ออกมาจึงมีลักษณะที่เรียกว่า “พร่างพราย” ไปด้วยรายละเอียดที่กระจ่างลอยออกมาจากตัวลำโพงไปเริงร่าอยู่ในอากาศได้อย่างเป็นอิสระเต็มที่ ทุกเสียงเคลื่อนไหวด้วยความสงบ นิ่ง แต่วาดลวดลายไปตามลีลาของเพงเหมือนมีชีวิต เสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ในย่านกลางและแหลม อย่างเช่น กีต้าร์, ไวโอลิน, ฟรุ๊ท และเครื่องสาย มีลักษณที่ “พลิ้วไสว” ให้ฮาร์มอนิกที่แผ่กังวานออกมาเป็นระลอก ในขณะที่เสียงทุ้มก็ไม่ได้หนักและแน่นแบบไร้ชีวิต ทว่าเป็นเสียงทุ้มที่รู้กาละเทศะ รู้จักทิ้งน้ำหนักอย่างรุนแรง และผ่อนน้ำหนักให้นุ่มเบาในจังหวะที่ถูกที่ควร ไม่พยายามทำตัวเด่นออกมาเหนือกลางกับแหลมซึ่งเป็นไปตามแนวทางของแบรนด์นี้.. นั่นแสดงว่า ลำโพงคู่นี้ไม่แข็งขืนกับบุคลิกของแอมป์ ยินยอมและผ่อนปรนไปตามการควบคุมของแอมป์ แต่มีพื้นฐานที่แข็งแรง มั่นคง ไว้รองรับ ซึ่งเป็นผลทางเสียงที่มักจะพบเจอในซิสเต็มระดับไฮเอ็นด์ฯ ทั่วไป
หลังจากสัมผัสเสียงที่ได้จากคู่ปรี+เพาเวอร์ฯ ของ Jeff Rowland ขับลำโพง Magnepan คู่นี้แล้ว ไม่แปลกใจเลยที่นิตยสารระดับแนวหน้าของวงการอย่าง The Absolute Sound! จะแสดงความชื่นชมลำโพงคู่นี้เอาไว้มากเป็นพิเศษ.. !!!
เซ็ตอัพ
ลำโพงที่ใช้รูปแบบไดเวอร์แตกต่างกัน.. ดีไซน์ตัวตู้ไม่เหมือนกัน ต้องใช้หลักการเซ็ตอัพต่างกันหรือเหมือนกัน.? คำตอบคือ “เหมือนกัน” เหตุผลก็เพราะว่า ลำโพงทุกคู่ถูกออกแบบขึ้นมาด้วย “หลักวิชาการ” ที่เขียนอยู่ใน text book เดียวกัน ด้วยเป้าหมายเพื่อถ่ายทอดเสียงที่มีความถี่ตั้งแต่ 20Hz – 20kHz ตามมาตรฐานไฮไฟฯ เหมือนกัน และที่สำคัญคือ “เสียงดี” มีแค่รูปแบบเดียว ดังนั้น ในห้องเดียวกัน คุณก็สามารถใช้เทคนิคการเซ็ตอัพลำโพงคู่นี้ แบบเดียวกับเทคนิคการเซ็ตอัพที่ได้ผลดีกับลำโพงคู่อื่นๆ เหมือนกัน
อย่างไรก็ดี ลำโพงบางดีไซน์ก็อาจจะมีผลกับสภาพของห้องฟังที่ต่างกัน บางดีไซน์แทบจะไม่ส่งผลกับสภาพห้องปกติเลย คือสภาพห้องมีผลกับลำโพงน้อยมาก บางดีไซน์ชอบห้องที่ดูดซับเสียงมากหน่อย แต่ลำโพงที่กระจายคลื่นเสียงออกไปทั้งด้านหน้าและด้านหลังด้วยความดังที่เท่ากัน (แต่คนละเฟส) ที่เรียกว่า dipole แบบ MG1.7i คู่นี้ จะให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ดีกับห้องฟังที่มีผนังหลังเรียบและสะท้อนเสียงได้ หรือจะพูดว่า ลำโพงไร้ตู้แบบ Magnepan ชอบผนังหลังที่เรียบและแข็งมากกว่า มันไม่ชอบผนังหลังที่อ่อนนุ่มและดูดซับเสียงนั่นเอง

ในคู่มือของ MG1.7i มีคำแนะนำเกี่ยวกับการเซ็ตอัพตำแหน่งการวางลำโพงคู่นี้ไว้ด้วย ลักษณะการแนะนำสะท้อนให้เห็นว่าคนออกแบบมีความเป็น “นักเล่นเครื่องเสียง” อยู่พอตัว เพราะคำแนะนำของพวกเขามันโยงไปถึงประเด็นที่มีผลต่อเสียงแทบจะทุกแง่มุม เริ่มตั้งแต่การกำหนดให้ไดเวอร์ที่ทำหน้าที่เป็นทวีตเตอร์ทั้งสองข้างวางอยู่ในลักษณะที่ “ชี้ออกด้านข้าง” โดยสังเกตที่ด้านหลังของเลขซีรี่ย์นัมเบอร์ของข้างที่ลงท้ายด้วย -1 เป็นข้างซ้าย ส่วนข้างที่มีเลข -2 อยู่ท้ายซีรี่ย์นัมเบอร์เป็นข้างขวา
จากภาพไดอะแกรมข้างบนนั้น จะเห็นว่า ผู้ผลิตแนะนำให้วางลำโพงทั้งสองข้างในลักษณะที่เอียงหน้า (โทอิน) ยิงเข้าหาตำแหน่งนั่งฟังที่อยู่ในตำแหน่งที่ทำมุม 60 องศา กับลำโพงทั้งสองข้าง และไม่แนะนำให้วางลำโพงห่างผนังหลัง “น้อยกว่า” สองฟุตถึงสองฟุตครึ่ง (ประมาณ 60 – 90 ซ.ม.) แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็เน้นว่า ไดอะแกรมที่แนะนำนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้นของการเซ็ตอัพเท่านั้น ซึ่งอาจจะไม่เวิร์คกับทุกห้องฟัง อาศัยที่เคยทดลองเซ็ตอัพลำโพง Magnepan รุ่น LRS+ ในห้องนี้ไปแล้ว การเซ็ตอัพ MG1.7i ครั้งนี้จึงทำได้ง่ายขึ้นมาก จากการทดลองเซ็ตอัพตามรูปแบบที่ผู้ผลิตแนะนำนี้ พบว่า เสียงที่ออกมามีลักษณะที่ฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่ค่อยผ่อนคลาย ฟังได้ไม่นาน

ผมลองเปลี่ยนมาเซ็ตอัพโดยใช้หลักการเซ็ตอัพที่ใช้กับลำโพงคู่อื่นๆ นั่นคือเริ่มต้นด้วยการกำหนดตำแหน่ง “ห่างผนังหลัง = ความลึกของห้องหารด้วย 3” และตำแหน่งซ้าย–ขวาห่างกันเท่ากับ 180 ซ.ม. โดยวัดออกมาจากเส้นกึ่งกลางห้องข้างละ 90 ซ.ม. และตั้งลำโพงหน้าตรง จากนั้นก็เปิดเพลงฟังและเริ่มต้นทดลองปรับจูน ด้วยการขยับตำแหน่งลำโพงซ้าย–ขวาให้ “เข้าชิด–ถอยห่าง” เพื่อหาระยะห่างที่ทำให้ได้ “โฟกัส” ของเสียงที่คมชัด (in phase) มากที่สุด ซึ่งได้ระยะลงตัวอยู่ที่ระยะห่าง = 167 ซ.ม. หลังจากนั้นก็ทดลองขยับตำแหน่งลำโพงทั้งสองข้างลงไปชิดผนังด้านหลังทีละนิดเพื่อปรับจูนในส่วนของ “โทนัลบาลานซ์” จนมาได้จุดลงตัวอยู่ที่ระยะห่างผนังหลัง = 171 ซ.ม. โดยวัดจากผนังด้านหลังมาถึงขอบด้านหน้าของตัวลำโพงแต่ละข้าง (ดูในชาร์ตข้างบน)
เสียงของ Magnepan ‘MG1.7i’

แม้ว่าตัวลำโพงจะดูสูงและมีแผงหน้ากว้าง แต่เนื่องจากมุมกระจายเสียงในแนว horizontal ของมันไม่ได้แผ่ออกไปเยอะมากเหมือนลำโพงมีตู้ที่ใช้ไดเวอร์กรวยไดนามิก จึงสามารถเซ็ตอัพใช้งานลำโพงคู่นี้ในห้องที่มีขนาดกลางๆ ที่มีหน้ากว้าง 3.5 – 4 เมตร ได้อย่างสบาย และเมื่อเซ็ตอัพลงตัวแล้ว คุณจะได้เสียงที่มีลักษณะแผ่ใหญ่ และมีสมดุลเสียงที่เสมอกันตั้งแต่บนลงล่าง ไม่ว่าจะยืนขึ้นหรือนั่งลง ลักษณะของเวทีเสียงและโทนัลบาลานซ์ของเสียงก็จะไม่เปลี่ยน ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของลำโพงที่กระจายเสียงแบบ Line Source ที่ให้สมดุลเสียงในแนวตั้งที่มั่นคง ต่างจากลำโพงที่ใช้ไดเวอร์กรวยไดนามิกที่ให้การกระจายเสียงแบบ Point Source ซึ่งการยืนและนั่งจะส่งผลต่อเสียงที่ไม่เหมือนกัน
“ความเป็นดนตรี” คือที่สุดของลำโพงคู่นี้.!!!
แม้คำว่า “เป็นดนตรี” จะดูเป็นนามธรรมที่อธิบายความหมายได้ยาก แต่มันก็เป็น “ความรู้สึก” ที่สามารถสัมผัสและจับต้องได้สำหรับคนที่มี music appreciation อยู่ในตัว จากข้อความที่ปรากฏอยู่ในสื่อหลายๆ แหล่งที่พูดถึง “ความเป็นดนตรี” โดยระบุว่ามันเกิดจาก “ประสิทธิภาพ” ของลำโพง ที่สามารถถ่ายทอดความถี่เสียงที่เดินทางมาถึงจุดนั่งฟังพร้อมกัน “ทุกย่านเสียง” โดยไม่มีความผิดพลาดคลาดเคลื่อนทางด้าน Timing เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะปรับจูนลำโพงที่ใช้ไดเวอร์แบบกรวยไดนามิกหลายตัวที่มีขนาดต่างกันให้แต่ละตัวถ่ายทอดคลื่นเสียงไปที่จุดนั่งฟังได้พร้อมกัน เพราะนอกจากไดเวอร์แต่ละตัวจะแยกกันถ่ายทอดความถี่เสียงแต่ละย่านแล้ว แถมยังมีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันอีก เลยยากที่จะหลบเลี่ยงปัญหาทางด้าน Time Alighment ไปได้
แต่สำหรับไดเวอร์แผ่นฟิล์มของ MG1.7i คู่นี้ การทำให้เกิดปรากฏการณ์เสียงแบบนั้นมันช่างง่ายดายมาก เพราะไดเวอร์ทั้งหมดที่ให้กำเนิดความถี่ “ทุกย่าน” ตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม คือตั้งแต่ 40Hz – 22kHz มันถูกติดตั้งอยู่ในระนาบเดียวกันทั้งหมดอยู่แล้ว ซึ่งนั่นเป็น “จุดกำเนิด” ของการเดินทางของคลื่นเสียงทั้งหมดที่เริ่มต้นจากระนาบเดียวกันมาตั้งแต่แรก จึงห่างไกลจากปัญหา Time Alighment อย่างสิ้นเชิง ไม่ต้องปรับไม่ต้องจูนกันเยอะก็ได้ “ไทมิ่ง” ที่ดีเยี่ยมแล้ว.!!
การถ่ายทอด “ไทมิ่ง” ที่แม่นยำ เร็ว และสอดคล้องกับจังหวะของเพลงได้อย่างแนบแน่น คือ ช้าเป็นช้า (แต่ไม่เฉื่อย) เร็วเป็นเร็ว (แต่ไม่เร่ง) ทั้งเสียงร้องและเสียงดนตรีมันรับ–ส่งกันได้อย่างลงตัว เป็นเหตุผลข้อแรกที่ทำให้ลำโพง Magnepan คู่นี้ให้เสียงที่ฟังแล้วรู้สึก “อิน” ไปกับเพลงได้เร็ว เข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้ง่าย ยิ่งเป็นเพลงที่ชอบฟังเป็นส่วนตัวอยู่แล้วจะรู้สึกว่าลำโพง MG1.7i คู่นี้มันทำให้เพลงเหล่านั้นมีความไพเราะมากขึ้นกว่าปกติ ได้ยินแล้วอดร้องตามไม่ได้ แข้งขาก็ขยับไปตามจังหวะของเพลงแบบลืมตัว..

อัลบั้ม : ตลับทองจากกุ้ง (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : กุ้ง ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา
สังกัด : Solar House
เคยเจอมั้ย.? เครื่องเสียงแพงแต่ฟังเพลงไทยไม่เพราะ..!! ถ้าเคยเจอก็ต้องบอกว่า แสดงว่าเครื่องเสียงชุดนั้นน่าจะมีอะไรผิดพลาดอยู่ ซึ่งอาจจะเป็นความผิดพลาดทางด้านแม็ทชิ่ง หรือไม่ก็ทางด้านเซ็ตอัพที่ยังไม่ลงตัว เพราะถ้าเป็นเครื่องเสียงแพงๆ ที่ผ่านขั้นตอน “แม็ทชิ่ง + เซ็ตอัพ + ปรับจูน” ที่ลงตัวแล้ว เสียงต้องดี ไม่ว่าจะฟังเพลงอะไรก็ต้องได้อารมณ์ที่ลึกซึ้งมากกว่าเครื่องเสียงราคาถูกแน่ๆ ยิ่งเป็นเพลงไทยที่เราคุ้นเคยจะยิ่งฟังแล้วได้อารมณ์มากกว่าปกติขึ้นไปอีก ถ้าฟังเครื่องเสียงแพงแล้วไม่เพราะ ไม่อิน แสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดอย่างที่ว่านั่นแหละ..
ที่ผมสรุปไปอย่างข้างต้นนั้นมันได้มาจากประสบการณ์ เพราะไม่ต้องแพงสุดกู่ เอาแค่ลำโพง Magnapan ‘MG1.7i’ คู่นี้ซึ่งมีราคาแค่คู่ละแสนต้นๆ เท่านั้น แต่พอลองฟังเพลงไทยอัลบั้มเก่าๆ ของ กุ้ง ตวงสิทธิ์ เรียมจินดา ชุด ตลับทองจากกุ้ง เข้าไปเท่านั้น ผมนี่เหมือนโดน ณ จังงัง เข้าให้ เพราะเสียงเพลงของกุ้งที่ได้ยินผ่านลำโพงคู่นี้มันพุ่งเข้าสู่ใจทันทีที่โน๊ตแรกดังออกมาจากลำโพง.! มันดึงดูดให้ผมต้องหยุดฟังจนจบแผ่น ฟังโดยลืมที่จะวิเคราะห์เสียงไปเลยว่าตรงไหนดี ตรงไหนไม่ดียังไง ทุกเสียงที่พุ่งผ่านลำโพงคู่นี้ออกมามันกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันไปอย่างกลมกลืนเป็นปี่เป็นขลุ่ย จังหวะส่งและรับของดนตรีและเสียงร้องมันได้จังหวะแบบไม่มีหลุด เสียงร้องของกุ้งฟังดูว่าใส่อารมณ์ออดอ้อนมากกว่าทุกครั้งที่เคยฟัง ส่อให้เห็นถึง “ไทมิ่ง” ที่แม่นยำ เพราะจังหวะของเพลงมันเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละเพลงแบบที่รับรู้ได้ คือไม่ได้มีแค่ “ช้า” กับ “เร็ว” เท่านั้น แต่มีบางเพลงที่ “ช้ามากกว่า” และบางเพลงที่ “เร็วมากกว่า” รวมอยู่ด้วย
พอตั้งสติได้ ผมก็ลองวิเคราะห์ลักษณะเสียงที่ MG1.7i ถ่ายทอดออกมาเมื่อเค้นหา DNA ของมัน ผมก็พบว่า กับเพลงไทยง่ายๆ อย่างอัลบั้มของ กุ้ง ตวงสิทธิ์ ชุดนี้ ซึ่งก็ไม่ได้บันทึกเสียงดีเด่อะไรมาก ลำโพงคู่นี้ก็ไม่ได้พยายามทำให้เสียงของอัลบั้มนี้มันออกมาดีในระดับมาตรฐานที่นักเล่นเครื่องเสียงตั้งความหวังที่จะได้ยิน.. เสียงโดยรวมที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมามันมี “ความนัว” ประพรมอยู่ทั่วๆ มันไม่ได้พยายามทำให้แต่ละเสียงมีความคมชัดมากขึ้น ไม่ได้พยายามควบคุมการขยับตัวของแต่ละเสียงให้เร็วหรือช้าลง ลักษณะเหมือนกับว่าลำโพงคู่นี้มันตั้งใจปล่อยเสียงออกมาตามที่ได้รับเข้าไปมากกว่าที่จะ “ขัดเกลา” ให้ได้เสียงออกมาว่าฟังดีก่อนจะปล่อยออกมา พอมันไม่เข้าไปยุ่งกับเสียงที่รับเข้าไป มีผลให้คุณสมบัติทางด้าน “ไทมิ่ง” ของเสียง ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของความเป็นดนตรีไม่ถูกทำให้เสียหายไป
มีอีกข้อสังเกตหนึ่งที่ผมพบจากการทดลองฟังอัลบั้มของ กุ้ง ตวงสิทธิ์ และอีกจากหลายๆ อัลบั้มตามมา นั่นคือ ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ให้เสียงที่มีลักษณะปลดปล่อย เปิดโล่ง และผ่อนปรน ซึ่งโดยปกติแล้ว เพลงไทยเก่าๆ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเสียงที่เกร็ง แข็ง และมีเสียงซิบๆ ติดมากับปลายเสียงเมื่อฟังผ่านลำโพงส่วนใหญ่ ซึ่งสังเกตได้ว่า ผมได้ยินอะไรแบบนั้นออกมาจากลำโพงคู่นี้น้อยมาก.! น้อยจนน่าประหลาดใจ ซึ่งบางอัลบั้มนั้นมีอาการเหล่านั้นออกมามากซะจนผมเคยโทษว่าเป็นเพราะการบันทึกเสียง แต่มาวันนี้ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ หรือจะเป็นที่ลำโพง.? เพราะฟังกับ Magnepan ‘MG1.7i’ คู่นี้แล้วมันแทบจะไม่มีเสียงแบบนั้นออกมาให้ได้ยินเลย.. น่าแปลกมาก.!
หรือจะเป็นเพราะมันไม่มีตู้.? อือมม.. มีความเป็นไปได้สูงว่าลักษณะเสียงที่มีความผ่อนคลายและเปิดโล่งนั้นเป็นเพราะว่ามันไม่มีความผิดเพี้ยนที่เกิดจากตู้เข้ามาส่งผลกับเสียงก็เป็นได้..!!!

อัลบั้ม : คำภีร์ ..ถึงเพื่อน (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : พงษ์สิทธิ์ คำภีร์
ผมมีอัลบั้มชุด คำภีร์ ..ถึงเพื่อน ซึ่งพงษ์สิทธิ์ เขาทำขึ้นมาเองเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของอัลบั้มชุดแรกของเขา เป็นงานบันทึกเสียงใหม่ ร้องใหม่ ซึ่งใครที่มีซีดีอัลบั้มนี้อยู่คงรู้ว่า อัลบั้มนี้บันทึกเสียงแหลมมาคมและผอมเรียวมาก ถ้าเจอกับซิสเต็มที่มีปัญหาในย่านแหลมจะออกซิบๆ และพุ่งแยงหูมาก ถ้าเปิดดังๆ แทบจะทนฟังไม่ได้เลย.. ปกติแล้วผมจะเอาไว้ทดสอบคุณภาพในการถ่ายทออดเสียงแหลมของอุปกรณ์เครื่องเสียง ซึ่งถ้าเสียงแหลมของอัลบั้มนี้ออกมาแย่คือคมและแยงหู จะฟังหาความเป็นดนตรีไม่เจอเลย แต่ถ้าซิสเต็มไหนให้เสียงแหลมที่สะอาด จะได้ยินเสียงร้องที่ถ่ายทอดอารมณ์ได้ดี
ผมเอาอัลบั้มนี้มาลองฟังกับ MG1.7i พบว่า ถึงเสียงแหลมมันจะออกมาเรียวเล็กและคม แต่.. แทบจะไม่มีอาการบาดหูเลย เปิดดังๆ เสียงแหลมก็ไม่พุ่งออกมาเสียดหูด้วย เสียงร้องออกมาดีเลย ฟังแล้วได้อารมณ์ของความเป็นดนตรี ฟังได้เพลิน.. หลังจากได้ยินเสียงแหลมของอัลบั้มนี้แล้ว ผมมานั่งนึกถึงสาเหตุที่มา คิดว่าสาเหตุที่ลำโพงคู่นี้ให้เสียงแหลมที่ไม่มีอาการจัดจ้านปนออกมาเหมือนกับลำโพงอื่นๆ น่าจะเป็นเพราะไดเวอร์แผ่นฟิล์มที่ใช้สร้างเสียงแหลมของลำโพง MG1.7i คู่นี้มันมีทั้ง Tweeter และ Super Tweeter จึงมีพื้นที่ไดอะแฟรมที่ใช้ผลักอากาศ “มากกว่า” ลำโพงทั่วไปที่ใช้ทวีตเตอร์ทรงโดมแค่ตัวเดียวอยู่หลายเท่า ซึ่งคิดว่าด้วยปริมาณไดอะแฟรมที่เยอะมากของไดเวอร์เสียงแหลมของลำโพง MG1.7i ตัวนี้น่าจะเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้มันไม่มีอาการเครียดเวลาที่ต้องสร้างความถี่สูงออกมาดังๆ เลยทำให้เสียงแหลมของลำโพงคู่นี้ไม่มีอาการเจิดจ้าปนออกมานั่นเอง
พูดได้มั้ยว่า Magnepan ‘MG1.7i’ เป็นลำโพงที่ไม่ขี้ฟ้อง.? ถ้าจะมองว่า ลำโพงคู่นี้ฟังเพลงไทยออกมาดี แสดงว่ามันไม่ฟ้องตำหนิที่มากับเพลงไทยออกมาให้เราได้ยิน ซึ่งจากประสบการณ์ที่ผมพบมา ลำโพงที่ฟังเพลงไทยแล้วไม่รู้สึกถึงตำหนิ เวลาฟังเพลงที่บันทึกมาดีมากๆ อย่างพวกแผ่นไฮเอ็นด์ฯ ทั้งหลาย มันก็มักจะไม่สามารถแสดงความ “พิเศษ” ของเสียงที่อยู่ในเพลงไฮเอ็นด์ฯ เหล่านั้นออกมาให้ได้ยินด้วยเหมือนกัน ประมาณว่า ลำโพงนั้นให้ “รายละเอียด” ไม่ดีนั่นเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพบอาการแบบนี้ในลำโพงที่มีราคาถูกๆ แบบนี้ก็แสดงว่า ถ้าลองฟังเพลงไฮเอ็นด์ฯ กับ MG1.7i คู่นี้แล้วไม่ปรากฏความพิเศษของอัลบั้มนั้นออกมาให้ได้ยินก็แสดงว่า MG1.7i เป็นลำโพงที่ให้รายละเอียดไม่ดี..

อัลบั้ม : Misty (DSF64)
ศิลปิน : Tsuyoshi Yamamoto Trio
สังกัด : FIM/Three Blind Mice
พอเลือกอัลบั้มนี้ออกมาฟัง เสียงของ MG1.7i ก็พลิกโฉมไปอีกแบบ กลายเป็นลำโพงไฮเอ็นด์ฯ ที่ให้เสียงเปียโนที่เหมือนจริงมาก.!! แต่ละครั้งที่ Tsuyoshi Yamamoto เคาะปลายนิ้วของเขาลงไปบนคีย์ เสียงที่พุ่งผ่านไดเวอร์ริบบ้อนของ MG1.7i คู่นี้มันมีทั้งความฉับพลันของหัวเสียงที่คม, ใส และกังวาน ครบเครื่อง เป็นเสียงเปียโนที่ใสมาก ทั้งใสและลอยออกมาเป็นเม็ดๆ และที่น่าประทับใจสุดๆ ก็คือเสียงฉาบเบาๆ ที่มือกลองเคาะไล้ลงไปบนใบฉาบซึ่งเป็นเสียงที่เบามากๆ แต่ลำโพงคู่นี้ก็ยังอุตส่าห์ “ขุด” ขึ้นมาให้ได้ยิน และไม่ได้เป็นการ “ยกเสียง” นั้นให้ดังขึ้นมาด้วย แต่เป็นเพราะไดอะแฟรมที่เบามากทำให้สามารถสั่นจนเกิดเสียงนั้นออกมาได้ และไม่มีตู้มาคอยซับพลังงานเสียงนั้นด้วย มีผลให้รายละเอียดของเสียงแม้จะแผ่วเบามากก็ยังปรากฏออกมาให้ได้ยิน ในขณะที่ลำโพงบางตัวเสียงนี้จะจมหายไป..
พอเปลี่ยนมาฟังเสียงของฟอร์แม็ตที่มีความละเอียดสูงอย่าง DSD ลำโพงคู่นี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงความเนียนของเนื้อเสียงที่มาพร้อมความละมุนของปลายเสียงที่พลิ้ว ละเอียด เป็นเสียงที่ละมุนหูมากๆ สมกับเป็นอัลบั้มที่ผ่านการบันทึกเสียงมาอย่างพิถีพิถันจริงๆ อารมณ์ของนักดนตรีพรั่งพรูออกมาตลอดเวลา ซึ่งมีทั้งความสุขุมนุ่มลึกที่สะท้อนถึงความปราณีตบรรจงในการถ่ายทอดอารมณ์ออกมากับแต่ละโน๊ต ซึ่งนี่คือ “ความพิเศษ” ของเพลงที่ผลิตออกมาโดยค่ายเพลงระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่ต้องใช้อุปกรณ์เครื่องเสียงรวมทั้งลำโพงที่มีศักยภาพสูงพอเท่านั้นจึงจะสามารถถ่ายทอดความพิเศษที่ว่านี้ออกมาให้สัมผัสได้แบบนี้.. นี่ก็สรุปได้ว่า MG1.7i ไม่ใช่ลำโพงที่ให้รายละเอียดไม่ดี แต่มันเป็นลำโพงที่ถ่ายทอดเฉพาะสิ่งที่ป้อนเข้าไปให้ออกมาตามนั้นโดยไม่มีความเพี้ยนอันเนื่องมาจากตัวตู้เข้ามาปน..

อัลบั้ม : Falla: El Amor Brujo (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Fruhbeck De Burgos & New Philharmonia with Nati Mistral
สังกัด : LIM/Decca
คนที่เคยเจอกับอิทธิฤทธิ์ของลำโพงแผ่นฟิล์มประเภทนี้มาแล้วต่างก็รู้ดีว่า ลำโพงแบบนี้ใช้เล่นเพลงคลาสสิกได้ดีมาก.! ซึ่งผมก็ได้ทดสอบกับเพลงคลาสสิกมาแล้วหลายชุด ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง เมื่อฟังเพลงคลาสสิกผ่านลำโพงคู่นี้คุณจะได้พบกับความอร้าอร่าม โอ่อ่าตะการหูอย่างที่เพลงคลาสสิกควรจะเป็น ยิ่งเปิดดังยิ่งฟังสนุก เสียงจะแผ่เต็มห้อง ไดนามิกจะสวิงสาดได้เต็มสเกลโดยไม่มีอาการแตกปลายเพราะไม่มีความเพี้ยนที่เกิดจากอาการสั่นของตู้ลำโพงเข้ามารบกวน ที่เด่นสุดๆ คือความสามารถในการถ่ายทอดรายละเอียดที่ดีเสมอกันทั้งในช่วงที่ดังมากๆ ก็เอาอยู่ และช่วงที่เบามากๆ ก็ไม่จมหาย ใครชอบเพลงคลาสสิกต้องลองฟังเสียงของลำโพงคู่นี้ให้ได้.. !!!
สรุป
ลำโพงคู่นี้อาจจะไม่เหมาะกับนักเล่นมือใหม่ที่ค้นหา “ความตื่นเต้นเร้าใจ” จากเสียงที่ฟัง แต่มันคือสุดยอดปรารถนาสำหรับนักเล่นฯ ที่มีประสบการณ์มานาน เจ็บมาเยอะ และต้องการตกผลึกกับลำโพงที่ให้เฉพาะ “เสียงดนตรี” ที่พร้อมจะถ่ายทอดออกมาด้วยความสัตย์ซื่อตามต้นฉบับ โดยไม่บิดเบือนหรือเติมสีสันให้น่าตื่นเต้น ถ้าคุณเล่นเครื่องเสียงมานานจนเบื่อที่จะตามหา “เสียงที่ดีที่สุด” แต่อยากนั่งสงบๆ ฟังเสียงที่ “เป็นดนตรี” เพื่อเอ็นจอยไปกับงานเพลงที่หลากหลาย ลำโพงคู่นี้น่าจะเป็นสิ่งที่คุณต้องการ..!!!
***********************
ราคา : 128,000 บาท / คู่
***********************
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่
Save Audio&Video
โทร. 081-823-6045
facebook: saveaudiovideo



