มี “ปัจจัยภายนอก” จำนวนมากที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพเสียงของชุดเครื่องเสียง แต่ถ้าถามว่า ปัจจัยภายนอกตัวไหนที่ส่งผลกระทบกับคุณภาพเสียงของชุดเครื่องเสียงมากที่สุด คำตอบก็คือ ‘กระแสไฟฟ้า‘ นั่นเองที่มีอิทธิพลต่อคุณภาพเสียงที่ได้จากชุดเครื่องเสียงมากเป็นอันดับหนึ่ง.!
ถ้าจะเปรียบเทียบเชิงอุปมาอุปไมย เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ ก็สามารถพูดได้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกระแสไฟฟ้ากับเครื่องเสียง ก็ไม่ต่างอะไรกับน้ำที่เราดื่ม หรืออาหารที่เรารับประทานเข้าไปในร่างกาย ถ้าร่างกายของเรารับน้ำสกปรก หรือทานอาหารที่ปนเปื้อนมีพิษเข้าไป ก็จะส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของร่างกาย นำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บสารพัด อุปกรณ์เครื่องเสียงที่รับกระแสไฟฟ้าที่มีมลพิษเข้าไปก็จะทำให้ระบบการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิคส์เกิดความบกพร่องขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่า สุดท้ายแล้ว ผลเสียจากกระแสไฟฟ้าที่ไม่สะอาดนั้่นก็จะลามปามต่อเนื่องไปถึงคุณภาพเสียงในที่สุด
แม้เราจะรู้ว่า noise รูปแบบต่างๆ คือต้นเหตุที่ทำให้กระแสไฟฟ้ามีมลทิน แต่ถ้าจะหาหลักวิชาการมาอธิบายให้เห็นกันชัดๆ ว่า กระแสไฟฟ้าที่ไม่สะอาดมันเข้าไปทำอะไรกับวงจรไฟฟ้าที่อยู่ในตัวอุปกรณ์เครื่องเสียงจนส่งผลให้เสียงออกมาไม่ดี.? อันนี้แหละยาก.! ไม่รู้ว่าจะต้องเรียนจบศาสตร์สาขาต่างๆ สักกี่แขนงถึงจะสามารถตอบได้เป๊ะๆ
ทำไมเครื่องกรองไฟแบบเดิมๆ จึงให้ผลลัพธ์ที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ..??
เมื่อมนุษย์เรารู้จักกับ noise ที่ปะปนเข้ามาในกระแสไฟฟ้าแล้ว และเราเชื่อว่ามันคือต้นเหตุที่เข้าไปทำให้เสียงที่ออกมาจากชุดเครื่องเสียงมีลักษณะที่แย่ลง หลังจากนั้น มนุษย์เราก็เพียรพยายามค้นหาวิธี “กำจัด” เจ้า noise ที่ว่านี้ออกไปจากกระแสไฟฟ้ามาโดยตลอด
เชื่อว่าหลายๆ คนคงต้องได้ยินชื่อของอุปกรณ์เสริมสำหรับชุดเครื่องเสียงประเภทที่เรียกว่า ‘Powerline Conditioner’ หรือ ‘Powerline Filter’ หรือ “ตัวกรองไฟ” มาบ้างแล้ว เหล่านั้นคืออุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาด้วยจุดประสงค์เพื่อให้ช่วยขจัดมลพิษ (noise) ที่ปะปนมากับกระแสไฟฟ้าออกไป ซึ่งแนวคิดในการออกแบบยุคแรกๆ ก็มาแนวเดียวกับ “เครื่องกรองน้ำ” นั่นเอง คือเอาวงจรอิเล็กทรอนิคส์ที่มีคุณสมบัติในการกักเก็บขยะที่มากับกระแสไฟไป “ขวางดัก” เส้นทางที่กระแสไฟฟ้าไหลก่อนจะผ่านเข้าไปในตัวเครื่องเสียง ซึ่งวิธีการนี้ได้รับการยอมรับจากนักเล่นฯ มานานแล้วว่ามันได้ผล ผู้ใช้ต่างพากันยืนยันว่าอุปกรณ์เสริมเหล่านี้มีความสามารถช่วยลด noise ในกระแสไฟฟ้าได้จริง
แต่อุปกรณ์เสริมประเภท Powerline Conditioner ที่มีอยู่ในท้องตลาดปัจจุบันนี้ก็มีอยู่หลากหลายระดับราคา แตกต่างกันไปตามตัวแปร 2-3 ประการ อาทิ ความแตกต่างของเทคโนโลยีที่ใช้ในการกรอง และความแตกต่างของประเภทและคุณภาพของฮาร์ดแวร์ที่ใช้ออกแบบและผลิต ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของวงจรกรอง, เต้ารับ, สายไฟที่ใช้ต่อเชื่อม, วัสดุที่ใช้ทำตัวถังเครื่อง ฯลฯ ยี่ห้อไหนที่ให้ความสำคัญกับ “ทุกจุด” ที่มีผลกับเสียงก็จะมีราคาสูงขึ้นไปตามลำดับชั้น รุ่นที่มีราคาถูกก็อาจจะมี “ผลข้างเคียง” ทางเสียงเข้ามาเกี่ยวข้องบ้าง อย่างเช่น บางตัวกรองมากไปจนรายละเอียดเสียงบางส่วนหายไป หรือบางตัวอาจจะมีผลทำให้ไดนามิกของเสียงหดแคบลง อะไรแบบนี้..
ในจำนวนผลข้างเคียงทั้งหมดที่เกิดขึ้นจากการใช้ “ตัวกรองไฟ” กับชุดเครื่องเสียงนั้น มีอยู่อย่างหนึ่งที่ปัจจุบันผู้ใช้ให้ความสำคัญมากขึ้นและผู้ผลิตตัวกรองไฟหลายๆ เจ้าก็พยายามหาวิธีแก้ไขกันอย่างเอาจริงเอาจัง นั่นคือผลข้างเคียงที่เกิดกับคุณสมบัติทางด้าน “ไดนามิก” ของเสียง ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อมีการใช้ตัวกรองไฟกับ “แอมปลิฟาย” คือทำให้อัตราสวิงของไดนามิกทรานเชี้ยนต์มีลักษณะที่ “หน่วงช้าลง” กว่าต้นฉบับ ส่งผลทำให้เสียงโดยรวมของซิสเต็มนั้นมีลักษณะที่เบี่ยงเบนไปในแนวทางที่นุ่มลง ในบางกรณีที่เลวร้ายมากกว่านั้นก็คือทำให้เกิดอาการอั้นตื้อของไดนามิก คือสวิงความดังได้ไม่สุดสเกล ส่งผลให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่อับทึบ ไม่เปิดกระจ่าง ไม่สด สำหรับคนที่มีประสบการณ์ฟังมานานและชื่นชอบเสียงที่มีความเป็นธรรมชาติสูงจะไม่ชอบลักษณะความนุ่มของเสียงที่เกิดจากผลข้างเคียงของตัวกรองไฟที่ส่งผลกับแอมปลิฟายซึ่งเป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีอัตราบริโภคกระแสไฟปริมาณสูง (*จริงๆ แล้วเมื่อใช้ตัวกรองไฟกับอุปกรณ์ประเภทแหล่งต้นทางที่มีอัตราบริโภคกระแสไฟปริมาณต่ำก็เกิดความนุ่มขึ้นเช่นกันแต่ในปริมาณที่น้อยมากจนมองเป็นข้อดีมากกว่าข้อด้อย)
ในปัจจุบันเริ่มมีการค้นคว้าเทคนิคในการออกแบบอุปกรณ์เสริมประเภทตัวกรองไฟที่ไม่ทำให้เสียงออกมานุ่มๆ อั้นๆ กันมากขึ้น ผู้ผลิตบางเจ้ามองว่าสาเหตุที่ตัวกรองไฟทำให้เสียงออกมานุ่มนั้นเป็นเพราะกระแสไฟที่ไหลผ่านวงจรกรองไฟถูก “หน่วงรั้ง” โดยวงจรกรองไฟ ทำให้กระแสไฟเดินทางไปถึงตัวเครื่องเสียงช้าลง ตอสนองได้ไม่ “ทันทีทันใด” กับความต้องการของภาคจ่ายไฟในตัวแอมป์ฯ เพราะตัวกรองไฟเองก็มี “ความต้านทาน” ต่อกระแสไฟที่ไหลผ่านตัวมันไป ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยที่จะออกแบบวงจรกรองไฟที่ไม่มีความต้านทานในตัวเอง
บ้างก็อธิบายว่า เมื่อเอาวงจรกรองไฟไป “ขวางทางเดิน” ของกระแสไฟ มีผลให้กระแสไฟที่เดินทางไปถึงตัวเครื่องเสียงมีลักษณะที่ไม่ราบรื่น เหมือนท่อระบายน้ำที่มีขยะเข้าไปอุดกั้นอยู่ในท่อ น้ำก็ไหลไม่แรง ปริมาณน้ำที่ไปถึงปลายท่อก็จะมีลักษณะกระปิดกระปอย ไม่สม่ำเสมอ ไม่มากพอและเร็วพอกับความต้องการของปลายทาง ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อปลายทางเป็นแอมปลิฟายที่มีหน้าที่ในการเปลี่ยนกระแสไฟที่รับเข้ามาให้ออกไปเป็น “กำลังขับ” (เพาเวอร์ = กระแส x แรงดัน) เพื่อผลักดันไดอะแฟรมของลำโพง เมื่อกระแสไฟเข้ามาแบบกระท่อนกระแท่น ส่งผลให้เอ๊าต์พุตซึ่งเป็นกำลังขับที่แอมป์สร้างออกมา แม้ว่าจะเป็นพลังงานสะอาดเพราะผ่านการกรองมาแล้ว แต่ทางด้านพละกำลังจะไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น สุดท้ายก็จะส่งผลให้เสียงออกมาป้อแป้ อั้นๆ ตื้อๆ ไม่มีแรงดีดตัวนั่นแล
RN Marsh Design ‘Noise-Traps’
ตัวกรองไฟแบบขนาน
เมื่อหลายๆ เสียงสรุปกันออกมาว่า การเอาวงจรกรองไฟไปติดตั้งแบบ “อนุกรม” (series filters) ขวางทางเดินของกระแสไฟคือต้นเหตุที่ทำให้เสียงนุ่ม และทำให้เกิดอาการอั้นตื้อของไดนามิก จึงมีคนคิดวิธีแก้ด้วยการเปลี่ยนเอาวงจรกรองไฟไปติดตั้งแบบ “ขนาน” (shunt filters) แทน คือตีคู่ไปกับกระแสไฟ ไม่เข้าไปขวางทางเดินของกระแสไฟแบบที่เคยทำมา เพื่อไม่ทำให้กระแสไฟต้องถูกหน่วงรั้งโดยวงจรกรองไฟนั่นเอง
ถ้าเป็นเครื่องกรองน้ำ คุณอาจจะสงสัยว่า เอาตัวกรองไปติดตั้งไว้ข้างๆ ท่อที่น้ำไหล ไม่เอาตัวกรองไฟไปขวางทางน้ำแล้วมันจะกรองขยะได้เหรอ.? ถ้าเป็นกรณีขยะในน้ำก็ไม่น่าจะกรองได้ แต่สำหรับระบบไฟฟ้ามันเป็นอะไรที่ต่างออกไป จากรูปด้านบนเป็นการอธิบายของคุณ Richard N Marsh คนที่คิดประดิษฐ์ตัวกรองไฟแบบขนานลักษณะนี้ขึ้นมา จากภาพจะเห็นว่า ตัวกรองไฟของคุณริชาร์ด (แกตั้งชื่อเรียกว่า ‘Noise-Trap’) จะเข้าไปต่อคล่อมอยู่บน Line และ Neutral ของไฟเอซี ในตำแหน่งก่อนที่กระแสไฟจากปลั๊กผนังจะเดินทางไปถึงอุปกรณ์เครื่องเสียง โดยที่กระแสไฟที่ออกมาจากปลั๊กผนังจะมี “ขยะ” (noise) ติดมาด้วย เมื่อกระแสไฟพร้อมกับขยะเดินทางมาถึงจุดที่ตัว Noise-Trap เสียบอยู่ วงจรกรองไฟในตัว Noise-Trap ก็จะเลือก “ฉก” (ภาษาที่คุณริชาร์ดแกใช้ก็คือคำว่า ‘short circuit’) เอาเฉพาะสัญญาณรบกวน (noise) ออกไปจากกระแสไฟเอซี โดยไม่ยุ่งกับไฟเอซี (50Hz) แต่อย่างใด
คุณริชาร์ด แกบรรยายต่อว่า เมื่อตัวกรองไฟ Noise-Trap ของแกไม่ได้เข้าไปขวางทางเดินของไฟเอซีเหมือนตัวกรองไฟแบบอนุกรมทั่วไป ปัญหาที่ทำให้เสียงอั้นๆ ตื้อๆ ก็จะไม่เกิดขึ้น ว้าวว… ทำได้แบบนั้นจริงเหรอ.??
Richard N Marsh คนออกแบบตัวกรองไฟมหัศจรรย์
RN Marsh Design รุ่น Noise-Trap
คุณ Richard N Marsh คนออกแบบตัวกรองไฟ Noise-Trap ตัวนี้โปรไฟล์ของแกไม่ธรรมดานะ อดีตนั้นแกเคยทำงานในตำแหน่งซีเนียร์ อิเล็กทรอนิค เอ็นจิเนียร์ ในโครงงาน Fusion energy project อยู่กับ USA premiere research labs ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานานถึง 25 ปี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ความรู้มาได้มหาศาล นอกจากนั้น แกยังรับงานออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงด้วย ผลงานของแกมีอยู่มากมาย แต่อาจจะไม่ค่อยมีคนรู้เพราะงานของแกจะเป็นงานออกแบบที่อยู่เบื้องหลังซะมากกว่า ในอดีตก็เคยร่วมกับแบรนด์ Magnet ของไทยออกแบบเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ชื่อว่า ‘Marsh Sound Design’ และทำออกมาขายอยู่ช่วงหนึ่งถ้าจำกันได้
ตัวกรองไฟ Noise-Trap ตัวนี้เป็นผลงานออกแบบชิ้นล่าสุดของคุณริชาร์ด ซึ่งคราวนี้แกใช้ชื่อของแกเองเป็นชื่อแบรนด์ด้วย (RN Marsh ก็คือ Richard N Marsh นั่นเอง)
รูปร่างหน้าตาของ Noise-Trap
รูปร่างหน้าตาของ Noise-Trap ออกแบบได้น่ารักน่าชังมาก.! เป็นอะไรที่ดูไม่เหมือนอุปกรณ์เครื่องเสียง เป็นแนวดีไซน์ที่หลีกหนีจากตัวถังที่มีลักษณะเป็นกล่องรองเท้าอย่างที่เห็นกันดาษดื่นทั่วไป ออกมาเป็นแท่งผืนผ้ารูปทรงรีๆ ซึ่งเป็นลักษณะของเครื่องเสียงยุคใหม่ที่เน้นดีไซน์เก๋ๆ ดูสะดุดตาด้วยการใช้แผ่นโลหะที่มีลักษณะเงาวาวปิดทับอยู่บนตัวถังด้านที่หงายขึ้นด้านบน เวลาเจอไฟมันจะล้อแสงวิบวับมาก ส่วนด้านล่างของตัวถังจะทำเป็นฐานให้วางบนพื้นเรียบๆ ได้มั่นคง ขนาดตัวก็ไม่ใหญ่และไม่เล็ก น้ำหนักก็ไม่เยอะ ขนาดและสัดส่วนกำลังน่ารักอย่างที่บอกนั่นแหละ
บนตัวถังของ Noise-Trap แทบจะไม่มีอะไรให้คุณต้องทำการปรับตั้งเลย ที่ด้านข้างของตัวถังด้านหนึ่งจะมีเต้ารับสำหรับเสียบปลั๊กตัวเมียจากสายไฟเอซีแค่รูเดียว บนตัวถังด้านบนที่หงายขึ้นจะมีไฟ LED อยู่หนึ่งดวง ซึ่งจะสว่างขึ้นเป็นสีฟ้าเวลาเสียบใช้งาน.. ทั้งหมดมีอยู่แค่นั้น.!
แนวทางการออกแบบ
ในเว็บไซต์ของคุณริชาร์ด เอ็น มาร์ส () แกอธิบายความแตกต่างและข้อดี+ข้อเสียระหว่างฟิลเตอร์แบบ Series vs Parallel/Shunt เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งรายละเอียดโดยรวมก็เป็นไปตามที่ผมเกริ่นไว้ข้างต้นนั่นแหละ ตัว Noise-Trap ของคุณริชาร์ดตัวนี้ก็คือตัวกรองไฟแบบ Parallel/Shunt นั่นเอง
หลักการออกแบบตัว Noise-Trap ตัวนี้ คุณริชาร์ด อธิบายไว้ว่า แกใช้วงจรฟิลเตอร์หลายค่ามาเรียงให้เหลื่อมซ้อนกัน (multitude of over-lapping filters) เพื่อให้สามารถกรอง noise ที่อยู่ “เหนือ” ความถี่ 50Hz/60Hz ได้หลายระดับ และด้วยการจัดวางตัว Noise-Trap ในลักษณะขนานไปกับไฟเอซีที่เดินทางไปที่ตัวเครื่องเสียงแบบนี้ มีผลให้ไฟเอซีที่ระดับ 50Hz/60Hz ไม่ต้องเดินทางผ่านวงจรฟิลเตอร์เหมือนกับฟิลเตอร์แบบอนุกรม ด้วยเหตุนี้ ตัวกรองไฟแบบขนานอย่าง Noise-Trap ตัวนี้จึงไม่ทำให้เกิดปัญหาเสียงอั้นหรือตื้อ เพราะวงจรฟิลเตอร์มันไม่ไปกระทบกับอัตราสวิงของไดนามิกของเครื่องเสียงนั่นเอง
ลักษณะการติดตั้งใช้งาน
มีโพสต์หนึ่งใน Facebook ของ RN Marsh Design ระบุไว้ว่า “.. Only one Noise-Trap is needed per system, no matter how many connected equipment is used in a system. More complex power arrangements with independent power and separate power lines, can use one per power line.”
นั่นคือผู้ผลิตกำลังบอกเราว่า ถ้าเครื่องเสียง “ทุกชิ้น” ในซิสเต็มของคุณ (ไม่ว่าจะมีเครื่องเสียงต่อเชื่อมอยู่ในซิสเต็มจำนวนกี่เครื่องก็ตาม) เชื่อมต่ออยู่กับปลั๊กรางตัวเดียวกัน คุณก็ใช้ Noise-Trap แค่ตัวเดียวในการกรองสัญญาณไฟให้กับซิสเต็มของคุณ โดยเสียบตัว Noise-Trap ลงไปในช่องใดช่องหนึ่งของปลั๊กรางอันเดียวกันนั้น แต่ถ้าซิสเต็มของคุณมีความซับซ้อนมาก และมีการแยกเครื่องเสียงออกไปเชื่อมต่อกับไฟฟ้าที่มาจากสายไฟเมนคนละเส้น ถ้าต้องการให้ได้ประสิทธิภาพในการกรองไฟเต็มที่ ก็ต้องใช้ตัว Noise-Trap สองตัว แยกเสียบสายเมนเส้นละตัว
ทดลองใช้งานจริง
1. ใช้กับแหล่งต้นทาง
ผมทดลองใช้งาน Noise-Trap ด้วยการเซ็ตอัพ 2-3 รูปแบบ แบบแรกคือทำตามแบบที่ผู้ผลิตแนะนำ นั่นคือเสียบอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีอยู่ไปที่ปลั๊กราง จากนั้นก็เสียบตัว Noise-Trap ลงไปที่ปลั๊กรางตัวเดียวกัน
เนื่องจากผมทำการเซ็ตอัพชุดเครื่องเสียงของผมด้วยการแยกส่วนของแหล่งต้นทางสัญญาณ (source) กับส่วนของแอมปลิฟายออกจากกัน โดยเอาอุปกรณ์ต้นทางทั้งหมดวางไว้ที่ด้านข้างทางขวามือของจุดนั่งฟัง ส่วนแอมปลิฟายผมจะเอาไปวางไว้บนพื้นระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง ตอนไหนที่ใช้ปรีแอมป์ + เพาเวอร์แอมป์ ผมจะเอาปรีแอมป์ไปวางรวมไว้กับแหล่งต้นทางที่ด้านข้างขวามือของจุดนั่งฟัง แล้วเอาเพาเวอร์แอมป์ไปวางไว้บนชั้นวางเตี้ยๆ ที่วางอยู่บนพื้นห้องระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง
จากภาพด้านบนซึ่งเป็นการเซ็ตอัพตัว Noise-Trap สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพยกแรกนั้น ผมใช้แอมป์+ลำโพง 2 ชุดในการทดสอบ ชุดแรกประกอบด้วยอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 ขับลำโพง Wharfedale รุ่น Super Denton โดยที่ผมวางตัวอินติเกรตแอมป์ไว้บนชั้นวางเตี้ยๆ แบรนด์ Guizu ตั้งอยู่บนพื้นระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง สายไฟเอซีที่ต่อเชื่อมกับตัวอินติเกรตแอมป์ผมต่อตรงเข้าปลั๊กผนังด้านหลังโดยไม่ผ่านปลั๊กรางหรือตัวกรองไฟใดๆ ส่วนอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ผมนำมาเสียบผ่านปลั๊กรางธรรมดาๆ (ตัวละสามร้อยกว่าบาท) เพื่อใช้งานร่วมกับ Noise-Trap ก็มี external DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD Twenty และสตรีมเมอร์ของ Arcam รุ่น ST5 โดยเสียบสายไฟเอซีของปลั๊กรางเข้าไปที่เต้ารับบนผนังด้านข้าง จากนั้นผมก็เสียบตัว Noise-Trap เข้าไปที่เต้ารับของปลั๊กราง ส่วนตัว Pachanko Labs รุ่น Constellation Mini SE ซึ่งทำหน้าที่เป็นสตรีมเมอร์ทรานสปอร์ตกับ QNAP ที่ผมใช้เป็น NAS สำหรับเก็บไฟล์เพลงผมต่อเข้ากับปลั๊กรางอีกชุดนึงแยกออกไปต่างหาก
ช่วงท้ายของการทดสอบ ผมเปลี่ยนมาใช้ลำโพงตั้งพื้นของ Dali รุ่น Epicon 6 ขับด้วยชุดแอมป์ที่ประกอบด้วยปรีแอมป์หลอดของ NAT รุ่น Magnetic ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตท โมโนบล็อกของ QUAD รุ่น Artera Mono (ข้างละ 300W ที่ 8 โอห์ม) โดยที่ผมเอาปรีแอมป์ไปวางไว้บนชั้นวางด้านข้างของตำแหน่งนั่งฟังแทนที่สตรีมเมอร์ Arcam ST5 จัดการยก ST5 ออกและใช้ Ayre Acoustics QB-9 DSD Twenty จับคู่กับสตรีมเมอร์ทรานสปอร์ต Pachanko Labs รุ่น Constellation Mini SE ผ่านทางอะแด๊ปเตอร์ USB ‘Diretta’ ทำหน้าที่เป็นต้นทางสำหรับชุดใหญ่นี้
ในชุดที่สองนี้ ตัว Pachanko Labs Constellation Mini SE กับ NAS ผมยังคงต่อแยกไปที่ปลั๊กรางตัวเดิม ส่วน QB-9 DSD Twenty กับปรีแอมป์ Magnetic ผมเสียบผ่านปลั๊กรางอีกชุดร่วมกับ Noise-Trap ซึ่งผมได้ทดลองฟังเทียบการใช้ปลั๊กรางแบบธรรมดาอันละสามร้อยกว่าบาทกับปลั๊กรางของ Clef Audio รุ่น Powerbridge 6/20 เพื่อดูว่า กรณีใช้ตัว Noise-Trap กับปลั๊กรางทั้งสองแบบจะให้ผลทางเสียงออกมาลักษณะไหน อีกอย่างคืออยากรู้ว่า ถ้าใช้ปลั๊กรางคุณภาพสูงๆ อยู่แล้ว มีระบบกรอง noise อยู่แล้ว ถ้าเอาตัว Noise-Trap มาใช้งานร่วมกันจะได้มรรถผลอะไรอีกมั้ย.?
จากการทดลองฟังเทียบด้วยเงื่อนไขตามย่อหน้าข้างบนนั้นผมพบว่า ใช้ตัว Noise-Trap กับปลั๊กราง Powerbridge 6/20 ที่มีฟิลเตอร์อยู่แล้วก็ให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่ออกมา “ดีกว่า” ใช้ Noise-Trap กับปลั๊กรางราคาถูกๆ ที่ไม่มีวงจรฟิลเตอร์ สิ่งที่ต่างกันคือ ใช้ Noise-Trap กับปลั๊กรางคุณภาพดีจะได้เนื้อเสียงที่อิ่มหนากว่า มวลเข้มกว่า ส่วนความปลดปล่อยของเสียงออกไปทางเดียวกัน
2. ใช้กับแอมปลิฟาย
การทดสอบยกที่สอง ผมย้ายตัว Noise-Trap ไปทดลองใช้กับแอมปลิฟาย
เต้ารับบนผนังด้านหลังห้องฟังของผมเป็นแบบ 2 รูเสียบ ผมจึงใช้รูหนึ่งเป็นเต้ารับหัวปลั๊กของสายไฟเอซีที่ไปเลี้ยงแอมป์ฯ ส่วนอีกรูที่เหลือผมก็เสียบปลั๊กไฟเอซีของตัว Noise-Trap ด้วยสายไฟเอซีที่เขาแถมมาให้ในกล่อง.. อ้อ! พูดถึงสายไฟเส้นนี้มันมีประเด็นให้พูดถึงอยู่เหมือนกัน คือในกล่องที่ใส่ตัว Noise-Trap จะมีเอกสารแนะนำการใช้งานแนบอยู่ในกล่องใบนึง ส่วนตัวสายไฟเอซีจะถูกบรรจุมาในถุงซิป บนถุงมีกระดาษกาวสีขาวแปะติดอยู่แผ่นหนึ่ง บนแผ่นกระดาษนั้นมีข้อความพิมพ์กำกับไว้ว่า..
** To use different cable, the length must be eqaul or shorter than this cable for maximum performance ** กรณีที่ต้องการใช้สายอื่น, ความยาวของสายไฟจะต้องมีความยาวที่ “เท่ากัน” หรือ “สั้นกว่า” สายไฟเอซีเส้นนี้ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสายไฟเอซีที่ให้มาก็เป็นเส้นสีดำๆ มีลักษณะเหมือนสายแถมทั่วไปนี่แหละ เพียงแต่ว่ามันมีความยาวแค่เพียง 50 ซ.ม. เท่านั้น.!!
บนเอกสารแนะนำการใช้งานที่แนบมาในกล่องก็มีข้อความแนะนำเกี่ยวกับสายไฟเอซีไว้เช่นกัน.. ความว่า “Use supplied power cord for optimum performance or AC cable larger than or equal AWG14 conductor and length does not exceed 50 cm (20 inchs)” เขาก็ยังยืนยันให้ใช้สายไฟเอซีที่ให้มากับ Noise-Trap ตัวนี้ หรือถ้าต้องการใช้สายไฟเอซีแบบอื่น เขาก็แนะนำว่าต้องใช้สายไฟเอซีที่ใช้เส้นโลหะตัวนำที่มีขนาด 14 AWG หรือใหญ่กว่า และความยาวต้องไม่มากกว่า 50 ซ.ม. (หรือ 20 นิ้ว) ด้วย
อ่าา… ดูเหมือนผู้ผลิตจะซีเรียสกับ “ความยาว” ของสายไฟเอซีที่จะเอามาใช้กับ Noise-Trap ตัวนี้มากเป็นพิเศษ ยิ่งห้ามก็ยิ่งสงสัย หลังจากเสียบเบิร์นฯ ตัว Noise-Trap ผ่านไปประมาณ 20 ชั่วโมง ซึ่งพอจะรับรู้ถึงผลของมันแล้ว ผมก็ทดลองเอาสายไฟเอซีที่เป็นทั้งสายแถมและสายมีแบรนด์ที่มีความยาวมาตรฐานทั่วไปคือประมาณ 1.5 เมตร จำนวน 3-4 เส้นมาทดลองสลับเปลี่ยนกับสายไฟเอซี 50 ซ.ม. ที่เขาแถมมาในกล่อง โอ้พระเจ้า.! มันมีผลกับเสียงจริงๆ ..!! พอเปลี่ยนสายไฟเส้นยาวเข้าไป เสียงโดยรวมมันแสดงอาการตีรวนขึ้นมาทันที โฟกัสที่เคยชี้ชัดตำแหน่งได้มันมีอาการเบลอและมัวไปเลย ลักษณะเหมือนโฟกัสเคลื่อน ส่วนเบสที่เคยเกาะจับกันเป็นลูกก็แตกกระจายออกไป มีลักษณะฟุ้งๆ ไม่แน่นเหมือนเดิม ต่อให้เป็นสายไฟเอซีที่มีแบรนด์ดังๆ ใช้ตัวนำดีๆ แต่ยาวเกิน 50 ซ.ม. ก็ยังมีอาการโฟกัสเบลอและเบสไม่แน่น แปลกมาก.!!! พอเอาสายไฟเอซี 50 ซ.ม. ของเขาเสียบคืนเข้าไป ทุกอย่างที่เคยพอใจก็กลับมา.. เฮ้ยย..!! คืออะไร..??
ลองสลับไป–มาอยู่ 4-5 รอบ สุดท้ายผมก็เสียบสายไฟเอซี 50 ซ.ม. ของเขาเองเข้าไปไว้อย่างเดิม ล้มเลิกความคิดที่จะลอง และฟังแบบนั้นมาจนถึงวันที่เก็บข้อมูลเพื่อเขียนรีวิวนี่แหละ
“ประสิทธิภาพ” ของ Noise-Trap
ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา วิศวกรในวงการเครื่องเสียงของเราได้ทำการค้นคว้าและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของ ‘noise’ หรือสัญญาณรบกวนในระบบเครื่องเสียงกันอย่างเอาจริงเอาจังจนพูดได้ว่า ปัจจุบันนี้ เรามีความเข้าใจเกี่ยวกับ noise มากขึ้น รู้ว่ามันเข้าไปทำอะไรกับเสียงของเครื่องเสียงบ้าง
จากสมัยก่อนโน้น เป็นยุคที่เราเข้าใจว่า noise ก็คือเสียงฮีส, เสียงซ่า และเสียงฮัมที่เราได้ยินออกมาจากลำโพง แต่จริงๆ แล้ว noise มีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มีคลื่นความถี่สูงๆ ล่องลอยอยู่ในอากาศจำนวนมากซึ่งสมัยก่อนไม่มีหรือมีก็น้อย ซึ่งคลื่นความถี่สูงเหล่านี้ก็ถือว่าเป็น noise รูปแบบหนึ่งที่สามารถแทรกซึมเข้าไปทำความเสียหายกับสัญญาณเสียงในชุดเครื่องเสียงของเราได้โดยที่เราไม่สามารถตรวจสอบการมีตัวตนของมันได้ด้วยการเอาหูไปแนบกับทวีตเตอร์หรือวูฟเฟอร์
ผมชอบคำอธิบายของ Wiliam E. Low เจ้าของผู้ก่อตั้งแบรนด์ผู้ผลิตสายออดิโอเคเบิ้ลที่ชื่อว่า audioquest ซึ่งเขาเคยอธิบายให้ผมฟังตอนมาเมืองไทยเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นตอนที่บริษัท TX2 ซึ่งเป็นตัวแทนผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ของ audioquest ในขณะนั้นได้พาคุณ Bill Low กับคุณ Joe Harley ไปเลี้ยงรับรองที่ร้านอาหารในสนามม้าฝรั่งและคุณประจักษ์ ผู้บริหารของบริษัท TX2 ในขณะนั้นได้เชิญผมไปร่วมพูดคุยกับอาคันตุกะจากออดิโอเควสสองท่านนี้ด้วย ในครั้งนั้นคุณ Bill Low เปรียบเทียบถึงผลกระทบของเสียงที่เกิดจาก noise ว่าเหมือนกับการถ่ายภาพด้วยฟิลเตอร์สีต่างๆ นั่นเอง แม้ว่าวัตถุในภาพจะยังคงมีทรวดทรงที่ถูกต้องเหมือนต้นฉบับ คือรูปทรงไม่เพี้ยน แต่ทว่า สีของฟิลเตอร์ที่ไปทาบลงบนวัตถุในภาพนั้นจะทำให้ “โทนสี” ของวัตถุในภาพเปลี่ยนไป ความใสของบรรยากาศที่อยู่รอบๆ วัตถุในภาพก็เปลี่ยนไปด้วย ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นความตั้งใจของช่างภาพก็ตามที แต่ถ้ามองในแง่ของ “ความเป็นต้นฉบับ” แล้ว ก็ต้องบอกว่าฟิลเตอร์ที่ทำให้โทนสีของวัตถุในภาพผิดเพี้ยนไปก็ถือว่าเป็น noise หรือมลพิษอย่างหนึ่ง
ในตอนท้าย คุณ Bill Low สรุปให้ฟังว่า ในแง่ของนักเล่นฯ คุณอาจจะชื่นชอบ “คัลเลอร์” หรือสีสันของโทนเสียงที่ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับแบบไหนก็ได้โดยไม่มีใครมาตัดสินคุณ เพราะมองว่าเป็นรสนิยมความชอบส่วนบุคคล แต่ในฝั่งของคนออกแบบและผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียง เขาจะใช้ความพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะ “ไม่ทำให้เกิดคัลเลอร์ขึ้นกับต้นฉบับ” อันเนื่องมาจากการออกแบบของพวกเขา
ตัวกรองไฟ Noise-Trap ตัวนี้ไม่ต้องการเวลาในการเบิร์นฯ มาก หรือจะมีบ้างก็แค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ที่แน่ๆ คือมันต้องการเวลา “สักพักนึง” หลังจากเสียบเข้าไปในเต้ารับก่อนจะแสดงอิทธิฤทธิ์ออกมาให้เห็น ถ้าถามว่า เจ้า Noise-Trap ตัวนี้ทำให้เกิดอะไรขึ้นกับเสียงของซิสเต็ม.? อันนี้ตอบไม่ยาก เพราะผลที่มันทำให้เกิดขึ้นกับเสียงของซิสเต็มนั้นใครๆ ก็สามารถรับรู้ได้ด้วยการทดลองฟังจากการสลับ ‘เสียบใช้ vs ดึงออก‘ แล้วฟังเทียบผลลัพธ์เอา ซึ่งหลังจากลองฟังเทียบด้วยการสลับเสียบเข้าและดึงออกหลายรอบ ก็พอจะจับแนวทางของผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงานของตัว Noise-Trap นี้ออกมาได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งแรกที่ผมรู้สึกได้หลังจากเสียบตัว Noise-Trap เข้าไปสักพักนึง นั่นคือรับรู้ได้ว่า พื้นเสียงที่รองรับเสียงทั้งหมดมี “ความใส” มากขึ้น ช่วยขับดันให้แต่ละเสียงมีลักษณะที่ “ลอยตัว” ออกมาจากฉากหลังมากขึ้น จากนั้นจุดเด่นประการที่สองที่รับรู้ตามมาก็คือ แต่ละตัวเสียงที่อยู่ในเพลงที่ฟังมันมี “ความเข้ม” มากขึ้น มี “ตัวตน” ที่เด่นชัดมากขึ้น คือตอนไม่ได้เสียบตัว Noise-Trap เข้าไป ทุกเสียงจะมีมวลที่บางเบา ไม่หนาเข้ม ลักษณะเหมือนมีม่านหมอกบางๆ แผ่ปกคลุมตัวเสียงเอาไว้ ทำให้ไม่สามารถฟังทะลุลงไปถึงรายละเอียดระดับขุมขนของแต่ละตัวเสียงได้ ลองดูจากภาพประกอบข้างบนนั้นอาจจะทำให้เข้าใจความหมายที่ผมกำลังอธิบายได้ชัดขึ้น รูปผลส้มทางซ้ายเป็นตัวอย่างของแต่ละตัวเสียงที่ได้ยินตอนยังไม่ได้เสียบตัว Noise-Trap เข้าไป ส่วนรูปผลส้มทางขวามือนั้นคือลักษณะของตัวเสียงหลังจากที่เสียบตัว Noise-Trap เข้าไปแล้วทิ้งไว้พักนึง
พอสลับเสียบเข้า–ดึงออกหลายๆ รอบ ผลที่เกิดขึ้นจากการใช้ตัว Noise-Trap เข้าไปในซิสเต็มก็เริ่มปรากฏออกมาให้รับรู้มากขึ้นเรื่อยๆ จากเนื้อเสียงที่เข้มข้นมากขึ้น ก็มาถึงเรื่องของ “มูพเม้นต์” ที่เป็นผลสืบเนื่องตามมา คือตอนไม่ได้ใช้ Noise-Trap นั้น พอตัวเสียงมันออกมาบางๆ บวกกับการที่แต่ละตัวเสียงมันมีลักษณะที่ขยับตัวเคลื่อนไหวไปเรื่อยตามลีลาของเพลง ไม่ได้หยุดนิ่งๆ อยู่กับที่ตลอดเวลา ทำให้การฟังเพื่อจับมูพเม้นต์ของการเคลื่อนเปลี่ยนอิริยาบทของแต่ละตัวเสียงทำได้ยาก บางจังหวะที่นักดนตรีมีการขยับเคลื่อนตัวไปด้วยขณะบรรเลงจะมีอาการวูบวาบเกิดขึ้นเป็นช่วงๆ คือหูไม่สามารถโฟกัสได้แบบนิ่งๆ แต่พอเสียบตัว Noise-Trap เข้าไป หลังจากมันออกฤทธิ์แล้ว ผมรู้สึกเลยว่า สามารถชี้ชัดตำแหน่งของตัวเสียงแต่ละตัวได้ง่ายขึ้น และขณะที่ตัวเสียงแต่ละตัวกำลังบรรเลงไปนั้น ผมก็สามารถติดตามการเคลื่อนไหวของเสียงนั้นไปได้ตลอดเวลา ไม่มีอาการวูบวาบที่เคยเกิดขึ้นให้รู้สึกเลย
อีกอย่างหนึ่งที่เป็นผลจากการทำงานของตัว Noise-Trap นั่นคือมันทำให้ผมรู้สึกถึงไดนามิกของแต่ละเสียงที่มีอัตราสวิงกว้างขึ้น รับรู้ถึง “น้ำหนักย้ำเน้น” ของหัวโน๊ตได้ชัดขึ้น ผมสามารถรับรู้ถึงรายละเอียดช่วงที่นักดนตรีเล่นเบาๆ ได้ชัดขึ้น และสามารถรับรู้ลงไปได้ลึกถึงลักษณะของ timbre ซึ่งเป็นองค์ประกอบเฉพาะตัวของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้ชัดขึ้น ซึ่งตอนที่ไม่ได้เสียบตัว Noise-Trap เข้าไปจะรับรู้ในส่วนนี้ได้น้อยกว่า ยอมรับเลยว่า ประเด็นนี้มีส่วนทำให้ผมรู้สึกว่าหลังจากเสียบตัว Noise-Trap เข้าไปในซิสเต็มแล้ว มันทำให้ผมฟังเพลงแล้วได้ความรู้สึก “เข้าถึง” อรรถรสของเพลงมากขึ้น เข้าถึงอารมณ์เพลงได้ลึกซึ้งมากขึ้น รับรู้ได้ว่านักดนตรีกำลังทำอะไรกับเครื่องดนตรีของพวกเขา รับรู้ได้ง่ายขึ้นว่าเสียงที่กำลังฟังนั้นเป็นเสียงของเครื่องดนตรีอะไร งานเพลงบางประเภทที่ฟังยากๆ อย่างเช่น งาน solo หรือบรรเลงเดี่ยวเครื่องดนตรีชนิดต่างๆ ที่เคยฟังได้ไม่นานจะเกิดความเบื่อเพราะรายละเอียดไม่ชัด แต่พอมีตัว Noise-Trap เข้ามาอยู่ในระบบ มันทำให้รู้สึกว่า ฟังเพลง solo เครื่องดนตรีเดี่ยวๆ ได้อารมณ์มากขึ้น เสียงที่ออกมามันมีลักษณะที่ “เชิญชวน” ให้ติดตามมากกว่าเดิม บางอัลบั้มที่บันทึกเสียงออกมาได้ดีมากๆ ตอนเสียบตัว Noise-Trap เข้าไป ฟังแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังคนจริงๆ กำลังตั้งใจบรรเลงให้ฟัง สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของเพลงที่พรั่งพรูออกมาให้รู้สึก… เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก.!!
ผมยอมรับว่า ความรู้สึก “รับรู้” ถึงการมีอยู่ของเสียงทั้งหมดในเพลงที่ดีขึ้นเป็นคุณสมบัติเด่นของ Noise-Trap ตัวนี้ หลังจากลองฟังเสียงของซิสเต็มโดยที่มีตัว Noise-Trap เสียบคาอยู่ต่อเนื่องไปนานๆ ผมรู้สึกได้เลยว่า เสียงเบาๆ ที่ถอยลงไปอยู่ลึกๆ ของเวทีเสียงที่เคยได้ยินแค่ลางๆ มันมีความเข้มมากขึ้น มันมีความเป็นตัวตนที่ชัดเจนมากขึ้น จากที่เคยรู้สึกว่ามันมีลักษณะเหมือนจะจมหายลงไปด้านหลังของเวทีเสียงก็กลับกลายเป็นลอยตัวอยู่ในบรรยากาศลึกๆ โดยไม่มีอาการวูบวาบ คือไม่ใช่ลักษณะที่ถูกดันขึ้นมา แต่เป็นเพราะพื้นเสียงมันใสมากขึ้น ประกอบกับตัวเสียงมันเข้มขึ้น นอกจากนั้น ลักษณะการผ่อนหนัก–ผ่อนเบา (contrast dynamic) ของการบรรเลงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นก็รับรู้ได้ชัดขึ้นหลังจากเสียบตัว Noise-Trap เข้าไปในระบบ สามารถติดตามเทคนิคการบรรเลงของศิลปิน “แต่ละคน” ผ่านทางเสียงของเครื่องดนตรีของพวกเขาได้ชัดขึ้นมาก ทั้งหมดนี้ส่งผลอย่างมากต่ออรรถรสของความเป็นดนตรีที่ได้รับจากการฟังเพลงหลังจากมีตัว Noise-Trap เสียบคาอยู่ในซิสเต็ม
ระบบไฟในห้องฟังของผมแยกจากตู้เมนของบ้านมาเป็นตู้ย่อยเพื่อใช้ในห้องฟังโดยเฉพาะ โดยแยกไลน์ไฟจากตู้ย่อยออกเป็น 5 เส้น (แต่ละเส้นมีเบรคเกอร์ 20A กำกับอยู่) ลากไปที่เต้ารับบนผนัง 5 จุดด้วยสาย Thai Yasaki ขนาด 4 sqm ตอนทดสอบตัว Noise-Trap นี้ผมใช้งานเต้ารับบนผนังพร้อมกัน 2 ชุด คือ “เต้ารับ 1” กับ “เต้ารับ 2” ตามภาพประกอบด้านบน โดยที่เต้ารับ 1 นั้นผมใช้เสียบแอมป์โดยไม่ผ่านปลั๊กราง ในขณะที่เต้ารับ 2 นั้นผมใช้ปลั๊กรางที่มีฟิลเตอร์ 2 ตัวเสียบแยกออกมา โดยที่ปลั๊กรางอันแรก (ปลั๊กราง 1 : Clef Audio ‘PowerBridge 6’) ผมใช้กับ Pachanko Labs และ NAS ส่วนปลั๊กรางอีกอัน (ปลั๊กราง 2 : Pulito ‘µ0.6HR‘) ผมใช้เสียบปรีแอมป์กับ Streamer/DAC ของ Arcam ST5 กับปรีแอมป์ NAT ‘Magnetic’
ในภาพนี้ลองใช้ Noise-Trap กับแหล่งต้นทางดิจิตัลคือ Streamer transport กับ NAS
ในการทดลองฟังเสียงของตัว Noise-Trap ครั้งนี้ ผมเสียบตัว Noise-Trap ย้ายไปบนซิสเต็มเพื่อทดลองฟัง 3 ตำแหน่งด้วยกัน (ดูที่ภาพ) ผลที่ออกมาคือ ทั้ง 3 ตำแหน่งนั้นให้ผลลัพธ์ออกมา “ลักษณะเดียวกัน” แต่ในระดับความเข้มข้นที่ต่างกัน สำหรับการทดลองฟังเสียงในซิสเต็มของผมตามที่เห็นข้างต้นนี้ ผลรวมของเสียงที่ผมพอใจมากที่สุดคือใช้งานตัว Noise-Trap รูปแบบที่ 1 คือเสียบตัว Noise-Trap เข้าไปที่เต้ารับชุดเดียวกับที่ใช้เสียบแอมป์ ซึ่งโดยเหตุผลก็นับว่าเมคเซ้นต์ เพราะปกติแล้ว ผมจะไม่ใช้ตัวกรองไฟกับแอมป์ฯ เลยเพื่อเลี่ยงปัญหาเสียงอั้น แต่ก็มีข้อเสียคือว่าแอมป์เลยกลายเป็น “ช่องโหว่” ที่เปิดรับ noise เข้ามาในระบบเพราะไม่มีตัวกรองไฟมาช่วยดัก ส่วนอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ในระบบได้แก่แหล่งต้นทางกับปรีแอมป์ที่เสียบใช้งานอยู่ที่เต้ารับตัวที่สองผมมีตัวกรองไฟใช้งานอยู่ถึงสองตัว อุปกรณ์เหล่านั้นจึงได้รับประโยชน์จากตัวกรองไฟทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ พอได้ตัว Noise-Trap มาใช้กับแอมป์โดยไม่มีปัญหาเสียงอั้น นั่นก็เท่ากับว่า อุปกรณ์ทุกชิ้นในซิสเต็มได้รับการคุ้มครองจากปัญหา noise โดยถ้วนหน้ากัน ถือว่าเป็นการ “อุดช่องโหว่” ของซิสเต็มที่เปิดให้ noise แทรกเข้ามาผ่านทางแอมปลิฟายลงได้อย่างสิ้นเชิง ผลลัพธ์ทางเสียงจึงปรากฏออกมาชัดเจนมากที่สุด เมื่อเทียบกับการใช้งานตัว Noise-Trap อีก 2 ตำแหน่งที่เหลือ (*เสียดายว่ามี Noise-Trap อยู่แค่ตัวเดียว ถ้ามีอีกสัก 2 ตัวอยากลองเอามาใช้แทนที่ตัวกรองไฟแบบเดิมให้เป็นตัวกรองไฟแบบขนานทั้งหมด อยากรู้ว่าเสียงจะเป็นยังไง)
สรุป
ถ้าถามว่า ตัว Noise-Trap มีผลกับเสียงมั้ย.? ตอบเลยว่าเยอะมาก.! ถ้าถามต่อว่า ส่งผลยังไงกับเสียง ก็ขอให้ย้อนกลับขึ้นไปอ่านข้อความสอง–สามย่อหน้าข้างบนนั้นอีกรอบ แต่ถ้าถามว่า ตัว Noise-Trap มันเข้าไปทำให้เกิดเสียงลักษณะนั้นได้ยังไง.? อันนี้จนปัญญาจริงๆ ถ้าจะเอาคำตอบให้ได้ ก็คงต้องขอยืมคำอธิบายของคุณริชาร์ด มาร์สมาใช้ นั่นคือวงจรฟิลเตอร์ในตัว Noise-Trap มัน “ดูด” noise ที่อยู่เหนือความถี่ 50Hz ออกมาจากกระแสไฟด้วยวิธี short circuit นั่นเอง ซึ่งเป็นคำตอบเชิงนามธรรมแค่พอให้เข้าใจ แต่คำตอบในเชิงรูปธรรมที่ต้องอธิบายกันด้วยหลักวิชาการทางไฟฟ้านั้นอยู่เหนือเกินสติปัญญาที่จะตอบจริงๆ
เป็นอุปกรณ์เสริมอีกชิ้นหนึ่งที่ให้ผลลัพธ์น่าอะเมธซิ่งมาก อยากจะแนะนำให้หาโอกาสทดลองฟังให้ได้ ไม่ว่าคุณตั้งใจจะซื้อหรือไม่ก็ตาม.. แค่ได้ฟังเป็นประสบการณ์ก็คุ้มแล้ว.!!!
********************
เนื่องจากตัว Noise-Trap นี้ใช้วิธีสั่งซื้อทางออนไลน์ ถ้าสนใจสามารถเข้าไปสั่งซื้อได้ www.noise-trap.com ได้เลย สำหรับประเทศไทย ให้กรอกคูปอง ‘TH20’ เพื่อรับส่วนลดทันที 20% จากราคาปกติ 799.95 เหรียญยูเอส จะลดลงเหลือ 639.96 เหรียญยูเอส หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 22,500 บาท / เครื่อง (*คูปอง TH20 นี้นอกจากส่วนลดราคา 20% แล้วยังรวม “ค่าส่งฟรี” อีกด้วย)
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Clef Audio โทร. 02-932-5981