คำว่า Vintage (วินเทจ) มีเสน่ห์ในตัวของมันเอง มันเกี่ยวข้องกับอดีต มันคือการย้อนไปหาอดีตที่ยิ่งใหญ่ เครื่องเสียงวินเทจอาจจะหมายถึงเครื่องเสียงเก่าที่ผลิตออกมาในอดีตแต่ถูกบูรณะขึ้นมาใช้ในยุคปัจจุบัน หรืออาจจะหมายถึงการนำเอารูปแบบและแนวคิดของเครื่องเสียงในอดีตที่เคยทำออกมาแล้วมาทำใหม่ก็ได้
Fyne Audio รุ่น Vintage Classic XII ที่ผมกำลังจะเขียนรีวิวคู่นี้เป็นลำโพงที่ออกแบบโดยคณะบุคคลที่เคยทำงานอยู่ในโรงงาน Tannoy ซึ่งเป็นผู้ผลิตลำโพงที่มีชื่อเสียงระดับโลกของประเทศสก๊อตแลนด์ หลังจากแบรนด์ Tannoy ได้ถูกซื้อไปโดย Uli Behringer เจ้าของกลุ่มธุรกิจที่ชื่อว่า Music Group เมื่อปี 2015 เจ้าของใหม่สั่งปิดโรงงานเก่าแก่ในเมือง Coatbridge ประเทศสก๊อตแลนด์ ซึ่งเป็นโรงงานที่ใช้ในการผลิตลำโพง Tannoy มานานหลายสิบปี หลังเปลี่ยนมือ Tannoy จะย้ายฐานการผลิตไปที่โรงงานแห่งใหม่ที่เมือง Zhongshan ประเทศจีน นั่นทำให้แรงงานสก๊อตแลนด์จำนวน 70 คนที่ทำงานอยู่ในโรงงานเดิมต้องตกงานทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ คณะบุคคลจำนวน 6 คนที่มีความเชี่ยวชาญในงานออกแบบและวิศวกรรมได้รวมตัวกันภายใต้การนำของด็อกเตอร์ Paul Mills ก่อตั้งแบรนด์ Fyne Audio ขึ้นมาเมื่อปี 2017 เพื่อสานต่อตำนานเดิมของ Tannoy ภายใต้ชื่อ Fyne Audio และพัฒนาผลิตภัณฑ์เข้าสู่ยุคใหม่ในอนาคต
นั่นคือคำตอบที่ช่วยไขข้อสงสัยที่ว่า ทำไมหน้าตาของ Fyne Audio รุ่นนี้จึงแลดูละม้ายคล้ายกับลำโพงแบรนด์ Tannoy ยังกะแกะ.? เมื่อรู้ที่มาที่ไปของแบรนด์ Fyne Audio แล้ว คำถามต่อไปก็คือ “เสียงมันจะเหมือน Tannoy หรือต่างออกไป..??” ตอนท้ายของรีวิวนี้เราจะได้รู้กัน ..
รูปร่างหน้าตาสมกับชื่อซีรี่ย์ “Vintage”
ผลิตภัณฑ์ของ Fyne Audio ในปัจจุบันยังคงมีเฉพาะลำโพงเป็นหลัก โดยแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม ‘Hi-Fi’ สำหรับตลาดฟังเพลง 2 แชนเนล, กลุ่ม ‘Home Theater’ รองรับระบบเสียงเซอร์ราวนด์สำหรับโรงภาพยนตร์ในบ้าน และ กลุ่ม ‘Home Install’ สำหรับงานติดตั้งระบบเสียง
ในกลุ่ม Hi-Fi ยังแบ่งผลิตภัณฑ์ออกเป็นซีรี่ย์ย่อยๆ มากถึง 8 ซีรี่ย์ ซึ่งในนั้นมีทั้งซีรี่ย์ที่ดีไซน์รูปร่างหน้าตาออกแนวสมัยใหม่และดีไซน์รูปร่างหน้าตาออกแนววินเทจย้อนยุคผสมกันอยู่ โดยแบบที่ดีไซน์ออกแนววินเทจมีอยู่ 2 ซีรี่ย์ คือ ‘Vintage Series’ กับอีกซีรี่ย์คือ ‘Vintage Classic Series’ ซึ่งทั้งสองซีรี่ย์นี้จะมีหน้าตาคล้ายลำโพง Tannoy ในอดีตมาก ส่วนความแตกต่างระหว่างสองซีรี่ย์นี้อยู่ที่ตัวตู้ โดยที่ซีรี่ย์ ‘Vintage Classic’ จะมีตัวตู้ทรงสี่เหลี่ยมที่มีแผงหน้าที่กว้างกว่าความลึก ซึ่งเป็นตัวตู้ลักษณะดั้งเดิมยุคแรกๆ ของลำโพงในอดีต ในขณะที่ตัวตู้ของซีรี่ย์ ‘Vintage’ จะมีผนังที่โค้งสอบไปทางด้านหลังซึ่งออกแบบโดยอาศัยหลักอะคูสติกสมัยใหม่


ในซีรี่ย์ Vintage Classic มีลำโพงอยู่ทั้งหมด 4 รุ่น คือรุ่น Vintage Classic VIII, Vintage Classic VIII SM, Vintage Classic X และ Vintage Classic XII คือรุ่นที่ผมกำลังพูดถึงนี้
Vintage Classic XII มีความสูงอยู่ที่ 955 ม.ม. มีแผงหน้าที่กว้างถึง 555 ม.ม. ส่วนความลึกอยู่ที่ 380 ม.ม. ผนังตัวตู้รอบตัวยกเว้นแผงหน้าปะผิวด้วยวีเนียร์ไม้แท้ ให้มุมมองและสัมผัสเหมือนเฟอร์นิเจอร์ชั้นดีที่นิยมกันในยุค ’70

แผงหน้าที่ติดตั้งไดเวอร์ทำเป็นสีดำ มีหน้ากากขอบไม้ขึงตึงด้วยผ้าฝ้ายที่มีลวดลายและสีสันตามแบบฉบับของผ้า scottish kilt ในอดีต สีเทา ลายสานตาห่าง ตัวโครงยึดติดกับแผงหน้าของตัวตู้ด้วยแม่เหล็ก ที่ขอบด้านบนของหน้ากากมีที่จับสำหรับดึงหน้ากากออกในกรณีที่ไม่ต้องการฟังแบบไม่มีหน้ากาก ซึ่งผมชอบกว่าใส่หน้ากาก เพราะมันให้เสียงที่เปิดโล่งมากกว่า
งานตัวตู้ กับไดเวอร์
แม้ว่าตัวตู้ลำโพงคู่นี้จะออกมาแนว retro ย้อนยุค ทรงตู้สี่เหลี่ยมหน้ากว้าง–หลังตื้นเหมือนตู้กับข้าว แต่สิ่งที่ไม่เก่าไปตามยุคก็คือดีไซน์ที่พัฒนาขึ้นมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ประเคนเข้าไปหลายจุด ยกตัวอย่างตัวตู้ซึ่งสมัยก่อนโน้นใช้ไม้อัด (chipboard wood) ความหนาครึ่งนิ้ว แต่ในเวอร์ชั่นนี้เปลี่ยนมาใช้เป็นแผ่นไม้ไฟเบอร์ผสมที่มีความหนาแน่นสูง ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความแกร่งมากกว่าไม้อัด ช่วยลดอาการสั่น ต้นเหตุของเรโซแนนซ์ลงไปได้เยอะ นอกจากนั้น ภายในตัวตู้ยังมีการคาดโครงยึดผนังแต่ละด้านเพื่อเพิ่มความแกร่ง ลดเรโซแนนซ์ของตัวตู้ลงไปได้อีกส่วนหนึ่ง

1 = ไดเวอร์มิด/เบสขนาด 300 mm
2 = ไดเวอร์ทวีตเตอร์ ขนาด 75 mm
3 = ปุ่มปรับความหนาแน่นของความถี่ในย่านสูงตั้งแต่ 1kHz ขึ้นไปจนถึง 20kHz
4 = ปุ่มปรับความถี่ช่วง 1kHz ถึง 10kHz
5 = ช่องระบายเบส
6 = เดือยแหลม

7 = ขั้วต่อสายลำโพง
8 = ช่องระบายเบส
เมื่อแกะหน้ากากที่ปิดอยู่บนแผงหน้าออก จะมองเห็นไดเวอร์ dual concentric ติดตั้งเยื้องขึ้นไปอยู่ทางด้านบนของแผงหน้า ถัดลงด้านล่างใกล้ๆ กับส่วนฐานของตัวตู้จะมีปุ่มสีทองอยู่ 2 ปุ่ม เป็นปุ่มที่มีไว้ให้หมุนปรับเสียงในย่านแหลม เลยจากปุ่มทั้งสองลงไปอีกนิด ใต้ผ้าสีเทาที่ปิดอยู่นั้นจะมีช่องระบายเบส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบบตู้เปิดที่ออกแบบด้วยเทคนิคพิเศษชื่อว่า ‘BassTrax LF porting system’ ซึ่งภายในตัวตู้จะมีท่อระบายเบสที่ยิงลงด้านล่างแล้วกระจายมวลอากาศออกไปจากตัวตู้ผ่านทางช่องระบายเบสที่เจาะไว้รอบๆ ส่วนฐานที่มีผ้าสีเทาปิดไว้ ทำให้การระบายพลังงานความถี่ต่ำที่เกิดจากไดอะแฟรมของตัวมิด/วูฟเฟอร์ผลักถอยหลังให้ผ่องถ่ายออกไปจากตัวตู้ได้เร็วขึ้นโดยไม่มีเสียงรบกวนจากแรงอัดของมวลอากาศที่พรั่งพรูออกมาพร้อมกัน เนื่องจากมีช่องระบายอากาศอยู่รอบทั้งสี่ด้าน จึงลดการสะสมพลังงานสั่นค้างอันเป็นต้นเหตุเรโซแนนซ์บนตัวตู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนด้านหลังของตัวตู้ดูเรียบง่าย มีเฉพาะขั้วต่อสายลำโพงที่ติดตั้งอยู่บริเวณด้านล่างของตัวตู้ใกล้ส่วนฐาน ตัวขั้วต่อสายลำโพงให้มาเป็นแบบ bi-wire แยกข้างละสองชุด โดยมีเส้นโลหะจั๊มเปอร์แถมมาให้ ส่วนข้างๆ ขั้วต่อที่มีผ้าสีเทาปิดไว้ก็คือช่องระบายเบส


ลักษณะการออกแบบที่เอาทวีตเตอร์เข้าไปฝังอยู่ตรงใจกลางของตัววูฟเฟอร์มิด/เบสก็เพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมเวลาในการเดินทางระหว่างความถี่สูงจากทวีตเตอร์กับความถี่กลางลงมาทุ้มจากมิด/เบสให้เดินทางมาถึงหูของผู้ฟังพร้อมกัน ไดเวอร์แบบนี้จะให้ลักษณะการกระจายคลื่นเสียงออกมาเป็นแบบ ‘point source’ คือทุกความถี่มีจุดกำเนิดออกมาจากจุดเดียวกัน มีผลดีต่อคุณสมบัติทางด้านเฟสของสัญญาณที่ถูกต้อง
ทางผู้ออกแบบของ Fyne Audio ตั้งชื่อเรียกไดเวอร์ point source ของพวกเขาว่า ‘IsoFlare’ driver ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 3 ขนาด คือ 8, 10 และ 12 นิ้ว (วัดตามขนาดของไดเวอร์มิด/เบส) ตัวทวีตเตอร์ที่ใช้ในไดเวอร์ IsoFlare ขนาด 10 และ 12 นิ้ว จะเป็นไดเวอร์โดมไตตาเนี่ยม คอมเพรสชั่นขนาด 75 ม.ม. ตัวเดียวกัน ซึ่งอาศัยพลังของแม่เหล็กเฟอร์ไร้ท์ในการขับดันไดอะแฟรม ส่วนทวีตเตอร์ที่ใช้ในรุ่น Vintage Classic VIII จะเป็นโดมแม็กนีเซียมขนาด 25 ม.ม.
ไดอะแฟรมทรงกรวยของตัวมิด/เบสทำมาจากวัสดุไฟเบอร์หลายชนิดผสมกัน (multi-fibre cone) โดยมีวงแหวน (surround) ยางที่ยึดขอบไดอะแฟรมเข้ากับโครงไดเวอร์ ซึ่งบนตัววงแหวนยางก็มีการออกแบบด้วยเทคนิคที่ชื่อว่า FyneFlute คือทำให้เป็นรอยบากโดยรอบเพื่อให้พลังงานจากการยืด/หดตัวของวงแหวนถูกสลายออกไปได้เร็วขึ้น
วงจรครอสโอเว่อร์ เน็ทเวิร์ค


ระบบครอสโอเว่อร์ เน็ทเวิร์คคือหัวใจของลำโพงคู่นี้ ออกแบบโดยด็อกเตอร์ Paul Mills กับทีมของเขา หน้าที่สำคัญของวงจรครอสฯ ก็คือทำให้ไดเวอร์ IsoFlare กับตัวตู้ทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดภายใต้ระดับความดังที่ผู้ใช้เปิด โดยที่ผู้ใช้สามารถปรับจูนการทำงานของไดเวอร์ทั้งสองได้จากปุ่มควบคุมสีทองทั้งสองปุ่มที่อยู่ด้านล่างของแผงหน้า
ปุ่มทางซ้ายมีคำว่า ‘ENERGY’ กำกับอยู่นั้น มีไว้ให้ปรับระดับความดังของตัวทวีตเตอร์ เป็นการปรับโทนัลบาลานซ์ของเสียง ส่วนปุ่มทางขวาที่มีคำว่า ‘PRESENCE’ กำกับอยู่นั้นมีไว้ให้ปรับจูนความถี่ในย่านแคบๆ คือ 2.5kHz – 5kHz โดยไม่กระทบกับความถี่ย่านอื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยเพิ่ม–ลดความเปิดกระจ่างของเสียงนั่นเอง วิธีใช้งานก็ง่ายๆ คือ หมุนปรับและลองฟัง เนื่องจากแต่ละปุ่มมีเร้นจ์ให้ปรับจูนอยู่แค่ +/-3dB จึงไม่ทำให้เสียงโดยรวมเสียหายไปมาก ผลของมันเป็นการปรับจูนโทนเสียงซะมากกว่า
แม็ทชิ่งและเซ็ตอัพ
ลำโพงคู่นี้มีความไวสูงถึง 96dB ในขณะเดียวกัน มันมีความสามารถในการรองรับกำลังขับของแอมป์ได้สูงมากคือ ถ้าเป็นกำลังขับแบบต่อเนื่องจะทนรับได้ถึง 175 วัตต์ ส่วนความดังที่พุ่งสูงขึ้นแบบฉับพลัน หรือพีค (peak) รับได้ถึง 700 วัตต์.! ทางผู้ผลิตแนะนำกำลังขับของแอมป์ที่เหมาะสมไว้ตั้งแต่ 20 – 350 วัตต์ เมื่ออ้างอิงกับโหลดที่ 8 โอห์ม ถือว่าจับกับแอมป์ได้หลากหลายมาก คือน่าจะไปได้กับแอมป์หลอดที่มีกำลังขับต่ำเพราะความไวของลำโพงสูงถึง 96dB หรือจะใช้แอมป์โซลิดฯ ที่มีกำลังขับสูงๆ ขับก็รับได้ ถือว่าเป็นลำโพงที่เล่นง่ายมากคู่หนึ่ง ผมทดลองใช้ออล–อิน–วัน ของ Audiolab รุ่น Omnia ที่มีกำลังขับแค่ข้างละ 50 วัตต์ก็ได้เสียงออกมาน่าฟัง ขยับไปเพิ่มเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Power ที่มีกำลังขับข้างละ 140 วัตต์ เสียงโดยรวมก็ออกมาดีเลย สุดท้ายลองขับด้วยอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase รุ่น E-280 ที่มีกำลังขับ 90 วัตต์ต่อข้าง เสียงโดยรวมก็พุ่งขึ้นไปอีกระดับ แสดงว่าลำโพงคู่นี้สามารถปรับตัวไปกับแอมป์ได้หลากหลายจริงๆ เสียดายที่ไม่มีแอมป์หลอดอยู่ใกล้ๆ
Vintage Classic XII ให้ความถี่ตอบสนองตั้งแต่ 25Hz ขึ้นไปจนถึง 26kHz เป็นเร้นจ์ความถี่เสียงที่เปิดกว้างเป็นพิเศษ เหมาะกับเพลงสมัยใหม่ที่เป็นไฟล์ไฮเรซฯ ด้วย

ผมเชื่อว่า ทุกคนที่เห็นรูปร่างหน้าตาของลำโพงคู่นี้ครั้งแรกคงคิดเหมือนผมว่า เมื่อมันเข้าไปอยู่ในห้องฟังของเราแล้ว เบสมันจะล้นมั้ย.? ห้องจะเอาอยู่รึเปล่า.? เพราะตัวตู้มันใหญ่มาก แต่เมื่อจับเจ้ายักษ์สองตู้นี้ลงไปวางในตำแหน่งประจำในห้องฟังของผม (ซ้าย–ขวาห่างกัน 180 ซ.ม. และห่างผนังด้านหลังเริ่มที่ ความลึกของห้องหารด้วย 5) เพื่อเริ่มต้นเซ็ตตำแหน่ง หลังจากต่อสายลำโพงและเปิดเครื่องเล่นเพลงที่คุ้นหูออกมา ปรากฏว่า เสียงที่ออกมามันมี “เค้าโครง” ของเสียงที่ดีปรากฏออกมาให้ได้ยิน ณ จุดนั้น ผมได้ยินเสียงแหลม–กลาง–ทุ้มที่แยกตัวออกจากกัน แต่ละเสียงมีตำแหน่งแหล่งที่ของมันเอง แม้ว่าจะยังมีบางความถี่ที่เหลื่อมทับและฟุ้งกระจายอยู่บ้าง ทำให้บางเสียงชัดในขณะที่บางเสียงยังพร่าเลือน แต่นั่นก็ถือว่าเป็นแนวโน้มที่ดี เพราะผมไม่พบปัญหาของเสียงในย่านทุ้มที่กลัวว่าจะล้นท่วมออกมาแต่อย่างใด
ณ ตำแหน่งเริ่มต้นของการเซ็ตอัพนั้น ลำโพงคู่นี้แสดงลักษณะของเสียงทุ้มที่ควบคุมตัวเองได้ออกมาให้เห็น แสดงว่าการออกแบบให้ท่อระบายอากาศยิงลงพื้นและกระจายตัวออกรอบด้านด้วยเทคนิคที่พวกเขาเรียกว่า BassTrax มันทำงานได้ผลจริง เมื่อผมค่อยๆ ขยับเลื่อนตำแหน่งของลำโพงทั้งสองข้างอีกเพียงเล็กน้อยก็สามารถจัดการให้ความถี่ทุ้ม–กลาง–แหลมแสดงตัวตนของมันออกมาได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แยกขาดจากกันได้ชัดเจนขึ้น อาการพร่าเลือนในบางความถี่ที่เป็นเหมือนม่านหมอกหายไป เสียงทุ้มมีลักษณะที่ขมวดตึงมากขึ้น ณ จุดนี้ผมแทบจะไม่ได้ยินเสียงทุ้มที่เกินความต้องการปรากฏออกมาเลย..!!!
ไฟน์จูน
ไม่มีห้องฟังห้องไหนเพอร์เฟ็กต์ และไม่มีลำโพงคู่ไหนที่เพอร์เฟ็กต์ เมื่อทำการขยับตำแหน่งและลองฟังมาได้สักพัก คุณจะรู้ได้ด้วยตัวเองว่าควรจะหยุดที่จุดไหนแล้วเปลี่ยนไปใช้การไฟน์จูนเข้ามาช่วยเกลี่ยอะไรบางอย่างที่ยังไม่สมบูรณ์ ซึ่งตรงนี้แหละที่แสดงให้เห็นถึง “ประสบการณ์” ของทีมออกแบบลำโพงคู่นี้ นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาคิดค้น “เครื่องมือ” ที่ใช้ในการปรับจูนเสียงของลำโพงคู่นี้มาให้ 3-4 ตัว

เครื่องมือชิ้นแรกที่มีไว้ให้คุณทำการไฟน์จูนเสียงของ Vintage Classic XII ให้ทำงานร่วมกับห้องฟังและซิสเต็มของคุณในการสร้างเสียงเพลงที่ดีที่สุดออกมา นั่นคือการเลือกรูปแบบของสายลำโพงและรูปแบบการเชื่อมต่อสายลำโพงระหว่างแอมปลิฟายกับลำโพงคู่นี้ให้ได้ผลลัพธ์ทางเสียงออกมาดีที่สุด ทางผู้ผลิตแยกขั้วต่อสายลำโพงมาให้ข้างละ 2 ชุด พร้อมกับมีสายจั๊มเปอร์สั้นๆ มาให้ คุณสามารถใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลไวร์ (2 > 2) ในการเชื่อมต่อระหว่างแอมปลิฟายกับลำโพงคู่นี้ได้ ซึ่งคุณสามารถทดลองสลับเสียบสายลำโพงกับขั้วต่อทั้ง 4 ขั้วได้ถึง 4 รูปแบบ ซึ่งเสียงที่ออกมาก็จะแตกต่างกันไป หรือคุณจะเลือกใช้สายลำโพงแบบ bi-wire (2 > 4) ในการเชื่อมต่อก็ได้ โดยไม่ลืมถอดสายจั๊มเปอร์ออก ซึ่งวิธีนี้แนะนำให้ใช้กับแอมปลิฟายแบบโซลิดสเตทจะให้ผลดีกว่าแอมป์หลอด
ผมทดลองเชื่อมต่อ Vintage Classic XII คู่นี้กับแอมป์โซลิดสเตทสอง–สามตัวที่มีอยู่ในห้องฟังขณะนั้น ได้ทดลองทั้งต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ล และไบ–ไวร์ฯ พบว่ามันก็ให้เสียงออกมาต่างกัน ที่ชัดเจนก็มีในแง่ของโทนเสียงและโทนัลบาลานซ์ ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ เปลี่ยนไปไม่มาก แต่โดยรวมของการเชื่อมต่อแต่ละรูปแบบก็ให้ผลออกมาในทางที่ควรจะเป็น ไม่มีอะไรหลุดไปจากมาตรฐาน ซึ่งผลลัพธ์ของรูปแแบบการเชื่อมต่อสายลำโพงก็ขึ้นอยู่กับตัวแปรพื้นฐานหลักๆ นั่นคือ คุณสมบัติของสายลำโพงนั้นๆ เป็นสำคัญ ตัวอย่างตอนที่ผมทดลองจับคู่ Vintage Classic XII กับอินติเกรตแอมป์ Accuphase รุ่น E-280 ผมทดลองเชื่อมต่อด้วยสายลำโพงซิงเกิ้ล 2>2 ของ Kimber Kable รุ่น 12TC โดยใช้สายจั๊มเปอร์ที่ลำโพงแถมมา เสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจ หลังจากนั้นผมทดลองเปลี่ยนมาเชื่อมต่อด้วยสายลำโพง Nordost รุ่น Heimdall ที่เป็นแบบ Bi-wire (2>4) โดยเอาสายจั๊มเปอร์ออก ผมพบว่ามันก็ให้ค่าเฉลี่ยของผลทางเสียงออกมาน่าพอใจในหลายๆ แง่ ที่โดดเด่นชัดเจนก็คือได้ gain ของเสียงที่สูงกว่าการต่อด้วยสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลโดยไม่ทำให้ความถี่ย่านไหนล้ำหน้าย่านอื่นๆ เมื่อ gain มาเต็ม คุณสมบัติอื่นๆ อย่างเช่น ไดนามิก, เวทีเสียง และรายละเอียดก็ตามมา

เครื่องมือที่สองที่ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้เตรียมไว้ให้ใช้ในการไฟน์จูนก็คือการปรับจูนเสียงผ่านวงจรครอสโอเว่อร์ เน็ทเวิร์ค ซึ่งสามารถปรับได้ 2 อ๊อปชั่น อันแรกผู้ผลิตตั้งชื่อเรียกว่า ENERGY ซึ่งเป็นการปรับระดับความดังของตัวทวีตเตอร์ เป็นการเพิ่ม–ลดปริมาณความถี่ตั้งแต่ 750Hz ขึ้นไปถึง 20kHz ซึ่งอยู่ในเร้นจ์การทำงานของตัวทวีตเตอร์ เพื่อปรับจูนโทนัลบาลานซ์ของเสียงตลอดทั้งย่าน (*เพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)

ส่วนอีกปุ่มที่ให้มาซึ่งมีชื่อกำกับว่า PRESENCE ใช้ปรับจูนปริมาณของความถี่ในย่านกลาง (midrange) คือย่าน 1kHz – 10kHz เป็นหลัก อันนี้ส่งผลถึงความสดกระจ่างของโทนเสียงในย่านกลางเป็นพิเศษ (*เพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป)

เครื่องมืออีกอย่างที่ผู้ผลิตให้มาใช้ในการไฟน์จูนเสียงของลำโพงคู่นี้ เป็นเดือยแหลมโลหะขนาดใหญ่ข้างละ 4 ตัว ใช้ขันยึดที่ด้านล่างส่วนฐานทั้ง 4 มุม ของตัวลำโพง เพื่อยกตัวลำโพงให้ลอยขึ้นมาจากพื้นและยังมีเกลียววงแหวนที่ใช้ล็อคความสูงของเดือยแหลมแต่ละตัวซึ่งจะช่วยในการปรับระดับของตัวลำโพงทั้งสองข้างให้ตั้งขนานกัน ซึ่งจะส่งผลกับโฟกัสของเสียง
เสียงของ Vintage Classic XII
คนส่วนใหญ่พอเห็นขนาดของไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ขนาด 12 นิ้ว ก็มักจะนึกถึงเสียงเบสใหญ่ๆ กับเสียงทุ้มหนาๆ และเบอะบะ แต่สำหรับลำโพงที่ใช้ไดเวอร์ที่ดีไซน์ด้วยเทคนิค dual concentric คือเอาทวีตเตอร์ไปฝังไว้ตรงใจกลางมิด/วูฟเฟอร์แบบ Vintage Classic XII คู่นี้มันไม่ได้ให้เสียงออกมาแบบที่คิดกันแม้แต่น้อย
เพราะข้อดีของไดเวอร์ dual concentric อยู่ที่ “เฟส” ของสัญญาณที่ออกมาถูกต้องตลอดทั้งย่านทุ้ม–กลาง–แหลม เนื่องจากการวางไดเวอร์แบบนั้นทำให้ไม่มีปัญหาหักล้างหรือเสริมกันของเฟสของย่านเสียงที่ต่างกัน ยังผลให้ได้ “มิติ” เสียงที่ดี ส่วนในแง่ “ปริมาณ” ของความถี่ต่ำที่ออกมานั้นมันแปรเปลี่ยนไปในแต่ละเพลง ขึ้นอยู่กับการบันทึกเสียงของเพลงนั้นๆ ซึ่งสาเหตุที่ลำโพงสมัยก่อนโน้นที่ใช้ดอกใหญ่+ตู้ใหญ่ให้เสียงเบสออกมาใหญ่โตมโหระทึกก็เพราะว่าในยุคก่อนโน้นยังไม่ได้เอาความรู้ทางด้านไซโครอะคูสติกระดับสูงเข้ามาใช้ในการออกแบบลำโพงเหล่านั้น ซึ่งต่างจากปัจจุบัน ตัวอย่างเช่นลำโพงของ Fyne Audio กับอีกหลายๆ แบรนด์ชั้นนำที่นำเอาความรู้ทางด้านอะคูสติกเข้ามาใช้ในการออกแบบกันมากขึ้น จึงมีส่วนช่วยให้ลำโพงในปัจจุบันสามารถถ่ายทอดความถี่เสียงออกมาได้ถูกต้องและแม่นยำตรงตามสัญญาณเสียงต้นทางที่ได้รับเข้ามามากขึ้น นอกจากนั้น ยังมีอีกสาเหตุที่ืทำให้เสียงของลำโพง Vintage ฉบับ revise > redesign > rebuild ให้เสียงออกมาดีกว่าเวอร์ชั่นในอดีตอย่างมาก สาเหตุนั้นก็คือ คุณภาพของแหล่งต้นทางที่ให้กำเนิดสัญญาณเสียงที่ป้อนให้กับลำโพงนั่นเอง ซึ่งต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน คุณภาพของสัญญาณต้นทางได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นมากโดยเฉพาะในยุคดิจิตัล
อีกข้อสงสัยที่มักจะผุดขึ้นมาในหัวทันทีที่เห็นขนาดตัวตู้ลำโพงวินเทจแบบนี้ “มันจะให้มิติเสียงได้มั้ย.?” อันนี้ต้องลองฟังสถานเดียว แต่จากประสบการณ์ที่ได้ทำการเซ็ตอัพและทดลองฟังมาเองกับตัว ผมยืนยันให้ได้เลยว่า ถ้าลำโพงคู่นั้นออกแบบมาได้ถูกต้องจริงๆ มันสามารถโยนเสียงให้ออกไปลอยอยู่ในอากาศได้ ไม่เฉพาะความถี่กลางและแหลมเท่านั้น แต่บางคู่ที่ออกแบบทางด้านเฟสได้ดีมากๆ อย่าง Vintage Classic XII ของ Fyne Audio คู่นี้ มันสามารถผลักเสียงในย่านทุ้มให้กระเด็นออกไปลอยอยู่นอกตู้ได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วย..!!!

อัลบั้ม : Dancing Through The Walls (FLAC/44.1)
ศิลปิน : Edward Bland
สังกัด : Delos (TIDAL)
อัลบั้มนี้เป็นผลงานของนักแต่งเพลงคลาสสิกสัญชาติอเมริกัน เพลงในอัลบั้มนี้ทั้งหมดถูกเรียบเรียงขึ้นมาโดยใช้เสียงเครื่องดนตรีเพอร์คัสชั่นกับเสียงฟรุ๊ทของวง Virtual World Percussion Ensemble เป็นแกนนำ ซึ่งเสียงเพอร์คัสชั่นในย่านทุ้มในอัลบั้มนี้บันทึกมาได้ดีมาก โชว์มิติเสียงกันโจ่งครึ่มไปเลย โดยเฉพาะเสียงเพอร์คัสชั่นในย่านทุ้มที่มิกซ์มาให้กระจายตัวไปทั่วทั้งเวทีเสียง ไม่ได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง ถ้าลำโพงมีปัญหาในการถ่ายทอด “เฟส” ของความถี่ต่ำที่ไม่แม่นยำถูกต้องระหว่างข้างซ้ายและข้างขวา โฟกัสของเสียงทุ้มในอัลบั้มนี้จะออกมาไม่เป๊ะ ซึ่งเหลือเชื่อมาก..!! ลำโพงตู้ใหญ่ๆ อย่าง Vintage Classic XII คู่นี้สามารถ “ดีด” เสียงทุ้มในอัลบั้มนี้ให้ “หลุดตู้” กระจัดกระจายออกไปในอากาศได้อย่างชัดเจน ถ้านั่งหลับตาฟัง แทบจะไม่รู้สึกเลยว่าเสียงทุ้มเหล่านั้นดังออกมาจากลำโพงทั้งสองตัวที่ตั้งตะหง่านอยู่เบื้องหน้า.. น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก..!!!

อัลบั้ม : On The Moon (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Peter Cincotti
สังกัด : Concord Jazz

อัลบั้ม : A World Of Love (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ayako Hosokawa
สังกัด : FIM/Three Blind Mice
ส่วนความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ในย่านกลางและแหลมของ Vintage Classic XII คู่นี้ ผมเลือกอัลบั้มเพลงร้องของศิลปินชาย Peter Cincotti ชุด On The Moon กับงานเพลงร้องของศิลปินหญิง Ayako Hosokawa ชุด A World Of Love ที่ผมใช้บ่อยๆ มาเป็นตัวอ้างอิงในการทดสอบครั้งนี้
ซึ่งหลังจากฟังเสียงร้องและเสียงแหลมในสองอัลบั้มนี้จบลงแล้ว มันช่วยคลายความสงสัยในความสามารถของลำโพงคู่นี้ลงไปได้อย่างราบคาบ มันทำให้เห็นว่า ลำโพงตู้ใหญ่ๆ แบบนี้ก็สามารถถ่ายทอดเสียงร้องที่มีความลื่นไหลออกมาดีได้อย่างน่าทึ่ง ผมได้ยินเสียงร้องที่มีตัวตน มีมวลเนื้ออิ่มเข้ม และมีลีลาการไล่ระดับความดังของเสียง (ไดนามิกคอนทราสน์) ที่ลื่นไหล ทำให้ได้อารมณ์ของเพลงที่ต่อเนื่อง ไหลลื่นเป็นน้ำ นอกจากนั้น เสียงกลางและแหลมของลำโพงคู่นี้ยังมีลักษณะที่หลุดลอย แผ่กังวาน และหวานพลิ้วอีกด้วย มันทำได้ดีไม่แพ้ลำโพงเล็กสองทางวางขาตั้งที่มีคุณภาพดีๆ เลย
“ความต็ม” คืออีกหนึ่งคุณสมบัติที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมาได้ดีกว่าลำโพง 2 ทาง ทุกคู่ที่ผมเคยฟังในห้องนี้ ซึ่ง “ความเต็ม” ที่ว่านี้คือความรู้สึกว่าทุกอณูในห้องถูกเติมเต็มด้วยเสียงเพลงที่กำลังฟัง เสียงที่เกิดขึ้นจากลำโพงคู่นี้มันแทรกซึมไปทั่วทั้งห้อง โดยไม่มีลักษณะของการทิ่มแทง หรือจี้เข้ามาที่ตัวเรา หากแต่เป็นลักษณะของเสียงที่พองตัว ลอยตัว แผ่ขยายพลังงานออกมาถึงตัวเราในขณะที่จุดศูนย์กลางของวงยังคงตรึงอยู่ด้านหน้า นั่นทำให้ฟังแล้วรู้สึกอิ่มเต็มแต่ไม่อึดอัด เป็นลักษณะเสียงที่ผมเชื่อว่า ถ้ามีโอกาสได้ฟัง หลายคนคงต้องชอบ..!!!
กับคำถามที่ว่า มี “เสียงตู้” ออกมาบ้างมั้ย.? จากการทดลองฟังเพลงจากหลายๆ อัลบั้มทั้งหนักและเบาผ่านไป ผมคิดว่าผมได้ยิน “เสียงตู้” ของลำโพงคู่นี้ปนออกมากับความถี่ย่านต่ำ แต่ในปริมาณที่ไม่ทำให้โน๊ตของเพลงเสียหาย มิหนำซ้ำ ในบางเสียงอย่างเช่น เสียงกระแทกกระเดื่องกลอง, เสียงหวดกลองทอม, เสียงไม้นวมกระทบหนังกลองจีน เหล่านี้มันมีบุคลิกของเสียงวัสดุที่มีความหนานุ่มกระทบกันออกมาให้รู้สึกด้วย ซึ่งผมไม่ค่อยได้ยินจากลำโพงขนาดเล็กโดยทั่วไป บางครั้งผมก็เข้าใจว่าเสียงทุ้มหนาๆ หนักๆ ที่เกาะกุมมากับเสียงกลองเหล่านั้นคือเสียงของตู้ลำโพงที่กำธรออกมาแล้วขจัดออกไปไม่หมด หรือเป็นโทนเสียงที่ผู้ผลิตตั้งใจจูนขึ้นมาโดยอาศัยกำธรของ “ตู้ลำโพง” เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องมือ
ผิดมั้ย.? ถ้าเป็นแบบหลัง ผมก็ไม่นับว่าเป็นความผิดพลาดในการออกแบบนะ เพราะจากที่เคยทราบมาว่าเทคนิคการออกแบบลำโพงมีอยู่ 2 แนวทาง แนวทางดั้งเดิมคือ ไหนๆ ก็ไม่มีทางขจัดออกไปได้หมดก็เอาเสียงของตู้มาใช้ซะเลย กับอีกแนวทางคือพยายามขจัดผลกระทบของตู้ออกไปให้หมดโดยไม่เอามาใช้ ซึ่งถ้ายึดเอาอุดมคติเป็นที่ตั้งก็ไม่ควรจะมีเสียงของตู้เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในบางกรณีก็มองว่าการออกแบบ+ปรับจูนโดยเอาเสียงของตู้เข้ามาใช้ถือเป็น “สีสัน” ที่ผสมเข้าไปกับเสียง แม้จะไม่ใช่แนวทางบริสุทธิ์นิยมซะเลยทีเดียว แต่เมื่อวัดกันที่ผลลัพธ์ในการฟังโดยเอา “อารมณ์ดนตรี” เป็นตัวตัดสิน ผมก็ยอมรับว่า “สีสัน” ของเสียงตู้ที่ผสมเข้ามาในบางความถี่ที่ได้ยินจากลำโพง Fyne Audio คู่นี้มันไม่ได้ทำให้ความซาบซึ้งในอรรถรสของเพลงเสียหายไป มิหนำซ้ำ อย่างที่ผมเกริ่นมาในตอนต้นที่ว่า มันกลับทำให้บางเสียงมีลักษณะที่ชักจูงความรู้สึกของเราให้นึกถึง “เสียงที่เกิดขึ้นจริงในธรรมชาติ” มากขึ้นซะด้วยซ้ำ..!!
ผิด–ถูก คุณควรต้องลองฟังแล้วตัดสินเอาเอง..!!!
สรุป
ได้ฟังเสียงของลำโพง Fyne Audio รุ่นนี้แล้ว มันทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตสอนใจขึ้นมาได้บทหนึ่งที่ว่า “ไม่ควรใช้ความทรงจำในอดีตมาตัดสินปัจจุบัน” เพราะในช่วงศตวรรษที่ผ่านมาโลกของเราเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้านั้นมาก เพราะทุกด้านถูกขับดันด้วยพัฒนาการทางด้านเทคโนโลยีอย่างหนัก ไม่เว้นแม้แต่วงการเครื่องเสียง
ผมยอมรับว่า ห่างเหินกับการฟังลำโพงที่มีดีไซน์ตู้ใหญ่ๆ แบบนี้มานานแล้ว วันนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีที่ได้ “อัพเดต” ประสบการณ์ของตัวเอง ทำให้รู้ว่า ลำโพงตู้ใหญ่ๆ แบบนี้ก็ทำให้เสียงดีได้ “ถ้า” คนออกแบบมี Knowhow ถึงจริงๆ
ได้ทดสอบฟังเสียงของ Fyne Audio คู่นี้แล้วต้องขอยกแก้วคารวะทีมออกแบบทีมนี้ พวกคุณได้สร้างนวัตกรรมแห่งเสียงที่น่าทึ่งขึ้นมาได้จริงๆ เสียงของ Vintage Classic XII คู่นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นถึงพลังของเทคโนโลยีว่ามันสามารถ “เปลี่ยนโลก” ได้จริง..!!! เป็นลำโพงอีกคู่หนึ่งที่คุณควรหาโอกาสไปทดลองฟังให้ได้ถ้าปวารนาตัวเองเป็น “นักเล่นเครื่องเสียง” ตัวจริง… /
********************
ราคา : 478,000 บาท /คู่
(ราคาโปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 580,000 บาท)
********************
สนใจสอบถามได้ที่ผู้นำเข้าอย่างเป็นทางการ
Audio Force โทร. 090-004-2380
เฟซบุ๊ค: AudioForceTH
ไลน์ อ๊อฟฟิเชี่ยล: @audioforce



