ถ้าย้อนกลับไปในอดีตสัก 30 – 40 ปี คุณจะพบว่า คน 99 คนในจำนวน 100 คนที่อยู่ในวงการเครื่องเสียงในขณะนั้นต่างก็มีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่า ถ้าเอาวงจรอิเล็กทรอนิคส์ที่มีหน้าที่การทำงานต่างกันหลายๆ วงจรเข้าไปแพ็ครวมไว้ในตัวถังเดียวกัน จะทำให้ “คุณภาพเสียง” แย่ลง.!! นั่นคือที่มาของความเชื่อที่ว่า ถ้าต้องการคุณภาพเสียงที่ดี ต้องเป็นเครื่องเสียงที่ดีไซน์ในลักษณะ “แยกชิ้น” คือแต่ละชิ้นจะมีหน้าที่ทำงานเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น ซึ่งความเชื่อที่ว่านี้ก็ยังถูกถ่ายทอดต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ แต่จำกัดอยู่ในระดับไฮเอ็นด์ขึ้นไปจนถึงระดับอัลตร้าไฮเอ็นด์ ซึ่งเป็นระดับที่เสนอขายให้กับนักเล่นฯ ประเภท “เงินไม่ใช่ปัญหา” หรือ price-no-object เท่านั้น
สรุปคือ แยกชิ้นน่ะดีแน่ตามอุดมคติ แต่เครื่องเสียงแยกชิ้นมันก็มีราคาค่างวดในการเล่นที่ค่อนข้างสูง และผู้เล่นเองก็ต้องมีทักษะการแม็ทชิ่งที่ดีด้วยถึงจะสามารถนำเอาอุปกรณ์แยกชิ้นหลายๆ ชิ้นนั้นเข้ามา “ประกอบร่าง” ให้เป็นชุดเครื่องเสียงที่ให้เสียงออกมาในระดับที่ดีอย่างที่แต่ละชิ้นควรจะให้ได้..
เทคโนโลยีดิจิตัล มีส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง..
เทคโนโลยีดิจิตัล กับความก้าวหน้าของการออกแบบชิป IC มีส่วนทำให้การออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงมีแนวทางที่เปลี่ยนไป จากแนวคิดเดิมที่เชื่อว่า วงจรการทำงานที่แยกส่วนเด็ดขาดออกไปอยู่คนละตัวถังคือแนวทางการออกแบบที่ทำให้ได้เสียงที่ดี กำลังถูกท้าทายด้วยการออกแบบแนวใหม่ที่เรียกว่า all-in-one คือเอาหน้าที่ในการทำงานหลายๆ อย่างเข้ามาบรรจุรวมอยู่ในตัวถังเดียวกัน โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพเสียง แถมนักออกแบบยุคใหม่ยังให้เหตุผลด้วยว่า การออกแบบในลักษณะ all-in-one ที่ว่านี้ กลับทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีกว่าการแยกชิ้นซะด้วยซ้ำไป.. เป็นไปได้ยังไง.?
เหตุผลที่นักออกแบบเครื่องเสียงยุคใหม่อ้างว่าการออกแบบในลักษณะ all-in-one ทำให้ได้เสียงที่ดีกว่าแยกชิ้นก็คือ แต่ละส่วนของวงจรที่ทำงานแต่ละหน้าที่ในอุปกรณ์ประเภท all-in-one จะถูกติดตั้งไว้ “ใกล้กัน” ทำให้สัญญาณเสียงที่ผ่านการทำงานในแต่ละขั้นตอนถูกส่งผ่านถึงกันด้วยระยะทางสั้นๆ จึงเท่ากับเป็นการลดโอกาสที่สัญญาณเสียงจะถูกทำให้เสียหาย หรือถูกทำให้ปนเปื้อนลงไปได้มาก ในขณะที่แบบแยกชิ้นนั้น ต้องมีสายสัญญาณเชื่อมโยงระหว่างอินพุต/เอ๊าต์พุตของเครื่องเสียงแต่ละชิ้นในระบบเข้าด้วยกัน เพื่อให้สัญญาณเสียงที่ผ่านการทำงานแต่ละขั้นตอนสามารถเดินทางไปในระบบได้ ซึ่ง “สายสัญญาณ” ที่ใช้เชื่อมต่อในระบบนั่นแหละคือตัวปัญหาที่จะทำให้สัญญาณเสียงถูกทำให้ปนเปื้อนและเบี่ยงเบนไปจากต้นฉบับ
Arcam ‘SA45’ Streaming Integrated Amplifier
แอมปลิฟายแบบ 3-in-1
Arcam รุ่น SA45 เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้พื้นฐานการออกแบบแนวทางใหม่คือ all-in-one ที่มีส่วนของการทำงานถึง 3 ส่วน อยู่ด้วยกัน..

A : เมนสวิทช์
B : เต้ารับปลั๊กไฟเอซี
C : ขั้วต่อ HDMI (eARC)
D : ช่องรับเข้า/ส่งออก สัญญาณ trigger
กรอบสีแดง : เป็นกลุ่มของช่องเสียบสำหรับสตรีมไฟล์เพลง ซึ่งมีอยู่ 2 ช่อง ได้แก่ช่อง Ethernet สำหรับเสียบสายแลน (ช่องขวา) กับช่อง USB-A สำหรับเสียบแฟรชไดร้ หรือฮาร์ดดิสพกพาที่ใช้ขั้วต่อ USB ส่วนอีกสองช่องที่ขนาบอยู่ด้านข้างทางขวานั้นคือช่อง RS232 ที่มีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับสัญญาณคอนโทรลจากภายนอก กับอีกช่องทางซ้ายมือเป็นช่องเสียบสัญญาณอินฟราเรดสำหรับรีโมทไร้สายจากภายนอกเช่นกัน สำหรับการสตรีมไฟล์เพลงเข้าทางช่อง Ethernet นั้นสามารถรองรับไฟล์ ฟอร์แม็ตได้หลากหลายรูปแบบมาก ตั้งแต่ FLAC, WAV (LPCM), AAC, ALAC, AIFF, DSD (ได้ถึง DSD256), MP3, MP4 และ WMA ส่วนเรโซลูชั่นของสัญญาณ PCM ที่รองรับได้ก็มีตั้งแต่ระดับบิตที่ 16, 24 และ 32-Bit ส่วนแซมปลิ้งเรตก็รองรับได้ตั้งแต่ระดับต่ำสุดขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่ 384kHz
กรอบสีเหลือง : เป็นกลุ่มของช่องอินพุต/เอ๊าต์พุต สำหรับสัญญาณดิจิตัลจากภายนอก โดยให้มาเป็นช่องอินพุตแบบ Optical x2 ช่อง กับช่อง Optical สำหรับเอ๊าต์พุตหนึ่งช่อง ส่วนอีกสองช่องเป็นช่อง Coaxial สำหรับรองรับสัญญาณอินพุตจากภายนอก ซึ่งช่องดิจิตัล อินพุตทั้งหมด คือ Optical และ Coaxial รวม 4 ช่อง และช่องอินพุต HDMI (eARC) อีกหนึ่งช่อง ได้ถูกออกแบบมาให้มีความสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลจากภายนอกที่มีอัตราบิตอยู่ที่ 16 และ 24-bit โดยที่มีอัตราแซมปลิ้งสูงสุดอยู่ที่ 192kHz (*ช่องอินพุต HDMI (eARC) รองรับสัญญาณดิจิตัลฟอร์แม็ต PCM อย่างเดียว ไม่รองรับสัญญาณดิจิตัลรูปแบบอื่น)
กรอบสีเขียว : เป็นกลุ่มของขั้วต่ออินพุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกจากภายนอก ซึ่งมีมาให้เลือกใช้ทั้งหมด 6 ชุด แยกเป็นอินพุตที่ติดตั้งขั้วต่อแบบบาลานซ์ XLR จำนวน 1 ชุด และติดตั้งขั้วต่ออันบาลานซ์ RCA จำนวน 5 ชุด โดยแบ่งเป็นอินพุตสำหรับสัญญาณจากหัวเข็ม MM กับสัญญาณจากหัวเข็ม MC อย่างละชุด ที่เหลืออีก 3 ชุด สำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอกระดับ Line Level จากอุปกรณ์ภายนอก อาทิ CD หรือกล่องรับสัญญาณทีวี ฯลฯ
กรอบสีฟ้า : เป็นกลุ่มของขั้วต่อสำหรับสัญญาณเอ๊าต์พุต โดยแยกเป็นสำหรับสัญญาณปรีเอ๊าต์จำนวน 2 ชุด ผ่านขั้วต่ออันบาลานซ์ RCA กับผ่านขั้วต่อบาลานซ์ XLR อย่างละหนึ่งชุด ส่วนที่เหลือเป็นขั้วต่อสัญญาณอะนาลอกสำหรับลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์ โดยให้เป็นช่องส่งออกสัญญาณทั้งหมด 4 ช่อง คือช่อง SW1 จำนวน 2 ช่อง ใช้ขั้วต่อ RCA กับขั้วต่อ XLR อย่างละช่อง และช่อง SW2 จำนวน 2 ช่อง โดยใช้ขั้วต่อ RCA กับขั้วต่อ XLR อย่างละช่องเช่นเดียวกัน
กรอบสีม่วง : เป็นกลุ่มของขั้วต่อสายลำโพง ซึ่งให้มาแชนเนลละชุด ติดตั้งขั้วต่อแบบไบดิ้งโพสต์ รองรับอิมพีแดนซ์ของลำโพงได้ตั้งแต่ 4 – 16 โอห์ม
หน้าตาเรียบง่าย.. แต่หล่อเหลาเอาเรื่อง.!!!

รูปร่างตัวจริงของ SA45 มีสัดส่วนที่ใหญ่โตกว่าที่คาดไปมาก ถ้าเทียบกับอินติเกรตแอมป์ในซีรี่ย์ Radia รุ่นใหญ่สุดคือ A25 แล้ว บอดี้ของรุ่น SA45 ตัวนี้ก็น่าจะ “สูงกว่า” รุ่น A25 ประมาณเท่าตัวได้ ผิวนอกของตัวถังทำเป็นสีเทาด้านเข้มๆ บนแผ่นหลังของตัวถังมีทำลวดลายเป็นลอนตื้นๆ และเจาะรูยาวๆ ตามแนวลายเส้น เป็นดีไซน์ที่ได้ทั้งความสวยงามและใช้ระบายความร้อนไปด้วยในตัว
แผงหน้าของ SA45 มีลักษณะที่เรียบง่ายอย่างมาก เฟอร์นิเจอร์ที่โดดเด่นชัดเจนมากที่สุดบนแผงหน้าปัดของ SA45 ก็คือปุ่มทรงกลมขนาดใหญ่จำนวน 2 ปุ่ม ที่ติดตั้งแยกกันอยู่ที่ขอบทางด้านซ้ายและขวาของแผงหน้าปัด ตัวซ้ายสำหรับเลือกอินพุต (selector) ส่วนตัวขวาไว้ปรับวอลลุ่ม เว้นพื้นที่ตรงกลางของแผงหน้าเอาไว้เป็นที่ติดตั้งจอแสดงผลขนาดใหญ่ เป็น จอ 4 สี ความละเอียดสูง วัดพื้นที่เนื้อจอตามเส้นทะแยงมุมได้ 8.8 นิ้ว ถือว่าใหญ่มาก ในการใช้งานจริงสามารถมองจากระยะไกลได้เลย ซึ่งความสว่างของจอสามารถปรับตั้งได้ 3 สเต็ป คือ จากสว่างเต็มที่ > ดิมลงประมาณ 50% > ปิดจอมืด..

1 : ปุ่มเลือกอินพุต
2 : หน้าจอแสดงผล
3 : ปุ่มปรับความดัง
4 : ไฟ LED แสดงสถานะเปิด/ปิดการทำงาน
5 : รูเสียบแจ็คหูฟัง
SA45 ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่หลักๆ ทั้งหมด 3 ภาคการทำงาน ได้แก่
1. Streamer
2. DAC
3. Amplifier
หน้าที่ในส่วนของ ‘Streamer’

ก็คือทำหน้าที่เป็น source หรือแหล่งต้นทางสัญญาณ ซึ่งทางผู้ผลิตได้ออกแบบให้ SA45 สามารถรองรับการสตรีมไฟล์เพลงจากภายนอกเข้ามาได้ทั้งผ่านทางอินพุตที่ใช้สาย LAN (Ethernet) และทางอินพุตแบบไร้สาย (Wi-Fi และ Bluetooth) โดยมีแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า Radia มาให้ใช้ในการปรับตั้งค่าการทำงาน
แอพฯ Radia ที่ใช้กับการสตรีม

แอพฯ Radia มีให้โหลดทั้งเวอร์ชั่น Android และ iOS ภาพข้างบนคือ หน้าเปิด (Home) ของแอพฯ Radia ซึ่งจะทำการค้นหา SA45 ของคุณทันทีเมื่อเปิดแอพฯ ขึ้นมาบนอุปกรณ์พกพา และถ้า SA45 ของคุณเปิดใช้งานอยู่และเชื่อมต่อกับ router ในบ้านของคุณ ไม่ว่าจะทาง Wi-Fi หรือ Ethernet เมื่อแอพฯ ค้นพบมันจะโชว์รหัสของรุ่นและตัวเครื่องขึ้นมาให้เห็นตามภาพด้านบน..

เมื่อจิ้มลงไปที่รูปเครื่อง SA45 แอพฯ จะพาคุณมาที่หน้านี้ ซึ่งเป็นที่รวบรวมแหล่งต้นทางสัญญาณบนออนไลน์ อย่างเช่น Sptify, Qubuz Connect ฯลฯ รวมถึงแหล่งต้นทางที่คุณเก็บไฟล์เพลงของคุณเองไว้ อย่างเช่นใน NAS ที่เชื่อมต่ออยู่กับเน็ทเวิร์คเดียวกัน และไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสพกพาที่เสียบเข้าที่ช่อง USB ของ SA45 ซึ่งคุณสามารถเลือกเล่นไฟล์เพลงจากแหล่งต่างๆ เหล่านั้นได้เลย
นอกจากนั้น ที่มุมบนขวาของหน้านี้ที่เป็นรูปเฟืองจะเป็นช่องทางเข้าไปสู่เมนู Settings ของตัวเครื่อง

เมื่อจิ้มลงไปที่รูปเฟืองนั้น แอพฯ จะพาคุณมาที่หน้าเมนู Settings ที่อยู่บนแอพ Radia โดยมีหัวข้อเมนูย่อยให้ทำการปรับตั้งอยู่ 6 ข้อ คือ
– Google Cast
– Network Setup
– Network Info
– Internet Update
– Software Versions
– Factory Reset
ซึ่งหลักๆ แล้วก็เป็นการเซ็ตอัพเน็ทเวิร์คกับตรวจเช็คและทำการอัพเดตเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์ ไม่ได้มีการปรับตั้งการทำงานของตัวเครื่องอยู่ในนี้
หน้าที่ในส่วนของ ‘DAC’

การทำงานของภาค DAC ของ SA45 จะขึ้นอยู่กับสัญญาณดิจิตัลที่เข้ามาทางอินพุต คือถ้าเป็นสัญญาณดิจิตัลที่เข้ามาจากอินพุต Streaming ภาค DAC จะเปิดรับเต็มที่ คือไปสุดถึง 32-bit/384kHz และยังรองรับสัญญาณ DSD ได้ถึง DSD256 ด้วย นอกเหนือจาก Streamer แล้ว SA45 ยังให้ช่องดิจิตัล อินพุตมาอีก 5 ช่อง คือ HDMI (eARC) x1, Optical x2 และ Coaxial x2 ให้เลือกใช้ได้อีก ซึ่งทั้ง 5 ช่อง นั้นใช้มาตรฐาน S/PDIF ในการรองรับสัญญาณอินพุต ทำให้จำกัดการรองรับอยู่แค่ระดับ 24-bit/192kHz เท่านั้น
หน้าที่ในส่วนของ ‘แอมปลิฟาย‘

SA45 จัดเต็มมากสำหรับการทำงานในส่วนของ “แอมปลิฟาย” เพราะนอกจากจะทำหน้าที่เป็น “อินติเกรตแอมป์” ที่มีกำลังขับมากถึง 180W ที่ 8 โอห์ม จากภาคขยาย class-G แล้ว คุณยังสามารถใช้งาน SA45 ในลักษณะของ “ปรีแอมป์” ได้อีกด้วย โดยใช้สัญญาณปรี–เอ๊าต์จากตัว SA45 ไปจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ภายนอกได้เลย แถมให้ขั้วต่อปรี–เอ๊าต์มาครบทั้ง 2 แบบ คือทั้ง XLR และ RCA ซะด้วย.!!
รีโมทไร้สาย กับการปรับตั้งค่าในตัวเครื่อง

ดูเหมือนว่าผู้ออกแบบ SA45 ตั้งใจที่จะเอาเมนูการปรับตั้งการทำงานหลักๆ ของตัวเครื่องมารวบรวมไว้ที่รีโมทไร้สายมากกว่าที่จะเอาไปใส่ไว้ในแอพลิเคชั่น ซึ่งสัญลักษณ์คำสั่งต่างๆ บนรีโมทจะมีทั้งปุ่มที่สั่งงานชั้นเดียว อย่างเช่น เปิด/ปิดการทำงานของเครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย, เปิด/ปิดฟังท์ชั่นปิดเสียงชั่วคราว (mute), ปรับตั้งความสว่างของหน้าจอ, ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง รวมถึงปุ่มเข้าสู่เมนูเพื่อเข้าไปปรับตั้งค่าการทำงานของตัวเครื่องด้วย (ปุ่มที่มีจุด 3 จุด) ซึ่งในปุ่มเมนูมีหัวข้อหลักให้ทำการปรับตั้งทั้งหมด 4 หัวข้อ คือ

นี่เป็นหน้าจอที่ปรากฏขึ้นหลังจากกดปุ่มเมนูบนรีโมทลงไป ซึ่งจะมีหัวข้อเมนูหลักให้คุณเข้าไปทำการปรับตั้งทั้งหมด 4 เมนู อยู่ด้านบน เรียงลำดับจากซ้ายไปขวาคือ PRESETS, INPUTS, AUDIO และ SETTINGS โดยที่หัวข้อ PRESETS นั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อคุณเข้าไปทำการปรับตั้งเพื่อกำหนดหัวข้อการทำงานที่มักจะใช้งานบ่อยขึ้นมาเรียงไว้เป็น PRESETS ของคุณเอง ส่วนหัวข้อ INPUTS นั้นจะปรากฏช่องอินพุตขึ้นมาบนจอเพื่อให้คุณเลือกใช้งาน (*สามารถเข้าไปกำหนดในเมนู SETTINGS ได้ว่าจะให้มีอินพุตอะไรโผล่ขึ้นมาให้เลือกบ้าง) ที่หัวข้อ AUDIO นั้น จะปรากฏตัวเลือกขึ้นมาบนจอให้คุณเลือก 3 ตัวเลือกย่อย..

.. คือ Bluetooth Output, DIRAC และ DAC Filter ตามภาพด้านบน
Bluetooth Output

กรณีที่คุณต้องการฟังเสียงจาก SA45 ผ่านทางหูฟังแบบไร้สาย อย่างเช่น ดูหนังตอนกลางคืนแล้วไม่อยากเปิดเสียงดังๆ รบกวนคนอื่น คุณสามารถเอาหูฟังบลูทูธของคุณมาจับคู่ (pairing) เข้ากับ SA45 ได้เลย ผ่านทางเมนู Bluetooth Output นี้ ส่วนตัวเลือกที่สองคือ DIRAC นั้น เป็นการเปิดใช้ฟังท์ชั่น Room Correction ‘Dirac’ (*ต้องสมัครใช้งาน, ต้องมีคอมพิวเตอร์สำหรับลงโปรแกรม และต้องมีไมโครโฟนสำหรับใช้วัดคลื่นเสียงด้วย **แนะนำให้ดูขั้นตอนเพิ่มเติมในคู่มือ)
DAC Filter

มาถึงหัวข้อที่สามคือ DAC Filter เป็นเมนูที่ให้มาสำหรับเลือกรูปแบบของวงจรดิจิตัลฟิลเตอร์ที่ใช้จัดการกับสัญญาณดิจิตัล อินพุตทุกช่องก่อนจะส่งเข้าสู่ภาค DAC ในขั้นตอนแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอก ซึ่งในนั้นมีดิจิตัล ฟิลเตอร์ให้เลือกทั้งหมด 4 ตัว ได้แก่
1. Minimum Phase / Fast Roll-off
2. Linear Phase / Apodizing
3. Linear Phase / Slow Roll-off
4. Minimum Phase / Slow Roll-off
ฟิลเตอร์แต่ละตัวมีหน้าที่จัดการกับความผิดเพี้ยนที่เกิดขึ้นในกระบวนการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด ซึ่งฟิลเตอร์ทั้ง 4 ตัว ต่างก็มีประสิทธิภาพในการจัดการกับความผิดเพี้ยนในกระบวนการแปลงดิจิตัลเป็นอะนาลอกได้พอๆ กัน แต่การทำงานของฟิลเตอร์ “แต่ละตัว” ต่างก็ต้องยอม “ลดหย่อน” คุณภาพของคุณสมบัติของเสียงแง่ใดแง่หนึ่งใน 3 คุณสมบัติหลักๆ นั่นคือ ความสามารถในการ ตอบสนองความถี่ (Frequency Response), ความถูกต้องแม่นยำทางด้านเฟส (Phase) และ ปัญหากระเพื่อม (Ringing) ในอัตราส่วนที่ต่างกันนิดๆ หน่อยๆ
ฟิลเตอร์ตัวแรก Minimum Phase / Fast Roll-off ตัวนี้จะให้การตอบสนองความถี่ไปได้ถึง 20kHz โดยไม่มีปัญหา pre-ringing (กระพือก่อนเข้าสู่ชิป DAC) แต่ปัญหา post-ringing (กระเพื่อมหลังออกจาก DAC) จะเยอะ ตัวที่สอง Linear Phase / Apodizing เป็นฟิลเตอร์ที่รอมชอมระหว่างคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่กับปัญหาริ้งกิ้ง ซึ่งมีผลให้ความถี่สูงจะเบาลงเล็กน้อย แต่ปัญหา pre-ringing กับปัญหา post-ringing จะพอๆ กันแต่เบาลงมาก ส่วนฟิลเตอร์ตัวที่สามคือ Linear Phase / Slow Roll-off ในย่านเสียงแหลมจะเบาลงพอสมควร ในขณะที่ปัญหาริ้งกิ้งทั้ง pre และ post-ringing จะเกิดขึ้นเท่าๆ กันในระดับความดังที่เบามากๆ และเกิดขึ้นสั้นมากๆ ตัวสุดท้ายคือ Minimum Phase / Slow Roll-off ตัวนี้จะให้ความถี่สูงที่เบาลงพอๆ กับตัวที่สาม แต่ไม่มีปัญหา pre-ringing ส่วนปัญหา post-ringing มีน้อยมากๆ ซึ่งตัวที่สี่นี้ในวงการผู้ผลิต ext.DAC ระดับไฮเอ็นด์ฯ นิยมใช้กันมาก
ใครที่ซื้อ SA45 ไปใช้กับแหล่งต้นทางที่เป็นสัญญาณดิจิตัล ต้องไม่ลืมทดลองฟังเสียงของดิจิตัล ฟิลเตอร์แต่ละตัวด้วย แล้วเลือกใช้ตัวที่ให้เสียงถูกใจมากที่สุด
เมนู Settings
หัวข้อหลักข้อที่สี่ที่ปรากฏอยู่ที่หน้า Home ก็คือ SETTINGS ซึ่งจะพาคุณไปยังการปรับตั้งค่าย่อยๆ อีกทั้งหมด 15 หัวข้อ ดังนี้

* ในภาพตกไปหัวข้อหนึ่ง ระหว่าง หัวข้อที่ 9 กับ หัวข้อที่ 10 จะมีอีกหัวข้อแทรกอยู่คือหัวข้อ “Show/Hide Inputs” ซึ่งเปิดโอกาสให้คุณเอาอินพุตที่ไม่ได้ใช้งานซึ่งไปปรากฏอยู่ในหัวข้อเมนูหลักที่ชื่อว่า “Inputs” ออกไป
มีระบบ “ส่องสว่าง” บนตัว SA45 อยู่ 2 จุด ที่สามารถสั่งหรี่ (dim) หรือสั่งปิด (off) ได้ จุดแรกคือหน้าจอแสดงผล กับแสงสว่างที่เป็นวงแหวนสีส้มอยู่รอบๆ ปุ่มเลือกอินพุตและปุ่มวอลลุ่ม ซึ่งจุดส่องสว่างทั้งสองจุดนี้ต้องควบคุมผ่านทางรีโมทไร้สาย (หน้าจอปรับด้วยปุ่มควบคุมโดยตรงบนตัวรีโมท ส่วนแสงวงแหวนสีส้มรอบๆ ปุ่มทั้งสองต้องเข้าไปควบคุมผ่านเมนูเครื่องในหัวข้อ Halo Brightness (1) ซึ่งผมทดลองปรับตั้งดูแล้ว ยืนยันว่า เมื่อสั่งปิด (off) ระบบส่องสว่างทั้งสองตำแแหน่งนี้ลง มีผลให้เสียงโดยรวมมีความเนียนละมุนมากขึ้น ถ้าต้องการฟังเพลงแบบเน้นคุณภาพสูงสุด แนะนำให้ปิดทั้งสองจุด (*ขั้นตอนการวิเคราะห์เสียงในการฟังทดสอบผมปิดทั้งสองจุดไว้)
ในอดีต Arcam เคยทำแอมป์ออกมารุ่นหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์นี้อย่างมาก นั่นคือรุ่น A49 อยู่ในตระกูล FMJ ใช้ภาคขยาย class-G ปัจจุบันตกรุ่นไปแล้ว ตัวนั้นเป็นอินติเกรตแอมป์ที่มีภาคขยายหัวเข็ม MM มาให้ ซึ่งผู้ผลิตอ้างว่า SA45 ตัวนี้ใช้พื้นฐานของภาคแอมปลิฟายมาจากรุ่น A49 แล้วนำมาเพิ่มเติมศักยภาพเข้าไปหลายด้าน นอกจากกำลังขับที่มากถึง 180W ต่อข้างแล้ว ทางด้านอินพุตที่ใส่เข้าไปก็จัดมาเต็มแม็ค มีให้ทั้งภาคขยายหัวเข็ม MM และ MC มีทั้งสตรีมเมอร์ และมีทั้งภาค DAC ในตัวพร้อมสรรพ รองรับสัญญาณจากภายนอกได้ครบทั้งอะนาลอกและดิจิตัล โดยเฉพาะสัญญาณดิจิตัลที่รองรับได้ทั้งแบบใช้สายและไร้สาย ทั้ง Bluetooth และ Wi-Fi
นอกจากนั้น ภายในตัว SA45 ยังได้ถูกผนึกมาด้วยความสามารถในการ “ขยับขยาย” ระบบให้เปิดกว้างขึ้นได้ในอนาคต ผ่านทางฟังท์ชั่น Pre-Out (5) ซึ่งจะทำให้คุณสามารถย้ายสัญญาณจากภาคปรีแอมป์ที่อยู่ในตัว SA45 ให้ออกมาไปจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ภายนอกได้ (*เมื่อปรับตั้งฟังท์ชั่นนี้ไปที่ตำแหน่ง ‘On’ ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว SA45 จะถูกตัดออกไป) และยังให้ช่องเอ๊าต์พุต Sub Out สำหรับสัญญาณความถี่ต่ำมาด้วยถึง 2 ช่อง สำหรับเชื่อมต่อกับซับวูฟเฟอร์สองตัวพร้อมกัน (ถ้าในระบบไม่ได้ใช้ซับวูฟเฟอร์ก็ให้เลือกไว้ที่ ‘No Sub’)
นอกจากจะให้ช่องอินพุต HDMI (eARC) มาแล้ว SA45 ยังมีฟังท์ชั่น TV Volume Control (9) มาให้ใช้เพื่อควบคุมความดังของเสียงของคอนเท็นต์ที่รับมาจากทีวีได้ด้วย เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากขึ้น
การเชื่อมต่อ Arcam ‘SA45’ เข้ากับระบบเสียง

ด้วยความสามารถรอบด้าน ทำให้สามารถเซ็ตอัพ SA45 เพื่อการใช้งานได้หลากหลายสภาวะมาก ภาพชาร์ตข้างบน แสดงความเป็นไปได้ในการใช้งาน SA45 เท่าที่จะสามารถใช้งานได้ จะเห็นว่า Arcam ‘SA45’ ตัวนี้ถูกออกแบบมาให้พร้อมสรรพสำหรับการใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะมุมไหนมันก็พร้อมรับได้หมด ในภาพชาร์ตข้างบนนั้นยังไม่ได้รวมการเชื่อมต่อกับเพาเวอร์แอมป์จากภายนอกในกรณีที่คุณต้องการอัพเกรดกำลังขับให้สูงขึ้นไปอีก ซึ่งก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติของความยืดหยุ่นที่ SA45 ตัวนี้มอบให้
ทดลองใช้งาน SA45 ในชุดฟังดูหนัง+ฟังเพลงในห้องรับแขก

ช่อง HDMI (eARC) ของ SA45 รองรับได้เฉพาะสัญญาณเสียงฟอร์แม็ต PCM เท่านั้น ไม่รองรับฟอร์แม็ตอื่น ต้องไม่ลืมปรับเอ๊าต์พุตของทีวีให้ปล่อยออกมาเป็นฟอร์แม็ต PCM ด้วย ซึ่งพลังของกำลังขับที่ 180W ต่อข้างของ SA45 ช่วยทำให้การดูหนังจาก Netflix ของผมมีอรรถรสมากขึ้นเยอะเลย ซึ่งลำโพงเล็กๆ อย่าง PSB รุ่น Alpha P3 ที่ผมใช้ประกบข้างๆ ทีวีอยู่ในห้องรับแขกมันเด่นในแง่ของมิติเวทีเสียงที่เปิดกว้างอยู่แล้ว พอได้กำลังขับถึงๆ จาก SA45 เข้ามาเสริม หนังมันส์ๆ อย่าง Mission Imposible ก็ดูสนุกได้อารมณ์ขึ้นมาอีกเยอะ.!! ส่วนการฟังเพลงผ่านสตรีมมิ่งของ SA45 ก็ช่วยเสริมบรรยากาศของห้องรับแขกให้คละคลุ้งไปด้วยเสียงเพลงทั้งวัน บางครั้งก็ใช้วิธีสตรีมผ่าน Bluetooth จาก iPhone 12 ของผมก็ได้เสียงที่ดีเกินพอสำหรับฟังแบบลำลองลักษณะนี้..
ในช่วงท้ายผมลองเปลี่ยนไปใช้ลำโพง Totem ‘The One’ เข้ามาแทน PSB ‘Alpha P3’ ปรากฏว่าได้เสียงที่เข้มข้นและหนักแน่นมากขึ้นเยอะ สนามเสียงแผ่ใหญ่ออกมาอีกมหาศาลเลย กำลังขับ class-G ที่ระดับ 180W ที่ 8 โอห์ม ของ SA45 ให้ความยืดหยุ่นมากจริงๆ กับการใช้งานลักษณะนี้ คิดว่าถ้าห้องรับแขกใหญ่ๆ พื้นที่กว้างๆ ด้วยกำลังขับขนาดนี้ น่าจะรับมือกับลำโพงตั้งพื้นขนาดใหญ่ได้สบายๆ
การทดสอบยกแรกสำหรับ SA45 ในลักษณะของการใช้งานแบบ all-in-one ในห้องรับแขกร่วมกับชุดดูหนัง–ฟังเพลงถือว่าสอบผ่านแบบสบายๆ รีโมทไร้สายที่ให้มาช่วยให้การควบคุมสั่งงานง่ายขึ้นมาก ส่วนอินพุต HDMI (eARC) อาจจะมีปัญหากับทีวีรุ่นเก่าๆ อยู่บ้าง แต่ก็มีอินพุต Optical มาให้ใช้ทดแทนกันได้อย่างดี เสียดายว่าตอนทดสอบผมไม่มีลำโพงซับวูฟเฟอร์อยู่ในมือ แต่พอเปลี่ยนลำโพงขนาดใหญ่ขึ้น เสียงทุ้มก็ออกมาเต็ม เพียงพอต่อความต้องการ ตอบโจทย์กับการดูหนังได้ดี ต้องขอบคุณกำลังขับที่ “มากพอ” ของ SA45 ที่ทำให้เสียงออกมาเต็มอิ่มอย่างมีคุณภาพ รวมถึงได้ความกระชับที่น่าพอใจ
การเชื่อมต่อใช้งาน และแม็ทชิ่งกับลำโพง
เซ็ตอัพที่ 2 กับการฟังเพลงในห้องฟัง


จบจากห้องรับแขก ผมยก SA45 เข้าห้องฟัง จัดชุดระดับกลางๆ เข้ากับ SA45 ให้มันขับลำโพง Wharfedale รุ่น EVO 5.4 (REVIEW) ราคาห้าหมื่นกว่า สลับกับ Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW) ราคาแปดหมื่นกว่า โดยใช้เครื่องเล่น CD/SACD ของ Arcam FMJ CDs27 เป็นแหล่งต้นทางเล่นแผ่น CD และแผ่น SACD เข้าทางอินพุต XLR ของ SA45 สลับกับการสตรีมไฟล์เพลงผ่านเข้าทางอินพุต Ethernet ของ SA45 โดยใช้แอพลิเคชั่น Mconnect ในการสตรีมไฟล์เพลงจาก NAS และ ฮาร์ดดิสพกพา (USB portable harddisk) สลับกับสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL ด้วยแอพฯ TIDAL Connect เข้าไปที่ SA45

เมื่อพิจารณาที่สเปคฯ “ความไว” กับ “กำลังขับที่แนะนำ” ของลำโพงทั้งสองคู่ที่นำมาทดลองจับคู่กับ SA45 จากตารางข้างบนนั้น เมื่อเทียบที่อิมพีแดนซ์เดียวกันคือ 4 โอห์ม จะพบว่า กำลังขับของ SA45 สามารถอัดฉีดขึ้นไปได้สูงสุดถึง 300W ต่อข้าง ในขณะที่ EVO 5.4 ต้องการสูงสุดแค่ 200W เท่านั้น ต่ำกว่าความสามารถของ SA45 ไปเยอะ ส่วน Classic 8 ก็ยิ่งต้องการน้อยลงไปกว่านั้นอีกคือแค่ 150W ก็เต็มที่แล้ว สรุปได้ว่า กำลังขับของ SA45 อยู่ในระดับมากเกินพอสำหรับการ “รีดเค้น” คุณภาพเสียงของลำโพงทั้งสองคู่นี้ให้ได้ออกมาเต็มที่จริงๆ ซึ่งจากการทดลองฟังเสียงที่ออกมาจากเพลงหลากหลายแนวที่ลองเล่นผ่านซิสเต็มนี้ก็พบว่ามันออกมาในแนวทางนี้

เพลง : Pillar I
ศิลปิน : Andy Akiho & Sandbox Percussion
ลิ้งค์ TIDAL : (https://tidal.com/browse/track/196421286?u)
อย่างแรกที่รับรู้ได้อย่างชัดเจนก็คือลักษณะของเสียงที่หลุดตู้ออกไปรอบด้าน กับหลายๆ เพลงที่โชว์มิติ–เวทีเสียงโดยเฉพาะแนวเพลงประเภทเพอร์คัสชั่น อย่างเช่นเพลง Pillar I ของ Andy Akiho & Sandbox Percussion ซึ่งมีทั้งเสียงเครื่องเคาะสารพัดรูปแบบ ทั้งชิ้นใหญ่และชิ้นเล็ก ซึ่งแต่ละชิ้นต่างก็แยกตัวฉีกห่างออกจากกันได้อย่างอิสระ ลอยละล่องปลิวออกมาจากตู้ลำโพงได้อย่างชัดเจน ซึ่งนอกจากตำแหน่งของเสียงเครื่องเคาะแต่ละเสียงที่กระจัดกระจายออกมาเกลื่อนกราดอยู่นอกตู้ลำโพงจะยืนยันได้ถึงพละกำลังที่เหลือล้นของ SA45 ตัวนี้แล้ว ในแง่ของความกระชับและน้ำหนักของตัวเสียงที่อิ่มแน่นของเสียงเครื่องเคาะที่มีความถี่ต่ำๆ ก็ยังช่วยยืนยันถึงพลังขับของภาคขยาย class-G ของ SA45 ว่ามันไม่ได้แตกต่างไปจากเสียงทุ้มของภาคขยาย class-AB ดีๆ เลย.. ซึ่งประเด็นนี้คือสิ่งที่ผมกังวลใจก่อนหน้านี้ เพราะเสียงทุ้มของแอมป์ class-D ในอดีตที่ออกแบบไม่ลงตัวมันยังฝังอยู่ในความทรงจำ.!!!
เสียงทุ้มที่มีลักษณะ “กลวง” ไม่มีนิวเครียสแน่นๆ คือจุดอ่อนของแอมป์ class-D ในยุคก่อนและเป็นเหตุผลที่ทำให้แอมป์ class-D ในอดีตไม่ได้รับการยอมรับ ซึ่งจริงๆ แล้ว แอมป์ class-G กับ class-D มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย และเท่าที่ผมรู้ ในวงการไฮไฟฯ ก็มีแต่ Arcam แบรนด์นี้แบรนด์เดียวที่พัฒนาแอมปลิฟายที่ใช้ภาคขยาย class-G แบบนี้ ส่วนแบรนด์อื่นจะนำไปใช้ในกิจการอื่น
ถ้าใช้แอมป์ class-G รุ่นเล็กๆ ของ Arcam ขับลำโพงที่ค่อนข้างโหด คุณอาจจะรู้สึกว่าเบสมันหลวมๆ ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเพราะสเปคฯ ลำโพงมันโหดเกินแอมป์ พอมาได้ยินเสียงของ class-G ที่มีกำลังขับเยอะๆ แบบ SA45 ตัวนี้แล้ว บอกเลยว่า แทบจะไม่มีตรงไหนของเสียงที่ต่างจากแอมป์ class-AB ที่ออกแบบลงตัวเลย แถมผมยังพบว่า กำลังขับของ SA45 ตัวนี้มันมีความสามารถในการ “แยกแยะ” รายละเอียดได้ดีกว่าแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-AB ที่มีราคาพอๆ กันซะอีก ผมจับความรู้สึกถึงความแตกต่างที่ว่าได้จากการทดลองฟังเพลงที่มีเสียงแหลมที่สวิงไดนามิกกว้างๆ และรุนแรง อย่างเช่น เสียงกีต้าร์ไฟฟ้า เป็นต้น

เพลง : This is My Rifle
ศิลปิน : John 5
ลิ้งค์ TIDAL : (https://tidal.com/browse/track/30041898?u)
เสียงกีต้าร์ของ John 5 เพลง This is My Rifle นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่โดดเด่นของภาคขยาย class-G ใน SA45 ตัวนี้.!!! ทุกโน๊ตที่เขากรีดลงไปบนสายกีต้าร์มันเปล่งออกมาเป็นเสียงที่อัดแน่นไปด้วยพลัง แต่ละโน๊ตที่วิ่งไล่กันไปเป็นขบวนแม้จะเร็วและกระชั้นชิด แต่ก็ยังสามารถแกะออกมาได้เป็นเม็ดๆ ไม่มีหลุดหล่นไปจากการรับฟัง แถมยังเปิดได้ดังมากๆ โดยไม่รู้สึกแสบแก้วหูเลย แสดงถึงการทำงานของภาคขยายที่มีความเพี้ยนต่ำมากๆ เพราะเพลงร็อคหนักๆ แนวกีต้าร์ฮีโร่แบบนี้ถ้าแอมป์เอาไม่อยู่จริงๆ ทั้งทางด้านดีไซน์และกำลังขับ เอามาเล่นเพลงแบบนี้แล้วเปิดดังๆ มีโอกาสมากที่เสียงจะออกมาจี๊ดจ๊าดบาดหู แต่ class-G ที่ 180 วัตต์ต่อข้าง ของ SA45 ตัวนี้ทำออกมาได้นิ่งมาก ในขณะที่เสียงดังลั่นเต็มห้องฟังของผม มันไม่ได้ส่ออาการให้เห็นเลยว่าจะป้อแป้หรือวูบวาบ ทุกเสียงยังคงพุ่งผ่านลำโพงออกมาได้อย่างบ้าคลั่ง หนักและรุนแรง ต่อเนื่องไปจนจบเพลง.. สุดจริง!
การเชื่อมต่อใช้งาน และแม็ทชิ่งกับลำโพง
เซ็ตอัพที่ 3 กับการฟังเพลงในห้องฟังแบบ “ไปให้สุด” เท่าที่ SA45 จะไปได้.!!


หลังจากลองฟังเสียงของ SA45 แบบเอาจริงเอาจังกับซิสเต็มที่สองในห้องฟังอย่างจุใจไปแล้ว ผมก็ทดลองแต่งองค์ทรงเครื่องอุปกรณ์อื่นรอบๆ ตัว SA45 ที่มีระดับสูงขึ้นไปอีกขั้น เป็นการจัดโจทย์ที่ยากขึ้นให้กับ SA45 ด้วยการเปลี่ยนมาใช้ลำโพงรุ่น MG1.7i ของแบรนด์ Magnepan ซึ่งเป็นลำโพง “ไร้ตู้” ที่ใช้ไดเวอร์แม็กนีพลาน่าร์ที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่

ถ้าเทียบกับ EVO 5.4 และ Classic 8 แล้ว จะเห็นว่าสเปคฯ อื่นๆ คือ “อิมพีแดนซ์” และ “ความถี่ตอบสนอง” ของ MG1.7i จะมีค่าเท่าและใกล้เคียงกัน ส่วนที่ต่างกันชัดเจนก็คือ “ความไว” กับ “กำลังขับที่แนะนำ” ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ลำโพง Magnepan ‘MG1.7i’ ต้องการกำลังขับจากแอมป์ที่สูงกว่า EVO 5.4 และ Classic 8 อยู่พอสมควร สังเกตได้จากกำลังขับของแอมป์ที่ผู้ผลิต MG1.7i แนะนำไว้ให้ใช้กับลำโพงของเขาว่า “ไม่น้อยกว่า 120W เป็นอย่างต่ำ” ที่ 4 โอห์ม หรือ 60W ที่ 8 โอห์ม แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับ SA45 เพราะถ้าวัดที่โหลด 4 โอห์ม กำลังขับของ SA45 จะขยับขึ้นไปได้สูงถึง 300W ที่โหลด 4 โอห์ม มากกว่าที่ MG1.7i ระบุไว้มากกว่าเท่าตัว..!!
หลังจากเปลี่ยนลำโพง MG1.7i เข้าไป ผมก็กดเข้าไปใน TIDAL เลือกเพลง Pillar I ของ Andy Akiho & Soundbox Percussion ขึ้นมาลองฟังทันที เพราะเสียงที่หลุดตู้ของเพลงนี้ตอนฟังผ่าน EVO 5.4 กับ Classic 8 ยังติดหูอยู่ อยากรู้ว่าพอมาเจอกับำลโพงที่โหดขึ้นอย่าง MG1.7i แบบนี้ กำลังขับ class-G ที่ 180W @ 8 โอห์ม ของ SA45 ยังชิลอยู่รึเปล่า.?
พอเสียงตูมแรกของเพลง Pillar I พุ่งออกมาเท่านั้น.. ผมก็แทบตกเก้าอี้.! โอ้มายก๊อด..!!! เสียงทุ้มที่ทั้งหนา แน่น และพุ่งแแรง มันปรากฏออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เป็นเสียงทุ้มที่ไม่อยากจะเชื่อว่าพุ่งออกมาจากลำโพงไม่มีตู้ MG1.7i ที่ใครๆ ก็บอกว่าขับยากขับเย็นคู่นี้ และหลังจากฟังจนจบเพลง ผมก็ฟันธงได้เลยว่า กำลังขับที่ 180W @ 8 โอห์ม ของ SA45 มันควบคุมลำโพง Magnepan ‘MG1.7i’ ได้สบายเลย (ผมใช้วอลลุ่มที่ SA45 ไปประมาณ 11 โมงเท่านั้น) ช่วงที่กำลังลองฟัง SA45 ทาง Roonlabs ประกาศว่า SA45 สอบผ่านคุณสมบัติของความเป็น Roon Ready แล้ว ผมจึงทดลองติดตั้ง Roon Core ลงบน Innuos ‘STREAM-1’ ซึ่งเป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตตัวใหม่ที่ผมได้มาแทน PULSE ตัวเดิม

เพื่อใช้ Roon เล่นไฟล์เพลงแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปให้ภาค DAC ในตัว SA45 ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอก แทนที่การเล่นผ่านแอพ Mconnect ที่ใช้อยู่เดิม ผลปรากฏว่า เสียงออกมาดีขึ้นกว่าเดิมพอสมควร ถือว่าเป็นการยกระดับคุณภาพเสียงของ SA45 ขึ้นไปอีกขั้น เมื่อทำงานร่วมกับ Roon บน Innuos ‘STREAM-1‘ พบว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่เปิดโปร่งมากขึ้น ช่องไฟระหว่างชิ้นดนตรีฉีกห่างออกไปมากกว่าเดิม ทำให้ได้ยินฮาร์มอนิกที่แผ่ออกไปรอบๆ ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นได้ชัดขึ้น ส่งผลต่อเนื่องให้เวทีเสียงกว้างขึ้น ลอยตัวมากขึ้น และยังรู้สึกได้ว่า เนื้อเสียงมีความนวลเนียนมากขึ้นด้วย ไม่น่าเชื่อว่า ด้วยโปรแกรม Roon Core + ฮาร์ดแวร์ Innuos ‘STREAM-1’ จะส่งผลกับเสียงของ SA45 มากขนาดนี้ ทุกเสียงฟังดีขึ้นหมด โดยเฉพาะความโปร่งโล่งของเสียง กับความชัดเจนของแต่ละเสียงดีขึ้นมาก..
ท้ายสุด ผมทดลองใช้งานเฉพาะภาคแอมปลิฟายของ SA45 ด้วยการใช้สตรีมมิ่งทรานสปอร์ต Innuos ‘STREAM-1’ จับคู่กับ ext.DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 Twenty แล้วต่อเชื่อมสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจากช่องบาลานซ์ XLR ของ QB-9 Twenty ไปเข้าที่ช่องอินพุตบาลานซ์ XLR ของ SA45 ซึ่งถือว่าเป็นการอัพเกรดภาค DAC ภายในตัว SA45 ไปใช้ภาค DAC จากภายนอกที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบตามเงื่อนไขข้างบนนั้นทำให้มองเห็นได้ชัดว่า ภาคแอมป์ของ Arcam ‘SA45’ มีคุณภาพที่เยี่ยมยอดมาก พออัพเกรดภาค DAC ซึ่งเป็นอินพุตให้มีคุณภาพสูงขึ้น มีผลให้คุณภาพเสียงโดยรวมของ SA45 ขยับสูงขึ้นไปทันทีอย่างมีนัยยะสำคัญ เหตุผลก็เป็นเพราะว่า คุณภาพของภาคขยาย class-G กับตัวเลขกำลังขับของ SA45 ที่สูงถึง 180W สามารถควบคุมลำโพง MG1.7i ได้อยู่หมัดอยู่แล้ว พอได้ต้นทางที่มีคุณภาพสูงขึ้น คุณภาพของต้นทางนั้นก็สามารถ “ถ่ายทอด” ผ่านแอมป์ของ SA45 ไปถึงลำโพงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยกระดับเสียงโดยรวมให้ดีขึ้นไปอย่างน่าประทับใจ หลังเปลี่ยนมาใช้ QB-9 Twenty พบว่าทุกเสียงมีมวลเนื้อที่เข้มข้นขึ้น บอดี้มีความหนามากขึ้น ปรากฏทรวดทรงออกมาเป็นสามมิติมากขึ้น ในแง่ “รายละเอียด” ก็ดีขึ้นด้วย คือรับรู้ลึกลงไปถึง texture ของแต่ละเสียงได้ชัดขึ้น รับรู้ได้ง่ายขึ้นว่าเสียงของเครื่องดนตรีชิ้นไหนทำด้วยไม้ ชิ้นไหนทำด้วยโลหะ รับรู้ได้ถึง “แรงกระทำ” ของนักดนตรีที่กระทำลงไปกับเครื่องดนตรีได้ชัดขึ้น ได้ยินชัดขึ้นว่า ในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้น เครื่องดนตรีชิ้นไหนเล่นเร็ว ชิ้นไหนเล่นช้า สามารถแยกแยะสปีดมูพเม้นต์ของแต่ละเสียงได้ชัดขึ้น และได้ “ไทมิ่ง” ของเพลงที่ถูกต้องตรงตามจังหวะลีลาของเพลงมากขึ้น ส่งผลให้ฟังเพลงได้อย่างมีอรรถรสมากขึ้น เข้าถึงอารมณ์เพลงได้ลึกซึ้งมากขึ้น..
สรุป
จากประสบการณ์ที่เคยทดลองฟังเสียงของภาคขยาย class-G ในแอมป์รุ่นเล็กๆ ของ Arcam ก็พอรับรู้ได้ถึงความเนียนและสะอาดของเสียงซึ่งเป็นจุดเด่นของภาคขยาย class-G แต่พอได้มาลองฟังภาคขยาย class-G ที่มีกำลังสูงๆ ของ SA45 ตัวนี้แล้ว ก็ทำให้ผมได้มีโอกาสรับรู้ถึง “ประสิทธิภาพ” ที่แท้จริงของภาคขยาย class-G ว่านอกจากความเนียนสะอาดของเสียงแล้ว มันยังสามารถถ่ายทอดรายละเอียดในระดับที่ลึกลงไปของแต่ละตัวเสียง (inner detail) ออกมาได้ด้วย ซึ่งเป็นความสามารถของแอมปลิฟายระดับไฮเอ็นด์ฯ ทั่วๆ ไป (*กำลังขับที่สูงถึง 180W ของ SA45 ทำให้สามารถใช้งานคู่กับลำโพงระดับสูงๆ ได้)
ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่อยู่ในตัว SA45 ที่ผมยังไม่ได้ทำการทดสอบ อย่างเช่น ภาคขยายหัวเข็ม MM/MC และฟังท์ชั่น Room Correction ของ DIRAC ซึ่งเมื่อนับรวมกับฟังท์ชั่นอื่นๆ ที่ผู้ผลิตบรรจุมาให้ ก็ต้องยอมรับว่า Arcam ‘SA45’ เป็นแอมป์ที่มีความพร้อมกับการใช้งานตั้งแต่ระดับง่ายสุด คือตัวเดียว + ลำโพงอีกหนึ่งคู่ ก็สามารถใช้งานได้ทั้งในห้องรับแขกและห้องฟังเพลงที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะได้อย่างมีคุณภาพแล้ว หรือจะอัพเกรดเสียงของ SA45 ขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการใช้งานในห้องฟังเพลงร่วมกับลำโพงระดับไฮเอ็นด์ฯ ก็สามารถทำได้ด้วย
ได้ลองทดสอบแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า SA45 มีคุณสมบัติสมกับความเป็น all-in-one ที่สมบูรณ์แบบจริงๆ แนะนำอย่างยิ่งสำหรับคนที่ต้องการแอมป์ที่ให้ครบทั้งกำลังขับ ฟังท์ชั่นครบ ตบท้ายด้วยคุณภาพเสียงที่น่าประทับใจ.!!!
****************************
ราคา : 200,000 บาท / เครื่อง
****************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: DECO2000Thailand



