ถ้าคุณมีงบประมาณมากพอ คุณจะเลือกเล่นแอมป์แบบไหน ระหว่าง A = “แอมป์รุ่นใหญ่ของแบรนด์เล็ก” กับ B = “แอมป์รุ่นเล็กของแบรนด์ใหญ่” ในขณะที่ A และ B มีราคาพอๆ กัน..??
ใครๆ ก็รู้และยอมรับว่า Accuphase เป็นชื่อของแอมป์ฯ ที่มีดีกรีระดับไฮเอ็นด์ฯ เกรดพรีเมี่ยม ซึ่งที่ผ่านมานั้น ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์นี้จะจับกลุ่มอยู่ในระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่มีราคา 3-4 แสนบาทต่อเครื่องขึ้นไปทั้งนั้น สาวกของแบรนด์นี้จะชื่นชอบแอมป์ของ Accuphase อยู่ 2-3 จุด อย่างแรกที่ผูกมัดใจของสาวกแอคคิวเฟสไว้ได้อย่างเหนียวแน่น และทำให้แบรนด์ Accuphase ยืนหยัดอยู่ในใจนักเล่นฯ มานานหลายสิบปีก็คือ “คุณภาพการผลิต” ที่เนี้ยบมาก ทุกตารางนิ้วบนตัวถังของผลิตภัณฑ์ล้วนสะท้อนถึงความปราณีตบรรจงในการผลิตที่ยากจะหาแบรนด์ใดมาเทียบ ซึ่งความเนี้ยบที่ว่านั้นได้ถูกถ่ายทอดมาจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้นักเล่นฯ ต่างพากันหลงไหลในความเป็น Accuphase และภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ
จุดเด่นลำดับที่สองที่ก็คือ “ฟังท์ชั่นใช้งานที่ให้มาครบมากๆ” ไม่ว่าจะเป็นปรีแอมป์ หรืออินติเกรตแอมป์ รุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ ผู้ผลิตก็ยังคงให้ความสำคัญกับฟังท์ชั่นใช้งานที่ครบครันพอกัน ส่วนจุดเด่นลำดับที่สามที่ทำให้ชื่อของ Accuphase สามารถยืนหยัดอยู่ในวงการไฮเอ็นด์มาได้อย่างเหนียวแน่นตั้งแต่กำเนิดแบรนด์ครั้งแรกมาจนถึงปัจจุบัน นั่นก็คือ “คุณภาพเสียง” ที่ให้มาตรฐานสูงมากทั้งค่าที่วัดด้วยเครื่องมือและน้ำเสียงที่รับรู้ได้จากการฟัง
E-280 ผู้สืบสานตำนาน “แอมป์เล็กที่ยิ่งใหญ่.!!”
แอคคิวเฟส เริ่มทำอินติเกรตแอมป์ออกมาตั้งแต่ ปี 1974 ด้วยรหัสรุ่น E-202 โดยให้กำลังขับสูงถึง 100W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ซึ่งเป็นกำลังขับที่ได้จากทรานซิสเตอร์ FET ก่อนจะมาเปลี่ยนเป็นทรานซิสเตอร์ MOS-FET ในรุ่น E-203 ที่ออกมาใน ปี 1979 ซึ่งเป็นยุคที่ทรานซิสเตอร์มอสเฟสกำลังได้รับความนิยม เพราะมีจุดเด่นตรงน้ำเสียงที่คล้ายกับแอมป์หลอดมากกว่า FET ที่ใช้ในยุคก่อนหน้านั้น แต่ MOS-FET ให้กำลังขับต่ำกว่า FET เมื่อใช้จำนวนเท่าๆ กัน ทำให้กำลังขับของรุ่น E-203 ตกลงมาอยู่ที่ 70W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม แต่นักเล่นฯ ในยุคนั้นกลับให้ความนิยมมากกว่ารุ่น E-202 เพราะชอบในน้ำเสียงมากกว่า
ตั้งแต่ ปี 1979 หลังจากปล่อย E-203 ออกมาในตลาด ทาง Accuphase ก็ได้ทำการปรับปรุงประสิทธิภาพของอินติเกรตแอมป์อนุกรม E-2xx มาโดยตลอด จาก E-203 มาเป็น E-204 ในปี 1981, E-205 ในปี 1985, E-206 ในปี 1989, E-207 ในปี 1992 ก่อนจะกระโดดมาเป็น E-210 ในปี 1995, E-211 ในปี 1998, E-212 ในปี 2001, E-213 ในปี 2005 แล้วก็กระโดดมาเป็นรุ่น E-250 ในปี 2008, E-260 ในปี 2012 และรุ่น E-270 ในปี 2016 ก่อนจะมาถึง E-280 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดในปัจจุบัน
E-280 กับหน้าตาที่สวยสง่า งานดีไร้ที่ติ.!

หน้าตาดั้งเดิมของรุ่น E-202 ที่ออกมาเมื่อ ปี 1975

เริ่มเปลี่ยนหน้าตาครั้งแรกในรุ่น E-207 เมื่อ ปี 1992

ปรับเปลี่ยนหน้าตาอีกครั้งในรุ่น E-210 เมื่อ ปี 1995 เริ่มเข้าสู่จุดลงตัว

หน้าตาของรุ่น E-280 ในปัจจุบันที่ปรับปรุงในระดับไมเนอร์แช้งมาจากรุ่น E-210
ตั้งแต่รุ่น E-202 เป็นต้นมาจนถึงรุ่น E-280 ในปัจจุบัน หน้าตาของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ได้ถูกปรับปรุงโฉมมาเรื่อยๆ โดยมีการปรับครั้งใหญ่เมื่อ ปี 1992 ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนในระดับเมเจอร์แช้ง ด้วยหน้าตาใหม่ที่แทบจะไม่เหลือเค้าเดิมของรุ่น E-202 ที่ออกมาเมื่อ ปี 1975 หลังจากนั้นก็มีการปรับเปลี่ยนในระดับไมเนอร์แช้งมาเรื่อยๆ จนถึงรุ่น E-280 ในปัจจุบัน
หน้าตาดี แถมด้วยฟังท์ชั่นที่จัดเต็มเหมือนเดิม.!

หน้าตาของ E-280 มาในโฉมสแตนดาร์ดของ Accuphase ยุคใหม่ทุกกระเบียดนิ้ว เริ่มตั้งแต่สีของแผงหน้าที่เป็นทองแชมเปญตัดกับตัวถังสีเทาอมน้ำตาลอ่อนๆ ที่ดูคลาสสิกมาก เป็นภาพลักษณ์ประจำตัวของแบรนด์ที่ทุกคนจำได้แค่แว้บแรกที่เห็น บนแผงหน้าปัดอุดมไปด้วยปุ่มปรับหมุนและปุ่มกดจำนวนมากที่ใช้ทำหน้าปรับแต่งฟังท์ชั่นต่างๆ ซึ่งถูกจัดวางเป็นหมวดหมู่อย่างลงตัว ทำให้ดูไม่รกแม้ว่าจะมีจำนวนมากก็ตาม
ปุ่มเลือกอินพุต (A) ถูกวางไว้เฉียงมาทางด้านซ้ายของหน้าปัด โดยมีปุ่มวอลลุ่ม (C) ที่มีลักษณะและขนาดเหมือนกันวางอยู่ทางขวาทำให้ดูสมดุล ตรงกลางระหว่างปุ่มหมุนทั้งสองเป็นจอแสดงผลขนาดใหญ่ (B) ถัดลงมาด้านล่างของจอแสดงผลเป็นพื้นที่ติดตั้งปุ่มกดและปุ่มหมุนปรับตั้งค่าสำหรับฟังท์ชั่นยิบย่อยต่างๆ (E) ที่มีมาให้ใช้งานทั้งหมด โดยมีปุ่มกดสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง (D) ขนาบอยู่ทางซ้ายและรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 6.3 ม.ม. (F) ประกบอยู่ทางขวา

จอแสดงผลที่มีมิเตอร์โชว์ปริมาณกำลังขับของภาคขยายแบบเรียลไทม์ด้วยเข็มกระดิก (G) แยกซ้าย–ขวา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์นี้ก็ยังคงมีอยู่ แต่มิเตอร์ของ E-280 จะต่างจากที่ใช้ในรุ่น E-270 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นก่อนหน้าอยู่นิดหนึ่ง ตรงสเกลทางด้านต่ำ (วัดปริมาณขยายต่ำๆ) ที่ใช้ในรุ่น E-280 ได้ถูกเพิ่มจาก -40dB ลงไปเป็น -50dB นั่นทำให้เข็มมิเตอร์ของรุ่น E-280 จะกระดิกให้เห็นมากขึ้น แสดงให้เห็นว่า ภาคขยายในรุ่น E-280 จะมี “ความไว” ในการขยายสัญญาณในระดับ Low-Level ได้ดีขึ้นกว่าเวอร์ชั่นเดิม ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงวงจรขยายในส่วนต่างๆ รวมถึงการปรับปรุงภาควอลลุ่มพิเศษ AAVA ล่าสุดที่ทำให้ได้ระดับ S/N ratio ของเสียงที่ดีขึ้นถึง 12% นั่นเอง
นอกจากนั้น ตรงจอเล็กๆ ที่เคยใช้แสดงระดับวอลลุ่มเป็นตัวเลข (H) ได้ถูกเพิ่มเติมให้แสดงอัตราแซมปลิ้งฯ ของสัญญาณดิจิตัล อินพุตด้วยหน่วย MHz ด้วย ซึ่งจะโชว์ให้เห็นในกรณีที่คุณติดตั้งและใช้งานบอร์ดอ๊อปชั่น DAC-60 ที่ช่องเสียบอ๊อปชั่นด้านหลังเครื่อง

พื้นที่แผงหน้าส่วนล่างของ E-280 ไม่มีแผ่นปิดที่แอคคิสเฟสเรียกว่า sub panel เหมือนรุ่นใหญ่ๆ ซึ่งปุ่มหมุนและปุ่มกดต่างๆ จะมีตัวอักษรระบุกำกับหน้าที่ไว้ให้เห็น เริ่มด้วยปุ่มกด MAIN IN (1) ซึ่งมีไว้ให้ใช้กรณีที่คุณต้องการใช้ภาคปรีแอมป์จากภายนอกเข้ามาทำงานร่วมกับภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว E-280 เมื่อกดปุ่มนี้จนไฟ LED ที่อยู่ด้านบนสว่างขึ้น ภาคปรีแอมป์ในตัว E-280 จะถูกปิดการทำงาน เปิดทางให้สัญญาณจากปรีแอมป์ภายนอกผ่านเข้ามาได้โดยอิสระ ซึ่งในกรณีนี้คุณต้องใช้ปุ่มวอลลุ่มของปรีแอมป์ภายนอกในการปรับระดับความดัง
ถัดมาทางขวามือเป็นสวิทช์หมุนปรับเลือกลักษณะการทำงานของภาคขยาย (2) ที่ใช้ชื่อกำกับว่า SPEAKER มีไว้ให้เลือกจับคู่ระหว่างภาคขยายภายในตัวเครื่องกับขั้วต่อสายลำโพงที่อยู่บนแผงหลังที่แบ่งอ๊อปชั่นออกเป็น 4 ตัวเลือก คือ OFF, A, B และ A+B ใครใช้ลำโพงแบบที่ให้ขั้วต่อสายลำโพงมา 2 ชุด แนะนำให้ลองหาสายลำโพงแบบ single ที่เหมือนกันมา 2 ชุดมาลองต่อเชื่อมระหว่างขั้วต่อสายลำโพงของ E-280 กับขั้วต่อสายลำโพงที่ตัวลำโพงของคุณโดยแยกใช้ขั้วต่อชุด A ของ E-280 ขับขั้วต่อสายลำโพงของตัวลำโพงที่ไปเลี้ยงไดเวอร์เสียงแหลม (High) และต่อเชื่อมชุด B ของ E-280 ไปขับที่ขั้วต่อชุดล่าง (Low) ของลำโพง จากนั้นให้เลือกอ๊อปชั่นที่ปุ่ม SPEAKER ของ E-280 ไปที่ตำแหน่ง A+B แบบนี้ก็เท่ากับว่าคุณแยกการเชื่อมต่อระหว่างภาคขยายของแอมป์กับไดเวอร์ของลำโพง “แต่ละตัว” ในลักษณะที่เป็นอิสระจากกัน “เกือบ” 100%
ถัดไปก็เป็นสวิทช์หมุนสำหรับฟังท์ชั่น recorder (3) ที่ใช้ในการบันทึกเสียง, ถัดไปเป็นสวิทช์หมุนเพื่อเลือกช่องอินพุตของโมดูล DAC-60 (4) ที่เป็นอ๊อปชั่น, ตามด้วยปุ่มกดที่ชื่อ DISPLAY เพื่อเลือกอ๊อปชั่นแสดงไฟบนหน้าจอ (5) ถัดไปเป็นปุ่มกด MC/MM (6) เพื่อเลือกภาคขยายหัวเข็ม, ปุ่มกด PHASE (7) ที่ใช้สลับเฟสของสัญญาณเสียงที่ส่งออกไปที่ลำโพง, ถัดไปเป็นปุ่ม TONE (8) ที่ใช้กดเปิดการทำงานของฟังท์ชั่นปรับทุ้ม–แหลม โดยปรับผ่านปุ่มหมุนทั้ง 2 อันที่อยู่ถัดไป (9, 10) ในกรณีที่คุณต้องการปรับปริมาณทุ้ม–แหลม, สวิทช์ BALANCE (11) ที่อยู่ถัดไปใช้หมุนปรับความดังของแชนเนลซ้าย–ขวา, ถัดไปคือปุ่ม MONO (12) ใช้กดเลือกเอ๊าต์พุตที่ออกมาระหว่างระบบโมโน/สเตริโอ, ถัดไปคือปุ่มกดเปิด/ปิดการใช้งานฟังท์ชั่น Loudness (13) และสุดท้ายทางขวามือสุดคือปุ่มกด ATT (14) ที่ใช้ลดความดังของเสียง
ขั้วต่อต่างๆ

จุดเชื่อมต่อทุกชนิด ยกเว้นรูเสียบแจ๊คหูฟัง ได้ถูกติดตั้งไว้ให้บริการอยู่ที่แผงหลังของตัวเครื่องทั้งหมด เริ่มด้วยช่องเสียบอ๊อปชั่นบอร์ดโฟโน AD-50 และบอร์ดดิจิตัล DAC-60 (I) ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือสุด, ถัดมาตรงกลางของแผงหลังจะมีกลุ่มของขั้วต่อ RCA ที่แยกเป็นสามกลุ่ม โดยที่กลุ่มแรก (J) มีไว้สำหรับเชื่อมต่อกับสัญญาณอินพุตทั้งหลายที่มีมาให้เลือกใช้มากถึง 5 อินพุต ส่วนอีกสองกลุ่มเป็นเซ็ตของขั้วต่ออิน/เอ๊าต์ (I/O) สำหรับ recorder (K, L) และช่องอิน/เอ๊าต์สำหรับภาคปรีเอ๊าต์ (M) และเมนอิน (N) เพื่อการอัพเกรดในอนาคต และที่ด้านล่างยังมีขั้วต่อสัญญาณอินพุตจากเครื่องเล่นซีดีหรือ DAC ที่ใช้ขั้วต่อเอ๊าต์พุตแบบบาลานซ์ XLR มาให้อีกหนึ่งชุด (O) ซึ่งทางผู้ผลิตออกแบบไว้ให้ใช้คู่กับเอ๊าต์พุตของเครื่องเล่นซีดีกับ ext.DAC ของเขาเอง เพราะได้เชื่อมต่อสัญญาณซีก + ไว้ที่ขาหมายเลข 3 ถ้าใครใช้เครื่องเล่นซีดีหรือ ext.DAC ที่ใช้ขั้วต่อมาตรฐานอื่นที่ต่อสัญญาณซีก + ไว้ที่ขาหมายเลข 2 ก็ต้องไปปรับเฟสของสัญญาณที่ปุ่ม PHASE บนแผงด้านหน้าเพื่อชดเชยเฟสให้ออกมาตรงกันด้วย
นอกนั้นที่เหลือก็เป็นช่องเสียบหัวปลั๊กของสายไฟเอซีแบบ IEC สามขาแยกกราวนด์ (P) กับกลุ่มของขั้วต่อสายลำโพง (Q) ที่แยกมาให้สองชุดเป็น Speaker A กับ Speaker B เพื่อแยกขับลำโพง 2 คู่ หรือดัดแปลงใช้กับลำโพงที่ให้ขั้วต่อสายสองชุดก็ได้ ซึ่งบอกเลยว่าผมชอบขั้วต่อสายลำโพงของ E-280 มาก มันแข็งแรงและให้ความมั่นใจในการเชื่อมต่อกับขั้วต่อของสายลำโพงได้ทุกรูปแบบ เป็นขั้วต่อสายลำโพงที่ดูดีมากๆ สมฐานะแอมป์ไฮเอ็นด์ฯ เต็มขั้นจริงๆ
จุดเด่นทางด้านการออกแบบ

วิศวกรที่แอคคิวเฟสใช้พื้นฐานการออกแบบการทำงานภายในของ E-280 ด้วยโครงสร้างที่เป็นแบบโมโนบล็อก คือใช้วงจรขยายสำหรับสัญญาณซีกซ้าย (Left Channel) กับซีกขวา (Right Channel) ที่เหมือนกัน 100% แยกการทำงานเด็ดขาดจากกัน โดยมีภาคเพาเวอร์ซัพพลายที่ใช้ทรานฟอร์เมอร์ขนาดใหญ่ร่วมกับฟิลเตอร์ คาปาซิเตอร์ที่ผลิตขึ้นมาพิเศษ มีความจุมากถึง 30000 ไมโครฟารัด จำนวน 2 ลูกเป็นหน่วยเสริมกำลัง ทำให้ได้กำลังขับออกมาที่ 90W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม ซึ่งเป็นตัวเลขตามมาตรฐานการวัดค่าที่ใช้กันทั่วไป แต่จริงๆ แล้วที่โหลด 8 โอห์ม นั้น ภาคขยายของ E-280 ยังมีความสามารถในการจ่ายกำลังขับออกไปได้มากกว่านั้นอีกประมาณ 15W รวมเป็น 105W ที่โหลด 8 โอห์ม และเมื่อโหลดลดต่ำลงมาอยู่ที่ 4 โอห์ม ภาคขยายในตัว E-280 สามารถปั๊มกำลังขับออกไปได้เพิ่มขึ้นเป็น 120W ตามมาตรฐานทั่วไป ส่วนความสามารถที่ซ่อนอยู่ยังไปได้ถึง 150W ที่โหลด 4 โอห์ม แม้ว่ากำลังสำรองของ E-280 จะไม่ได้มากเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับกำลังขับที่โหลด 8 โอห์มมาตรฐานก็ตาม แต่จากตัวเลขที่แสดงออกมานั้นก็นับว่า “สูงพอสมควร” เมื่อคำนึงถึงมาตรฐานในการแจงตัวเลขกำลังขับของแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ ที่มักจะไม่ค่อยโกงตัวเลขกัน
จุดเด่นที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งคือ “ระบบวอลลุ่ม” ที่ออกแบบขึ้นมาเป็นพิเศษ ซึ่งทางอิคคิวเฟสตั้งชื่อเรียกไว้ว่า Accuphase Analog Vari-gain Amplifier โดยใช้ตัวย่อ AAVA เป็นระบบวอลลุ่มที่สามารถขจัดรีซีสเตอร์ออกไปจากเส้นทางสัญญาณได้อย่างเด็ดขาด ไม่เหมือนระบบวอลลุ่มแบบ attenuate ที่ต้องอาศัยตัวต้านทาน (รีซีสเตอร์) เข้ามาคอยดรอปสัญญาณอินพุตเพื่อลดเกน ซึ่งส่งผลทำให้สัญญาณเสียงสูญเสียความบริสุทธิ์ลงไป เทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบระบบวอลลุ่ม AAVA นี้วิศวกรของแอคคิวเฟสเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง และเวอร์ชั่นที่ใช้ใน E-280 เป็นเวอร์ชั่นที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงมาล่าสุด ทำให้สามารถลด noise ในระบบวอลลุ่มลงไปได้มากกว่าระบบวอลลุ่ม AAVA เวอร์ชั่นก่อนหน้าถึง 12dB
อีกคุณสมบัติที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมลำโพงของ E-280 ให้ดีขึ้นกว่ารุ่นเก่า E-270 นั่นคือตัวเลข “damping factor” (DF) ที่ทำได้สูงถึง 500 ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดวงจรขยายที่ให้ปริมาณกระแสสูงในขั้นตอนท้ายสุดแบบ push-pull ด้วยทรานซิสเตอร์ไบโพล่าที่ให้ความเป็นเชิงเส้นสูง ประกอบกับอิมพีแดนซ์ที่ต่ำซึ่งได้จากเทคนิคที่ชื่อว่า Balanced Remote Sensing ซึ่งยังทำให้ได้ผลดีต่อความเพี้ยน THD และ IMD ที่ลดต่ำลงมากอีกด้วย ความพิถีพิถันในการเชื่อมต่อสายกับการจัดวางคอมโพเน้นต์ภายในที่คำนึงถึงผลกระทบทุกจุดก็มีส่วน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นผลทำให้ได้ค่าแด้มปลิ้ง แฟ็คเตอร์ที่สูงถึง 500 อย่างที่ว่า ถ้าเปิดฝาเครื่องออกมาดูการจัดวางแผงวงจรและคอมโพเน้นต์ภายในแต่ละส่วนจะเห็นเลยว่า ไส้ในของ Accuphase E-280 มันดูสะอาดและเป็นระเบียบมาก.. ไม่มีรุงรัง หรือเลอะเทอะ ระเกะระกะเหมือนแอมป์บางยี่ห้อ
อ๊อปชั่นพิเศษ.!

สำหรับคนที่ชอบซิสเต็มที่เรียบง่าย อยากได้แอมป์ที่ “จบในตัว” คุณก็สามารถสั่งเพิ่มบอร์ดสำหรับสัญญาณอินพุตเสริมให้กับ E-280 ได้ถึง 2 บอร์ด คือบอร์ด AD-50 สำหรับขยายสัญญาณหัวเข็ม MM/MC จากเครื่องเล่น กับบอร์ด DAC-60 ที่ใช้รองรับสัญญาณดิจิตัลจากคอมพิวเตอร์ที่ใช้ขั้วต่อ USB และแหล่งต้นทางอื่นๆ ที่ใช้ขั้วต่อในการส่งสัญญาณแบบ Optical หรือ Coaxial

E-280 มีรีโมทไร้สายมาให้ใช้ควบคุมการทำงานระยะไกลด้วย ขนาดกำลังเหมาะมือ สีทองเข้ากับตัวถังเครื่อง
ทดลองแม็ทชิ่ง กับ ผลการรับฟัง
เนื่องจาก E-280 ตัวที่ทางตัวแทนส่งมาให้ทดสอบนี้ ได้ติดตั้งโมดูลดิจิตัล DAC-60 มาให้ด้วย ผมจึงทดลองฟัง E-280 ผ่านอินพุต Coaxial บนตัวโมดูล DAC-60 เป็นส่วนใหญ่ และใช้ DAC ข้างนอกผ่านเข้าทางอินพุต analog สลับฟังในบางครั้ง
ส่วนลำโพงที่ลองฟัง ช่วงที่ E-280 เข้ามาอยู่ในห้องทดสอบของผม ผมมีลำโพงที่นำมาใช้ทดลองจับคู่กับแอมป์ตัวนี้อยู่ 4 คู่ เริ่มจาก Monitor Audio รุ่น Silver 100 Limited Edition (REVIEW), Mission รุ่น 700 (REVIEW), Totem Acoustic รุ่น The One และ Fyne Audio รุ่น Vintage Classic XII (REVIEW) ซึ่งลำโพงทั้งสี่คู่ระบุสเปคฯ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้คำนวนเพื่อแม็ทชิ่งกับแอมป์ฯ ไว้ตามนี้

กับตัวเลขกำลังขับที่ 90W บนโหลด 8 โอห์มของ E-280 เมื่อนำมาคำนวนกับอัตรา power recommended ที่ระบุมาในสเปคฯ ของลำโพงทั้ง 4 คู่ จะพบว่า Monitor Audio : Silver 100 LE กับ Mission 700 สองคู่นี้มีสเปคฯ power requirement ที่อยู่ในระดับที่ E-280 เอาอยู่สบายๆ และจากการทดลองจับคู่กันแล้วลองฟังเสียงจริงๆ ก็เป็นไปตามคาด คือ E-280 ขับ Silver 100 LE และ Mission 700 ออกมาได้เต็มที่ สนามเสียงแผ่เหยียดออกไปเต็มห้องโดยไม่มีอาการ “ดัน” ออกมา เสียงลอย โปร่ง รายละเอียดกระจายเต็ม


ส่วน Fyne Audio : Vintage Classic XII นั้นถ้าดูแค่ตัวเลข “กำลังขับสูงสุด” ที่แนะนำไว้อาจจะดูเหมือนโหด แต่เมื่อไปดูตัวเลข “ความไว” ประกอบกับตัวเลข “กำลังขับต่ำสุด” ที่แนะนำไว้ก็ไม่ได้โหดมากอย่างที่เข้าใจ เพราะถ้าเอาสเปคฯ ไปเทียบกับ Mission : 700 จะเห็นว่า Vintage Classic XII มีความไว “สูงกว่า” Mission : 700 มากถึง 10dB ซึ่งหลังจากผมทดลองจับคู่กันแล้วเปิดเพลงฟังจริงๆ พบว่า เสียงที่ออกมาก็แผ่เต็มห้องเหมือนกัน ไม่มีอาการที่จะแสดงว่าขับไม่ออกเลย การควบคุมอัตราสวิงของไดนามิกก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยเฉพาะเสียงทุ้มที่ผมเพ่งเล็งตั้งแต่แรก กลัวว่า E-280 จะเอาไม่อยู่

อัลบั้ม : Master Of Chinese Percussion (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Yim Hok-Man
สงกัด : LIM (K2HD Mastering)
แต่พอฟังเสียงกลองจีนจากอัลบั้มชุด Master Of Chinese Percussion แล้วความกังวลในใจผมก็มลายไปสิ้น เพราะกำลังขับ 90W ที่ 8 โอห์ม ของ E-280 มันสามารถกระทุ้งเสียงหวดกลองจีนของยิม ฮอคมันในอัลบั้มนี้ให้กระเด็นหลุดจากตู้ลำโพงออกมาลอยอยู่ในอากาศได้อย่างชัดเจน หลุดออกมาเป็นตัวเสียงทุ้มที่มีทั้งความอัดแน่นของมวลเนื้อและพลังสวิงไดนามิกที่เด้งดึ๋ง เด่นชัดอยู่ในพื้นอากาศระหว่างลำโพงทั้งสองข้าง จากเสียงที่ได้ยิน ณ จุดนั่งฟังที่ถอยเลยจุด sweet spot ออกมาประมาณ 2 ฟุต ผมไม่รู้สึกเลยว่าเสียงกลองที่กำลังฟังมันออกมาจากลำโพง.!!

อัลบั้ม : Knockout 2000 (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Charly Antolini
สังกัด : in-acoustik
เพื่อให้ชัวร์ ผมเลือกงานเพลงของชาลี แอนโตลินี่ ชุดนี้ออกมาฟังต่อทันที ผลปรากฏว่า E-280 ก็ยังสามารถควบคุมเสียงกลองที่ทั้งหนัก เร็ว และรุนแรงของอัลบั้มนี้ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง เสียงทุ้มกระชับและเก็บตัวได้อย่างหมดจด เสียงกระเดื่องสะอาด มีมวลเข้ม หางเสียงรวบรัด ไม่มีอาการบวมหรือฟุ้ง ถ้าจะมองหาเรื่องติก็คงเป็นเรื่องสปีดของหัวเสียงโน๊ตในย่านต่ำที่ยังขาดความฉับพลันไปนิด
ผมนั่งฟัง E-280 ขับ Vintage Classic XII อยู่นานหลายชั่วโมง พบว่าเสียงโดยรวมไม่มีอาการว่าจะขับไม่ออกเลย ไม่ว่าจะลองฟังจากเพลงแนวไหน เพลงช้า, เพลงเร็ว มันไปได้หมด มีแค่แนวเดียวที่รู้สึกว่าลักษณะของ “ซาวนด์” ที่ออกมามันยังไม่เข้าสไตล์ของเพลง นั่นคือเพลงแนวร็อคหนักๆ ที่มือกลองกระแทกกระเดื่องสู้กับเสียงเบสที่รัวเร็วๆ ซึ่งผมรู้สึกว่าช่วงเบสต่ำๆ มันยังมีความคลุมเครือ ในแง่มวลนั้นมีออกมาให้เหลือเฟือ แต่การแยกแยะรายละเอียดของโน๊ตเบสกับหัวกระเดื่องมันขาดความชัดเจนไปหน่อย อีกทั้งในแง่สปีดของหัวเสียงในย่านเบสก็จะช้าไปนิด ซึ่งประเด็นนี้ผมว่าต้นเหตุน่าจะมาจากทั้งแอมป์และลำโพงผสมกัน สัดส่วนน่าจะอยู่ราวๆ 40:60 (แอมป์:ลำโพง) ใครที่ชอบเพลงแนวร็อคหนักๆ น่าจะไม่ตรงแนวของแอมป์+ลำโพงคู่นี้ นอกนั้นไปได้หมด โดยเฉพาะเสียงกลางที่ E-280 + Vintage Classic XII จับมือกันถ่ายทอดออกมามันช่างน่าฟังซะจริงๆ ผลลองฟังเสียงร้องของนักร้องเก่าๆ อย่าง Nat King Cole, Tony Bennett, Ray Charles, Frank Sinatra และ Perry Como ฯลฯ ซึ่งเสียงที่ออกมามันได้อารมณ์มาก.! ทั้งใหญ่ อิ่ม และหนา มาครบ เป็นประจักษ์พยานอย่างดีที่ชี้ให้เห็นถึงบุคลิกและคุณภาพของเสียงกลางที่ E-280 มีอยู่ในตัว สมคำร่ำลือที่มักจะได้ยินเขาว่ากันว่า เสียงกลางของ Accuphase มันติดหวานและอิ่มเอิบมากเป็นพิเศษ แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ผมพบว่า “ความอิ่มเอิบ” ในย่านเสียงกลางที่แอคคิวเฟสให้ออกมามันก็ไม่เหมือนกับความอิ่มเอิบที่แอมป์หลอดให้ออกมา คือเสียงกลางที่ได้ยินจาก E-280 (และแอมป์ของ Accuphase ตัวอื่นๆ ที่เคยทดสอบไป) มันจะแฝงความทะมัดทะแมงผสมอยู่กับความอิ่มเอิบที่ว่า ในขณะที่แอมป์หลอดมักจะมีความเอื่อยช้าแฝงมากับความอิ่มเอิบที่ว่า อุปมาประมาณว่า Accuphase เอานักร้องที่เล่นกีฬาประจำมาร้องให้เราฟัง ในขณะที่แอมป์หลอด (ส่วนใหญ่) เอานักร้องที่ไม่ได้เล่นกีฬามาร้องให้เราฟัง

อัลบั้ม : Getting To Know You (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Jheena Lodwick
สังกัด : The Musiclab
ในจำนวนลำโพงทั้ง 4 คู่ที่ผมเอามาจับคู่กับ E-280 ครั้งนี้ ถ้าวัดกันที่ “ความเสมือนจริง” ของเสียงแต่ละเสียงที่ถ่ายทอดออกมา ผมยกให้ E-280 + The One ซึ่งเป็นคู่แอมป์+ลำโพงที่ให้ความถี่เสียงในย่านกลาง–แหลมออกมาได้สมจริงมากที่สุด แต่เป็นความสมจริงที่มีสีสันของ “ความหวาน” ปะแล่มๆ ติดออกมาด้วย ซึ่งแนวเสียงของ The One นั้นผมคุ้นเคยดี โดยมากแล้วมันจะให้เสียงในย่านกลางสูงขึ้นไปถึงเสียงในย่านแหลมที่มีลักษณะเปิดเผย มีพลังดีดตัว ปลายเสียงจะติดสว่างนิดๆ ฟังรวมๆ จะออกแนวสด แต่เมื่อมาจับกับ E-280 ความสดระริกระรี้ของปลายเสียงแหลมได้ถูกกำหราบให้สงบเสงี่ยมลงมาระดับหนึ่ง แม้ว่าโดยรวมยังคงมีลักษณะที่เปิดกระจ่างอยู่ แต่ไม่เด้งดีดมาก ซึ่งผมเข้าใจว่าบุคลิกที่เก็บรวบปลายเสียงแบบนี้น่าจะเป็นแนวเสียงของแอคคิวเฟสที่แสดงตัวตนออกมาผ่านทางเดอะ วัน จนได้ส่วนผสมที่น่าฟังไปอีกแบบ เรียกว่า E-280 เข้ามาทำให้ The One ฟังดูสุภาพมากขึ้น เป็นผู้ดีมากขึ้น เสียงร้องของจีน่า ล็อควิกในเพลง A Groovy Kind Of Love ฟังดูสุภาพเรียบร้อยมากกว่าทุกครั้งที่เคยฟัง สากเสี้ยนที่เคยเกาะติดมากับเสียงร้องหายไปเยอะ เสียงทุบตุ๊บๆ ตอนขึ้นต้นเพลงนี้ฟังแล้วนึกถึงกลองคาฮองมาก

ในช่วงท้ายๆ ของการทดสอบ ผมได้ลองทดสอบภาคเพาเวอร์แอมป์ของ E-280 ด้วย โดยใช้ Audiolab Omnia ซึ่งเป็นออล–อิน–วันที่มีภาคปรีแอมป์ในตัวทำหน้าที่เป็นทั้ง source และปรีแอมป์ส่งสัญญาณไปเข้าที่อินพุต MAIN IN ของ E-280 พบว่า เสียงออกมาดีมาก คุณภาพเสียงโดยเฉลี่ยก็อยู่ในระดับใกล้เคียงกับตอนใช้อินพุต Coaxial กับภาคปรีในตัว E-280 แต่การใช้เฉพาะภาคเพาเวอร์แอมป์ของตัว E-280 ทำให้ได้โทนเสียงที่ต่างไปจากเดิม คือรู้สึกว่าโทนเสียงโดยรวมจะมีความสดกระจ่างมากขึ้น ซึ่งเป็นโทนบุคลิกของ Audiolab เข้ามาผสมผสานนั่นเอง ฟังเพลินไปอีกแบบ
สรุป
ทาง Accuphase ทำ E-280 ออกมาไม่เหมือนว่าจะเจตนาให้มันเป็นรุ่นเล็กเลย เพราะนอกจากความพิถีพิถันของงานผลิตและออกแบบแล้ว ฟังท์ชั่นการใช้งานที่ให้มาก็เต็มเหยียด เทียบเท่ากับที่ให้มาในรุ่นใหญ่แบบไม่มีตัดทอน ยิ่งถ้าใส่โมดูล Phono และโมดูล DAC เข้าไปด้วยก็แทบจะเป็น all-in-one ที่สมบูรณ์แบบเลย จะขาดก็แค่สตรีมเมอร์อย่างเดียวเท่านั้นเอง.! ทำไม Accuphase ไม่ทำออกมา..???
หลังจากได้มีโอกาสทดสอบอยู่นานนับเดือน ผมก็กล้าฟันธงเลยว่า ในงบ ไม่เกิน 200,000 บาท ต้องยกให้ E-280 ยืนหนึ่งไปเลย ยากที่จะหาแอมป์ตัวไหนมาเทียบเคียง ไม่ว่าจะในแง่ของรูปร่างหน้าตา, ฟังท์ชั่นใช้งาน รวมถึงคุณภาพเสียง อินติเกรตแอมป์ E-280 ตัวนี้ทำคะแนนได้ชนเพดานทุกข้อ..!!! /
********************
ราคา : 179,000 บาท
(พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ แถมฟรี โมดูล DAC-60 กับสตรีมเมอร์ทรานสปอร์ตของ Primare รุ่น NP5 Prisma MK II)
********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
บ. HI-END AUDIO
โทร. 02-101-1988
facebook: @hiendaudiothailand



