เรื่องของ noise หรือ “สัญญาณรบกวน” ที่ส่งผลกับ “สัญญาณเสียง” เป็นอะไรที่สร้างความประหลาดใจให้กับนักเล่นเครื่องเสียงได้เสมอ อย่างกรณีของตัว Network Switch ที่ตอนแรก ก่อนที่จะได้ทดลองใช้ ผมเองยังคิดว่ามันไม่น่าจะมีผลมาก แต่พอได้ลองแล้วกลายเป็นถอดไม่ออกเลย.!!
นับถึงตอนนี้ ผมได้มีโอกาสทดลองใช้ตัว Network Switch มาแล้วเกือบสิบตัว โดยใช้งานร่วมอยู่ในชุดเครื่องเสียงหลากหลายรูปแบบ ผมพบว่า “ทุกตัว” มีผลช่วยลด noise ในชุดเครื่องเสียงลงไปได้จริง ในระดับมาก–น้อยแตกต่างกันไป และส่งผลกับ “เสียง” ต่างกันในรายละเอียดปลีกย่อย
ผลของ noise ที่เกิดกับสัญญาณเสียง
noise หรือสัญญาณรบกวนที่ปรากฏอยู่ในวงการเครื่องเสียงมีอยู่หลากหลายรูปแบบ บางชนิดนั้นแสดงตัวตนของมันออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน อย่างเช่น เสียงฮัมที่เกิดจากกราวนด์ลู๊ป ซึ่งเป็น noise ที่อยู่ในย่านความถี่ต่ำ จะปรากฏตัวออกมาให้ได้ยินชัดที่วูฟเฟอร์ของลำโพง อีกประเภทของ noise ที่เป็นเสียงซ่าซึ่งอยู่ในย่านเสียงแหลมจะไปโผล่ออกมาให้ได้ยินทางทวีตเตอร์ของลำโพง ซึ่ง noise ทั้งสองประเภทนั้นมีแหล่งกำเนิดมาจากภายนอกของซิสเต็ม อย่างเช่นกราวนด์ลู๊ปที่เกิดจากระบบไฟฟ้า ซึ่งวิธีป้องกันก็คือหา ตัวกรองไฟ (power conditioner) มาใช้ก็จะสามารถกำจัดปัญหาออกไปได้ ส่วน noise ที่ความถี่สูงก็มักจะมาจากคลื่นวิทยุ (Radio Frequency Interference) กับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (Electromagnetic Interference) ก็เกิดจากการเหนี่ยวนำของสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นรอบๆ สายเชื่อมต่อต่างๆ รวมถึงหม้อแปลงในอุปกรณ์เครื่องเสียงด้วย
สัญญาณรบกวนที่มีจุดกำเนิดมาจาก “ภายนอก” ชุดเครื่องเสียงแก้ไขได้ไม่ยาก แต่ยังมีสัญญาณรบกวนอีกประเภทที่เกิดขึ้น “ภายใน” ตัวอุปกรณ์เครื่องเสียง อันนี้จะแก้ไขยากกว่า และตรวจสอบยากกว่าด้วย เพราะ noise ที่เกิดขึ้นจากภายในตัวอุปกรณ์เครื่องเสียงมันจะ “ควบกล้ำ” (modulate) เข้ากับสัญญาณเสียง แทรกซึมและกลมกลืนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งโดยปกติแล้ว อุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีคุณภาพดี ราคาสูงๆ ผู้ออกแบบจะให้ความพิถีพิถันในการออกแบบและเลือกใช้คอมโพเน้นท์ภายในที่มีคุณภาพสูง มีความเพี้ยนต่ำ มีการระมัดระวังในการออกแบวงจรที่ไม่ทำให้เกิด noise ได้ง่าย เครื่องเสียงระดับนี้จึงให้สัญญาณรบกวนต่ำกว่าเครื่องเสียงที่มีราคาไม่สูง
สัญญาณรบกวนที่มากับคอมพิวเตอร์
การสตรีมไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คยุคแรกๆ จะอาศัยฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบมาสำหรับใช้งานในวงการคอมพิวเตอร์ไอทีซะเป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นฮาร์ดแวร์ที่ออกแบบและผลิตโดยแบรนด์ผู้ผลิตในวงการเครื่องเสียงก็มีแค่ DAC ส่วนตัวสตรีมเมอร์รวมถึงอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ในเครือข่ายเน็ทเวิร์ค อาทิเช่น router ล้วนเป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบและผลิตมาจากฝั่งคอมพิวเตอร์ไอทีทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่าฝั่งไอทีเขาไม่ได้ให้ความสนใจกับ “คุณภาพเสียง” มากเท่ากับฝั่งของคนเล่นเครื่องเสียง
ปัจจุบัน อุปกรณ์ประเภทสตรีมเมอร์ก็เริ่มจะได้รับการดูแลจากผู้ออกแบบที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพเสียงมากขึ้น สามารถขจัดปัญหาของสัญญาณรบกวนออกไปได้มากแล้ว ส่วนที่ยังถูกรบกวนจาก noise ในระบบเน็ทเวิร์คก็คือตัว router ซึ่งมีโอกาสที่จะเปิดรับสัญญาณรบกวนเข้ามาในระบบได้ง่ายมาก และถ้าไม่มีการป้องกันหรือสกัดเอาไว้ สัญญาณรบกวนที่เข้ามาทาง router และสาย LAN ก็จะแทรกซึมเข้ามาถึงชุดเครื่องเสียงผ่านทาง DAC และปรีแอมป์
ในขณะที่เรายังไม่มี router ที่ออกแบบและผลิตโดยเทคนิเชี่ยลที่เข้าใจเกี่ยวกับคุณภาพเสียง ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันไม่ให้ noise จากระบบเน็ทเวิร์คทะลุทะลวงเข้ามาถึงชุดเครื่องเสียงได้ก็คือ สร้างกำแพงสกัดมันไว้ด้วยอุปกรณ์เสริมที่มีชื่อว่า ‘Network Switch’ นี่แหละ..!!!
Nordost QNET
ที่สุดของ Network Switch ในเพลานี้..!!!
คุณสมบัติแรกที่ทำให้ QNET ถูกมองว่าเป็น “ที่สุด” สำหรับอุปกรณ์เสริมประเภท Network Switch ก็คือ “ราคา” ของมัน ซึ่งผู้ผลิตตั้งไว้สูงถึง 144,000 บาท ต่อตัว..!!! ซึ่งถือว่าเป็น Network Switch ที่มีราคาสูงที่สุดเท่าที่มีอยู่ในตลาดเวลานี้ ทำไมพวกเขาถึงกล้าทำ Network Switch ที่มีราคาสูงขนาดนี้ออกมา..?
จากข้อมูลในเว็บไซต์ระบุว่า Nordost ใช้เวลาในการวิเคราะห์อุปกรณ์ประเภท Network Switch ทั้งที่เป็นเกรด IT และ Network Switch ระดับออดิโอเกรดที่มีจำหน่ายอยู่ในตลาดเครื่องเสียงอยู่นานเพื่อศึกษาข้อดี–ข้อเสียขององค์ประกอบต่างๆ ของอุปกรณ์ประเภท Network Switch ที่ส่งผลกับ “คุณภาพเสียง” หลังจากเก็บข้อมูลจนมั่นใจ พวกเขาจึงลงมือออกแบบและผลิต QNET ออกมาอย่างที่เห็น
รูปร่างภายนอก
ที่มาของราคาที่สูงลิ่วปรากฏอยู่บนตัว QNET และภายในตัวของมัน เริ่มจากบอดี้ภายนอกที่มีลักษณะแปลกตาเพราะทำเป็นทรงกลมแบนเหมือนจานบิน ความหนาอยู่ที่ 4 ซ.ม. เส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 16.5 ซ.ม. วัสดุที่ใช้ทำตัวถังคืออะลูมิเนียมที่ตัดขึ้นรูปมาเป็นพิเศษ ดูก็รู้ว่าทำขึ้นมาเฉพาะ ต้นทุนสูงแน่นอน แต่ข้อดีของบอดี้อะลูมิเนียมก็คือช่วยสกัดสัญญาณรบกวนจากภายนอกตัวถังที่อยู่ในรูปของคลื่นความถี่สูงได้ดีกว่าบอดี้ที่ทำด้วยพลาสติกและโลหะ อีกทั้งวัสดุอะลูมิเนียมยังมีคุณสมบัติเป็นฮีทซิ้งค์ที่ช่วยระบายความร้อนได้ดีกว่าวัสดุประเภทอื่นด้วย
หลายๆ ตำแหน่งบนตัวถังจะพบว่ามีการเจาะรูเพื่อระบายความร้อนจากการทำงานของแผงวงจรที่อยู่ด้านในเอาไว้ ซึ่งช่องเจาะที่มีขนาดใหญ่หน่อยจะมีตะแกรงโลหะปิดเอาไว้ด้วย ตามภาพด้านบนนี้คือรูที่เจาะไว้ที่ด้านบนของตัวถัง จะเห็นตะแกรงโลหะชัด นัยเพื่อดักจับคลื่นรบกวนซึ่งเป็นหนึ่งของ noise จากภายนอกที่ (พยายาม) จะแทรกเข้าไปด้านในนั่นเอง
QNET มีช่องเสียบสาย LAN หรือเรียกให้ถูกอย่างเป็นทางการก็คือสาย Ethernet มาให้ทั้งหมด 5 ช่องเสียบ เป็นช่องเสียบที่รองรับขั้วต่อ RJ45 (P8C8) ซึ่งเหตุผลที่ทาง Nordost ออกแบบให้บอดี้ของ QNET มีลักษณะทรงกลมแบนเหมือนจานบินแบบนี้ก็เพราะมีประเด็นสำคัญทางเทคนิคซ่อนอยู่ จากการศึกษาเน็ทเวิร์ค สวิทช์อยู่นานก่อนจะมาทำตัว QNET พวกเขาพบว่า ตัว Network Switch ที่พบเห็นทั่วไปมักจะติดตั้งช่องเสียบสาย Ethernet ติดกันเป็นพืด 4 ช่องบ้าง 6 ช่อง 8 ช่องบ้าง ยิ่งเป็นตัวใหญ่ๆ บางรุ่นมีมากถึง 32 ช่อง ซึ่งวิศวกรที่ Nordost พบว่า การที่ช่องเสียบสาย Ethernet อยู่ชิดติดกันแบบนั้นมันทำให้เกิดการรบกวนลอดข้ามช่องถึงกันได้ขณะที่แต่ละช่องมีการรับ–ส่งข้อมูลและสัญญาณด้วยสปีดที่เร็วมากๆ
เพื่อปิดโอกาสไม่ให้ปัญหาการไหลข้ามช่องของสัญญาณรบกวนเกิดขึ้น พวกเขาจึงเลือกวิธีออกแบบรูปทรงของตัวถังที่ทำให้ช่องเสียบทั้ง 5 ช่องถูกแยกถ่างห่างออกจากกันให้มากที่สุด นั่นคือที่มาของตัวถังรูปทรงกลมแบนตามที่เห็น
ช่องเสียบสาย Ethernet ทั้ง 5 ช่องที่ให้มาจะมีตัวเลขกำกับแต่ละช่องเอาไว้ ไล่จากซ้ายไปขวาตั้งแต่ 1-5 โดยที่สามช่องแรกคือหมายเลข 1, 2, 3 เป็นช่องเสียบแบบ 1000BASE-T ที่รองรับสปีดสูงสุดในการรับ/ส่งข้อมูลสูงถึง 1Gbps หรือ 1000Mbps ซึ่งทางผู้ผลิตจงใจให้เอาไว้ใช้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์เน็ทเวิร์คที่มีการสื่อสารระหว่างกันด้วยสปีดที่สูงมากๆ อย่างเช่น router เป็นต้น ส่วนอีก 2 ช่องที่เหลือคือ 4, 5 เป็นช่องเสียบแบบ 100BASE-T รองรับสปีดสูงสุดในการรับ/ส่งข้อมูลอยู่ที่ระดับ 100Mbps ซึ่งสปีด “ต่ำกว่า” สามช่องแรกถึงสิบเท่า.! พวกเขาแนะนำให้ใช้ช่องเสียบ หมายเลข 4 กับ หมายเลข 5 ในการเสียบใช้งานอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับการรับ/ส่งสัญญาณเสียงเป็นหลัก อย่างเช่นตัว streamer และ network DAC เป็นต้น
สาเหตุที่พวกเขาเลือกใช้ช่องเสียบที่มีสปีดรับ/ส่งข้อมูลเพียงแค่ 100Mbps กับอุปกรณ์ที่เกี่ยวกับสัญญาณเสียงนี้ พวกเขาได้ข้อสังเกตมาจากการศึกษาพบว่า สัญญาณเสียงฟอร์แม็ต PCM และฟอร์แม็ต DSD ที่ใช้เป็นมาตรฐานในวงการเครื่องเสียงทุกวันนี้ต้องการแบนด์วิธ (สปีดในการรับ/ส่ง) ไม่เกิน 50Mbps เท่านั้น อย่างเช่น ระดับสูงสุดของฟอร์แม็ต PCM ในปัจจุบัน เรียกว่าฟอร์แม็ต DXD นั้น มีสเปคฯ อยู่ที่ 32-bit / 384kHz เมื่อรับ/ส่งกันในระบบเสียง stereo 2 ch จะมีปริมาณสัญญาณวิ่งผ่านช่องเสียบอยู่ที่ 24.576Mbps เท่านั้น ในขณะที่ฟอร์แม็ต DSD ที่ระดับสูงสุดในปัจจุบันคือ DSD512 (DSD22.5792) ในระบบสเตริโอก็ใช้แบนด์วิธของช่องเสียบเพียงแค่ 45.1584Mbps เท่านั้น ยังไม่ถึง 50Mbps ซะด้วยซ้ำ ดังนั้น สปีดของช่องเสียบที่ 100Mbps ก็ถือว่ามากเกินพอสำหรับการรับ/ส่งสัญญาณเสียง
แต่เผื่อไว้เยอะๆ ไม่ดีกว่าเหรอ.? ผมเชื่อว่าพวกเราคงคิดแบบนี้ ในเมื่อมีช่องเสียบที่ให้สปีดสูงถึง 1Gbps ให้ใช้ ราคาก็ไม่ได้สูงกว่ากันเท่าไหร่ ทำไมไม่ใช้ช่องเสียบ 1Gbps ไปเลย.? ทางผู้ผลิตอธิบายว่า สปีดของช่อง Ethernet ก็เปรียบเสมือนหน้าต่าง ยิ่งสปีดสูง หน้าต่างก็จะยิ่งเปิดกว้าง ทำให้เปิดรับกับคลื่นรบกวนเข้ามาในระบบได้มากกว่า สปีดที่เปิดกว้างมากๆ ไม่มีความจำเป็นถ้า “ปริมาณข้อมูล” ที่ไหลผ่านไม่ได้มาก การเลือกใช้สปีดของช่องเสียบที่ใกล้เคียงกับปริมาณข้อสัญญาณ (data) ที่วิ่งผ่านจะช่วย “จำกัด” ปริมาณของคลื่นรบกวนที่เล็ดลอดเข้ามาให้อยู่ในเร้นจ์ความถี่ที่ต่ำลง เมื่อมีคลื่นรบกวนเข้ามาน้อยลง การออกแบบเพื่อกำจัดคลื่นรบกวนเหล่านั้นออกไปให้หมดจดจริงๆ ก็ทำได้ง่ายขึ้น ถ้าเปิดโอกาสให้คลื่นรบกวนผ่านเข้ามามาก โดยเฉพาะคลื่นรบกวนที่มีความถี่สูงๆ ระดับหลายสิบเมกกะเฮิร์ตก็จะยิ่งกำจัดออกไปได้ยาก ถ้ากำจัดไม่หมด หลงเหลืออยู่ในระบบก็คงจะส่งผลกระทบกับคุณภาพเสียงอย่างแน่นอน… โอ้วว.! เป็นความคิดที่แยบยลมาก..!!!
ภาคจ่ายไฟ
ภาคจ่ายไฟของ QNET ถูกแยกออกมาจากตัวบอดี้หลักด้วยวัตถุประสงค์ 2 อย่าง อย่างแรกก็เพื่อตัดปัญหาการรบกวนที่ภาคจ่ายไฟจะเข้าไปกวนการทำงานในส่วนอื่นของตัวเครื่อง โดยเฉพาะส่วนที่อ่อนไหวมากๆ อย่างระบบ clock เป็นต้น อย่างที่สองก็เพื่อเปิดโอกาสให้คุณสามารถอัพเกรดประสิทธิภาพการทำงานของตัว QNET ให้สูงขึ้นได้ด้วยการเปลี่ยนจากภาคจ่ายไฟแบบ switching ที่แถมมาให้ ไปใช้ภาคจ่ายไฟแบบ Linear Power Supply ซึ่งทาง Nordost แนะนำให้ใช้กับภาคจ่ายไฟลิเนียร์ฯ ของเขาเองรุ่น QSource (REVIEW) ซึ่งใครที่ใช้ Roon nucleus อยู่แล้วจะได้ประโยชน์สองเด้งกับการหาภาคจ่ายไฟ QSource มาใช้ เพราะตัว QSource ถูกออกแบบมาให้สามารถจ่ายไฟเลี้ยงให้กับอุปกรณ์ของ Nordost ได้หลายตัวพร้อมกัน ในนั้นรวม Roon nucleus ด้วย
ขั้วต่อสำหรับภาคจ่ายไฟที่เสียบเข้ากับตัว QNET เป็นขั้วต่อ Lemo ซึ่งตัวอะแด๊ปเตอร์ที่แถมมาให้ในกล่องจะติดตั้งขั้วต่อ Lemo มาให้ QNET ใช้ไฟเลี้ยงที่แรงดัน 9.0V กินกระแสอยู่ที่ 2.0A
ทดลองใช้งาน
ภาพในชาร์ตด้านล่างคือซิสเต็มแรกที่ผมใช้ทดสอบ QNET ครั้งนี้ หลังจากทำการแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพชุดเครื่องเสียงที่จะใช้ทดสอบ QNET เสร็จแล้ว ก่อนจะเอาตัว QNET เข้าไปทดลองฟังในชุดเครื่องเสียงชุดนั้น ผมได้ปลดเอาตัว Network Switch จำนวน 3 ตัวที่ใช้อยู่เดิมออกไปจากซิสเต็มก่อน
พอเอาตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์ออกไปจากซิสเต็มทั้งหมด ผมพบว่าเสียงโดยรวมมีลักษณะที่มัวซัวลงไปอย่างชัดเจน.! ความคมชัดลดลง สู้ตอนที่มีตัวเน็ทเวิร์ค สวิทช์อยู่ในซิสเต็มไม่ได้ จริงๆ แล้วถ้าวัดเป็นเปอร์เซ็นต์อาจจะด้อยลงไปไม่มากนัก แต่เพราะความคุ้นชินในซิสเต็มและห้องฟังของเราเอง ทำให้รู้สึกได้ชัดเจน สนามเสียงโดยรวมมีลักษณะที่หุบลง ความสดกระจ่างของเสียงลดลง ประกายของเสียงแหลมสลดลง หม่นลง ในขณะที่โฟกัสของชิ้นเสียงก็มีลักษณะเบลอและมัวลงด้วย อย่างที่เกริ่นมาตอนต้น อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้รวมๆ กันน่าจะอยู่ประมาณ 10-15% แต่เพราะความเคยชินพอปลดออกปั๊บจะรู้สึกได้ทันที แต่ “โครง” ของเสียงโดยรวมยังคงอยู่ เป็นเพราะขั้นตอนแม็ทชิ่งกับเซ็ตอัพไม่มีปัญหา หลังจากนั่งฟังในสภาพที่ไม่มีตัว Network Switch อยู่ในซิสเต็มแบบนั้นไปสักชั่วโมง เปลี่ยนเพลง–เปลี่ยนอัลบั้มไปสอง–สามชุดก็เริ่มชินกับเสียงแบบนั้น
ทดลองฟังแบบที่ 1
ในกรณีที่มี Network Switch แค่ตัวเดียวในซิสเต็มของผมที่ใช้ roon nucleus+ เป็นเพลเยอร์สำหรับสตรีมเมอร์ซึ่งต้องส่งสัญญาณเสียงไปที่ตัวออล–อิน–วันรุ่น Omnia ของ Audiolab ผ่านทางสาย USB ส่วนไฟล์เพลงผมเก็บไว้ใน NAS นั่นเท่ากับว่าผมมีอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการสตรีมไฟล์เพลงที่ต้องเชื่อมต่ออยู่กับ router ทั้งหมด 2 ชิ้นคือ NAS กับ roon nucleus+
ในการทดลองฟังรอบแรก ผมเอาตัว QNET เข้าไปคั่นระหว่าง router กับ roon nucleus+ โดยต่อสาย Ethernet ระหว่าง router กับ QNET ทางช่องเสียบหมายเลข 1 และใช้สาย Ethernet อีกเส้นเชื่อมต่อระหว่าง QNET กับ roon nucleus+ โดยใช้ช่องเสียบหมายเลข 5 ในขณะที่ตัว NAS ที่เก็บไฟล์เพลงก็ยังคงเสียบเข้าที่ตัว router เหมือนครั้งแรก
เสียงโดยรวมดีขึ้นมาก..!!! รู้สึกได้ทันทีว่าสนามเสียงมีลักษณะที่พองตัวขึ้น เต่งตึงเหมือนลูกโป่งที่อัดฉีดลมเข้าไปเต็มที่ ประกายเสียงแหลมกลับมาเปล่งปลั่ง พริ้งพราย และรู้สึกได้ว่าแต่ละเสียงมันมี “พลังแฝง” ที่คอยหนุนไดนามิกอยู่ ทำให้ทุกการขยับตัวของแต่ละชิ้นดนตรีมีความย้ำเน้นมากขึ้น เอาจริงมากขึ้น จากที่แค่ “ได้ยิน” กลายเป็น “รู้สึก” เหมือนมีคนมานั่งเล่นให้ฟังจริงๆ
อัลบั้ม : Espana (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ataulfo Argenta, conductor The London Symphony Orchestra
สังกัด : Decca Records
ลองฟังกับเพลงคลาสสิกแบบนี้จะยิ่งรู้สึกถึงลักษณะการพองๆ ยุบๆ ของสนามเสียงได้ชัด เมื่อเอา QNET ใส่เข้าไปในซิสเต็มที่ใช้ทดสอบ ผมพบว่า เวทีเสียงของอัลบั้มนี้ถูกถ่างแผ่ออกไปจนเต็มเหยียดทุกด้าน ทั้งกว้าง, ลึก และสูง นอกจากนั้น ทั้ง “ความถี่เสียงที่ซิสเต็มตอบสนอง” และ “ไดนามิกเร้นจ์ที่ซิสเต็มสวิงออกมา” ก็รู้สึกได้ว่าถูกขยายออกไปมากขึ้น ส่งผลให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่เปิดโล่งมากขึ้น ซึ่งในเพลงคลาสสิกที่ใช้เครื่องดนตรีจำนวนมากบรรเลงพร้อมกัน “ภายใต้สภาพอะคูสติกเดียวกัน” แบบอัลบั้มนี้ ถ้าชุดเครื่องเสียงที่ใช้เล่นเพลงในอัลบั้มนี้มีสเปคฯ ความถี่ตอบสนองที่หดแคบ ไม่เปิดกว้าง จะมีผลให้โฟกัสของเสียงเครื่องดนตรีต่างๆ ในอัลบั้มนี้มีลักษณะที่ทึบมัว ปนกันเป็นกระจุก ไม่แยกตัวออกจากกัน ทำให้ระบุตำแหน่งเสียงได้ยาก และปลายเสียงก็จะไม่กระจายตัว ไม่เปิดโล่งเท่าที่ควร ซึ่งตอนที่เอาตัว Network Switch ออกไปจากซิสเต็ม เสียงของซิสเต็มจะออกมาลักษณะที่ว่ามานั้น พอเอา QNET เข้าไปต่อคั่นระหว่าง Roon nucleus กับ router ความมีชีวิตชีวาของเสียงก็กลับมาทันที
งานเพลงชุดนี้เป็นหนึ่งในอัลบั้มระดับอ้างอิงของค่าย Decca จุดเด่นอยู่ที่การบันทึกเสียงที่สามารถเก็บเอารายละเอียดของเสียงออกมาได้ชัดมาก อิมแพ็ค (เสียงสัมผัสแรกของโน๊ต) หรือหัวเสียงของแต่ละโน๊ตของเครื่องดนตรีถูกเก็บใส่ไมโครโฟนมาได้อย่างสมบูรณ์ ตามด้วยฮาร์มอนิกที่กังวานต่อเนื่องมาแล้วไปสะท้อนกับผนังฮอลล์ Kingsway Hall ย้อนกลับมาผสมรวมกับคลื่นเสียงที่เกิดจากการบรรเลงในวง กอปรให้เกิดเป็น “แอมเบี้ยนต์” ที่แผ่กว้างโอบคลุมสนามเสียงออกไปรอบด้าน แม้ว่าจะเป็นช่วงที่วงกำลังบรรเลงอย่างแผ่วเบา มีเครื่องดนตรีหลายชิ้นไม่ได้เล่น แต่ก็ยังรู้สึกได้ว่าสมาชิกของวง “ทั้งหมด” ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้น เพราะ “มวลแอมเบี้ยนต์” ยังคงอบอวลคละคลุ้งไม่หายไปไหน ใครที่เคยมีประสบการณ์เข้าไปฟังการบรรเลงของวงคลาสสิกในฮอลล์ขนาดใหญ่จะเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ ทั้งหมดนี้คือปาฏิหารย์ที่ QNET สร้างออกมาโดยแท้..!!
อีกคุณสมบัติของเสียงที่อัลบั้มนี้เก็บมาได้ดี นั่นคือ ไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่คม กระชับ เร็ว เป็นไปตามลักษณะลีลาของเพลง ซึ่งหลังจากเอาตัว QNET เข้าไปใช้ในซิสเต็ม ผมก็รู้สึกได้เลยว่า อัตราสวิงของไดนามิกมันกว้างขึ้น หัวเสียงสัมผัสแรก (ทรานเชี้ยนต์) มีความร็ว และมีน้ำหนักกระแทกที่ชัดเจนมากขึ้น รู้สึกถึง “แรงปะทะ” ที่นักดนตรีกระทำกับเครื่องดนตรีได้ชัดขึ้น และที่สำคัญที่สุดก็คือ ปลายเสียงช่วงพีคของไดนามิกที่สวิงขึ้นไปดังๆ มันแทบจะไม่มีอาการแตกซ่านที่เกิดจาก dynamic compressed ออกมาให้ได้ยิน นั่นคือ QNET ทำให้ซิสเต็มสวิงไดนามิกไปได้จนสุด ไม่มีอาการอั้นจนเกิดปัญหา dynamic compress นั่นเอง
ทดลองฟังแบบที่ 2
ขั้นตอนต่อมา ผมทดลองย้ายสาย Ethernet ที่เชื่อมต่อระหว่าง NAS กับ router มาเชื่อมต่อที่ช่องเสียบหมายเลข 4 ของตัว QNET ผลออกมาในแง่บวก แต่ไม่ได้เยอะมาก ที่รู้สึกได้ชัดเจนที่สุดคือ “ความนิ่ง” ของเสียงที่ดีขึ้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ราวๆ 15-20% สังเกตจากเร่งวอลลุ่มได้ดังมากกว่าเดิมโดยที่เสียงไม่มั่ว อีกส่วนที่รู้สึกว่าดีขึ้นเล็กน้อยคือ “ความใส” ของพื้นเสียง ซึ่งทำให้รับรู้รายละเอียดเบาๆ ได้ดีขึ้น บรรยากาศของเสียงก็ดีขึ้นนิดหน่อยเช่นกัน..
ทดลองฟังแบบที่ 3
ขั้นตอนนี้ผมทดลองยกออล–อิน–วัน Omnia ของ Audiolab กับเพาเวอร์แอมป์ Artera Stereo Power ออกมาจากซิสเต็ม แล้วเอาออล–อิน–วันของ Boulder รุ่น 866 Integrated เข้าไปแทน แต่เนื่องจากตัว 866 Integrated มีอินพุต Ethernet ที่รองรับ roon ready ผมจึงย้ายสาย Ethernet ที่ใช้เชื่อมต่อระหว่าง NAS กับ QNET ที่เคยเสียบอยู่ที่ช่องเสียบหมายเลข 4 (100Mbps) ไปเสียบที่ช่องเสียบหมายเลข 3 (1Gbps) ของ QNET จากนั้นก็ใช้สาย Ethernet อีกเส้นมาเชื่อมต่อระหว่าง 866 Integrated กับ QNET ที่ช่องเสียบหมายเลข 4 (100Mbps) แทนที่ NAS ที่เคยเสียบอยู่ก่อนหน้านี้
ผลทางเสียงของการเชื่อมต่อตามตามเงื่อนไขด้านบนนี้ดีขึ้นมาก เรียกว่าคุณภาพเสียงกระโดดข้ามของเดิมไปอีกหลายขั้น ซึ่งสาเหตุหลักๆ น่าจะมาจาก 2 ปัจจัย อย่างแรกเป็นเพราะคุณภาพของตัว 866 Integrated เอง กับอีกปัจจัยน่าจะเป็นเพราะอิทธิพลของ QNET ที่ส่งผลถึง 866 Integrated โดยตรงเนื่องจากเป็นการเชื่อมต่อระหว่าง QNET กับ 866 Integrated เข้าทางอินพุต Ethernet ตรงๆ ไม่ได้ดึงเอ๊าต์พุต USB จาก roon nucleus+ มาใช้เหมือนกรณีของ Omnia
อัลบั้ม : Asian Roots (DSF64)
ศิลปิน : TaKeDaKe with Neptune
สังกัด : Denon Records
สังกัด : Love Me Tender (DSF64)
ศิลปิน : Barb Jungr
สังกัด : Linn Records
ไม่ว่าจะพิจารณาในแง่ไหน เสียงที่ได้ก็ออกมาดีมากในทุกด้าน ขยับขึ้นไปกว่าเดิมเยอะมากๆ เมื่อคุณภาพและประสิทธิภาพของแอมป์ถึง เสียงที่ออกมาก็จะได้ส่วนผสมของความ “เปิดกระจ่าง” กับโทนเสียงที่ “นวลเนียน” ไปพร้อมกัน ในขณะที่แอมป์ที่มีสมรรถนะด้อยกว่า (กำลังขับ+คุณภาพ) เมื่อทำให้มีลักษณะที่เปิดกระจ่าง โทนเสียงก็มักจะมีลักษณะกร้าวนิดๆ ปนออกมาในน้ำเสียงด้วย
เมื่อลองฟังไฟล์เพลงที่มีขนาดใหญ่กว่า WAV อย่างเช่น DSF64 และไฟล์ PCM Hi-Res ที่มีความละเอียดสูงกว่าซีดีขึ้นไปจะยิ่งเห็นถึงศักยภาพของตัว QNET ได้ชัดขึ้น อย่างสองอัลบั้มข้างบนนี้จะชัดมาก เพราะโทนของเสียงโดยรวมๆ ของสองอัลบั้มนี้จะออกไปทางนุ่มติดหม่นเล็กน้อย เนื่องจากแหลมไม่เยอะ ถ้าฟังกับซิสเต็มที่เสียงไม่เปิดกระจ่าง ไดนามิกไม่ฉีดเต็มที่ โทนของเพลงจากสองอัลบั้มนี้จะออกมาอึมครึม ขาดความสดใส เสียงตีกลองในอัลบั้ม Asian Roots กับเสียงคีย์บอร์ดในอัลบั้ม Love Me Tender จะออกมาน่วมๆ มนๆ ทู่ๆ ไม่เด้ง ไม่ดีด ซึ่งที่ผ่านๆ มาถ้าเจอว่าเสียงของสองอัลบั้มนี้ไม่ดีดเด้ง ผมมักจะไปมองหาทางแก้ที่กำลังขับของแอมป์กับความถี่ตอบสนองทางด้านแหลมของลำโพง แต่ในซิสเต็มนี้ซึ่งได้ 866 Integrated ขับลำโพง Totem Element FIRE v.2 ผมไม่ติดใจกับอาการนุ่มน่วมที่ว่าเลย เพราะเสียงโดยรวมที่ออกมามันไม่ได้นุ่มจนเกินไป แต่น่าแปลกว่า พอเอา QNET เข้าไปเสริมโดยคั่นไว้ระหว่าง router กับอินพุต Ethernet ของตัว 866 Integrated เสียงที่ดีอยู่แล้วมันกลับสดกระจ่างขึ้นไปได้อีก เกินคาดหมายไปเลย เหมือนกับว่าตัว QNET มันไปช่วยเปิดปลายเสียงที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงแหลมให้เผยตัวออกมามากขึ้น หมดจดมากขึ้น ความเปิดโล่งของเสียงจึงดีขึ้นไปอีก นอกจากนั้น เมื่อเติม QNET เข้าไปในระบบ ผมพบว่าเสียงของซิสเต็มมีความผ่อนคลายมากขึ้นไปอีก ไทมิ่งของเพลงมันผ่อนตัวลงไปได้อีก น่าจะเกิดจากสาเหตุที่หางของเสียงทุ้มมันขยายฮาร์มอนิกได้ต่ำลงไปมากขึ้น ผมรู้สึกสัมผัสได้กับมวลเสียงต่ำที่แผ่ออกมาเบาๆ ชัดขึ้น ฟังแล้วทำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น สุดยอดจริงๆ..! นี่เป็นประสบการณ์ที่อธิบายคำว่า “ดีแล้ว.. แต่ดีขึ้นไปได้อีก” ได้ชัดเจนมาก..!!!
หลังจากทดลองฟังไปอีกระยะหนึ่งจนเริ่มคุ้นเคยกับเสียงของซิสเต็มแล้ว ผมก็ทดลองปลดเอาตัว QNET ออกมาจากซิสเต็ม ทำให้ทั้งตัว roon nucleus+, NAS และ 866 Integrated ต้องถูกต่อเชื่อมเข้ากับ router โดยตรง ผลปรากฏว่า เสียงโดยรวมแสดงอาการแย่ลง วูบแรกก็ยังบอกได้ไม่ชัดนักว่าแย่ลงตรงจุดไหนบ้าง และแย่ลงมาก–น้อยแค่ไหน แค่ความรู้สึกรวมๆ ที่สัมผัสได้ในวินาทีแรกคือแย่ลงแน่ๆ แต่ไม่ได้ถึงกับทรุดฮวบลงไปมากเหมือนตอนใช้ Omnia + Artera Stereo Power แบบไม่มีตัว QNET ช่วย ต้องตั้งใจฟังจึงพบว่าส่วนที่แย่ลงคือความ “ดีดเด้ง” ของเสียงที่แย่ลงเยอะกว่าแง่อื่นๆ ที่ตามมาก็คือ “ความเปิดโล่ง” และ “ปลายเสียง” แหลมกับทุ้มที่หดหายไปบางส่วน
เหตุที่เอา QNET ออกมาจากซิสเต็มที่ใช้ 866 Integrated แล้วรู้สึกว่าเสียงไม่แย่ลงไปมากเหมือนตอนใช้ Omnia + Artera Stereo Power ก็น่าจะเป็นเพราะภาคขยายในตัว 866 Integrated มันเยอะพอจึงสามารถควบคุมลำโพงได้เต็มที่มากกว่า รวมถึงสตรีมเมอร์กับภาค DAC ในตัว 866 Integrated น่าจะออกแบบและปรับจูนมาดี รวมถึงตัว 866 Integrated น่าจะมีการออกแบบให้ป้องกัน noise ได้ดีกว่าชุด Omnia + Artera Stereo Power ผลที่ QNET เข้ามาช่วยลด noise จึงส่งผลไม่มากเท่ากับตอนใช้กับชุด Omnia + Artera Stereo Power นั่นเอง
แต่เมื่อใช้เวลาฟังไปนานๆ จนเริ่มชิน ผมก็พบว่า ยังไงๆ แล้ว QNET ก็ยีงมีส่วนช่วยอัพเกรดคุณภาพเสียงให้กับชุดที่ใช้ 866 Integrated อยู่ดี ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ยินก็ออกไปทางเดียวกับตอนที่ใช้คู่ Omnia + Artera Stereo Power คือได้ความใสของพื้นเสียงที่ดีขึ้น ช่วยให้แอมป์ปลดปล่อยปลายเสียงออกมาได้เต็มที่มากขึ้นโดยไม่มีอาการอั้น เนื้อเสียงก็มีความเนียนข้นมากขึ้น ความลื่นไหลต่อเนื่องของคอนทราสน์ไดนามิกก็ดีขึ้น เสียงร้องและการบรรเลงของเครื่องดนตรีที่ใช้วิธีสีและเป่ามีอารมณ์ความพลิ้วมากขึ้น แม้ว่าความต่างทั้งหมดนั้นจะไม่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงมาก ฟังตอนแรกๆ เหมือนจะดีขึ้นไม่เยอะ แต่พอฟังไปนานๆ จนชิน เมื่อทดลองปลด QNET ออกไปจากซิสเต็ม วินาทีแรกๆ จะรับไม่ได้เลย เสียงหุบลงเหมือนพระอาทิตย์ที่โดนเมฆเคลื่อนมาบัง ความสดใสดีดเด้งวูบหายไปพอสมควร อารมณ์ของเพลงซึมลงไปทันตา
ทดลองฟังแบบที่ 4
ก่อนจะปิดฉากรีวิว QNET ผมทดลองย้ายสาย Ethernet ที่เชื่อมต่อระหว่าง NAS มาที่ QNET กับเส้นที่เชื่อมต่อระหว่าง QNET กับ roon nucleus+ ออกไปเสียบเข้าที่ router เพื่อให้เหลือแค่ 866 Integrated เชื่อมต่ออยู่กับ QNET แค่ชิ้นเดียวโดดๆ (ภาพบน) แล้วฟังดู ผมว่าความสงัดมันแย่ลง เมื่อฟังเทียบกับการเชื่อมต่อ roon nucleus+ กับตัว 866 Integrated ไว้ที่ตัว QNET ที่ช่องเสียบหมายเลข 4 กับหมายเลข 5 (ภาพล่าง) ซึ่งผมรู้สึกชอบอ๊อปชั่นหลังมากที่สุด คือผมรู้สึกว่าการขยับเคลื่อนตัวของแต่ละเสียงที่อยู่ในเพลงมันมีอิสระมากกว่า รู้สึกว่าเสียงร้องที่ออกมามันมี “ฟิลลิ่ง” ที่ฟังคล้ายเสียงของคนจริงๆ มากที่สุด คือฟังดูแล้ว แม้ว่าโดยรวมมันไม่ได้เป๊ะเหมือนตอนที่เสียบทั้ง NAS, roon nucleus+ และ 866 Integrated ไว้ที่ตัว QNET ทั้งหมด แต่ทว่า ในความไม่เป๊ะนั้นผมกลับรู้สึกว่ามันเหมือนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติมากกว่า ไม่มีการจัดระเบียบที่มากเกินไป ฟังแล้วให้ความรู้สึก “เข้าถึง” อารมณ์เพลงมากกว่า
สรุป
ผมยอมรับเลยว่า ผมรู้สึกกังวลมากเป็นพิเศษกับการทำรีวิวของ QNET ตัวนี้ ผมไม่ได้กังวลสงสัยในประสิทธิภาพของมัน เพราะฟังออกและสัมผัสได้ แต่สิ่งที่รบกวนความรู้สึกของผมก็คือผลที่เกิดขึ้นกับบางเงื่อนไขของการเซ็ตอัพใช้งานตัว QNET ที่ทำให้มันแสดงผลลัพธ์ออกมาต่างจากที่ผมคาดคิดไว้ในใจ เหมือนกับว่า การใช้งานตัว Network Switch ในชุดเครื่องเสียงยังมี “อะไร” บางอย่างที่เรายังไม่รู้ความสัมพันธ์ของมันอย่างถ่องแท้ ทำให้การคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนการทดลองฟังจริงมีความคลาดเคลื่อนไปได้ ผลลัพธ์มันบิดไปจากแนวทางที่คาดคิดไว้ในบางแง่มุม ใครที่คิดจะซื้อหาตัว Network Switch เข้าไปใช้ในชุดเครื่องเสียง แนะนำให้ทดลองสลับรูปแบบการเชื่อมต่อแล้วฟังเสียงดูด้วยนะ
มีบางช่วงได้ทำการฟังเปรียบเทียบกับ Network Switch ระดับไอที เกรดที่ใช้ในงานคอมพิวเตอร์ทั่วไปด้วย ผลลัพธ์ก็เป็นไปในแนวทางที่คาด คือ Network Switch ระดับออดิโอ เกรดให้ผลทางเสียงที่ดีกว่าระดับไอที เกรดมาก ฟังแค่ไม่กี่นาทีก็ต้องถอดออก..
อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ทดลองใช้งานตัว QNET นานนับเดือน ผลที่ได้ยินก็ถือว่าเป็นประจักษ์พยานที่ยืนยันได้ว่า Network Switch ระดับออดิโอ เกรดที่ออกแบบมาเพื่อการสตรีมไฟล์เพลงโดยเฉพาะมีส่วนทำให้เสียงของแหล่งต้นทางประเภทมิวสิค สตรีมมิ่งดีขึ้นจริง เนื่องจาก Network Switch “ทุกตัว” ที่ผมทดสอบไปมันก็ให้ผลออกมาทางเดียวกันนี้ จะต่างกันก็แค่ระดับความมาก–น้อยของผลที่เกิดขึ้นเท่านั้น ซึ่งเบาะแสที่ค้นพบตอนนี้ยังชี้นำไปในแนวทางที่ว่า “ยิ่งแพง–ยิ่งดี” แสดงว่าแนวคิดเบื้องต้นที่ผู้ผลิตแต่ละเจ้านำมาใช้เป็นแนวทางในการออกแบบตัว Network Switch นั้นถูกต้องแล้ว สิ่งที่ทำให้ Network Switch ของแต่ละแบรนด์ให้ผลทางเสียงออกมาต่างกันก็อยู่ที่ว่า แบรนด์ไหนใครจะใส่ใจพิถีพิถันในแต่ละจุดมาก–น้อยกว่ากันแค่ไหนเท่านั้นเอง /
**************************
ราคา : 144,000 บาท / เครื่อง
**************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook: @DECO2000Thailand