เคยมีเรื่องถกกันว่า ส่วนไหนในซิสเต็มเครื่องเสียงระหว่าง แหล่งต้นทางสัญญาณ (source) > แอมปลิฟาย (amp) > ลำโพง (speaker) ที่มีผลต่อเสียง “มากที่สุด“..? ผมเองก็เคยสับสนกับคำถามนี้ แต่หลังจากทำงานทดสอบเครื่องเสียงมานานเกือบสามสิบปีต่อเนื่อง ผมคิดว่าวันนี้ ผมค้นพบคำตอบแล้ว..
garbage in, gabage out (GIGO)
ใส่ขยะเข้าไป (ในซิสเต็ม) ก็ได้ขยะออกมา (จากลำโพง)
ถ้าคุณอยู่ในวงการคอมพิวเตอร์ อาจจะเคยได้ยินวลีนี้มาก่อน ซึ่งผมก็คิดแบบเดียวกันเมื่อมีใครถามว่า ส่วนไหนของชุดเครื่องเสียงที่ส่งผลต่อเสียงมากที่สุด.? แน่นอน ผมเชื่อมั่นว่า “Source” หรือ “แหล่งต้นทางสัญญาณ” เป็นคำตอบที่ถูกต้อง.!
เหตุผลสนับสนุนคำตอบของผมได้มาจากประสบการณ์ที่ผมได้รับมาจากการทดสอบเครื่องเสียงนั่นเอง ผมพบว่า ลำโพงที่ดีมากๆ จะทำตัวเป็น “กระจก” ที่ใสมากๆ คือมันไม่ได้มีความสามารถที่จะ “สร้าง” ดนตรีขึ้นมาเองได้ เมื่อลำโพงดีๆ จับคู่กับแอมป์ที่ลงตัวกัน (แม็ทชิ่งกัน) พอดีๆ แต่มันจะถ่ายทอดให้เราเห็น (ได้ยิน) ว่า เพลงที่เราฟังอยู่ในขณะนั้นมีคุณภาพดีแค่ไหน.? ไพเราะแค่ไหน.? หรือจริงๆ แล้ว มันแย่แค่ไหน.? นั่นคือ ลำโพง + แอมป์ดีๆ ที่ทำงานเข้าขากันลงตัวจะทำหน้าที่ถ่ายทอดสิ่งที่เพลงนั้นเป็นอยู่จริงๆ ออกมา
ถ้าเป็นอย่างนั้น เพลงที่เรียบเรียงดนตรีมาดี + บันทึกเสียงดี ก็ “ควรจะ” หลุดออกมาจากลำโพงดีๆ อย่างที่มันเป็น.. ง่ายๆ แค่นี้ใช่มั้ย.? จริงๆ แล้วมันก็ง่ายๆ แค่นั้นเอง ถ้า “สัญญาณเพลง” ที่อยู่ในสื่อกลางถูกเล่นผ่าน “เพลเยอร์” ออกมาโดยไม่ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับตอนที่มันถูกบันทึกลงไปบนตัวกลางนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีไฟล์เพลงที่มีคุณภาพดี (จะไฟล์ฟอร์แม็ตไหนก็ตาม) และต้องการให้สัญญาณเพลงที่อยู่ในไฟล์นั้นถูกดึงออกมาจากไฟล์เพลงนั้นโดยมีคุณภาพเสียงที่ดีอย่างที่มันถูกบันทึกมาจากสตูดิโอ กรณีนี้ สิ่งที่คุณต้องการก็คือ “เพลเยอร์” ที่สามารถดึงสัญญาณเพลงออกมาจากไฟล์เพลงโดยไม่ทำให้ “คุณภาพ” ของสัญญาณเพลงนั้นถูกทำให้ด้อยลง
Power Conditioner กับระบบกราวนด์ในบ้าน
เมื่อผมได้รับ QSource มาทำการทดสอบ หลังจากเข้าไปอ่านพื้นฐานการทำงานของมันแล้ว มันทำให้ผมต้องรื้อฟื้นสิ่งหนึ่งที่ผมเคยตั้งใจจะทำมานานหลายปีแต่ยังไม่เคยเริ่มสักที นั่นคือจัดการกับระบบไฟฟ้าที่นำมาใช้กับชุดเครื่องเสียงให้อยู่ในมาตรฐานที่ดีที่สุดอย่างที่ควรจะทำ นั่นคือ แยกสายไฟที่ใช้กับชุดเครื่องเสียงออกมาจากตู้เมน แยกใส่เบรคเกอร์ออกมาต่างหาก ไม่ใช้ร่วมกับสายไฟที่ไปเลี้ยงอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้าน
และเพื่อให้การเชื่อมต่อระหว่างสายไฟที่เอาไปใช้กับชุดเครื่องเสียงกับสายไฟที่ต่อเข้ามาจากหม้อแปลงไฟฟ้าบนเสาไฟฟ้าหน้าบ้านมีความแน่นหนามากยิ่งขึ้น ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนตู้ไฟใหม่ พร้อมทั้งเปลี่ยนเบรคเกอร์ใหม่ด้วย
นอกจากนั้น ผมยังได้ติดตั้งระบบกราวนด์ให้กับไฟเอซีที่บ้าน ด้วยการจ้างช่างมาตอกแท่งกราวนด์ทองแดงความยาว 2 เมตรลงดินที่หน้าบ้านและเดินสายกราวนด์จากแท่งกราวนด์มาที่ตู้เมนในบ้าน โดยใช้วิธีเชื่อมต่อระหว่างสายกราวนด์กับแท่งกราวนด์ทองแดงด้วยตัวแค้มป์บีบอัดสายกราวนด์เข้ากับปลายแท่งทองแดง ไม่ได้ใช้วิธีบัดกรี
เหตุผลที่ผมลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ควรจะทำนานแล้วนี้ ก็เพราะว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชิ้นมีความต้องการ “กระแสไฟฟ้า” เพื่อใช้เป็นพลังงานเลี้ยงวงจรอิเล็กทรอนิคภายในอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้น ซึ่งการที่จะทำให้อุปกรณ์เครื่องเสียงทุกชิ้นทำงานได้เต็มประสิทธิภาพของมันจริงๆ กระแสไฟฟ้าที่ป้อนเข้าไปเลี้ยงอุปกรณ์เครื่องเสียงเหล่านั้น “จะต้อง” มีความสะอาดหมดจดจริงๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ในชุดเครื่องเสียงของผมก็มีอุปกรณ์เสริมประเภทตัวกรองไฟ (Power Conditioner) ใช้งานอยู่บ้างเหมือนกัน ซึ่งโดยพื้นฐานการทำงานแล้ว อุปกรณ์ประเภท Power Conditioner เหล่านี้จะทำการแยกแยะขยะในไฟเอซีออกมาแล้วลำเลียงออกไปทางกราวนด์ของไฟเอซีเพื่อขจัดลงดินทิ้งไป ซึ่งระบบกราวนด์ของไฟเอซีก็เปรียบเสมือนท่อระบายน้ำที่รองรับของเสียในระบบเครื่องเสียงนั่นเอง
ถ้าระบบกราวนด์ของซิสเต็มไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดปัญหากราวนด์ลูป ขยะของระบบไม่มีทางไป มันก็จะไหลเวียนสะสมอยู่ในชุดเครื่องเสียง เมื่อมีการสะสมมากๆ เข้า ขยะไฟฟ้าเหล่านี้ก็จะเข้าไปรบกวนการทำงานของวงจรอิเล็กทรอนิคภายในตัวเครื่อง ซึ่งก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังไม่ได้ตอกแท่งกราวนด์ทองแดงลงดิน ผมก็อาศัยอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่เป็น ระบบกราวนด์เสมือน (Virtual Ground) ของ Clef Audio รุ่น GroundZero อยู่ในระบบเพื่อใช้เป็นถังใส่ขยะ โดยต่อเชื่อมจุดต่อกราวนด์บนตัวปลั๊กรางของ Clef Audio รุ่น PowerBridge 6 ไปที่ขั้วต่อกราวนด์ของกระป๋อง GroundZero โดยที่ปลั๊กรางทำหน้าที่เหมือนบ่อพักน้ำเสียที่รองรับ noise จากระบบไฟเข้ามา ก่อนจะขจัดทิ้งไปที่ตัว GroundZero ซึ่งทำหน้าที่เป็นถังขยะรองรับขยะเหล่านั้นเอาไว้ แต่เนื่องจากสารดูดซับขยะในกระป๋อง GroundZero มีปริมาณจำกัด บางครั้งผมก็ต้องปลดสายกราวนด์ที่เชื่อมต่อมาที่ตัว GroundZero ออกเมื่อพบว่าเสียงมีอาการแปลกๆ คล้ายจะตื้อๆ อั้นๆ หลังจากปลดทิ้งไปสอง–สามวันจึงค่อยเชื่อมต่อกระป๋อง GroundZero เข้าไปในระบบใหม่ เสียงโดยรวมก็จะกลับมาดีขึ้น
ผมทราบดีว่า การใช้อุปกรณ์ประเภท Virtual Ground ไม่ใช่วิธีที่จะขจัดปัญหาขยะไฟฟ้าออกไปจากระบบเครื่องเสียงได้อย่างถาวร แต่การที่จะลุกขึ้นมาติดตั้งระบบกราวนด์ในบ้านให้มันถูกหลักวิชาการจริงๆ ก็มีความยุ่งยากพอดูสำหรับบ้านที่สร้างมาเกินยี่สิบห้าปี ทั้งเรื่องของแท่งกราวนด์และการเดินสายไฟ แต่เมื่อผมได้รับ Nordost รุ่น QSource มาทดสอบ มันจึงเป็นเสมือนการบีบบังคับไปในตัวให้ผมต้องลุกขึ้นมาจัดการเรื่องกราวนด์ให้ถูกต้องซะที เพราะ Nordost แนะนำอยู่เสมอว่าซิสเต็มเครื่องเสียงที่ใช้อุปกรณ์ของเขาควรจะต้องมีระบบกราวนด์ที่ได้มาตรฐาน ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของความปลอดภัยในการใช้งานอย่างเดียว แต่การที่จะทำให้อุปกรณ์ประเภท Power Conditioner ทำการขจัดปัญหา noise ในระบบไฟออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ มันต้องการระบบกราวนด์ที่ถูกต้องเป็นส่วนประกอบสำคัญ คุณจึงจะสามารถรับรู้ถึงผลลัพธ์ของมันได้อย่างเต็มที่
เมื่อบ้านผมติดตั้งระบบกราวนด์เสร็จแล้ว (เริ่มตอกแท่งทองแดงลงดินวันที่ 7 มกราคม 2563) หลังจากทดลองฟังเพลงมาหนึ่งเดือนเต็มๆ ถือว่าเป็นช่วงเบิร์นฯ สายไฟ, สายกราวนด์ และเบรคเกอร์ ตอนนี้สิ่งที่ผมพบว่าเกิดขึ้นกับเสียงของซิสเต็มเครื่องเสียงของผมชัดๆ มีอยู่ 3-4 ประการ นั่นคือ ความนิ่ง, ความสะอาด, ความเป็นอิสระในการสวิงไดนามิก และโฟกัสของเสียงที่คมชัด ทั้งหมดนี้ดีขึ้นกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 10-15% ทีเดียว เมื่อเทียบกับการเซ็ตอัพเดิมๆ ที่ผมทำอยู่
และเมื่อมีระบบกราวนด์ที่ถูกต้องแบบนี้ มันทำให้ผมได้ยินผลการทำงานของระบบกราวนด์ของสายสัญญาณ Atlas Cable รุ่น Mavros Ultra Grun (REVIEW) ได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกระดับ สิ่งที่รับรู้ได้ชัดขึ้นหลังจากติดตั้งระบบกราวนด์ก็คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับสัญญาณระดับ Low Level ที่มีเกนสัญญาณต่ำๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ในระบบของผมยังมี noise ในระดับต่ำๆ signal floor ที่ค่อนข้างสูง ทำให้ซิสเต็มมีค่า S/N ratio (Signal-to-Noise ratio) อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่าตอนนี้ เมื่อติดตั้งระบบกราวนด์ที่ได้มาตรฐานแล้ว ตอนนี้ซิสเต็มของผมมี S/N ratio ที่สูงขึ้น (เพราะระดับ noise ต่ำลง) จึงสามารถรับรู้รายละเอียดของสัญญาณเสียงที่ระดับ Low Level ได้ดีขึ้นมาก
Nordost : QSource = แหล่งจ่ายไฟแบบลิเนียร์ที่มีคุณภาพสูง
ผมมีโอกาสพบกับผลิตภัณฑ์ตัวนี้ครั้งแรกในงานเครื่องเสียง Munich High-End Show เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 2562 ที่เมืองมิวนิค ประเทศเยอรมนี
คุณ Bjorn Bengtsson เจ้าหน้าที่ของ Nordost ให้เกียรติแนะนำ QSource กับ QPoint กับผม ซึ่งทั้งสองเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุด ไปเปิดตัวในงานนั้นเป็นครั้งแรก
หลังจากนั้น คุณบีจอร์นก็หิ้ว QSource กับ QPoint มาเปิดตัวที่บริษัท Deco2000 บนอาคารอัมรินทร์ พลาซ่า ชั้น 4 เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2562 สิ่งที่คุณบีจอห์น แสดงให้เห็น (ได้ยิน) ถึงสิ่งที่ QSource กับ QPoint ทำกับชุดเครื่องเสียงที่บริษัท Deco2000 ใช้สาธิตในวันนั้นทำให้ผมหูผึ่ง! (ในงานที่มิวนิคผมไม่มีโอกาสได้ทดลองฟังเพราะคนเยอะมาก!) เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น ที่ผมได้ยินกับหูของผม มันเป็นระดับของการอัพเกรดเสียงที่ทะลุเพดานของคำว่า “เสียงดี” ไปอีกขั้น แน่นอนว่าโดยพื้นฐานทางด้านคุณภาพของชุดเครื่องเสียงเอง, สภาพของอะคูสติกภายในห้องฟัง รวมถึงลักษณะการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงกับจุดนั่งฟัง ทั้งหมดนี้ต้องอยู่ในสภาพที่ลงตัวและมีมาตรฐานดีพอด้วย รวมถึงระบบกราวนด์ก็ต้องมี ซึ่งหลังจากสาธิตวันนั้น คุณบีจอห์น เจ้าหน้าที่ของ Nordost ที่มาสาธิตวันนั้นก็ได้เน้นย้ำกับผมถึงเรื่องกราวนด์เป็นพิเศษ..
ฟังท์ชั่นใช้งานของตัว QSource
หลังจากปรู๊ฟแล้วว่า ระบบไฟฟ้าที่ใช้กับซิสเต็มเครื่องเสียงของผมอยู่ในระดับมาตรฐานสากลแล้ว ผมก็เริ่มต้นทดลองฟัง Nordost : QSource ตัวนี้มาเรื่อยๆ หลังจากได้รับเครื่องตัวอย่างทั้ง QSource และ QPoint มาจากบริษัท Deco2000 ตั้งแต่หลังเปิดตัวเดือนตุลาคมไม่นาน
ก่อนที่จะลงรายละเอียดเกี่ยวกับการทดสอบของผม เราไปพิจารณาที่ตัวผลิตภัณฑ์กันก่อน ..
ตัว QSource มาในรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มี ความกว้าง 121 ม.ม. x ยาว 280 ม.ม. และ สูง 67 ม.ม. วัสดุที่ใช้ทำตัวบอดี้เป็นอะลูมิเนียมแท้ๆ ตันๆ ขุดขึ้นรูปและลบเหลี่ยมมุมให้โค้งมน ด้านบนของตัวเครื่องมีแป้นโลหะสีดำติดตั้งอยู่ ขนาด กว้าง 50 ม.ม. x ยาว 220 ม.ม. และ หนา 5 ม.ม. ซึ่งปลายด้านหนึ่งของแป้นโลหะนี้เป็นที่ติดตั้งขั้วต่อสำหรับไฟ DC ที่เป็นเอ๊าต์พุตจำนวน 6 ช่อง
ด้านข้างด้านหนึ่งของ QSource เป็นที่ติดตั้งขั้วต่อต่างๆ เหล่านี้
A = ขั้วต่อปลั๊กไฟ AC ขาเข้า พร้อมฟิวซ์ขนาด 1.25A
B = สวิทช์เปิด/ปิดการทำงาน
C = ช่องใส่ฟิวซ์
D = จุดเชื่อมต่อสายกราวนด์
อีกด้านของตัวถัง QSource เป็นที่ติดตั้งช่องต่อสำหรับเอ๊าต์พุตไฟ DC
E = ขั้วต่อ LEMO สำหรับส่งออกไฟ DC
F = ขั้วต่อ LEMO สำหรับส่งออกไฟ DC
G = ขั้วต่อ LEMO สำหรับส่งออกไฟ DC ขนาด 5V
ที่ด้านล่างตัวบอดี้ของ QSource ฝั่งที่ติดตั้งช่องต่อเอ๊าต์พุตไฟ DC จะมีสวิทช์โยกอยู่ 2 อัน
H = สวิทช์โยกสำหรับเอ๊าต์พุตไฟ DC ของขั้วต่อ LEMO ตำแหน่ง A ซึ่งเลือกได้ 3 ระดับคือ 9V, 19V และ 12V
I = สวิทช์โยกสำหรับเอ๊าต์พุตไฟ DC ของขั้วต่อ LEMO ตำแหน่ง B ซึ่งเลือกได้ 3 ระดับคือ 19V, 24V และ 12V
หน้าที่หลักของ QSource ก็คือแปลงไฟฟ้ากระแสสลับ AC ที่มีแรงดัน 220V ให้ออกมาเป็นไฟฟ้ากระสตรง DC ที่มีแรงดันต่างๆ กันหลายๆ ค่าเพื่อให้ผู้ใช้เลือกใช้ให้ตรงกับความต้องการของอุปกรณ์เครื่องเสียงนั้นๆ
เมื่อพิจารณาจากช่องเอ๊าต์พุตที่ผ่านขั้วต่อ LEMO ตามรูปด้านบน จะเห็นว่า เอ๊าต์พุตที่ QSource ให้ออกมามีตั้งแต่ 5V (4 ช่อง), 9V, 12V, 19V และ 24V ซึ่งครอบคลุมอุปกรณ์หลายประเภท โดยเฉพาะอุปกรณ์ประเภทสตรีมเมอร์, สวิชชิ่งสำหรับเน็ทเวิร์ค, NAS ไปจนถึง external DAC ตัวเล็กๆ ด้วย ซึ่งวงจรไฟฟ้าที่ใช้สร้างไฟเลี้ยงของ QSource เป็นวงจรแบบลิเนียร์ ไม่ใช่วงจรแบบสวิิทชิ่งที่มักจะแถมมากับอุปกรณ์ต่างๆ ทั่วไป
ด้านข้างของตัวบอดี้ด้านที่ติดตั้งขั้วต่อเอ๊าต์พุตจะมีไฟ LED ดวงเล็กๆ อยู่หนึ่งดวง ซึ่งจะสว่างเป็นสีฟ้าเมื่อกดสวิทช์เปิดเครื่องใช้งาน
ทาง Nordost ทำสายเชื่อมต่อออกมาใช้กับ QSource โดยเฉพาะด้วยซึ่งต้องซื้อเพิ่ม มีอยู่ 2 ระดับให้เลือกใช้ ระดับมาตรฐาน (เรียกชื่อว่า QSource DC Cable) ใช้ตัวนำทองแดง OFC เคลือบผิวด้วยโลหะเงิน ขนาด 22AWG จำนวน 2 เส้น ถักไขว้ตลอดเส้นด้วยโครงสร้างแบบ Micro Mono-Filament ที่เป็นรูปแบบเฉพาะของ Nordost เปลือกนอกหุ้มด้วยวัสดุ Fluorinated Ethylene Propylene (FEP) ส่วนสายเชื่อมต่อระดับพรีเมี่ยม (Premium QSource DC Cable) ใช้ตัวนำแบบเดียวกันแต่มีขนาดใหญ่กว่าคือ 18AWG จำนวน 2 เส้น ถักไขว้ด้วยโครงสร้างแบบเดียวกัน ฉนวนหุ้มภายนอกก็เป็นวัสดุ FEP แบบเดียวกันแต่เป็นสีฟ้า
ขั้วต่อของสาย QSource DC Cable ด้านที่ใช้เชื่อมต่อกับตัว QSource ติดหัวแจ๊ค LEMO ตัวผู้
ขั้วต่อด้านที่เสียบเข้าอุปกรณ์มีให้เลือกหลายรูปแบบ ทั้ง LEMO-to-LEMO, LEMO-to-5.5mm x 2.1mm DC connector และ LEMO-to-5.5mm x 2.5mm DC connector ส่วนความยาวก็มีให้เลือกเช่นกัน ทั้ง 1 เมตรและ 2 เมตร
Nordost รุ่น QPoint
Resonance Synchronizer
ในวงการเครื่องเสียง มีศาสตร์หลักๆ อยู่ 4 แขนงที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียงทั้่งหมดที่อยู่ในชุดเครื่องเสียง นั่นคือ อิเล็กทรอนิกส์, ไฟฟ้า (อิเล็กตริก), ฟิสิกส์ และอะคูสติก ซึ่งผลของเสียงที่เกิดจากศาสตร์ทางด้านฟิสิกส์และอะคูสติกเป็นอะไรที่อธิบายยากที่สุด ควบคุมยากที่สุด
ความยากในการอธิบายมันยิ่งเพิ่มมากขึ้นเมื่อมีเทคโนโลยี Quantum เข้ามายุ่งในวงการ มันยิ่งอธิบายยากมากขึ้นเมื่อมีสิ่งที่ตามองไม่เห็นอย่างคลื่น Electromagnetic เข้ามาส่งผลกับการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียง ซึ่งเราไม่มีสิทธิ์หลีกเลี่ยงเลยตราบเท่าที่เรายังจำเป็นต้องอาศัยทรานฟอร์เมอร์ในภาคจ่ายไฟให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียง และยังมีเรื่องของ Resonant อีก ซึ่งนักเล่นฯ เครื่องเสียงที่มีประสบการณ์สามารถฟังผลของเสียงที่เกิดจากการรบกวนของเรโซแนนซ์ได้ แต่ยากมากถ้าพยายามที่จะอธิบายมัน
ด้วยความรู้ที่น้อยมาก ดังนั้น ผมจะไม่ขออธิบายว่า Resonant ที่เกิดจากการสั่นค้างของวัสดุทุกชิ้น อย่างเช่นแผงวงจร, ตัวถัง, สายสัญญาณที่เดินอยู่ภายในตัวเครื่อง ฯลฯ ส่งผลกับคลื่น Electromagnetic ที่ออกมาจากทรานฟอร์เมอร์แบบไหน.? ยังไง.? ซึ่งผู้ผลิต QPoint คือ Nordost ยินยันว่ามันมีอยู่ และสามารถขจัดให้หายไปได้ด้วยอุปกรณ์ QPoint ที่พวกเขาออกแบบและผลิตขึ้นมา
QPoint เป็นวัตถุที่มีลักษณะเป็นแป้นกลมที่มี เส้นผ่าศูนย์กลาง 127 ม.ม. หนา 26 ม.ม. ส่วนฐานและตัวบอดี้ทำด้วยอะลูมิเนียม ส่วนพื้นที่ที่ส่งผลในการทำงานมีลักษณะเป็นวัสดุสีดำ กลมแบน เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 105 ม.ม. น้ำหนักอยู่ที่ 0.4 กิโลกรัม
ใต้ฐานของ QPoint
ด้านหน้ามีไฟ LED ดวงเล็กๆ อยู่หนึ่งดวง ซึ่งจะสว่างขึ้นเป็นสีฟ้า เมื่อคุณสับสวิทช์ที่ด้านหลัง “ลง” เพื่อเลือกใช้โหมด I และจะเปลี่ยนสว่างขึ้นเป็นสีเขียวเมื่อคุณสับสวิทช์ “ขึ้น” เพื่อเลือกเปิดใช้โหมด II
เมื่อคุณเสียบสายไฟป้อนเข้าไปที่ตัว QPoint มันจะสร้างคลื่นความสั่นสะเทือน (resonant) ขึ้นมาและส่งพลังงานนั้นออกไปในอากาศ ซึ่งคลื่นความสั่นสะเทือนที่สร้างขึ้นโดย QPoint นี้จะมีอยู่ 2 รูปแบบ (2 แพลทเทิ้น) แยกเป็นโหมด I กับโหมด II ซึ่งวิธีใช้งานคือสอดตัว QPoint เข้าไปใต้อุปกรณ์เครื่องเสียงที่ต้องการ โดยหงายด้านที่เป็นแป้นสีดำชี้ขึ้นไปที่ฐานล่างของตัวเครื่องเสียง ตามภาพตัวอย่างข้างบนนั้นผมทดลองใช้กับปรีแอมป์ Audible Illusion : Modulus M3A จากนั้นก็เปิดเพลงฟัง และทำการปรับจูนหาตำแหน่งที่ส่งผลกับเสียงมากที่สุด ซึ่งโดยหลักพื้นฐานการทำงานของตัว QPoint คือสร้างรูปแบบของคลื่นพลังงานความสั่นสะเทือนขึ้นมาเพื่อให้ไปสอดรับ (sync) กับรูปแบบของคลื่นความสั่นสะเทือน (resonant) ที่เกิดขึ้นบนชิ้นส่วนต่างๆ ของอุปกรณ์เครื่องเสียงตัวนั้น ซึ่งในที่นี้ก็คือปรีแอมป์ Modulus M3A เมื่อคลื่นความสั่นสะเทือนที่สร้างขึ้นโดยตัว QPoint แผ่ไปเจอกับคลื่นความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นบนตัวอุปกรณ์เครื่องเสียง มันก็จะเกิดปฏิกิริยาต่อกัน กรณีที่รูปแบบของคลื่นความสั่นสะเทือนทั้งสองมีแพลทเทิ้นที่สอดรับกันพอดีๆ พลังงานที่เกิดจากการสั่นสะเทือนบนตัวอุปกรณ์เครื่องเสียงก็จะเบาบางลง ส่งผลเสียต่อการทำงานของวงจรไฟฟ้าด้านในน้อยลง ทำให้วงจรไฟฟ้าภายในอุปกรณ์เครื่องเสียงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เหตุที่ต้องทำการขยับเลื่อนปรับจูนหาตำแหน่งที่ให้เสียงดีที่สุด ก็เพราะว่าโดยธรรมชาติแล้ว จุดที่สั่นมากที่สุดของชิ้นส่วนในอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละตัวจะไม่ได้อยู่ที่จุดเดียวกันเสมอ ตำแหน่งของจุดที่เกิดแรงสั่นมากที่สุดจะขึ้นอยู่กับลักษณะรูปพรรณสัณฐานและขนาดของอุปกรณ์เครื่องเสียงตัวนั้นๆ ซึ่งการปรับจูนตัว QPoint นี้ นอกจากจะต้องขยับเลื่อนหาตำแหน่งแล้ว การทดลองเลือกรูปแบบแพลทเทิ้นของความสั่นสะเทือน I หรือ II ก็เป็นสิ่งที่ต้องทดลองฟังเพื่อหาบทสรุปที่ลงตัวมากที่สุดด้วย
กรณีที่ไม่สามารถสอดตัว QPoint ลงไปใต้อุปกรณ์ได้เพราะช่องว่างแคบเกินไป ก็สามารถนำตัว QPoint ไปวางทับไว้ด้านบนของตัวเครื่องก็ได้ ซึ่งต้องเอาด้านที่เป็นวัสดุสีดำคว่ำลงโดยเอาแผ่นรองวางรองไว้ป้องกันขูดขีด
ทดสอบ
ทางบริษัท Deco2000 ได้จัดส่ง QSource กับ QPoint มาให้ผมทดสอบอย่างละหนึ่งตัว พร้อมสายเชื่อมต่ออีก 4 เส้น ติดขั้วต่อ 2 POS LEMO > 2.5 DC ความยาว 1 เมตร จำนวน 2 เส้น (ไว้ต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ), ติดขั้วต่อ 2 POS LEMO > 2.1 DC ความยาว 2 เมตร หนึ่งเส้น (ไว้ต่อกับอุปกรณ์อื่นๆ) และติดขั้วต่อ 2 POS LEMO > LEMO ความยาว 2 เมตร อีกหนึ่งเส้น ไว้ต่อเชื่อมกับตัว QPoint
เมื่อเทียบกับอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ผมมีใช้อยู่ขณะทดสอบนี้ ผมสามารถใช้ QSource ทดสอบกับอุปกรณ์ได้ 4 ตัว นั่นคือใช้กับ roon รุ่น nucleus+ ซึ่งเป็นตัวเล่นไฟล์เพลง, ใช้กับ MyTek รุ่น Liberty DAC กับรุ่น Brooklyn Bridge ซึ่งเป็น external DAC, ใช้กับ QNAP รุ่น TS-253Be ซึ่งเป็นที่เก็บไฟล์เพลง (NAS) และใช้กับ QPoint ที่ให้มาทดสอบอีกหนึ่งตัว
ด้านบนคือแผนผังการเชื่อมต่อ QSource กับ QPoint ในการทดสอบชุดแรก โดยทดลองใช้เอ๊าต์พุตช่อง A ปรับไฟเอ๊าต์พุตที่ 12V จ่ายให้กับ external DAC ของ MyTek รุ่น Brooklyn Bridge เพียงแค่ตัวเดียวก่อน แล้วใช้วิธีฟังเทียบกับการเสียบสายไฟเอซีเข้าที่ตัว Brooklyn Bridge โดยตรง หลังจากนั้นจึงค่อยเสริมเข้าไปด้วย QPoint และตามด้วยปรับไฟเลี้ยงที่ช่องเอ๊าต์พุต B ไปที่ 12V เพื่อป้อนให้กับ NAS เป็นลำดับต่อมา
นี่เป็นผังการเชื่อมต่อ QSource และ QPoint แบบที่สองที่ผมใช้ในการทดสอบครั้งนี้ เป็นการทดลองใช้กับ external DAC ที่มีราคาหย่อนลงมากว่า Brooklyn Bridge อีกระดับ นั่นคือไม่เกิน 5 หมื่นบาท เป็นรุ่น Liberty DAC ซึ่งถูกออกแบบมาให้สามารถรองรับภาคจ่ายไฟแบบ Linear จากภายนอกได้ ผมปรับไฟเอ๊าต์พุตช่อง A ไว้ที่ 12V ป้อนให้กับ Liberty DAC แต่เนื่องจาก Liberty DAC ไม่มีอินพุต Network ผมต้องเล่นไฟล์เพลงด้วย roon : nucleus+ แล้วส่งสัญญาณไปที่ Liberty DAC เข้าทางอินพุต USB ผมจึงปรับเลือกไฟเอ๊าต์พุตของ QSource ช่อง B ไว้ที่ 19V เพื่อป้อนไปเลี้ยงตัว nucleus+ และใช้ไฟ 5V ของตัว QSource ไปเลี้ยงตัว QPoint เพื่อใช้งานร่วมกัน
คุณภาพเสียง
ไฟเลี้ยงที่ QSource ป้อนให้กับอุปกรณ์เครื่องเสียงที่เชื่อมต่ออยู่กับตัวมันเป็นไฟเลี้ยงแบบลิเนียร์ ซึ่งยอมรับกันโดยทั่วไปว่าให้ประสิทธิภาพสูงกว่าไฟเลี้ยงแบบสวิทชิ่ง โดยเฉพาะในแง่ของ noise ของระบบที่ต่ำกว่ามาก ซึ่งนั่นคือสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้หลังจากทดลองใช้ไฟเลี้ยงจาก QSource ไปป้อนให้กับ MyTek : Brooklyn Bridge เป็นเครื่องแรก ผลของเสียงที่ได้หลังจากเปลี่ยนไปใช้ไฟเลี้ยงจาก QSource คือความสะอาด ซึ่งสัมผัสได้จากอาการกระด้างแข็งของปลายเสียงที่ลดน้อยลงอย่างที่รู้สึกได้ กับเนื้อเสียงที่เนียนละเอียด
อันที่จริงแล้ว ผมก็เคยใช้ LPS (Linear Power Supply) 12V ของ Clef Audio กับ Brooklyn Bridge มาก่อน ซึ่งก็สัมผัสได้ถึงความเนียนสะอาดของเสียงที่ดีกว่าใช้ภาคจ่ายไฟสวิทชิ่งในตัว เป็นการยกระดับคุณภาพเสียงขึ้นมาอีกขั้น แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมได้ยินจากการใช้ภาคจ่ายไฟลิเนียร์ QSource ตัวนี้ ผมรู้สึกว่ามันให้อะไรออกมามากกว่าแค่ “สะอาด” นะ ความแตกต่างที่ว่าคืออาการ “เปิดโล่ง” ของเสียงที่ให้ความรู้สึกเหมือนซาวนด์สเตจมันพองตัวและยกลอยขึ้นมามากขึ้น พื้นเสียงก็เงียบสงัดมากกว่าปกติ ทำให้รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงปรากฏตัวออกมาให้ได้ยินมากขึ้น
เมื่อผมทดลองใช้ไฟเลี้ยงจาก QSource ไปป้อนให้ NAS ที่ใช้เก็บไฟล์เพลงที่ใช้ร่วมกับ Brooklyn Bridge ด้วย ปรากฏว่า ความสะอาดของเสียงดีขึ้นไปอีกขั้น รวมถึงความสะอาดของพื้นเสียงก็ดีขึ้นไปด้วย
อัลบั้ม : The Guitar Artistry of Charlie Byrd (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Charlie Byrd
เสียงกีต้าร์คาสสสิกของชาลี เบิร์ดในอัลบั้มชุดนี้บ่งบอกประสิิทธิภาพของ QSource ออกมาได้ชัดมาก สำเนียงของสายเอ็นปรากฏออกมาให้ได้ยินแบบไม่ต้องเพ่ง ซึ่งตอนใช้ภาคจ่ายไฟแบบสวิทชิ่งในตัว Brooklyn Bridge ฟังเพลงเดียวกันในอัลบั้มนี้ เสียงกีต้าร์สายเอ็นด์จะมีความกระด้างและแข็งเหมือนมีความเป็นโลหะผสม อีกจุดหนึ่งที่ผมได้ยินความแตกต่างระหว่างใช้สวิทชิ่งในตัว Brooklyn Bridge กับใช้ LPS จาก QSource คือเสียงไฮแฮทของกลองในแทรคที่ 6 เพลง Makin’ whoopee ซึ่งตอนใช้ไฟเลี้ยงสวิทชิ่ง เสียงไฮแฮทในแทรคนี้มันสว่างจ้าและมีตำแหน่งเคลื่อนมาด้านหน้า แต่พอเปลี่ยนมาใช้ภาคจ่ายไฟลิเนียร์จาก QSource อาการจ้าสว่างของเสียงไฮแฮทน้อยลงไปมาก และรู้สึกได้เลยว่าตำแหน่งของเสียงไฮแฮทมันถอยลงอยู่หลังระนาบลำโพง เข้าไปอยู่ในบรรยากาศเดียวกับเสียงกีต้าร์ กลมกลืนกันมากกว่า
อัลบั้ม : Way Out West (Gold Disc AAPJ-008)(WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Sunny Rollins
เสียงแซ็กฯ ของ Sunny Rollins กับเสียงเคาะฉาบของ Shelly Manne ในแทรคนี้ช่วยตอกย้ำให้เห็นถึงความแตกต่างของ QSource เมื่อเทียบกับ LPS ตัวอื่นที่ผมเคยทดลองฟังมา คือภาคจ่ายไฟลิเนียร์ส่วนใหญ่ให้เสียงที่สะอาดก็จริง แต่บางตัวนั้นให้ไดนามิกที่แคบลง โดยเฉพาะที่ความถี่สูง มีผลทำให้เสียงแหลมไม่เปิดกระจ่าง roll-off เร็ว ซึ่งทำให้ฟังแล้วให้ความรู้สึกออกไปทางนุ่มนวล แต่ QSource ตัวนี้แปลกกว่าตัวอื่นๆ ตรงที่นอกจากจะให้เสียงที่มีความสะอาดตลอดทั้งย่านเสียงแล้ว มันยังให้เสียงโดยรวมที่มีลักษณะเปิดกระจ่างอีกด้วย เสียงเคาะฉาบกับเสียงแซ็กโซโฟนในอัลบั้มนี้จะมีลักษณะที่เปิดกระจ่าง ทอดส่งปลายเสียงออกมาได้เต็มที่ไม่มีอาการโรลออฟ โดยเฉพาะเสียงแซ็กฯ ของซันนี่ที่มีทั้งพลังและความสดกระจ่างสมจริง และแน่นอนว่าเป็นเสียงที่มีความสะอาดหมดจดอย่างมาก แม้จะเปิดดังมากๆ ก็ไม่มีอาการล้าหูเลย… เจ๋งมาก!! ใครชอบฟังเพลงแนวสแตนดาร์ด–แจ๊สยุคเก่าๆ โดยเฉพาะเพลงจากค่ายที่บันทึกเสียงดิบๆ อย่าง Bluenote, Prestige, Columbia หรือ Three Blind Mice น่าจะแฮ้ปปี้กับเสียงแบบนี้ เพราะมันออกมาสด, มีชีวิตชีวา และสัมผัสได้ถึงพลังงานที่พลุ่งพล่านของนักดนตรีที่ถูกปลดปล่อยออกมาโดยปราศจากความเพี้ยนที่ระคายหู
อัลบั้ม : Rachmaninoff – Symphonic Dances & Vocalise (WAV 16/44.1)
ศิลปิน : Donald Johanes conduct Dallas Symphony Orchestra
ตอนท้ายๆ ผมจึงเอาตัว QPoint เข้ามาเสริม โดยทดลองสอดเข้าไปใต้แอมป์ฯ เพราะมีช่องว่างเยอะหน่อย แอมป์ที่ทดลองกับ QPoint แล้วเห็นผลชัดก็มีอินติเกรตแอมป์ของ Arcam รุ่น SA20 (REVIEW), Moon รุ่น 340i และปรีแอมป์หลอด Audible Illusion รุ่น Modulus M3A
หลังจากเสริมด้วย QPoint ลงไปแล้ว ผลลัพธ์มันทำเอาผมแทบหงายหลัง.! พอขยับเลื่อนตำแหน่งลงตัวแล้ว ผมพบว่า QPoint มันเข้าไปทำ 2 อย่างให้เกิดขึ้นกับเสียงที่ได้ยิน อย่างแรกคือ “ขยายซาวนด์สเตจ” ให้แผ่กว้างออกไปอีก คือหลังจากเพิ่ม QPoint ลงไปแล้ว มันทำให้เวทีเสียงมีลักษณะเหมือนกับลูกโป่งที่ถูกอัดลมเข้าไปจนเต่งเต็ม ความกว้าง, ความสูง และความลึกถูกถ่างดันออกไปจนสุดสเกล ไม่มีความรู้สึกถึงความจำกัดของขอบเขตปริมณฑลหลงเหลืออยู่อีกเลย ซึ่งแน่นอนว่า คุณสมบัติแบบนี้ต้องเพลงคลาสสิกแนวออเคสตร้าเท่านั้น และเมื่อผมเลือกไฟล์เพลง WAV 16/44.1 ที่ผมริปมาจากแผ่นซีดีของค่าย Analogue Productions ชุด Symphonic Dances & Vocalise นี้มาลองฟัง สิ่งที่ได้ยินเต็มสองรูหูก็คือเสียงที่โอ่อ่า มลังเมลือง เปล่งปลั่ง และระริกระรี้ เต็มไปด้วยชีวิตชีวาของเสียงเครื่องสายกับเสียงเครื่องเป่าทองเหลืองในอัลบั้มนี้ ซึ่งผมต้องขอยกนิ้วให้ QPoint ตัวนี้สองนิ้วโป้งไปเลย เพราะมันช่วยเก็บกวาด “ขยะ” หรือ noise ในเวทีเสียงออกไปจนแทบจะไม่เหลือหรอ ทำให้ผมได้ยินรายละเอียดของเสียงแทบจะทุกเม็ดที่แอบซ่อนอยู่ในอัลบั้มนี้ ปรากฏออกมาให้ได้ยินแม้ในรายละเอียดที่แผ่วเบาที่สุดและซุกซ่อนอยู่ลึกๆ ถอยห่างจากระนาบลำโพงลงไปเป็นเมตร ที่น่าทึ่งและเป็นเหตุที่ผมต้องยกนิ้วโป้งให้ก็คือว่า QPoint ตัวนี้มันไม่ได้ดันรายละเอียดเหล่านั้นขึ้นมาให้ผมได้ยิน แต่มันช่วยปัดกวาดเวทีเสียงให้มีความสะอาดและโปร่งโล่งอย่างถึงที่สุด จนทำให้ผมมองเห็น (ได้ยิน) รายละเอียดที่ซุกซ่อนเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้ “รูปวงเวทีเสียง” ยังคงอยู่เหมือนต้นฉบับ แต่ละชิ้นดนตรีถูกตรึงอยู่ในตำแหน่งของมันอย่างมั่นคง ไม่ถูกดันให้ร่นขึ้นมาด้านหน้าจนเสียรูปวง.. สุดมากครับ! ใครชอบฟังเพลงคลาสสิกแนะนำเป็นอันขาดให้ลอง QPoint ตัวนี้ให้ได้..!!
อัลบั้ม : Don’t Smoke in Bed (DSF64)
ศิลปิน : Holly Cole Trio
อัลบั้ม : The Well (DSF64)
ศิลปิน : Jennifer Warnes
หลังจากนั่งฟังเสียงของซิสเต็มที่เป็นผลที่ได้มาจากการทำงานของ QSource + QPoint มาเกือบเดือนเต็มๆ ผมก็พอจับทางของอุปกรณ์สองชิ้นนี้ได้เลาๆ ว่ามันเข้าไปทำให้เสียงทั้งหมดมี “ความบริสุทธิ์” มากยิ่งขึ้น คล้ายกับว่า จับเอาเสียงของซิสเต็มเดิมๆ ไปขัดสีฉวีวรรณจนสะอาด จับเข้าฟิตเนส ดูดไขมันออกจนมีรูปร่างที่บางลง รีดเอาส่วนเกินออก ซึ่งนั่นทำให้ฟังคร่าวๆ ถ้าไม่จับรายละเอียดอื่นๆ จะรู้สึกว่าเสียงโดยรวมบางลงไปนิดนึง หลังจากใช้ QSource + QPoint คือบางลงในแง่ของมวลเสียง แต่สิ่งที่ดีขึ้นมากคือคอนทราสน์ของไดนามิกที่เกลี่ยหนัก–เบาได้ละเอียดมากขึ้น สัมผัสถึงอารมณ์ของเสียงได้ลึกซึ้งมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อฟังจากเสียงร้องที่สัมผัสกับอารมณ์ช่วงเอื้อนช่วงผ่อนที่ชัดเจนขึ้น คุณสมบัติที่ว่าจะปรากฏออกมาอย่างโดดเด่นยิ่งขึ้นเมื่อลองฟังเสียงร้องของนักร้องคุณภาพอย่าง Holly Cole หรือ Jennifer Warnes เมื่อผมทดลองเปลี่ยนรูปแบบไฟล์เพลงมาลองฟัง โดยเลือกไฟล์เพลง DSF สองอัลบั้มข้างต้นมาฟัง ผมพบว่า ผมได้ความหนาข้นของมวลเสียงร้องที่น่าพอใจแล้ว แสดงว่าความหนาแน่นของเนื้อข้อมูลจากไฟล์ไฮเรซฯ มันทำให้เสียงเข้มขึ้น ข้นมากขึ้น และหนาขึ้น ในขณะเดียวกัน เมื่อฟังด้วยไฟล์ DSF ผมก็ได้ความสงัดเงียบของพื้นเสียงเพิ่มขึ้นมาด้วย รับรู้ถึงอณูของปลายเสียงที่แผ่วกังวานได้ชัดขึ้น ติดตามอาการแตกตัวของปลายเสียงที่ทอดออกไปได้หมดจดมากยิ่งขึ้น
อัลบั้ม : JT (DSF64)
ศิลปิน : James Taylor
อัลบั้ม : Blood, Sweat & Tears (DSF64)
ศิลปิน : Blood, Sweat & Tears
อัลบั้ม : TakeDake (DSF64)
ศิลปิน : John Kaisan Neptune
ข้อดีของภาคจ่ายไฟลิเนียร์ กับความสามารถในการขจัด noise ของระบบไฟและ noise ที่เกิดจากเรโซแนนซ์ในระบบออกไป มันส่งผลดีกับทุกแนวเพลงที่ฟังจริงๆ และหลังจากผมทดลองฟังเพลงหลากหลายแนวกับซิสเต็มที่ใช้ QSource และ QPoint สองชิ้นนี้แล้ว ผมพบว่า อุปกรณ์เสริมของ Nordost ทั้งสองชิ้นนั้นไม่ได้เข้าไปทำให้ความเป็นดนตรีของเพลงที่ฟังแย่ลง ในทางตรงกันข้าม กลับทำให้ได้อรรถรสในการฟังมากขึ้นซะด้วยซ้ำไป..
สรุป
ตลอดการทดสอบ QSource และ QPoint สองตัวนี้ ผมได้ทดลองใช้งานอุปกรณ์เสริมสองชิ้นนี้กับชุดเครื่องเสียงที่มีระดับราคาต่างๆ กัน มีทั้งชุดระดับกลางๆ ไปจนถึงชุดแพงๆ ผมพบว่า อุปกรณ์เสริมทั้งสองชิ้นนี้ก็ทำหน้าที่ของมันได้อย่างแน่วแน่และมั่นคง มันช่วย “ยกระดับ” คุณภาพเสียงของซิสเต็มขึ้นมาให้ได้ยินในระดับที่รับรู้ได้อย่างชัดเจน และเมื่อซึมซับจนคุ้นเคยแล้ว ไม่สามารถจะปลดออกไปจากซิสเต็มได้อีกต่อไป /
********************
ราคา :
QSource = 100,000 บาท / เครื่อง
QPoint = 30,000 บาท / ตัว
สาย LEMO > DC cable = 10,000 บาท / เส้น
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Deco2000
โทร. 089-870-8987
facebook : @DECO2000Thailand