ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้กับแบรนด์ Audiolab จากประเทศอังกฤษ “มากที่สุด” ถือว่าเป็นระดับ iconic ที่ทำให้โลกรู้จักชื่อของ Audiolab ก็ต้องยกให้กับอินติเกรตแอมป์รุ่น 8000A ซึ่งเป็นดาวเด่นก่อนที่แบรนด์นี้จะย้ายสำมะโนครัวเข้ามาอยู่ในอ้อมอกของ IAG ของจีน แต่ถ้าโฟกัสลงมาช่วงที่แบรนด์เข้ามาอยู่ในสังกัด IAG แล้วก็ต้องยกให้อินติเกรตแอมป์รุ่น 6000A ซึ่งเปิดตัวออกมาเมื่อ ปี 2018 ซึ่งทำให้ชื่อของ Audiolab หวนหลับมาเปรี้ยงปร้างอีกครั้งในยุคดิจิตัลด้วยรางวัลมากมายที่หลายสำนักทั้ง What HiFi? UK, HiFi World, HiFi News และ Hi-Fi Choice พร้อมใจกันยกให้
อินติเกรตแอมป์รุ่น 6000A กับรุ่น 7000A มีอะไรที่คล้ายคลึงกันมาก ไม่ว่าจะเป็นอินพุตและฟังท์ชั่นต่างๆ แต่ส่วนที่ต่างกันอย่างชัดเจนมากที่สุดก็คือตัวเลข “กำลังขับ” ซึ่งรุ่น 7000A ให้กำลังขับสูงกว่าคืออยู่ที่ 70W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม และ 110W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม ในขณะที่ 6000A ให้กำลังขับอยู่ที่ 50W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม และ 75W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม (ภาคเพาเวอร์แอมป์ของทั้งสองรุ่นนี้ใช้วงจรขยายแบบ class-AB เหมือนกันทั้งคู่)
แผงหน้า/แผงหลัง กับ ปุ่มปรับควบคุมสั่งงาน
A : ปุ่มหมุน เลือกแหล่งอินพุต
B : ปุ่มหมุน เลือกโหมดการทำงานของตัวเครื่อง
C : จอ แสดงผล
D : ปุ่มหมุน ปรับวอลลุ่ม
E : รูเสียบ แจ็คหูฟัง
F : เซ็นเซอร์ รับคำสั่งจากรีโมทไร้สาย
G : สวิทช์กด เปิด/สแตนด์บาย
H : สวิทช์กด เปิด/ปิดเครื่อง
I : เต้ารับ ปลั๊กไฟเอซี
J : ขั้วต่อ สายลำโพง
K : เสาอากาศ รับคลื่น Bluetooth
L : ช่องอินพุต ดิจิตัล HDMI x1, Optical x2, Coaxial x2
M : ช่องเอ๊าต์พุต Pre Out กับช่องอินพุต Power In
N : ช่องอินพุต AUX1 – AUX3 และช่องอินพุต Phono พร้อมจุดเชื่อมต่อกราวนด์
O : ช่องเสียบ USB แฟรชไดร้สำหรับอัพเดตเฟิร์มแวร์
P : ช่องอินพุต/เอ๊าต์พุต สำหรับสัญญาณ trigger 12V
รูปร่างหน้าตาของ 7000A ก็มาแนวทางเดียวกับรุ่น 6000A ต่างกันแค่ 7000A มีจอแสดงผลทรงวงรี (C) ติดตั้งมาให้บริเวณพื้นที่ตรงกลางของแผงหน้า ซึ่งรุ่น 6000A จะไม่มีจอนี้ นอกจากนั้นจะเหมือนๆ กัน คือมีปุ่มหมุนขนาดค่อนข้างใหญ่จำนวน 3 ปุ่ม เรียงกันอยู่ด้านข้างของจอ ทางซ้าย 2 ปุ่ม คือปุ่ม SEL (A) สำหรับหมุนเลือกอินพุตที่มีให้เลือกทั้งหมด 11 อินพุต ตั้งแต่ USB (PC), OPT1, OPT2, COAX1, COAX2, HDMI (ARC), PHONO, AUX1, AUX2, AUX3 และ Bluetooth ซึ่งคุณสามารถเลือกอินพุตได้ 2 วิธี คือ วิธีแรก ใช้มือหมุนปุ่ม SEL ที่อยู่บนแผงหน้าของตัวเครื่อง กับวิธีที่สอง กดปุ่ม Source บนรีโมทไร้สายขึ้นๆ ลงๆ และทุกครั้ง ไม่ว่าคุณจะหมุนปุ่ม SEL บนหน้าเครื่อง หรือกดปุ่ม Source บนรีโมทฯ เพื่อเลือกอินพุต ชื่อของอินพุตจะไปปรากฏบนจอแสดงผล เมื่อคุณหมุนไปแล้วปรากฏชื่ออินพุตไหนขึ้นมาบนจอ อินพุตนั้นจะเริ่มทำงานทันทีโดยที่คุณไม่ต้องกดเลือกซ้ำ
ปุ่มที่สองชื่อว่า MODE (B) ถูกกำหนดให้ทำหน้าที่เลือกโหมดการทำงานของ 7000A ที่มีให้เลือกจำนวน 3 โหมด คือ Pre, Integrated และ Pre-Power ซึ่งโหมด Pre กับโหมด Pre-Power นั้นจะสอดคล้องกับการเชื่อมต่อสัญญาณที่ช่อง Pre Out และช่อง Power In (M) ด้วย ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้เอามาจากรุ่น 9000N ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นที่ดีมากๆ โดยเฉพาะตอนที่เลือกใช้โหมด Pre เพื่อป้อนสัญญาณภาคปรีฯ ของ 7000A ไปใช้กับเพาเวอร์แอมป์ภายนอก ซึ่งเป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพทางด้านกำลังขับของ 7000A ขึ้นไป หรือจะส่งออกไปใช้งานร่วมกับลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์ภายนอกนั้น การทำงานของภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว 7000A จะถูกปิดลง เพื่อสงวนกำลังของภาคเพาเวอร์ซัพพลายทั้งหมดไปใช้กับภาค DAC และภาคปรีแอมป์เท่านั้น ซึ่งนอกจากจะได้ผลดีทางด้านสมรรถนะแล้ว การปิดการทำงานของภาคเพาเวอร์แอมป์ยังช่วยลด noise ลงไปได้อีกทางหนึ่งด้วย
7000A มีชุดแอมป์สำหรับขับหูฟังติดตั้งมาให้สำหรับการฟังเพลงส่วนตัวโดยติดตั้งช่องเสียบแจ็คหูฟังไว้บนแผงหน้า (E) ใช้งานสะดวก สำหรับคนที่ชอบเซ็ตอัพลำโพงและชุดเครื่องเสียงเพื่อปรับจูนเสียงก็สามารถอาศัยเสียงจากช่องหูฟังนี้เป็นตัวอ้างอิงเสียงขณะเซ็ตอัพได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งจะทำให้ได้ผลจากการเซ็ตอัพที่มีความแม่นยำมากขึ้น
ดิจิตัล อินพุต
7000A ให้อินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัลมาทั้งหมด 5 ช่อง สำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัลจากอุปกรณ์เครื่องเล่นคอนเท็นต์เพลงที่อยู่ในรูปของสัญญาณดิจิตัลอย่างเช่น เครื่องเล่นแผ่นซีดี, เอสเอซีดี, ดีวีดี รวมถึงสตรีมเมอร์ ยกเว้น HDMI ที่มีไว้ให้เชื่อมต่อกับทีวีโดยเฉพาะ ซึ่งช่องอินพุตที่ให้มาแบ่งเป็น 3 ประเภท คือ optical, coaxial (Q) และ USB (R)
อินพุต Optical กับ Coaxial ทั้ง 4 ช่อง ที่ให้มาสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลได้สูงสุดถึง 192kHz ส่วนช่องอินพุต USB ของ 7000A ช่องนี้ถือว่าพิเศษ คือเป็นอินพุต USB ที่มีคุณสมบัติเป็น ROON TESTED คือสามารถใช้งานร่วมกับทรานสปอร์ต (คอมพิวเตอร์ หรือสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต) ที่ใช้โปรแกรม Roon ได้ “อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด” คือ สามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลตระกูล PCM ได้สูงสุดถึงระดับ 768kHz และสามารถรองรับสัญญาณดิจิตัลตระกูล DSD ได้ตั้งแต่ DSD64 ขึ้นไปจนระดับสูงสุดที่ DSD512 ถ้า.. ฮาร์ดแวร์ของคอมพิวเตอร์หรือสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ตสามารถส่งออกมาได้ (มีลองเล่นอินพุต USB ช่วงท้าย)
เมนู
การทำงานของระบบต่างๆ ภายในตัวเครื่อง ถูกกำหนดให้ผู้ใช้สามารถควบคุมการปรับตั้งค่าผ่านทางเมนูเครื่อง ซึ่งในนั้นมีหัวข้อเมนูย่อยให้เลือกปรับตั้งค่าทั้งหมด 16 หัวข้อ ได้แก่ Filter, Upsampling, DPLL, Balance, Input Sensitivity, Volume, Display Option, Brightness, Display Time Out, Animation, CEC, Trigger, Language, Standby, Reset และ Version ซึ่งมีเมนูที่ส่งผลกับเสียงโดยตรงอยู่ 2 หัวข้อ คือ Filter กับ Upsampling
เมนู Filter
ภาค DAC ในตัว 7000A มีวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์ให้เลือกใช้ 5 ตัว คือ Linear Phase (Fast Roll-Off), Linear Phase (Slow Roll-Off), Minimum Phase (Fast Roll-Off), Minimum Phase (Slow Roll-Off) และ Hybrid (Fast Roll-Off) ซึ่งฟิลเตอร์แต่ละตัวจะให้เสียงออกมาต่างกันนิดๆ หน่อยๆ เท่าที่ผมทดลองเลือกฟังดู พบว่าความแตกต่างของเสียงที่ได้จากแต่ละฟิลเตอร์ไม่ได้เยอะมากถ้าฟังแค่ประเดี๋ยวประด๋าว แต่จะส่งผลความแตกต่างทางโทนเสียงที่ชัดขึ้นเมื่อฟังติดต่อกันไปนานๆ
ฟิลเตอร์ที่ผู้ผลิตเลือกมาให้จากโรงงานคือตัว Linear Phase (Slow Roll-Off) ซึ่งให้เสียงแนวผ่อนปรน ฟังได้นานๆ ไม่ล้าหู ไม่ต้องเซ็ตอัพละเอียดเพราะโฟกัสของเสียงจะไม่ถึงกับเป๊ะมาก โดยรวมจะออกนัวๆ หน่อย แต่ถ้าคุณมีฝีมือในการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพง ชอบฟังเสียงที่มีโฟกัสชัดๆ แนะนำให้ลองใช้ฟิลเตอร์ตัว Minimum Phase (Slow Roll-Off) จะตรงกับความชอบมากกว่า โฟกัสจะคมกว่า อย่างไรก็ตาม ผลของฟิลเตอร์แต่ละตัวมันจะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์แต่ละชิ้นในซิสเต็มด้วย แนะนำให้ทดลองเลือกฟังดู ในเบื้องต้น ชอบเสียงของฟิลเตอร์ตัวไหนมากที่สุดก็ใช้ตัวนั้นได้เลย ไม่มีอะไรเสียหาย
เมนู Upsampling
เพราะชิป DAC เบอร์ ES9038Q2M ที่ใช้ในภาคแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกสามารถรับมือกับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้สูงสุดถึงระดับ 768kHz ทางผู้ออกแบบภาค DAC ของ 7000A จึงพยายาม “ดัน” ประสิทธิภาพในการแปลงสัญญาณของชิป ES9038Q2M ตัวนี้ให้ไปถึงระดับสูงสุดเท่าที่จะสามารถทำได้ พวกเขาจึงใส่วงจร Upsampling เข้าไปในภาคดิจิตัล อินพุต ซึ่งจะทำการอัพฯ แซมปลิ้งสัญญาณดิจิตัลอินพุตทั้งที่เข้ามาทางช่อง optical, coaxial และช่อง USB ให้ขึ้นไปอยู่ที่ระดับ DXD คือระดับแซมปลิ้งที่ 352.8kHz กรณีสัญญาณอินพุตเข้ามาเป็น 44.1kHz – 176.4kHz และทำการอัพฯ ขึ้นไปอยู่ในระดับแซมปลิ้งที่ 384kHz กรณีสัญญาณอินพุตเข้ามาเป็น 48kHz – 192kHz ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกันกับเทคนิคที่ผู้ผลิต DAC ระดับไฮเอ็นด์ฯ นิยมใช้กัน
วงจร Upsampling นี้จะทำงานโดยอัตโนมัติ ถ้าคุณเข้าไปปรับตั้งคำสั่งที่หัวข้อเมนู Upsampling ในเมนูของ 7000A ไปที่ตำแหน่ง ‘Yes’ แต่ถ้าคุณชอบโทนเสียงของไฟล์เพลงที่ระดับแซมปลิ้งเรตเดิม (original sampling rate) คุณก็สามารถสั่งปิดการทำงานของวงจรอัพแซมปลิ้งได้ด้วยการเข้าไปปรับตั้งคำสั่งที่หัวข้อเมนู Upsampling ไปไว้ที่ตำแหน่ง ‘No’ อันนี้แนะนำให้ทดลองฟังความแตกต่างดูก่อน แล้วเลือกอ๊อปชั่นที่คุณชอบ ซึ่งผลความแตกต่างทางเสียงของทั้งสองอ๊อปชั่นนี้ (‘Yes’ หรือ ‘No’) จะขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ในซิสเต็มของคุณ และขึ้นอยู่กับรสนิยมในการฟังของคุณด้วย
การเชื่อมต่อ
เพราะ 7000A ให้ช่องอินพุต HDMI (ARC) มาด้วย มันจึงตอบโจทย์สำหรับคนที่ต้องการแอมป์ที่ใช้งานในห้องรับแขกสำหรับดูหนัง+ฟังเพลงได้ในตัวเดียวกัน โดยเฉพาะตอบโจทย์ให้กับนักฟังที่ชอบฟังเพลงจาก YouTube ซึ่งต้องมีจอภาพประกอบด้วย
ในภาพด้านบนแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ เข้าใช้งานกับ 7000A ในห้องรับแขกโดยมีทีวีเป็นศูนย์กลางของระบบภาพ จากภาพด้านบนจะเห็นว่า 7000A รองรับการทำงานร่วมกับอุปกรณ์ภายนอกได้ครบทุกรูปแบบจริงๆ ซึ่งโหมดการทำงานภายในตัว 7000A ตามภาพข้างบนนั้นถูกปรับตั้งไว้ที่โหมด ‘Integrated’ คือใช้ปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์ในตัว 7000A ในการขับลำโพง จากการทดสอบพบว่า ตัวเลขกำลังขับที่ 100W / 8 โอห์ม ของภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว 7000A มีประสิทธิภาพสูงพอสมควรเลย มันไปได้ดีกับลำโพง 8 โอห์ม ที่มีราคา ไม่เกินคู่ละ 50,000 บาท ถ้าคุณต้องการคุณภาพเสียงที่เน้นไดนามิกที่สวิงกว้างๆ ในขณะเปิดดังๆ แต่ถ้าชอบฟังสไตล์แบ็คกราวนด์มิวสิค ไม่เน้นดังมาก แต่ชอบละมุนละมัย โปร่ง และนวลหู คุณสามารถจับ 7000A เข้ากับลำโพงที่มีราคาสูงๆ เกินค่าตัวของแอมป์ไปสัก 2-3 เท่า ได้เลย
ฟังเพลงแบบเห็นภาพจาก YouTube
ผมลองเชื่อมต่อระหว่างทีวี Sony OLED รุ่น A8F ของผมกับ 7000A ทางช่อง HDMI ดูแล้ว พบว่ามันไม่ซิ้งค์กัน ซึ่งผมเคยพบอาการแบบนี้มาแล้วตอนทดสอบอุปกรณ์ตัวอื่นๆ ทางช่อง HDMI กับทีวีตัวนี้ ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเพราะเวอร์ชั่น HDMI ของทีวีที่ผมใช้อยู่มันเก่ามากแล้ว ซึ่งผมทดลองปรับ DPLL ที่ตัว 7000A ดูแล้วก็ไม่ได้ผล เลยเปลี่ยนมาใช้วิธีเชื่อมต่อสัญญาณเสียงทางช่อง Optical แทน ฉลุยกว่าเยอะ หลังๆ มานี้ผมจะเลี่ยงมาต่อกับทีวีผ่านทางช่อง Optical ซะเป็นหลัก..
พอดีว่าก่อนหน้านี้ผมได้รับสาย Optical Cable รุ่น Premier SE ของแบรนด์ Pangea มาทดสอบ ซึ่งก่อนจะเริ่มทดสอบ 7000A ผมก็ใช้สาย Optical ของ Pangea เส้นนี้มาสักพักแล้ว พ้นเบิร์นฯ มาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งสาย Optical เส้นนี้ให้คุณภาพเสียงออกมาดีมาก เทียบกับเส้นเดิมที่ผมใช้อยู่เป็นของยี่ห้อ Prolink ราคาเส้นละ 500 บาท (ซื้อจากร้านอมร) เสียงต่างกันเยอะเลย ถ้าไม่เทียบกันก็ไม่รู้สึกว่าตัว Prolink มันให้เสียงทึบๆ ไม่ค่อยเปิด เวทีไม่กว้าง พอถอดเปลี่ยน Pangea เส้นนี้เข้าไปแทน โทนัลบาลานซ์เปลี่ยนไปเลย เปิดและกระจ่างมากขึ้น รายละเอียดในย่านกลาง–แหลมมาจากไหนไม่รู้ออกมาเต็มไปหมด ทุ้มก็ทอดยาวลงไปอีก ไอ้เสียงที่ไม่เคยได้ยินมากันเต็มเลย รู้สึกชัดมากก็คือตอนที่ฟังเพลงคลาสสิกจาก YouTube นี่แหละ..
ยิ่งได้ภาค DAC ดีๆ ที่อยู่ในตัว 7000A มารองรับ เสียงยิ่งดีขึ้นไปอีกมากเมื่อเทียบกับสายอ๊อปติกของ Prolink เส้นเดิม ซึ่งนอกจากความเปิดกระจ่างกับรายละเอียดที่ดีขึ้นมากแล้ว ที่ผมรับรู้ได้ชัดก็คือ “ไทมิ่ง” ของเพลงก็ดีขึ้นเยอะด้วย ซึ่งมันทำให้ “รู้สึก” สัมผัสได้ถึง “ความเป็นดนตรี” ของเพลงที่ฟัง คือฟังแล้วมันรู้สึกอินไปกับเพลงได้มากขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นเพลงแนวคลาสสิกที่หลายคนบอกว่าฟังยาก แต่พอได้สาย Optical ของ Pangea เส้นนี้เข้าไปเชื่อมต่อภาค DAC ของ 7000A ขับลำโพง Audio Physic ‘Classic 8’ ไอ้ที่บอกว่าฟังยากก็เปลี่ยนเป็นฟังแล้วเคลิ้มไปเลย (ลองฟังเพลง Piano Concerto No.1 ของ Tchaikovsky บรรเลงเปียโนโดย Martha Argerich ประชันกับวง Verbier Festival Orchestra ควบคุมวงโดย Charles Dutoit อารมณ์มาเต็ม!)
ทดลองจับกับสตรีมเมอร์แบบเน้นฟังเพลงคุณภาพ
จริงๆ แล้ว 7000A แทบจะมีทุกอย่างในตัวครบแล้ว ขาดอย่างเดียวคือ “สตรีมเมอร์” ในการทดสอบครั้งนี้ผมจึงยกเอาสตรีมเมอร์ที่มีอยู่ในห้องขณะนั้นมาจับคู่กับ 7000A เพื่อทดลองฟังเสียงด้วย
ใช้แอพ DTS Play-Fi ในการควบคุมการเล่นไฟล์เพลง
ทางบริษัท HiFi Tower ผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Audiolab เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้จัดส่งสตรีมเมอร์ของ Audiolab รุ่น 7000N มาให้ทดลองใช้งานร่วมกับ 7000A ด้วย ซึ่งเข้าขากันดีมาก เป็นการเติมเต็มให้กับ 7000A ในแง่ของการสตรีมไฟล์เพลง ซึ่งในเมนูของตัว 7000A มีคำสั่งให้ลิ้งค์วอลลุ่มของ 7000A เข้ากับวอลลุ่มของ 7000N ได้ด้วย สะดวกดี
ส่วนในแง่เสียงนั้น คุณสามารถเลือกได้ระหว่าง ฟังเสียงของ DAC ในตัว 7000N โดยใช้สายสัญญาณอะนาลอกเชื่อมต่อระหว่างช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ 7000N ไปที่ช่องอินพุต AUX ช่องใดช่องหนึ่งของ 7000A ซึ่งสายสัญญาณก็จะเข้ามาเป็นตัวแปรต่อเสียงด้วย อีกทางหนึ่งคือ ดึงสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จาก 7000N มาเข้าที่ช่องดิจิตัล อินพุตของ 7000A เพื่อใช้ภาค DAC ในตัว 7000A ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกให้ ซึ่งเสียงที่ออกมาก็จะมีบุคลิกของสายดิจิตัลติดมาด้วย เลือกจูนกันตามชอบเลย..
ใช้แอพฯ Bluesound ในการควบคุมการเล่นไฟล์เพลง
ในห้องฟังของผมมีสตรีมเมอร์ของ Bluesound รุ่น NEW Node อยู่ เลยลองยกมาจับคู่กับ 7000A โดยให้ Bluesound ‘NEW Node’ ทำหน้าที่เป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต ดึงไฟล์จาก TIDAL กับ NAS มาเล่นแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปให้ภาค DAC ในตัว 7000A แปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกก่อนจะนำส่งไปให้ภาคเพาเวอร์แอมป์ขยายออกลำโพง ซึ่งผมสามารถเลือกได้เลยว่าจะใช้เอ๊าต์พุตช่องไหนของ Bluesound ‘NEW Node’ ในการส่งไปให้ 7000A ระหว่าง coaxial, optical หรือ USB จากการทดลองฟังทั้งสองช่องทางเชื่อมต่อแล้ว พบว่าเสียงที่ได้จากช่อง coaxial ออกมาน่าฟังมากที่สุด เมื่อเทียบกับช่อง optical ที่ออกมานุ่มและบางไป ในขณะที่ช่อง USB ก็สดและแข็งไปนิด แต่ถ้าใครเอา 7000A ไปจับคู่กับสตรีมเมอร์ของ Bluesound แนะนำให้ลองฟังเทียบกันดูก่อนถ้าทำได้ เพราะบางทีคุณอาจจะชอบต่างจากผมก็ได้..
ROON TESTED / MQA Decoder / ES9038Q2M / Pre Mode
คุณสมบัติทั้ง 4 ข้อ นี้ถือว่าเป็น “อาวุธลับ” ที่ผู้ผลิตแอบซ่อนมาใน 7000A เป็นโบนัสสำหรับคนที่ชอบจัดชุดที่เน้นคุณภาพเสียงเป็นพิเศษภายใต้งบประมาณที่ไม่สูงมาก.!!
เริ่มต้นจากชิป DAC เบอร์ ES9038Q2M ในตัว 7000A ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมาก เป็นชิป DAC ที่นิยมใช้ในภาค DAC ระดับไฮเอ็นด์ฯ เพราะมีความสามารถในการแปลงสัญญาณที่มีความแม่นยำสูง และมีความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัล อินพุตได้สูงมากเป็นพิเศษ ครอบคลุมสเปคฯ ของไฟล์เพลงระดับสูงสุดเท่าที่จะหาได้ในปัจจุบัน แต่การที่จะทำให้ชิปตัวนี้ “คลายพิษสง” ระดับสูงสุดของมันออกมาให้เชยชมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ โดยเฉพาะกับแบรนด์เครื่องเสียงระดับมิดเอ็นด์ ด้วยเหตุนี้ เอ็นจิเนียร์ของ Audiolab จึงต้องเข้าร่วมโครงการช่วยเหลือของ Roonlabs เพื่อให้เข้ามาช่วยทางด้านซอฟท์แวร์ที่จะใช้ “ดึง” เอาศักยภาพของชิป ES9038Q2M ออกมาให้ได้มากที่สุด ทำงานร่วมกับภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตของ 7000A ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากที่สุด นั่นเป็นที่มาของคุณสมบัติ ROON TESTED ของ 7000A ซึ่งคุณจะค้นพบกับความพิเศษนี้ได้ที่ช่องอินพุต USB ของ 7000A เท่านั้น
ภาพข้างบนนั้นเป็นการเชื่อมต่อระบบเพื่อดึงศักยภาพใน “ระดับสูงสุด” (topform) ของ 7000A ออกมา ซึ่งผมทดลองฟังด้วยตัวเองแล้วพบว่าเสียงโดยรวมมันออกมาดีมาก..!! (*ในการทดลองฟังจริง ไม่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ในระบบ) ไฮไล้ท์อยู่ที่โปรแกรม Roon Core ที่ผมลงไว้ใน MacBook Pro ของผมซึ่งจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดึงศักยภาพของชิป ES9038Q2M ของ 7000A ออกมาเชยชมโดยใช้แอพเพลเยอร์ Roon ดึงไฟล์เพลงจาก NAS และ TIDAL มาเล่นบน MacBook Pro จากนั้นก็ส่งต่อสัญญาณดิจิตัล PCM/DSD จาก MacBook Pro เข้าไปที่ช่องอินพุต USB ของ 7000A ที่ “ต่อท่อ” ไปถึงชิป ES9038Q2M โดยตรง
และเพื่อให้สัญญาณอะนาลอกสเปคฯ สูงๆ ที่ผ่านการแปลงจากชิป ES9038Q2M ได้ “ยืดเส้น–ยืดสาย” ได้อย่างเต็มที่มากที่สุด ผมจึงเลือกใช้เอ๊าต์พุตในโหมด Pre ของตัว 7000A ออกไปจับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo ที่มีกำลังขับ “สูงกว่า” กำลังขับในตัว 7000A เท่าตัว คือ 140W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม ทำให้มีสมรรถนะมากพอที่จะขับดันลำโพง Audio Physic ‘Classic 8’ ออกมาได้หมดเปลือกมากยิ่งขึ้น
หลังจากเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ MacBook Pro ของผมเข้ากับช่องอินพุต USB ของ 7000A แล้ว ภาค DAC ในตัว 7000A ก็จะเข้าไปปรากฏเป็นเอ๊าต์พุต (end-point) ของโปรแกรม Roon ในกลุ่ม Roon Tested ที่เชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับเอ๊าต์พุตของ Roon Core และเมื่อผมคลิ๊กเข้าไปดูข้อมูลในเมนู Device Setup ของโปรแกรม Roon พบว่า โปรแกรม Roon ได้รับสิทธิ์ให้เข้าไปจัดการควบคุมการทำงานของภาค DAC ในตัว 7000A ได้เบ็ดเสร็จด้วยโหมด ‘Exclusive mode’ (ศรชี้ ในภาพข้างบน) เพื่อให้ได้คุณภาพเสียงออกมาในระดับสูงสุด (Exclusive mode = Roon will take full control of the playback device when music is playing, Other applications using the device will be interrupted. This allows Roon to get the highest sound quality from the Audio device.)
ส่วนหัวข้อ ‘DSD Playback Strategy’ หรือวิธีการเล่นสัญญาณ DSD พบว่า Roon เสนออ๊อปชั่นให้เลือกใช้ 3 วิธี คือ แปลงเป็น PCM (Convert to PCM), แปลงเป็นฟอร์แม็ต DoP (DSD over PCM v1.0) หรือ ใช้ฟอร์แม็ต initial dCS method ไม่มีอ๊อปชั่น ‘Native’ ขึ้นมาให้เลือก แสดงว่า ภาค DAC ในตัว 7000A ไม่รองรับสัญญาณ DSD แบบเนทีฟ
จากการลองเลือกรูปแบบวิธีการเล่นทั้ง 3 รูปแบบ แล้วฟังเทียบกัน พบว่า เล่นได้แค่ 2 รูปแบบ คือ Convert to PCM กับ DSD over PCM v1.0 (DoP) ซึ่งวิธีเล่นด้วยฟอร์แม็ต DoP ให้เสียงที่นุ่มนวลกว่าแปลงเป็น PCM (*ถ้าคุณมีโอกาสเล่นแบบนี้ แนะนำให้ลองฟังเทียบอีกทีระหว่างสองวิธีนี้ แล้วเลือกแนวเสียงที่คุณชอบเป็นหลัก ไม่มีผิดหรือถูก)
ขั้นตอนต่อไปคือการทดสอบดูว่า ภาค DAC ในตัว 7000A รองรับสัญญาณ DSD ได้สูงสุดถึงระดับไหน.? ภาพข้างบนคือตอนเล่นไฟล์เพลง DSF64 จะเห็นว่าโปรแกรม Roon แจ้งว่ารูปแบบการเล่นคือฟอร์แม็ต DoP
ภาพข้างบนคือลองเล่นไฟล์ DSF128 ซึ่งโปรแกรม Roon แจ้งให้รู้ว่าเล่นไฟล์ DSF128 ด้วยวิธี DoP เช่นกัน แสดงว่าภาค DAC ในตัว 7000A รองรับได้จริง
ภาพข้างบนคือลองเล่นไฟล์ DSF256 ซึ่งโปรแกรม Roon ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าเล่นไฟล์ DSF256 ด้วยวิธี DoP เหมือนกัน
ภาพข้างบนคือตอนลองเล่นไฟล์ DSF512 พบว่า โปรแกรม Roon ทำการแปลงไฟล์ DSF512 ลงมาเป็น DSF256 ด้วยวิธีแปลงกลับไปกลับมาระหว่างฟอร์แม็ต DSD กับฟอร์แม็ต PCM (delta-sigma modulator) แสดงว่าภาค DAC ในตัว 7000A ไม่รองรับการเล่นไฟล์ DSF512 ตรงๆ ถ้า Roon ไม่แปลงลงมาเป็น DSF256 ให้ก็คงไม่เล่น สรุปคือ ภาค DAC ในตัว 7000A รองรับไฟล์ DSF ได้สูงสุดแค่ DSD256 เท่านั้น
แล้วสัญญาณ PCM ล่ะ 7000A รองรับได้สูงสุดถึงระดับไหน.? ผมไล่เล่นไฟล์เพลงจาก TIDAL ที่เป็นตระกูล PCM ตั้งแต่แซมปลิ้งเรต 44.1kHz ขึ้นมาเรื่อยๆ จนถึงระดับแซมปลิ้ง 352.8kHz ที่เข้ารหัสด้วยฟอร์แม็ต MQA พบว่า ภาค DAC ในตัว 7000A รองรับสัญญาณ PCM ได้ถึงระดับ 352.8kHz แน่ๆ แต่ว่าจะไปได้สูงถึงระดับ 768kHz ตามที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ในสเปคฯ หรือเปล่า.? อันนี้ต้องรอเพราะตอนนี้ผมยังไม่มีสัญญาณที่ไปถึง 768kHz อยู่ในมือเลย..
สรุปเสียงของ 7000A
เสียงของ 7000A วิเคราะห์ได้หลายมุมมองมาก มีทั้งมุมที่ใช้ทรัพยากรครบทุกส่วน ตั้งแต่ภาค DAC, ภาคปรีแอมป์ในตัว + ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว (ใช้โหมด Integrated) กับลักษณะเสียงที่ใช้แค่ภาค DAC กับภาคปรีแอมป์ของ 7000A (ใช้โหมด Pre) แค่สองอย่าง
จากการทดสอบในลักษณะที่ใช้ทรัพยากรครบทุกส่วนด้วยการเลือกใช้โหมด ‘Integrated’ คือใช้ภาค DAC + ภาค Pre + ภาค Power ทำงานร่วมกัน ซึ่งผลที่ได้ยินก็ต้องยอมรับว่า Audiolab ออกแบบ “อัตราขยาย” ของทั้งภาค Pre และภาค Power ในตัวมันออกมาได้ลงตัวกับ gain ของภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุตของชิป DAC เบอร์ ES9038Q2M อย่างมาก ถือว่าเป็นความสำเร็จในการออกแบบภาคแอมป์ที่มีประสิทธิภาพ “ลงตัว” กับเอ๊าต์พุตของชิป DAC ของ ESS Technologies แบบเดียวกับรุ่น 6000A ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงตัวหนึ่งในวงการ จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า วิศวกรของ Audiolab ประสบความสำเร็จในการออกแบบภาคแอมป์ (ปรี+เพาเวอร์ฯ) ให้ทำงานร่วมกับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตของชิป DAC จากค่าย ESS Technologies ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด มีการจัดการกับ distortion + noise ของภาคแอมป์ได้ดี คือ gain ไม่สูงเกินไปจนเกิด distortion และไม่ต่ำเกินไปจนขาดพลัง
ในรุ่น 6000A ใช้ชิป DAC ของค่าย ESS Technologies เบอร์ ES9018Q2M ซึ่งเป็นชิป stereo 32-bit ที่ให้ ไดนามิกเร้นจ์ (DNR) ที่ระดับ 114dB หรือมากกว่า พร้อมกับตัวเลขความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม+น้อยซ์ (THD+N) อยู่ที่ไม่เกิน 0.04% ในขณะที่ในรุ่น 7000A ใช้ชิป DAC ของค่ายเดียวกันแต่เป็นเบอร์ ES9038Q2M ซึ่งก็เป็นชิป stereo 32-bit แบบเดียวกัน แต่มีสเปคฯ สูงกว่าเบอร์ 9018Q2M ขึ้นมาอีกระดับคือ ให้ไดนามิกเร้นจ์ (DNR) ที่ระดับ 129dB พร้อมตัวเลขความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม + น้อยซ์ (THD + N) อยู่ในระดับที่ต่ำถึง -120dB ทำให้สามารถแม็ทกับภาคแอมป์ที่มีกำลังขับได้สูงขึ้นเป็น 70W ต่อข้างโดยที่ยังคงรักษาระดับของ distortion + noise ที่ต่ำเตี้ยไว้ได้ ซึ่งพอได้กำลังขับสูงขึ้น ก็แน่นอนว่าย่อมให้ประสิทธิภาพในการควบคุมลำโพงที่สูงขึ้นตามไปด้วย
เสียงของ 7000A มีลักษณะที่ทำให้ฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความเปิดโปร่ง ความเป็นอิสระของเสียงที่ปราศจากอาการบีบเค้น เนื้อเสียงสะอาด เนียน ในขณะเดียวกัน ทางด้านมูพเม้นต์ของเสียงก็เคลื่อนไหวได้อย่างมีชีวิตชีวา ไม่เฉื่อย ไม่หน่วง และไม่เร่ง อัตราสวิงไดนามิกแม้ว่าจะไม่กว้างสุด แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสด สมจริงในระดับหนึ่ง และสามารถตอบสนองกับอารมณ์ของทั้งเพลงช้าและเพลงเร็วได้อย่างมีอรรถรส
ข้อจำกัดเดียวที่จะทำให้ได้เสียงที่มีคุณภาพดีจากทั้ง 6000A และ 7000A นั่นคือเลือกลำโพงที่ไม่เกินกำลังขับ 50W ของ 6000A และ 7000A กรณีที่ใช้ 6000A และ 7000A ในโหมด ‘integrated’ แต่ถ้าต้องการอัพเกรดประสิทธิภาพของซิสเต็มให้สูงขึ้นด้วยการเปลี่ยนลำโพงที่ต้องการศักยภาพของแอมป์ที่สูงกว่า 50W ของ 6000A หรือ 70W ของ 7000A คุณก็สามารถใช้โหมด ‘Pre’ ของทั้งสองรุ่นนี้จับคู่กับเพาเวอร์แอมป์ภายนอกได้ (*เพื่อรักษาคุณภาพเสียงให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจเอาไว้ แนะนำให้ใช้เพาเวอร์แอมป์ของแบรนด์เดียวกัน อย่างเช่น Audiolab รุ่น 8300XP ในการอัพเกรด)(REVIEW 8300XP)
สรุป
ดูเผินๆ เหมือนกับไม่มีอะไรในก่อไผ่ แต่พอได้มีโอกาสสัมผัสลองเล่นกับ 7000A มาพักใหญ่ๆ จึงได้เห็นถึงเขี้ยวเล็บที่แอบซ่อนอยู่ภายใต้รูปร่างหน้าตาที่ดูเรียบๆ ธรรมดาๆ ของมัน ในแต่ละจุดของฟังท์ชั่นใช้งานที่บรรจุมาในตัว 7000A ล้วนแล้วแต่ถูกคิดมาอย่างเป็นเหตุเป็นผล และที่สำคัญคือ มันใช้งานได้ผลดีจริงซะด้วย
ส่วนตัวผมชอบใจโหมด ‘Pre’ ของ 7000A เป็นพิเศษ คือใช้ภาค DAC กับภาค Pre พร้อมกันร่วมกับเพาเวอร์แอมป์ QUAD ‘Artera Stereo’ เป็นขุมพลังที่สามารถจับคู่กับลำโพงระดับน้องๆ ไฮเอ็นด์ได้สบายๆ เป็นการอัพเกรดประสิทธิภาพของชุดเครื่องเสียงที่ให้ผลลัพธ์ดีเกินคาด.!! (จริงๆ แล้วอยากลองกับเพาเวอร์แอมป์ของ Audiolab รุ่น 8300XP แต่ผมไม่มีอยู่ จะยืมก็ไม่ทันแล้ว.!!)
เป็นอินติเกรตแอมป์ระดับกลาง (มิดเอ็นด์) ที่แนะนำให้ทดลองฟังเสียงและทดลองใช้งานถ้าคุณตั้งงบประมาณสำหรับแอมป์ไว้ไม่เกินห้าหมื่นบาท..!!
********************
ราคา : 44,900 บาท (*โปรโมชั่นพิเศษจากราคาเต็ม 56,900 บาท)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. HiFi Tower
โทร. 02-881-7273-5
facebook: @HifitowerShop
LineID: @hifitower