รีวิว NAD รุ่น C 399 ไฮบริด ดิจิตัล ดีทูเอ แอมปลิฟาย

ทิศทางพัฒนาการของอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภท integrated amplifier รุดหน้าขึ้นมามากในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และปัจจุบันก็สามารถพูดได้ว่า พัฒนาการของระบบขยายสัญญาณด้วยวงจรขยายสัญญาณด้วย class-D ได้เดินทางมาถึงจุดที่ให้คุณภาพเสียงออกมาในระดับที่ ไม่แพ้วงจรขยายสัญญาณคลาสใดๆ ที่มีใช้อยู่ในวงการเครื่องเสียงแล้ว.!!!

C 399
พี่ใหญ่.. ตัวใหม่ในซีรี่ย์ Classic ของ NAD

จะว่าไปแล้ว ถ้าเป็น FC ของ NAD มาตั้งแต่ยุคแรกๆ สมัยที่อินติเกรตแอมป์ของยี่ห้อนี้ยังใช้วงจรขยายแบบ class-AB จะพบว่า แบรนด์นี้มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของแอมปลิฟายมาอย่างต่อเนื่องเป็นลำดับ ไม่เคยว่างเว้นไปจากหน้าประวัติศาสตร์เลย และใช่ว่าจะพัฒนาแค่วงจรขยายอย่างเดียวนะ ถ้าเอารุ่นแรกอย่าง 3020 มาวางเคียงกับรุ่น C 399 ตัวล่าสุดในตระกูล Classic ที่ผมกำลังจะทำรีวิวตัวนี้ คุณจะเห็นว่า แม้แต่รูปร่างหน้าตาภายนอกก็ยังถูกพัฒนาปรับเปลี่ยนไปเยอะมาก.!

จากภาพข้างบน จะเห็นว่า หน้าตาอินติเกรตแอมป์ของ NAD ยุคแรกคือ 3020 กับยุคปัจจุบันคือ C 399 แทบจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเลย นอกจากโลโก้แบรนด์.! หน้าตาของ C 399 มาในแนวมินิมอล ลดจำนวนปุ่มกดแปละปุ่มหมุนลงไปเยอะ เหลือไว้ให้ใช้แค่ปุ่มกด 2-3 ปุ่ม กับปุ่มหมุนอีกหนึ่งปุ่ม และที่ไม่เคยมีในแอมป์ยุคแรกคือ จอแสดงผลซึ่งดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องสามัญไปแล้วสำหรับอินติเกรตแอมป์ในปัจจุบัน

นอกจากหน้าตาจะเรียบง่ายแนวมินิมอลแล้ว ถ้าพิจารณาภาพรวมของดีไซน์รูปร่างหน้าตาของ C 399 ตัวนี้ จะเห็นว่า ภาพรวมมันจะดูละมุนตามากเป็นพิเศษ เพราะเหลี่ยมด้านข้างของแผงหน้าได้ถูกปาดให้มีลักษณะโค้งมน แม้กระทั่งปุ่มกดที่สมัยโน้น NAD ชอบทำเป็นปุ่มสี่เหลี่ยม ในรุ่น C 399 ปัจจุบันได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ปุ่มกลมมนๆ ทั้งหมดนี้มีส่วนทำให้หน้าตาของ C 399 ดูเรียบง่ายและลื่นตาเป็นพิเศษ ส่วนทางด้านสัดส่วนของตัวถังก็ยังคงอยู่ในมิติมาตรฐานเครื่องเสียงทั่วไป..

ฟังท์ชั่นใช้งานบนแผงหน้า

1. ปุ่ม Standby
2. ไฟแสดงสถานะ
3. ปุ่มลูกศรสี่ทิศ (รอบๆ) และปุ่มกด Enter (ตรงกลาง) สำหรับเข้าใช้งานเมนูเครื่อง
4. รูเสียบแจ๊คหูฟัง
5. หน้าจอแสดงผล
6. ปุ่มกดเลือกแหล่งต้นทางสัญญาณ (source)
7. ปุ่มหมุนปรับวอลลุ่ม

รีโมทไร้สายรุ่น SR10 ที่ให้มาในกล่อง (*ในคู่มือเป็นรุ่น SR 9)

เหนือ ปุ่มสแตนด์บาย (1) จะมีไฟ LED ดวงเล็กๆ อยู่หนึ่งดวง กรณีที่ตัวเครื่องเข้าสู่โหมดสแตนด์บาย ไฟดวงนี้จะสว่างขึ้นเป็นสีส้มอำพัน เมื่อเครื่องถูกเปิดใช้งาน ไฟดวงนี้จะเปลี่ยนเป็นสีฟ้า ซึ่งวิธีสั่งให้เครื่องเปลี่ยนสถานะจากโหมดสแตนด์บายเข้าสู่โหมดพร้อมทำงานมีอยู่ 2 วิธี วิธีแรกคือใช้ปลายนิ้วกดลงไปที่ปุ่มสแตนด์บายที่อยู่บนหน้าปัดโดยตรง กับอีกวิธีคือกดปุ่ม ON สีเขียวบนรีโมทไร้สาย

ปุ่มวอลลุ่ม (7) สามารถใช้ควบคุมความดังได้ทั้งช่องทางเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปที่ขั้วต่อลำโพง และเอ๊าต์พุตที่ส่งออกไปทางรูเสียบหูฟังด้วย เมื่อคุณเปิดเครื่องขึ้นมาทุกครั้ง ระดับวอลลุ่มจะไปเริ่มต้นที่ -20dB เสมอ เป็นค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน กรณีก่อนจะปิดเครื่อง ถ้าคุณใช้วอลลุ่มอยู่ระดับที่สูงกว่า -20dB หลังจากปิดเครื่องไปแล้ว เมื่อเปิดขึ้นมาใหม่ วอลลุ่มจะกลับไปตั้งต้นที่ -20dB เสมอ ยกเว้นถ้าก่อนปิดเครื่อง คุณใช้วอลลุ่มต่ำกว่า -20dB อยู่ หลังจากเปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ ระดับวอลลุ่มจะเป็นระดับเดียวกับตอนปิดเครื่อง ซึ่งเป็นการออกแบบที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเสียงดังเกินไปโดยไม่ตั้งใจนั่นเอง

เมนูเครื่อง

ภายในตัวเครื่อง C 399 มีเมนูมาให้เข้าไปทำการปรับตั้งใช้งานอยู่หลายเมนู เริ่มจาก Tone Control (Treble & Bass), Balance, Auto Standby, Bluetooth Mode, Network Standby, CEC Power, IR Channel, Brightness, Temporary Display, Speaker และ Volume Display Mode ซึ่งการปรับตั้งจะมีผลแยกตามอินพุตแต่ละช่อง ส่วนการเข้าเมนูก็ใช้วิธีกดลงไปตรงตำแหน่งลูกศรชี้ลง (ศรชี้ภาพบน) ซึ่งจะกดผ่านทางปุ่มกดบนหน้าปัดเครื่อง หรือจะกดปุ่มบนรีโมทไร้สายก็ได้ จากนั้นก็ให้ปุ่มลูกศรซ้ายขวาในการเลือกหัวข้อย่อยในเมนู และใช้ปุ่มกดตรงกลางปุ่มลูกศรสี่ทิศ (ปุ่ม enter) ในการยืนยันการเลือก

ขั้วต่ออินพุต / เอ๊าต์พุตที่แผงหลัง

1. ขั้วต่อเสารับคลื่น Bluetooth
2. ปุ่ม Reset
3. ช่องเสียบ USB แฟรชไดร้สำหรับอัพเดตเฟิร์มแวร์
4. ช่องเชื่อมต่อ RS 232 สำหรับระบบควบคุมจากภายนอก
5. ช่องเสียบสัญญาณรีโมท IR IN/IR OUT
6. ช่องเสียบสัญญาณ Trigger In/Out สำหรับควบคุมอุปกรณ์ภายนอก
7. ขั้วต่อสายลำโพงชุด A
8. ปุ่มเมนเพาเวอร์
9. เต้ารับสำหรับสายไฟเอซี
10. ช่องเสียบ HDMI ARC/eARC
11. ช่องอินพุต Optical 1, 2
12. ช่องอินพุต Coaxial 1, 2
13. ช่องอินพุต Phono
14. ช่องอะนาลอก อินพุต (LINE 1 IN)
15. ช่องอะนาลอก อินพุต (LINE 2 IN)
16. ช่องสัญญาณอะนาลอก Pre Out
17. ช่องสัญญาณอะนาลอก Sub Out 1, 2
18. ขั้วต่อสายลำโพงชุด B
19. จุดเชื่อมต่อกราวนด์

เนื่องจาก C 399 ใช้แพลทฟอร์ม Modular Design Construction หรือ MDC ที่แผงหลังจึงมีช่องที่เจาะไว้สำหรับเสียบการ์ดอ๊อปชั่นมาให้ 2 ช่อง (ซ้ายมือสุด ในภาพข้างบน) และ C 399 เป็นผลิตภัณฑ์แรกของ NAD ที่ใช้แพลทฟอร์ม MDC เวอร์ชั่นใหม่คือ MDC2 ซึ่งมีความสามารถเพิ่มเติมขึ้นมาจาก MDC เวอร์ชั่นเดิมอย่างหนึ่ง นั่นคือ มีความสามารถในการสื่อสารสองทาง ระหว่างโมดูลที่เสียบเข้าไปกับอุปกรณ์ตัวนั้น

C 399 ที่ผมได้รับมาทดสอบตัวนี้ติดตั้งโมดูล BluOS-D มาให้ เพื่อทำหน้าที่สตรีมไฟล์เพลงจากภายนอกเข้ามาเล่นผ่าน C 399 ซึ่งนอกจากจะนับ BluOS-D ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งสัญญาณอินพุตของ C 399 แล้ว มันยังมีอินพุตอื่นๆ ให้เลือกใช้อีกหลายอินพุต ไม่ว่าจะเป็นอินพุตที่รองรับสัญญาณ digital โดยเฉพาะอย่างเช่น อินพุต Optical (11) ซึ่งมีให้เลือกใช้ถึง 2 ช่อง, อินพุต Coaxial (12) ก็มีให้เลือกใช้ ช่อง และอีกอินพุตที่รองรับสัญญาณดิจิตัล นั่นคือ HDMI (10) ซึ่งมีไว้ให้เชื่อมต่อกับสัญญาณเสียงจากทีวี หรือจากเครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ รองรับมาตรฐาน HDMI ARC และมาตรฐาน eARC

นอกจากนั้น C 399 ยังมีช่องอินพุตที่รองรับสัญญาณ analog มาให้ใช้งานอีก 3 ช่อง ได้แก่ LINE 1 IN (14), LINE 2 IN (15) ส่วนอีกช่องสำหรับอินพุต PHONO (13) ซึ่งรองรับเฉพาะหัวเข็ม MM อย่างเดียว ถ้าคุณต้องการใช้งานอินพุตนี้กับหัวเข็ม MC คุณต้องหาอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มเกนสัญญาณจากหัวเข็มมาเสริม

ที่ช่องอินพุต LINE 1 IN, LINE 2 IN และอินพุต PHONO นั้น มีเมนูให้ปรับตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับเสียงอยู่ 2 หัวข้อ ตัวแรกคือหัวข้อ Analog Bypassถ้าเลือก ‘Noสัญญาณอินพุตจะผ่านฟังท์ชั่นปรับทุ้มแหลม แต่ไม่ผ่านวงจร DSP แต่ถ้าเลือกไปที่ Yesสัญญาณอะนาลอกอินพุตจะไม่ผ่านทั้ง DSP และฟังท์ชั่นปรับทุ้มแหลม เป็นอ๊อปชั่นที่ทำให้สัญญาณอินพุตมีความบริสุทธิ์มากที่สุด ส่วนหัวข้อเมนูตัวที่สองที่เกี่ยวข้องกับเสียงคือ Analog Gainซึ่งคุณสามารถปรับเพิ่ม/ลดเกนของสัญญาณอะนาลอก อินพุตเพื่อทำแม็ทชิ่งเกนระหว่างความแรงของสัญญาณอินพุตกับความไวของวงจรที่ภาครับของ C 399 ให้แม็ทชิ่งกันมากที่สุดได้ โดยมีเร้นจ์ให้ปรับตั้งอยู่ระหว่าง -12.0dB ถึง +5.0dB โดยขยับได้ทีละ 0.5dB ซึ่งก็ถือว่าเป็นฟังท์ชั่นที่มีประโยชน์อยู่พอสมควร

ทางด้านเอ๊าต์พุตที่ C 399 ให้มาก็ช่วยขยายขีดความสามารถของซิสเต็มออกไปได้อีกมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าคุณต้องการจะขยายไปในทิศทางไหน อย่างเช่นช่อง Pre Out (16) ซึ่งเป็นสัญญาณ Line Out ที่ผ่านวอลลุ่ม อันนี้ให้มาเพื่อขยับขยายไปใช้งานร่วมกับเพาเวอร์แอมป์จากภายนอกที่มีสมรรถนะสูงกว่าที่อยู่ในตัว C 399 หรือถ้าต้องการเปลี่ยนแนวเสียงไปเล่นแอมป์หลอดก็ใช้สัญญาณปรีเอ๊าต์จากจุดนี้ได้ หรืออย่างช่อง Sub Out (17) นั่นก็สามารถนำไปใช้ร่วมกับลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์เพื่อเสริมความถี่ในย่านต่ำได้ ซึ่ง C 399 ให้มาถึง 2 ช่อง (แต่ไม่ได้แยกซ้ายขวา)

กรณีที่คุณต้องการใช้เอ๊าต์พุตช่อง Sub Out คุณต้องเข้าไปปรับตั้งในเมนูหัวข้อ ‘Subwooferเพื่อเลือกอ๊อปชั่นที่มีให้เลือก 3 ตัวเลือก ระหว่าง No Subwoofer, 1 Subwoofer และ 2 Subwoofers กรณีที่คุณใช้ลำโพงซับวูฟเฟอร์เชื่อมต่อสัญญาณจากช่อง Sub Out ของ C 399 ไม่ว่าจะแค่ตัวเดียวหรือสองตัว เมื่อเลือกตั้งเมนูที่หัวข้อ ‘Subwooferไว้ที่ 1 Subwoofer หรือ 2 Subwoofers เสร็จแล้ว ที่หัวข้อถัดไปจะมีหัวข้อ Crossoverปรากฏขึ้นมาให้คุณเข้าไปเลือกกำหนดจุกดตัดความถี่ Low-pass filter เพื่อส่งสัญญาณเสียงไปให้กับลำโพงซับวูฟเฟอร์ที่เอามาพ่วง ซึ่งมีจุดตัดให้เลือกปรับตั้งค่อนข้างละเอียด ไล่ตั้งแต่ 40Hz แล้วบวกขึ้นไปที่ละ 10Hz จนถึงสูงสุดที่ 200Hz

(*** หมายเหตุ : กรณีที่ต้องการคุณภาพเสียงสูงสุด ถ้าคุณไม่ได้ต่อลำโพงซับวูฟเฟอร์ไว้ที่เอ๊าต์พุต Sub out ของ C 399 แนะนำให้ปรับตั้งที่หัวข้อเมนู Subwooferของ C 399 ไว้ที่ตำแหน่ง No Subwoofer’)

ส่วนขั้วต่อสายลำโพงนั้น C 399 ให้มา 2 ชุด แยกเป็นชุด A (7) กับชุด B (18) โดยปล่อยสัญญาณออกมาพร้อมกันทั้งสองชุดตลอด ไม่มีอ๊อปชั่นให้เลือกระหว่าง A, B หรือ A+B คือจะออกมาเป็น A+B ตลอดเวลา ที่ต่างกันก็แค่ ถ้าต่อชุดใดชุดหนึ่งแค่ชุดเดียว จะสามารถรองรับอิมพีแดนซ์ของลำโพงได้ถึง 4 โอห์ม แต่ถ้าต่อสองชุดพร้อมกัน ลำโพงที่ใช้ทั้งสองคู่ควรจะมีอิมพีแดนซ์อยู่ที่ 8 โอห์ม ที่หัวข้อ ‘Speaker‘ ในเมนูสามารถปรับตั้งได้ก็แค่สั่ง เปิด” (On) คือมีเสียงออก กับสั่ง ปิด” (Off) ไม่มีเสียงออก สองอ๊อปชั่นนี้เท่านี้

ใครใช้ลำโพงที่ให้ขั้วต่อสายลำโพงแยก 2 ชุด แนะนำให้ทดลองต่อสายลำโพงแบบชาร์ตด้านบนนี้ดู คุณอาจจะชอบผลลัพธ์ของเสียงที่ได้ วิธีการคือให้ใช้เอ๊าต์พุตทั้งสองชุดของ C 399 แยกกันเชื่อมต่อที่ขั้วต่อสายลำโพงที่ลำโพงของคุณในลักษณะที่เรียกว่าต่อแบบ shotgun bi-wire คือต่อชุด A เข้ากับขั้วต่อคู่บนของลำโพง ส่วนชุด B ต่อกับขั้วต่อคู่ล่าง โดยใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลแยกกันสองชุด ซึ่งวิธีนี้ถ้าดูเผินๆ ก็จะเหมือนการเชื่อมต่อแบบไบไวร์ฯ ทั่วไป

( *** ในทางทฤษฎี การต่อสายลำโพงกับแอมป์สเตริโอตัวเดียวโดยใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลแยกออกเป็น 2 ชุด ที่เรียกว่าการต่อแบบ Shotgun Bi-wire ไม่ว่าจะใช้สายลำโพงต่างกัน หรือเหมือนกันทั้งสองเส้น จะมีผลทำให้ค่า capacitance สูงขึ้นเมื่อเทียบกับใช้สายลำโพงแค่ชุดเดียวในการเชื่อมต่อ คำถามคือ ค่า capacitance สูงขึ้นมีผลเสียหรือผลดีอย่างไรกับเสียง.? เมื่อ capacitance สูงขึ้น จะทำให้แอมป์ต้องจ่ายกระแสมากขึ้น ทำให้อุณหภูมิของแอมป์สูงขึ้นเพราะทำงานหนักขึ้น ซึ่งในทางทฤษฎีดูเหมือนจะเป็นวิธีเชื่อมต่อระหว่างแอมป์กับลำโพงที่ไม่ดี แต่ทางด้านเสียงนั้น ถ้าแอมป์มีกำลังสูงพอที่จะรองรับอิมพีแดนซ์ต่ำๆ ได้ดี (จ่ายกระแสได้สูง) ไอ้ที่ว่าไม่ดีโดยหลักการ “อาจจะ” กลายเป็นดีก็ได้ คือทำให้ได้คุณสมบัติของเสียง บางด้านออกมา ดีกว่าการเชื่อมต่อด้วยสายลำโพงแค่ชุดเดียว อันเนื่องมาจากลำโพงได้รับกระแสสูงขึ้นนั่นเอง.. อันนี้ต้องแนะนำให้ลอง เพราะจากการที่ผมทดลองกับ C 399 มันให้ผลลัพธ์ออกมาในทิศทางที่ดี น่าพอใจ 

ทดลองเชื่อมต่อสายลำโพงแบบ Shotgun Bi-Wire

เทียบระดับความดังระหว่างต่อกับ Classic 8 (ตั้งพื้น / 4 โอห์ม / 89dB) ต่อแบบซิงเกิ้ล vs. ต่อกับ SCM7 (วางขาตั้ง / 8 โอห์ม / 84dB) ต่อแบบ Shotgun Bi-Wire

เผอิญว่าในห้องฟังของผมตอนทดสอบ C 399 มีลำโพงที่ใช้ขั้วต่อสองชุดอยู่แค่ 2 คู่ คือ ATC รุ่น SCM7 เวอร์ชั่นแรกหน้าดำ (8 โอห์ม / ความไว 84dB) กับ Totem Acoustics รุ่น The One (4 โอห์ม / ความไว 87dB) ทำให้ผมต้องเลือก SCM7 มาทดลองเชื่อมต่อสายลำโพงแบบ Shotgun Bi-wire กับ C 399 ส่วน The One นั้นคิดว่าไม่น่าเหมาะเพราะอิมพีแดนซ์ของมันต่ำไป แค่ 4 โอห์ม ถ้าเอามาต่อแบบ Shotgun Bi-Wire ก็จะโหลดภาคขยายของ C 399 มากเกินไป เพราะอิมพีแดนซ์ที่ C 399 มองเห็นจะตกลงไปอยู่ที่ 2 โอห์ม

จากการทดลองฟังเสียง C 399 + SCM7 ที่เชื่อมต่อสายลำโพงแบบ Shotgun Bi-Wire สลับกับต่อแบบซิงเกิ้ล + จั๊มเปอร์ ผมพบว่า การต่อแบบ Shotgun Bi-Wire ให้เสียงโดยรวมออกมา ดีกว่าต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ล+จั๊มเปอร์ ที่เห็นได้ค่อนข้างชัดมีอยู่ 2-3 ประเด็น นั่นคือ เนื้อเสียงที่หนาและอิ่มกว่า กับอีกประเด็นคือ ไทมิ่งของเสียงที่ให้จังหวะของเพลงในแบบที่มีลีลามากกว่า ไม่เร่งและไม่ล้า ทำให้ฟังแล้วเข้าถึงอารมณ์เพลงมากกว่า ฟังเพลงช้าก็ซาบซึ้ง ฟังเพลงเร็วก็สนุก

เมื่อฟังเทียบกันเพลงต่อเพลง ผมพบว่ายังมีอีกประเด็นที่น่าสนใจ นั่นคือ การต่อสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลจะให้ ความดังของเสียงออกมามากกว่า คล้ายๆ ว่าขับง่ายกว่า (เพราะอิมพีแดนซ์สูงกว่า) แต่การต่อแบบ Shotgun Bi-Wire ให้ การควบคุมไดนามิกที่ดีกว่า สังเกตได้ว่า ตอนต่อแบบซิงเกิ้ล เสียงแหลมจะมีอาการ สว่างจ้าออกมามากกว่าตอนต่อเชื่อมสายลำโพงแบบซิงเกิ้ล

ผมทดลองฟังโดยต่อเชื่อมด้วยวิธี Shotgun Bi-Wire ต่อเนื่องกันสองสามวัน ยืนยันได้ว่า C 399 ทำงานได้สบายโดยไม่มีปัญหาใดๆ เลย เครื่องก็ไม่ได้ร้อนมากขึ้น ผมลองฟังเพลงทุกประเภท มีความรู้สึกได้ว่า ต่อสายลำโพงแบบนี้มันทำให้ต้องเร่งวอลลุ่มของแอมป์เพิ่มขึ้นกว่าต่อแบบซิงเกิ้ลนิดหน่อยเพื่อให้ได้ยินความดังเฉลี่ยที่ใกล้เคียงกัน แต่เมื่อเร่งวอลลุ่มจนได้ความดังเฉลี่ยเท่ากันแล้ว ผมพบว่า ต่อแบบ Shotgun Bi-Wire ให้เสียงโดยรวมที่ดีกว่าอย่างที่รายงานไว้ตอนต้น (* สายลำโพงทั้งสี่เส้นที่ผมใช้ทดสอบครั้งนี้เป็นของ Furutech รุ่น FS-301 เมตรละสามร้อยกว่าบาท)

ดีไซน์ที่น่าสนใจ

เนื่องจาก C 399 มีสถานะเป็นถึง รุ่นเรือธง” (flagship model) ในอนุกรม Classic Series ของ NAD เวอร์ชั่นปัจจุบัน นั่นก็แน่นอนว่าการออกแบบจะต้องมีอะไรดีๆ อยู่ข้างใน ซึ่งไฮไล้ท์แรกก็คือโมดูล class-D ที่ถูกใช้อยู่ในภาคขยายของ C 399 นั่นเป็นของแบรนด์ Hypex รุ่น nCore ซึ่งเป็นวงจรแอมปลิฟายแบบ HybridDigital ซึ่งเป็นเทคโนโลยีแบบเดียวกันกับที่ใช้อยู่ในอนุกรม Master Series

ความหมายของคำว่า Hybrid Digital DAC Amplifierก็คือ การปรับจูนโมดูล nCore ให้ทำการขยายสัญญาณเอ๊าต์พุตของชิป DAC รุ่น Sabre DAC ES9028 ของแบรนด์ ESS Technology ที่มีความละเอียดสูงถึงระดับ 32-bit/384kHz ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นจึงทำให้กำลังขับที่ระดับ 180W (ที่ 8 และ 4 โอห์มเท่ากัน) ของ C 399 สามารถแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่มีตกหล่น

นอกจากภาคขยายในส่วนของเพาเวอร์แอมป์แล้ว C 399 ยังเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ NAD ที่ผลิตออกมาภายใต้แพลทฟอร์มที่เรียกว่า MDC2 หรือ Modular Design Construction เวอร์ชั่น 2 ทำให้ผู้ใช้สามารถเพิ่มเติมโมดูลที่ทำงานแบบ two-way communication กับตัวเครื่องได้ อย่างเช่น โมดูล BluOS-D ที่สามารถใช้งานระบบมัลติรูมได้ กับใช้งาน Bluetooth ทั้งรับและส่งสัญญาณได้ และสามารถใช้งานฟังท์ชั่น Dirac Live ในการทำ Room Correction ได้ด้วย

สุดท้ายก็คือความเพรียบพร้อมในการใช้งานที่ C 399 ให้มาครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอินพุตที่ครอบคลุมการใช้งานกับแหล่งต้นทางทุกรูปแบบ ทั้งดิจิตัลและอะนาลอก แถมด้วยการควบคุมสั่งงานที่ครบครัน ทั้งผ่านการกดปุ่มบนแผงหน้าปัดโดยตรงก็ได้ หรือจะสั่งงานรีโมทไร้สายที่แถมมาให้ก็ได้ หรือถ้าอยากได้ที่เก๋ไก๋กว่านั้นก็มีแอพลิเคชั่น BlueOS มาให้ใช้ด้วยเมื่อคุณเพิ่มเติมบอร์ด BluOS-D เข้ามาที่แผงหลัง (* ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบมีบอร์ด BluOS-D ติดตั้งมาให้ทดลองใช้ด้วย)

วิเคราะห์สเปคฯ ก่อนทดสอบ

สเปคฯ ในคู่มือของ C 399 มีระบุคุณสมบัติไว้ 2-3 ข้อ ที่พอจะเอามาวิเคราะห์เพื่อประเมินในการแม็ทชิ่งได้ จากภาพด้านบน มีข้อสังเกตในแง่ กำลังขับ” (แถบสีแดง) ของ C 399 อยู่นิดนึงตรงที่ว่า สามารถจ่ายกำลังขับออกมาได้ >180W ต่อข้าง เท่ากันไม่ว่าอิมพีแดนซ์ของลำโพงจะอยู่ที่ 8 หรือ 4 โอห์ม (ขับทั้งสองแชนเนลพร้อมกัน / วัดที่ย่านความถี่ 20Hz-20kHz / ที่ระดับ THD เดียวกัน) ซึ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจ เพราะโดยปกติแล้ว เมื่อเจอก้ับโหลดของลำโพงที่อยู่ในระดับ ต่ำลง” (ในที่นี้คือ 4 โอห์ม) ภาคขยายของแอมป์มักจะต้องใช้กำลังขับ มากกว่าเมื่อเจอก้ับโหลดของลำโพงที่อยู่ในระดับที่ สูงขึ้น” (ในที่นี้คือ 8 โอห์ม) แต่แอมป์ตัวนี้แสดงตัวเลขกำลังขับอยู่ในระดับที่เท่ากัน.? หรือจะเป็นลักษณะเฉพาะของแอมป์ class-D .? หรือไม่ก็เป็นสมรรถนะของโมดูล nCore ? หรือประสิทธิภาพของภาคจ่ายไฟเลี้ยงของ C 399 ? หรือรวมๆ กัน.?? แบบนี้เวลาเอาตัวเลขกำลังขับไปคำนวนเพื่อแม็ทชิ่งกับลำโพงก็ใช้ตัวเลข 180W ไปคำนวนได้เลย ไม่ต้องทดตามอิมพีแดนซ์ระหว่าง 4 กับ 8 โอห์ม

ในแถบสีฟ้า เป็นตัวเลขแสดงความสามารถในการจ่ายกำลังขับช่วงพีคสั้นๆ โดยอ้างอิงกับอิมพีแดนซ์ตั้งแต่ 8, 4 และ 2 โอห์ม จะเห็นว่าช่วงจาก 8 โอห์มลงมาที่ 4 โอห์ม ตัวเลขกำลังขับจะพีคขึ้นไปได้สูงถึง เกือบสองเท่า (จาก 217W เป็น 400W) แต่พออิมพีแดนซ์ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 2 โอห์ม ตัวเลขวัตต์ที่จ่ายตอนพีคจะขึ้นไปได้ไม่ถึงสองเท่าของ 400W ซึ่งตัวเลขนี้แสดงสมรรถนะทางด้านกำลังสำรองของ C 399 ด้วยเหตุนี้ ในการแม็ทชิ่งลำโพงเข้ากับ C 399 ให้ได้ประสิทธิภาพเสียงออกมาดี จึงไม่ควรใช้ลำโพงที่สวิงอิมพีแดนซ์ลงไปต่ำกว่า 4 โอห์มเยอะๆ ถ้าหวังผลเลิศ เลี่ยงโอกาสมีสแม็ททางด้านกำลังขับ+กำลังสำรอง แนะนำให้ใช้ลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 8 โอห์ม ต่ำสุดไม่เกิน 4 โอห์ม

ทางด้านความถี่ตอบสนองของ C 399 (แถบสีเขียว) ถูกกำหนดไว้ที่ 20Hz – 20kHz โดยมีอัตราเบี่ยงเบน อยู่ระหว่าง +/-3dB

ทดสอบ

การทดสอบสมรรถนะทางด้าน กำลังขับของ C 399 นั้นผมทดลองใช้ลำโพง 3-4 คู่จับคู่กับ C 399 เริ่มตั้งแต่ ATC รุ่น SCM7 เวอร์ชั่นแรก/หน้าดำ (วางขาตั้ง / 8 โอห์ม / 84dB), Audio Physic รุ่น Classic 8 (ตั้งพื้น / 4 โอห์ม / 89dB), Totem Acoustics รุ่น The One (วางขาตั้ง / 4 โอห์ม / 87dB) และก่อนจบผมลองจับมัน ชกข้ามรุ่นไปแบกน้ำหนักขับลำโพง Fischer&Fischer รุ่น AN/AL270AMT (ตั้งพื้น / 4 โอห์ม / 89dB) ด้วย

ในวงกลมสีแดงคือโมดูล BluOS-D ส่วนวงกลมสีฟ้าคืออินพุต LINE 1 IN

ส่วนการทดสอบทางด้าน อินพุตของ C 399 นั้น เนื่องจากตัวที่ได้รับมาทดสอบมีโมดูล BluOS-D ติดตั้งมาด้วย ผมจึงทดลองใช้อินพุตสตรีมเมอร์ Bluesound บนโมดูลนั้นในการทดลองฟังช่วงแรก โดยที่เอ๊าต์พุตของสตรีมเมอร์ Bluesound บนโมดูล BluOS-D จะถูกส่งไปที่ภาค DAC ในตัว C 399 และเนื่องจากโมดูล BluOS-D มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ด้วย ในขั้นตอนนี้ ผมจึงลองใช้ Roon nucleus+ ทำการสตรีมไฟล์เพลง แล้วใช้ภาค DAC ในตัว C 399 เป็น endpoint ของ Roon พบว่า คุณภาพเสียงที่ออกมามีความสดสมจริงมากกว่าใช้สตรีมเมอร์ Bluesound อยู่พอสมควร ในขั้นตอนการสรุปบุคลิกและคุณภาพเสียงของ C 399 ผมใช้การสตรีมผ่าน Roon nucleus+ เป็นหลัก

อีกอินพุตที่น่าสนใจสำหรับคนที่ชอบฟังแบบง่ายๆ นั่นคืออินพุต Bluetooth ซึ่ง Bluetooth บนโมดูล BluOS-D จะเป็นแบบ สื่อสารสองทาง” (two-way communication) คือสามารถ รองรับสัญญาณความละเอียด 24-bit มาตรฐาน apt-X HD ที่ส่งมาจากอุปกรณ์ภายนอกเข้ามาใช้ดีโค๊ดเดอร์ในตัว C 399 ได้ และสามารถ ส่งสัญญาณที่มีความละเอียดระดับเดียวกันไปให้อุปกรณ์อื่นที่รองรับคลื่น Bluetooth ด้วยมาตรฐาน apt-X HD ได้ด้วย

บุคลิกและคุณภาพเสียงของ C 399

หลังจากทดลองฟัง C 399 กับลำโพงทั้งหมดที่ยกสลับกันอยู่นานแรมเดือน ผมก็พอจะแยกแยะ แนวเสียงของ C 399 ออกมาได้ 2-3 ประเด็น ที่น่าจะเป็นบุคลิกเฉพาะของออลอินวันตัวนี้ คุณสมบัติอย่างแรกสุดที่โดดเด่นมากของ C 399 ก็คือ ความเป็นกลาง” (neutral) ในการถ่ายทอด โทนเสียงที่แตกต่างไปจากแอมป์ class อื่นๆ

เมื่อพูดถึง โทนเสียงที่เป็นกลางในทางทฤษฎีคือลักษณะของเสียงที่มีปริมาณความถี่ย่านหลัก คือทุ้มกลางแหลมที่ใกล้เคียงกัน (ถ้าในอุดมคติ ต้องพูดว่า เท่ากัน“) ซึ่งในแง่ของมนุษย์ทั่วไปจะฟังจับในแง่ของปริมาณความถี่ได้ยาก โดยเฉพาะเมื่อฟังจากเพลงทั่วไปที่มีการสวิงความถี่อยู่ตลอดเวลา หากแต่ว่า เมื่อได้ลองฟังเพลงหลายๆ เพลงต่อเนื่องกันไปสักระยะเวลาหนึ่ง ถ้าซิสเต็มให้เสียงในย่านใดย่านหนึ่งมากกว่าย่านอื่นๆ เราจะเริ่มรู้สึกได้ ถ้าต่างมาก็รู้สึกได้เร็ว ต่างน้อยก็รู้สึกช้าหน่อย

ความถี่ที่มนุษย์เราได้ยินจะอยู่ระหว่าง 20Hz – 20kHz แต่เนื่องจากหูของมนุษย์เรามีความไวต่อความถี่แต่ละย่านไม่เท่ากัน มีข้อมูลหลายๆ แหล่งที่น่าเชื่อถือระบุว่า หูเราจะไวต่อเสียงในย่านกลางขึ้นไปถึงกลางสูง (midrange-to-upper midband) คือประมาณ 1kHz – 3kHz (บริเวณแถบสีเทาในภาพข้างบน) มากกว่าย่านอื่น () ถ้าเครื่องเสียงชิ้นไหนให้โทนเสียงในย่านดังกล่าวที่ดังโด่งขึ้นมาจากความถี่ย่านอื่นมากๆ เราจะรับรู้ได้ในลักษณะของเสียงที่มีอาการสว่างโพลน (bright) และมันจะมีอาการสว่างวาบขึ้นมาทันทีเมื่อมีเสียงของเครื่องดนตรีที่เล่นโน๊ตที่อยู่ในย่านความถี่ที่ว่านั้นปรากฏขึ้นมาด้วยความดังที่ค่อนข้างสูง

แอมป์บางตัวที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าให้รายละเอียดดี มักจะเน้นความถี่ในย่าน 1kHz – 3kHz ให้โด่งขึ้นมานิดนึง แม้ว่าฟังไปนานๆ จะรับรู้ได้ว่าโทนเสียงมีความเพี้ยนออกไปทาง bright หรือสว่างโพลนขึ้นมาก็ตาม ในทางตรงข้าม ถ้าแอมป์ตัวไหนมีการจูนเสียงในย่านดังกล่าว (1kHz – 3kHz) ให้มีปริมาณน้อยกว่าความถี่ย่านอื่นเพื่อเลี่ยงลักษณะของเสียงที่สว่างจ้า แอมป์ตัวนั้นก็มักจะให้โทนเสียงออกไปทาง dark ข้อดีคือฟังได้นาน แต่ถ้าลดมากไป โทนเสียงจะออกไปทางหม่น อาจจะนุ่มนวลฟังสบายหูก็จริง แต่รายละเอียดจะไม่ค่อยชัด

ลงตัวมากๆ กับ Audio Physic รุ่น Classic 8

C 399 มีวิธีแสดง รายละเอียดของเสียงด้วยวิธีที่แปลกไปจากแอมป์ทั่วไป คือมันไม่ได้ไปยุ่งกับความถี่ในย่าน 1kHz – 3kHz โดยยกให้โด่งขึ้นมา แต่มันไปทำให้พื้นเสียงที่รองรับความถี่ตลอดทั้งย่านมีลักษณะที่ กระจ่างใสจนทำให้ผมได้ยินรายละเอียดของเสียงที่ชัดเจนปรากฏออกมาอย่างครบถ้วนโดยที่โทนเสียงไม่ถูกทำให้เพี้ยนไป ความดังเบาของสัญญาณจะออกมาตามต้นฉบับที่ป้อนเข้าไป โทนเสียงก็เช่นกัน คือไม่เพี้ยน ไม่ว่าจะเพี้ยนไปทาง bright หรือ dark ซึ่งนั่นคือความหมายของคำว่า neutral หรือ ความเป็นกลางของโทนเสียงที่ C 399 ตัวนี้ถ่ายทอดออกมา.!

อัลบั้ม : Modern Cool (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Patricia Barber
สังกัด : @1998 Premonition Records

งานอัลบั้มชุดนี้สะท้อน ตัวตนในความเป็นกลางของโทนเสียงที่ C 399 ให้ออกมาได้ชัดเจนมาก คือแนวทางการบันทึกเสียงและมิกซ์เสียงของ Jim Anderson ซึ่งเป็นซาวนด์เอ็นจิเนียร์คู่บุญของแพรทริเซีย บาร์เบอร์ เขาจะให้โทนเสียงออกไปทาง dark นิดๆ ซึ่งหากแอมป์ตัวไหนจูนเสียงมาเน้นไปทางสว่างเพื่อโชว์รายละเอียดที่หูคนไวต่อการรับรู้ (1kHz – 3kHz) พอฟังอัลบั้มนี้ โทนเสียงที่ออกมาจะขาดความโรแมนติกไปทันที รายละเอียดที่ออกมาจะมีลักษณะเหมือนถูกดันออกมา รูปวงและเลเยอร์ของชั้นดนตรีหายไป ในทางตรงข้าม แอมป์ตัวไหนที่จูนเสียงมาแนว dark เกินไป พอฟังอัลบั้มนี้เสียงจะออกไปทางหม่นและทึม ขาดความสด เหมือนเสียงไม่เปิด

ไฮไล้ท์คือตั้งใจจะบอกว่า C 399 ใช้วิธีทำให้ความขุ่นมัวที่ปกคลุมอยู่บนพื้นเสียงหายไป เพื่อเปิดเผยรายละเอียดของเสียงต่างๆ ที่แอบซ่อนอยู่ในอัลบั้มนี้ปรากฏออกมาให้ได้ยิน นั่นทำให้ความ dark ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของอัลบั้มนี้ยังคงอยู่ครบ ในขณะเดียวกัน ทุกเสียงที่กอปรกันอยู่ในเพลงที่ฟังก็มีลักษณะการขยับเคลื่อนอย่างกระฉับกระเฉง ฟังแล้วให้ความรู้สึกสด เหมือนกำลังฟังแพรทธิเซีย บาร์เบอร์กับเพื่อนสมาชิกในวงของเธอบรรเลงให้ฟังสดๆ อยู่ต่อหน้าจริงๆ.!

C 399 ให้นิยามคำว่า ความกระจ่างใสออกมาตรงกับบริบทที่ฝรั่งชอบใช้คำว่า ‘crystal clearนั่นเอง มันคือความใสโล่ง (transparency) ของพื้นเสียงที่ปราศจาก noise รูปแบบใดๆ เข้ามาปกคลุม นั่นก็หมายความว่า คนออกแบบ C 399 สามารถจัดการกับต้นเหตุของ noise ที่เกิดจากการทำงานของ C 399 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นี่อาจจะเป็นเพราะการออกแบบภาคขยาย class-D ของโมดูล nCore ให้ทำงานผสานกับสัญญาณเอ๊าต์พุตของชิป DAC ของ ESS Technology เบอร์ ES9028 ได้อย่างลงตัวจนทำให้ปัญหา jitter ซึ่งเป็นต้นเหตุของ noise ในระบบดิจิตัล ลดต่ำลงจนไม่เข้ามาทำให้รายละเอียดของเสียงที่ออกมาจาก ES9028 มีมลทิน ซึ่งโดยทฤษฎีแล้ว พื้นฐานการทำงานของระบบดิจิตัลจะให้ความเพี้ยนต่ำอยู่แล้ว ถ้าคนออกแบบสามารถ จัดการกับตัวแปรต่างๆ ในแต่ละขั้นตอนได้อย่างถูกต้อง มีการจัดระบบ clock ได้อย่างลงตัว และจัดการกับระบบกราวนด์ได้อย่างเด็ดขาด เสียงที่ได้ออกมาก็จะมีทั้งความใส สะอาด เต็มไปด้วยรายละเอียดโดยไม่มี noise เข้ามารบกวน

ถึง C 399 จะขับ Fischer&FischerSN/SL 270AMT ออกมาได้ไม่เต็มร้อย
แต่ที่ได้ยินก็แฮ้ปปี้มากแล้ว.!

ในจำนวนลำโพงทั้ง 4 คู่ที่ผมทดลองใช้งานร่วมกับ C 399 คือ ATCSCM7’ (เวอร์ชั่นแรก), Audio PhysicClassic 8’, Totem AcousticsThe Oneและ Fischer&FischerSN/SL 270AMT ผมพบว่า สมรรถนะของ C 399 สามารถดึงศักยภาพของลำโพง ATCSCM7’ (เวอร์ชั่นแรก), Audio PhysicClassic 8และ Totem AcousticsThe Oneออกมาได้ในระดับที่ น่าพอใจในขณะที่ Fischer&FischerSN/SL 270AMT นั้น C 399 ยังขับออกมาได้ไม่หมด (เมื่อเทียบกับเสียงที่ได้ยินจากการใช้ LFDNSCE HRขับ Fischer&FischerSN/SL 270AMT) ซึ่งตอนทดลองขับ Fischer&FischerSN/SL 270AMT ถ้าไม่ยก LFDNSCE HRเข้าไปฟังเทียบกันแบบ A/B Test เสียงที่ได้จากการขับ Fischer&FischerSN/SL 270AMT ด้วย C 399 ก็อยู่ในเกณฑ์ที่ฟังดีมากแล้ว ในบางแง่ออกมาดีกว่าลำโพงที่เหลือทั้งสามคู่ซะด้วยซ้ำไป แต่พอเปลี่ยนเอา LFDNSCE HRเข้าไปแทน C 399 ฟังเพลงเดียวกัน ถึงได้รู้ว่า Fischer&FischerSN/SL 270AMT ยังไปได้อีกเยอะ.. ซึ่งก็สมควรจะออกมาเป็นเยี่ยงนั้น เพราะราคาของ LFDNSCE HRสูงกว่า C 399 ประมาณ 3.65 เท่า! (329,000 บาท vs 89,900 บาท)

ผลจากการทดลองขับลำโพงทั้ง 4 คู่ข้างต้น ทำให้พอประเมินได้ว่า สมรรถนะของ C 399 น่าจะไปกันได้ดี (คือขับออกมาได้เต็มที่) กับลำโพงที่เป็นแบรนด์ระดับกลางๆ ทั่วไป อาทิเช่น Wharfedale, B&W, Monitor Audio, PSB, AE, Dali ฯลฯ ที่มีราคาอยู่ระหว่างคู่ละ 30,000 บาท ขึ้นไปจนถึงคู่ละ 150,000 บาท

มีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมพบจากการทดสอบ C 399 คือ ช่องอินพุต analog ของมันมีคุณภาพสูงมาก เพราะที่ช่องอินพุต LINE 1 IN และ LINE 2 IN ซึ่งมีไว้ให้ใช้รองรับสัญญาณอะนาลอกจากภายนอก มันมีวงจรบัฟเฟอร์ที่ทำหน้าที่ลดสัญญาณรบกวน (low noise buffer amplifiers) ที่เข้ามากับสัญญาณอินพุตอยู่ด้วย จึงเหมาะกับการอัพเกรดประสิทธิภาพของ C 399 ด้วยการใช้งานร่วมกับแหล่งต้นทางสัญญาณ (โฟโน, ext.DAC) ที่มีคุณภาพสูงกว่าที่ให้มาในตัว C 399 ซึ่งจากการที่ผมได้ทดลองเชื่อมต่อสัญญาณ analog out จาก external DAC ของ Ayre Acoustics รุ่น QB-9 DSD Twenty มาเข้าที่อินพุต LINE 1 IN ของ C 399 ฟังเทียบกับภาค DAC ในตัว C 399 โดยใช้ Roon nucleus+ เป็นสตรีมเมอร์ ส่งสัญญาณไปที่ C 399 ทางเน็ทเวิร์คด้วย Roon Ready และใช้วิธีส่งสัญญาณจาก nucleus+ ไปที่ QB-9 DSD Twenty ผ่านเข้าทาง USB (เพราะ QB-9 DSD Twenty มีแต่อินพุต USB)

ผลจากการฟังเทียบด้วยเพลงเดียวกัน พบว่า เสียงที่ได้จาก QB-9 DSD Twenty ผ่านเข้าทางอินพุต LINE 1 IN ของ C 399 (ปรับตั้ง Analog Bypass = ‘On’) ให้คุณภาพโดยรวมสูงกว่าภาค DAC ในตัว C 399 ประมาณ 25-30% แสดงให้เห็นว่า ภาคขยาย class-D ที่มากับโมดูล nCore ของ C 399 มีประสิทธิภาพสูงมาก ในช่วงท้ายของการทดสอบ ผมทดลองเซ็ตอัพโดยจัดชุดให้ C 399 ขับลำโพง Fischer&FischerSN/SL 270AMT โดยใช้ Roon nucleus+ จับกับ Ayre AcousticsQB-9 DSD Twentyเป็นแหล่งต้นทางสัญญาณ ปรากฏว่า เสียงที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก ดีขนาดที่ถ้าไม่มีตังค์ซื้อ LFDNCSE HRผมก็แฮ้ปปี้กับ C 399 ได้อยู่ แสดงว่า คุณภาพเสียงของภาคขยาย class-D ในตัว C 399 มันจะขยับสูงขึ้นไปตามคุณภาพของแหล่งต้นทางสัญญาณได้อีกไกล.. (เสียดายไม่มี dCS LINA DAC + LINA Clock อยู่ในมือ ถ้ามีอยากจะลองจับกับ C 399 เพราะอยากรู้ว่าประสิทธิภาพของโมดูล nCore เวอร์ชั่นนี้จะไปได้ไกลแค่ไหน.!)

สรุป

หลังจากได้ทดสอบอินติเกรตแอมป์ของ NAD ตัวนี้แล้ว มันทำให้ผมตะหนักว่า เสียงของแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D ในปัจจุบันมันไม่ได้แพ้แอมป์ class อื่นๆ เลย คุณภาพเสียงโดยรวมในแต่ละแง่มันสู้กันได้สบายๆ ถ้าให้ฟังแบบ blind test แล้วไม่บอกก็แทบจะไม่รู้ว่ากำลังฟังภาคขยาย class อะไรอยู่.!!

C 399 ใช้โมดูล class-D แบบเดียวกับรุ่น C 388 ที่ผมเคยทดสอบไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 (REVIEW) ซึ่ง C 399 ตัวนี้ได้ถูกเสริมเขี้ยวเล็บให้มีศักยภาพสูงกว่า C 388 ขึ้นมาอีกขั้น เริ่มจากภาค DAC ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดตามมาตรฐานปัจจุบัน ผนวกกันโมดูลแอมป์ class-D รุ่น nCore ของ Hypex เวอร์ชั่นใหม่ ทำให้รับรู้ถึงระดับคุณภาพเสียงที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจน ซึ่ง อยากจะบอกว่า C 399 ตัวนี้ได้แสดงตัวเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนถึงคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยมของภาคขยาย class-D ในปัจจุบัน.!! ใครที่ห่างเหินจากการทดลองฟังแอมป์ class-D มานานและยังคงใช้ชุดความเชื่อเดิมๆ ที่ว่า แอมป์ class-D เสียงไม่ดี มีเกรนดิจิตัล อยากจะขอเชิญชวนให้คุณหาโอกาสไปทดลองฟังแอมป์ class-D ของ NAD รุ่น C 399 ตัวนี้ดูหน่อย แล้วคุณจะรู้ว่า เสียงของแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D อย่าง NADC 399ตัวนี้ มันได้ถูกพัฒนาและปรับจูนมาถึงจุดที่เข้าข่ายคุณภาพเสียงระดับไฮเอ็นด์ฯ เต็มขั้นแล้ว..!!! /

********************
ราคา เฉพาะ C 399 = 89,900 บาท / ตัว (ไม่รวมโมดูล อ๊อปชั่น)
ราคา โมดูล MDC2 BluOS-D = 25,000 บาท / ตัว
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. โคไน้ซ์ อีเล็คโทรนิค จำกัด
โทร. 02-276-9644
********************
สั่งซื้อออนไลน์ได้ที่
Conice Electric

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า