รีวิว Primare รุ่น I15 Prisma MK II

The Sound And Vision Of Scandinaviaถ้าได้ลองเข้าไปทำความรู้จักกับผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละแบรนด์ให้ลึกลงไปมากกว่าแค่ชื่อแบรนด์ด้วยการเข้าไปอ่านข้อมูลในอ๊อฟฟิเชี่ยล เว็บไซต์ของแบรนด์นั้นๆ คุณจะพบว่า มีผู้ผลิตอยู่บางแบรนด์ที่มี ความจริงใจอย่างมากในการทำธุรกิจ ซึ่งแสดงออกมาให้เห็นและสัมผัสได้จากข้อความในเว็บไซต์ ยกตัวอย่างแบรนด์ Primare ของประเทศสวีเดน ซึ่งในเว็บไซต์ของแบรนด์นี้ (https://primare.net/about/the-company/) มีข้อมูลให้ผู้ใช้เข้าไปอ่านเพื่อทำความเข้าใจถึงเจตนารมย์และเป้าหมายในการออกแบบ, เทคโนโลยีที่ใช้ในการออกแบบและผลิต ไปจนถึงข้อมูลสำคัญของผลิตภัณฑ์ ครบด้าน

เมื่อได้เข้าไปอ่านแล้วมันทำให้รู้สึกได้ว่า พวกเขามีความตั้งใจอย่างมากในการสร้างสรรอุปกรณ์เครื่องเสียงออกมาแต่ละชิ้น ภายใต้ชื่อแบรนด์ Primare นี้.!!!

Primare I15 Prisma MK II
อินติเกรตแอมป์ ออลอินวัน ที่มาพร้อมมิวสิค สตรีมมิ่ง

ความเป็นสแกนดิเนเวี้ยนปรากฏชัดตั้งแต่รูปร่างหน้าตาภายนอกที่เน้นความเรียบง่าย แต่แอบซ่อนความหรูผสมความแกร่งไว้ตามเหลือบมุมต่างๆ อย่างเช่น บนหน้าปัดเครื่องที่ทำด้วยแผ่นอะลูมิเนียมอย่างหนา ลบเหลี่ยมคมจนลื่นมือ เคลือบสีบรอนซ์เงิน เล่นระดับแยกส่วนออกมาจากแผ่นโลหะหนาที่ใช้หุ้มห่อตัวถังซึ่งชุบเป็นสีดำ

ถ้าเป็นเครื่องเสียงที่ดีไซน์ตามสไตล์สแกนดิเนเวี้ยนจริงๆ คุณจะไม่เห็นปุ่มปรับอะไรมากมายบนหน้าปัดเครื่อง นอกจากที่จำเป็นสำหรับการควบคุมสั่งงานจริงๆ ยกตัวอย่าง I15 Prisma MK II ตัวนี้ ซึ่งมีมาให้แค่ 4 ปุ่มเล็กๆ กับจอแสดงผลทรงยาวๆ รีๆ อีกหนึ่งอย่างเท่านั้น ซึ่งตำแหน่งหมายเลข 1 ในภาพข้างบนนั้นทำหน้าที่เป็นปุ่มกดเพื่อเปิด/ปิดเครื่อง, หมายเลข 2 ปุ่มเลือกแหล่งอินพุต, หมายเลข 3 คือจอแสดงผล, หมายเลข 4 เป็นปุ่มเพิ่ม/ลดความดัง

ความเนี้ยบในการออกแบบของ I15 Prisma MK II ตามมาถึงแผงหลัง ซึ่งแม้ว่าจะมีเนื้อที่จำกัด แต่พวกเขาก็จัดสรรพื้นที่ติดตั้งช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตเอาไว้ได้อย่างเป็นระเบียบ มีการจัดแยกกลุ่มไว้อย่างเป็นระเบียบ เริ่มจากหมายเลข 5 ในกรอบสีส้มนั้น เป็นช่องอินพุต/เอ๊าต์พุตของสัญญาณอะนาลอก โดยช่องต่อชุดที่เป็น IN นั้นจะตรงกับอินพุต A1 บนปุ่มซีเล็กเตอร์ที่อยู่ด้านหน้า มีไว้ให้ใช้รองรับสัญญาณอะนาลอกจากอุปกรณ์ภายนอก ซึ่งเดาว่าทางผู้ผลิตน่าจะเผื่อมาไว้ให้ใช้กับภาคขยายหัวเข็มของเครื่องเล่นแผ่นเสียงนั่นเอง (เพราะ I15 Prisma MK II ไม่มีภาคขยายหัวเข็มมาให้) ส่วนช่องที่กำกับด้วยคำว่า OUT นั้น มีไว้ให้ใช้ส่งสัญญาณอะนาลอกออกไปภายนอก อย่างเช่น ส่งออกไปให้กับลำโพงแอ๊คทีฟ (Fixed) หรือจะส่งออกไปให้เพาเวอร์แอมป์ภายนอก (Variable) นอกจากนั้น เขายังให้ช่องอินพุตแบบ mini3.5mm มาอีกช่อง ชื่อว่าช่อง D6 ซึ่งเป็นช่องอินพุตสำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอกเช่นกันแต่ภาคขั้วต่อ มินิ 3.5 ..

ส่วนช่องอินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัลได้ถูกรวบรวมไว้ในกรอบสีเขียวตรงหมายเลข 6 โดยมีช่องดิจิตัล อินพุตมาให้ทั้งหมด 4 ช่อง ติดตั้งขั้วต่อ Optical ช่อง กับ coaxial อีกหนึ่งช่อง และมีช่องดิจิตัล เอ๊าต์มาให้หนึ่งช่อง (7) ถัดไปเป็นช่อง Ethernet (9) สำหรับต่อสายแลนเพื่อเชื่อมโยงเข้ากับระบบโฮม เน็ทเวิร์ค โดยมีช่อง USB-A (8) อยู่ด้านล่าง ไว้เชื่อมต่อ USB แฟรชไดร้ ต่อด้วยช่องอินพุต USB-B (10) สำหรับเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์

ขั้วต่อสายลำโพง (11) ที่ให้มามีความแข็งแรง สามารถเชื่อมกับขั้วต่อของสายลำโพงได้หลายแบบ ทางขวามือสุดในภาพข้างบนคือตำแหน่งติดตั้งเต้ารับปลั๊กไฟเอซี (12) ที่ให้มาแบบสามขาแยกกราวนด์ และติดตั้งเมนสวิทช์ (13) สำหรับตัด/ต่อไฟเข้าเครื่องอยู่ถัดไป

การเชื่อมต่อระบบ

Primare มี I15 อยู่ 2 เวอร์ชั่น คือ I15 MM เป็นอินติเกรตแอมป์ที่มีภาคขยายหัวเข็ม MM อยู่ในตัว ซึ่งเวอร์ชั่นนี้จะไม่มี DAC กับ Streaming ในตัว กับอีกเวอร์ชั่นคือ I15 Prisma MK II ตัวนี้ ซึ่งไม่มีภาคขยายหัวเข็มในตัว เหตุผลที่ไม่สามารถใส่ภาคขยายหัวเข็มลงไปใน I15 Prisma MK II น่าจะเป็นเพราะมีพื้นที่ไม่พอนั่นเอง อีกเหตุผลก็อาจจะเป็นเรื่องของเป้าหมายราคาที่พวกเขาอยากให้เป็น

ภาพบนนั้นคือเนื้อในของรุ่น I15 MM ส่วนรูปล่างเป็นเนื้อในของรุ่น I15 Prisma MK II จะเห็นว่า พื้นที่ในตัว I15 Prisma MK II ไม่พอที่จะใส่ภาคขยายหัวเข็มเข้าไป ซึ่งจริงๆ แล้ว Primare ก็มีอินติเกรตแอมป์อยู่หลายรุ่น นอกจาก I15 ก็ยังมี I25 และ I35 ซึ่งเป็นรุ่นใหญ่กว่า แต่นอกจาก I15 MM แล้ว ที่เหลือทั้งสองรุ่นนั้นก็ไม่มีภาคขยายหัวเข็มอยู่ในตัว

มองอีกมุมหนึ่ง ถือว่าเป็นข้อดีที่ I15 Prisma MK II ไม่มีภาคขยายหัวเข็มมาให้ เพราะถ้ามีคนที่กล้าลงทุนกับอินติเกรตแอมป์ราคา 7-8 หมื่นบาท อย่าง I15 Prisma MK II ตัวนี้แล้ว ถ้าเขาอยากเล่นแผ่นเสียง เขาคนนั้นก็คงจะต้องการ คุณภาพเสียงจากแผ่นเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ดีมากๆ ซึ่ง Primare เขามี Phono Preamplifier หรือภาคขยายหัวเข็มแบบแยกชิ้นอยู่ถึงสองรุ่นคือ I15 MM/MC phono preamplifier กับรุ่น R35 MM/MC phono preamplifier ไว้ให้บริการอยู่แล้ว

จากภาพข้างบนนั้น จะเห็นว่า แม้ว่าจะไม่มีภาคขยายหัวเข็มมาให้ แต่ I15 Prisma MK II ก็ยังมีช่องอินพุตอะนาลอก A1 มาให้คุณใช้เชื่อมต่อกับ Phono Preamplifier จากภายนอกได้..

นอกจากนั้น I15 Prisma MK II ยังรองรับอุปกรณ์ต้นทางสัญญาณได้หลากหลายมาก โดยเฉพาะช่องทางที่ให้มาเพื่อใช้เชื่อมต่อกับการสตรีมไฟล์เพลงนั้น ครบครันจริงๆ ทั้งสตรีมผ่านเน็ทเวิร์คและสตรีมผ่าน Bluetooth, AirPlay2 และ Chromcast รวมถึง Spotify Connect แทบจะทุกช่องทาง

แม้กับทีวีที่คุณอาจจะคลาดไม่ถึงว่าจะใช้กับแอมป์ตัวนี้ได้ ก็ยังใช้ด้วยกันได้ เพราะเขามีอินพุต Optical มาให้ซึ่งใช้เชื่อมต่อได้ ใครที่คิดจะเอา I15 Prisma MK II ไปใช้ในห้องรับแขกร่วมกับทีวีก็สามารถทำได้เลย เพราะทีวียุคใหม่ส่วนใหญ่จะมีเอ๊าต์พุต Optical มาให้แทบทุกตัว ผมทดลองแล้วกับทีวีของ Sony ที่มีอายุประมาณ 6 ปี ยังใช้ได้สบาย เสียงออกมาดีมาก โดยเฉพาะตอนดูหนังจาก Netflix และดูคอนเสิร์ตจาก YouTube เพลินมาก..!!!

การควบคุมสั่งงาน

ผู้ผลิตมีช่องทางไว้ให้คุณควบคุมสั่งงานอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ 2 ทาง ด้วยกัน ทางแรกคือควบคุมผ่านทางรีโมทไร้สายรุ่น C25 ที่แถมมาให้ สามารถใช้ควบคุมการทำงานของ I15 Prisma MK II และปรับตั้ง (settings) ค่าพารามิเตอร์ของตัวเครื่องได้ทุกอย่าง ผ่านทางเมนูเครื่อง นอกจากนั้น รีโมทตัวนี้ยังใช้เลือกอินพุตได้, ปรับเพิ่ม/ลดวอลลุ่มได้ และใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลงได้ด้วย

การควบคุมสั่งงานอีกช่องทางคือผ่านทางแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า PRISMA ซึ่งมีให้ดาวน์โหลดมาใช้ได้ทั้งเวอร์ชั่น iOS จาก App Store และเวอร์ชั่น Android จาก Google Play Store ความสามารถของแอพฯ ตัวนี้มีอยู่ 2 ฟังท์ชั่น คือใช้ปรับตั้งค่าต่างๆ ในเมนูของตัวเครื่อง กับใช้เลือกอินพุต และใช้เลือกและควบคุมไฟล์เพลงจากเน็ทเวิร์คเข้ามาฟังด้วย

ภาพข้างบนนั้นเป็นหน้าจอของแอพฯ PRISMA ที่เปิดใช้งานบน iPad ซึ่งแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ส่วน โดยพื้นที่ในกรอบสีส้มใช้ปรับตั้งพารามิเตอร์บนตัวเครื่อง I15 Prisma MK II ซึ่งมีหัวข้อเมนูให้ปรับตั้งทั้งหมด 5 หัวข้อ คือ SOURCE, QUEUE, PLAYIST, ZONE และ SETTINGS ส่วนกรอบสีฟ้านั้นเป็นพื้นที่แสดงรายชื่อของไฟล์เพลงที่ จะเลือกมาเล่นในขณะที่กรอบสีเขียวนั้นแสดงรายละเอียดของไฟล์เพลงที่ กำลังเล่น

เมนู SOURCE

เป็นแหล่งที่รวมของไฟล์เพลงทั้งหมดที่คุณจะสามารถเข้าไปดึงมาฟังได้ ไม่ว่าจะเป็นจากอินเตอร์เน็ท เรดิโอ, จากอุปกรณ์เครื่องเล่นภายนอกผ่านเข้ามาทางอินพุตต่างๆ, จาก NAS และจากการสตรีมผ่านคลื่น Wi-Fi และคลื่น Bluetooth

ฟังเพลงด้วยการสตรีมจาก TIDAL
ด้วยแอพฯ PRISMA

ขั้นตอนง่ายมาก เริ่มด้วยเข้าไปที่เมนู SOURCE ที่อยู่ในกรอบซ้ายมือ หลังจากเข้าไปทำการ Login ที่เว็บไซต์ของ TIDAL แล้ว เมื่อจิ้มลงไปที่หัวข้อ TIDAL บนหน้าแอพฯ (ศรชี้) จะปรากฏหมวดหมู่ของคอนเท็นต์ใน TIDAL จำนวน 8 หัวข้อโผล่ขึ้นมาทางด้านขวาของหน้าจอแอพฯ ให้เราเลือกเข้าไปค้นหาเพลงมาฟัง ใครที่เคยเลือกอัลบั้มเพลงบน TIDAL ที่ชอบฟังมารวมไว้ในหัวข้อ “My musicถ้าอยากฟังเพลงเหล่านั้นก็ใช้ปลายนิ้วจิ้มลงไปที่หัวข้อ “My music” (ศรชี้)

หน้าปกอัลบั้มที่เราเลือกเก็บไว้ใน “My musicของ TIDAL จะปรากฏออกมาบนกรอบพื้นที่ด้านขวา ซึ่งคุณสามารถเลือกรูปแบบการแสดงหน้าปกของอัลบั้มเหล่านี้ได้หลายขนาดด้วยการจิ้มลงไปที่สัญลักษณ์ตรงศรชี้สีเขียว ถ้าต้องการอัลบั้มไหนก็จิ้มปลายนิ้วเลือกได้ที่ปกอัลบั้มนั้นโดยตรง..

ในภาพข้างบนเป็นการเลือกอัลบั้มชุด Doug’s Slide Guitar ของ Doug MacLeod และเมื่อจิ้มเลือกลงไปตรงเพลงที่ต้องการฟัง ขณะที่เพลงนั้นกำลังเล่น รายละเอียดของเพลงนั้นจะไปปรากฏที่กรอบด้านล่าง (ศรชี้) ซึ่งตรงนั้นจะมีทั้งข้อมูลเพลง, อัลบั้ม, ศิลปิน, เวลาที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง และเครื่องมือที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลงคือ ปุ่มสั่งเล่นสั่งหยุดเลื่อนไปเพลงข้างหน้าถอยกลับไปเพลงก่อนหน้าเล่นแบบสุ่มลำดับเล่นวน และมีปุ่มกดเพิ่มลดความดังของเสียงมาให้ด้วย.. ทุกอย่างจบบนหน้าจอแอพฯ ตัวนี้เลย.!!!

ฟังเพลงจาก Local Music Library
ด้วยแอพฯ PRISMA

แอพฯ PRISMA ตัวนี้จะมองเห็นไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ใน NAS (ฮาร์ดดิสที่เชื่อมต่ออยู่กับเน็ทเวิร์ค) และไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในฮาร์ดดิสของคอมพิวเตอร์ หรือเก็บอยู่ในฮาร์ดดิสที่อยู่ในสตรีมเมอร์บางรุ่นที่มีสถานะเป็น music server คือมีฮาร์ดดิสเก็บไฟล์เพลงอยู่ในตัวและพร้อมแจกจ่ายให้กับอุปกรณ์ภายนอกที่อยู่ในวงเน็ทเวิร์คเดียวกันเมื่อถูกร้องขอ ซึ่งทุกแหล่งนั้นจะถูกรวบรวมอยู่ในหัวข้อ ‘Music Library’ (ศรชี้สีแดง) ตัวอย่างในภาพนั้น ตรงตำแหน่งลูกศรสีฟ้านั้นเป็น NAS ที่ผมใช้เก็บไฟล์เพลงสำหรับทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงเป็นปกติอยู่แล้ว หลังจากทำการ add แนสตัวนี้เข้ามาในแอพฯ PRISMA แล้ว จะปรากฏชื่อของ NAS (MinimServer[MusicServer]) (ศรชี้สีฟ้า) ขึ้นมาในรายการให้เลือกจากหัวข้อเมนู SOURCE

หลังจากจิ้มลงไปที่ชื่อ NAS แล้ว ที่กรอบด้านขวาจะขึ้นมาให้เราเลือกว่าจะให้แสดงไฟล์เพลงใน NAS ออกมาแบบไหน.? ผมแนะนำให้เลือกแสดงออกมาเป็น ‘albumsซึ่งแอพฯ จะทำการสแกนอัลบั้มทั้งหมดที่เรามีอยู่ (ของผมมีอยู่ทั้งหมด 7158 อัลบั้ม) แล้วแสดงมันขึ้นมาในลักษณะของปกอัลบั้มพร้อมชื่ออัลบั้มและศิลปินอยู่ด้านล่างปก และคุณก็ยังคงเลือกขนาดของปกอัลบั้มได้ และสามารถเลื่อนหน้าจอแอพฯ ขึ้น/ลงเพื่อค้นหาอัลบั้มที่ต้องการฟังได้ หลังจากพบแล้ว (สมมุติว่าอยากฟังอัลบั้มชุด ‘Peace Of The Worldของวง Special EFX (ในวงกลมสีเขียว) ก็จิ้มลงไปที่ปกอัลบั้มนั้นได้เลย..

ขณะที่เพลงในอัลบั้มนั้นกำลังเล่น พื้นที่ในกรอบด้านขวาของหน้าจอแอพฯ จะแสดงเพลงทั้งหมดที่มีอยู่ในอัลบั้มนั้น และมีสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเพลงไหนกำลังเล่นอยู่ ซึ่งคุณสามารถข้ามเพลงไปข้างหน้า, หรือถอยหลับไปฟังเพลงก่อนหน้า หรืออยากฟังเพลงไหนก็สามารถจิ้มเลือกที่หน้าจอนี้ได้เลย นอกจากนั้นยังสามารถปรับความดังของตัว I15 Prisma MK II ได้ด้วย..!!

เมนู SETTINGS

นอกจากหัวข้อ SOURCE ที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว เมนู QUEUE กับเมนู PLAYLIST ที่อยู่ถัดไปจะใช้เกี่ยวข้องกับการเล่นไฟล์เพลง ส่วนเมนู ZONE เป็นการค้นหาเครื่องเล่นตัวอื่นที่อยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกัน อีกเมนูที่มีผลกับการทำงานของตัวเครื่อง I15 Prisma MK II โดยตรงคือเมนู SETTINGS ซึ่งรวบรวมฟังท์ชั่นการทำงานของตัวเครื่องอยู่ที่นี่ และมีหลายฟังท์ชั่นที่เกี่ยวข้องกับ เสียงของแอมป์ตัวนี้ด้วย

ในเมนู SETTINGS มีหัวข้อเมนูย่อยอยู่ทั้งหมด 6 หัวข้อ ด้วยกัน ได้แก่ App settings, Input settings, Audio settings, General settings, Streaming settings และ Information

App settings

หัวข้อ App settings มีเมนูย่อยให้ปรับตั้งอยู่ 3 หัวข้อ หัวข้อที่สำคัญก็คือ ‘Add media serverซึ่งให้มาไว้ add แหล่งเก็บไฟล์เพลงบนเน็ทเวิร์คของคุณ อย่างเช่น NAS เข้ามาที่ตัว I15 Prisma MK II เพื่อใช้ดึงไฟล์เพลงมาฟัง

Input settings

หัวข้อ Input settings มีไว้ให้สำหรับปรับตั้งการทำงานของแต่ละอินพุตแยกจากกัน ซึ่งโดยหลักๆ แล้ว อินพุตอะนาลอกกับอินพุตดิจิตัลทั้งหมดจะมีฟังท์ชั่นให้ปรับตั้งเหมือนๆ กัน นั่นคือ Alias (ตั้งชื่อ), Status (เลือกระหว่าง enabled / disabled), Auto-sense (ปรับตั้งให้เลือกอินพุตอัตโนมัติ), Volume (เลือกระหว่าง variable / fixed), Input gain (เพิ่ม/ลด gain ของอินพุตได้ตั้งแต่ -30dB ขึ้นไปจนถึง +30dB), Input balance (ปรับบาลานซ์ซ้ายขวา) ที่ต่างออกไปก็มีอินพุต Stream (Prisma) ที่มีให้ปรับตั้งแค่ Input gain อย่างเดียว

การปรับตั้งเมนูย่อย Input gain มีผลกับเสียงพอสมควร คุณสามารถใช้เมนูนี้ปรับจูน เกนของสัญญาณอินพุตให้แม็ทชิ่งกับเกนของช่องอินพุตแต่ละช่องของ I15 Prisma MK II ได้ ตอนทดลองฟังเพลงเพื่อทดสอบเสียงของ I15 Prisma MK II พบว่า ตอนเจอเพลงที่มีเกนเบา เมื่อทดลองปรับ เพิ่มวอลลุ่มขึ้นมาจากจุด unity gain ให้ได้ความดังออกมาในระดับที่พอใจมากที่สุด จากนั้นก็ปรับวอลลุ่มกลับลงมาที่จุด unity gain แล้วทดลองเข้าไปปรับเพิ่ม gain ของอินพุตให้สูงขึ้นจนได้ความดังที่พอใจ พบว่า ผลที่ได้จากการปรับฟังท์ชั่น Input gain เพิ่มขึ้นให้ผลลัพธ์ของเสียงออกมา ดีกว่าการปรับวอลลุ่มขึ้นไปอย่างชัดเจน.! สิ่งที่ต่างกันคือ การปรับ Input gain ให้สูงขึ้น ฟังดีกว่ามาก เพราะนอกจากจะได้ ความดังเพิ่มขึ้นแล้ว การเพิ่มเกนของอินพุตยังทำให้ได้ ความเข้มของมวลเสียงที่ดีขึ้น ได้ ความตรึงกระชับของเสียงที่ดีขึ้น รายละเอียดของเสียงตลอดทั้งย่านมีความชัดเจนมากขึ้น ทุกชิ้นเสียงมี energy ที่สะท้อนถึงพลังกระแทกกระทั้นมากขึ้น มีการเน้นย้ำหัวโน๊ตมากขึ้น ส่งผลให้เสียงโดยรวมของเพลงมีความสด กระจ่างมากขึ้น ให้ความรู้สึกเหมือนฟังดนตรีสดมากขึ้น ฟังมันส์ขึ้นและไม่อึดอัดเหมือนเร่งวอลลุ่มขึ้นไป ซึ่งคุณสามารถเลือกระดับ dB ของ gain ที่เพิ่มได้ด้วย เป็นฟังท์ชั่นเทพที่ส่งผลกับเสียงมากจริงๆ..!!!

Audio settings

หัวข้อ Audio settings มีเมนูให้ปรับตั้งทั้งหมด 5 ข้อ คือ Balance (ปรับความดังซ้าย/ขวา), Default volume (ตั้งระดับวอลลุ่มตอนเปิดเครื่อง), Maximum volume (กำหนดระดับวอลลุ่มสูงสุด), Mute volume (ปรับตั้งระดับความดังของฟังท์ชั่น mute) และ Analog output (เลือกลักษณะสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุต ของช่อง ANALOG OUT ระหว่าง Pre/Line) กรณีที่ต้องการใช้ I15 Prisma MK II เป็นปรีแอมป์ร่วมกับเพาเวอร์แอมป์อื่นๆ ให้ปรับตั้งเมนูนี้ไว้ที่ ‘Pre

General settings

หัวข้อ General settings มีเมนูให้ปรับตั้งทั้งหมด 6 ข้อ คือ Show inputs (โชว์อินพุต), Front panel (ปรับตั้งล็อคการทำงานของปุ่มบนหน้าปัด), Auto-DIM (ตั้งเวลาหรี่ความสว่างบนหน้าปัด), Standby settings (ปรับตั้งรูปแบบและเวลาอัตโนมัติของโหมดสแตนด์บาย), System reboot (รีบู๊ทเครื่อง), Factory reset (รีเซ็ตการปรับตั้งค่าทั้งหมดไปสู่ค่าเริ่มต้นมาจากโรงงาน)

Streaming settings

หัวข้อ Streaming settings มีเมนูให้ปรับตั้งอยู่ทั้งหมด 3 ข้อ คือ Show metadata (ตั้งให้ โชว์/ไม่โชว์ รายละเอียดของเพลงบนหน้าจอเครื่อง), Bluetooth settings (ปรับตั้งการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอก), AirPlay password (ใส่พาสเวิร์ดเพื่อเชื่อมต่อ AirPlay กับอุปกรณ์ภายนอก)

Information

หัวข้อ Information มีข้อมูลแจ้งไว้ 3 ข้อ คือ App version (แสดงเวอร์ชั่นของแอพฯ), Device information (ข้อมูลเกี่ยวกับการเชื่อมต่อกับเน็ทเวิร์ค และเวอร์ชั่นของเฟิร์มแวร์), Rename device (เปลี่ยนชื่อของ I15 Prisma MK II)

ภาคเพาเวอร์แอมป์ และการแม็ทชิ่งกับลำโพง

ในเอกสารระบุสเปคฯ ของแอมป์ตัวนี้มีข้อมูลอยู่แค่อย่างเดียวที่พอจะนำมาใช้ในการประเมินการแม็ทชิ่งกับลำโพงได้ นั่นคือข้อมูลที่เป็นตัวเลข ‘Output powerที่ระบุไว้ว่าให้กำลังขับข้างละ 60W ที่โหลด 8 โอห์ม และเพิ่มขึ้นเป็น 100W เมื่อโหลดลดลงมาอยู่ที่ 4 โอห์ม แสดงว่ามีภาคเพาเวอร์แอมป์ของ I15 Prisma MK II ตัวนี้มีกำลังสำรองอยู่ในตัวประมาณ 67%

ภาคขยายของเพาเวอร์แอมป์ในตัว I15 Prisma MK II ทำงานในโหมด class-D โดยใช้โมดูลของ Hypex UcD102 เป็นศูนย์กลาง โดยมีภาคเพาเวอร์ซัพพลายแบบสวิทชิ่งที่วิศวกรของ Primare ออกแบบขึ้นมาเองโดยเฉพาะ ให้สปีดการตอบสนองที่เร็วทันกับการทำงานของวงจรขยายในโมดูล UcD102 พร้อมทั้งมีคาปาซิเตอร์เข้ามาช่วยเก็บประจุสำหรับป้อนให้กับภาคขยายได้ทันกับความต้องการของสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ฉับไวและรุนแรง

หลังจากทดสอบจับลำโพงที่มีอยู่ในห้องฟังในตอนนั้นเข้ากับอินติเกรตแอมป์ของ Primare ตัวนี้ พบว่ามีอยู่ 3 คู่ ที่ให้ผลลัพธ์ออกมาน่าสนใจ คู่แรกคือ Totem Acoustics รุ่น The One ซึ่งรองรับกำลังขับสูงสุดได้ 120W ที๋โหลด 4 โอห์ม ใกล้เคียงกับกำลังขับสูงสุด 100W ที่ 4 โอห์ม ของ I15 Prisma MK II คู่นี้จับกันแล้วได้เสียงที่ หลุดตู้ตามมาตรฐานของโทเท็มทุกประการ กำลังขับ class-D ของ I15 Prisma MK II ดันเสียงชิ้นดนตรีและเสียงร้องให้หลุดออกไปลอยอยู่นอกตู้ลำโพงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งเสียงร้องและเสียงดนตรีที่แผ่กระจายออกมายังมีลักษณะที่โปร่ง สะอาด เต็มไปด้วยรายละเอียดตามมาตรฐานของภาคขยาย class-D ระดับไฮเอ็นด์ฯ ทุกอย่าง การจับคู่กับลำโพง The One ของโทเท็มครั้งนี้ ทำให้พอมองเห็นแนวลักษณะ โทนเสียงของอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ออกมาเลาๆ คือมัน (โทนเสียงของ I15 Prisma MK II) ไปได้กับบุคลิกเสียงที่ติดสดกระจ่างของ The One ได้อย่างกลมกลืน ความสามารถในการจ่ายกำลังขับได้เร็วของภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว I15 Prisma MK II ช่วยทำให้โทเท็ม เดอะ วันแสดงความเป็นตัวตนของมันออกมาได้อย่างเต็มที่ ฟังสนุก มีชีวิตชีวา..

ลำโพงคู่ที่สองที่เข้ามารับหน้าที่จับคู่กับ I15 Prisma MK II ต่อจากโทเท็ม The One ก็คือลำโพงตั้งพื้นขนาดย่อมๆ ของ Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW) ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาพบว่า คู่นี้แสดงความแม็ทชิ่งระหว่างกันออกมาได้ชัดเจนมากที่สุด ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาได้ค่าเฉลี่ยที่น่าพอใจในแต่ละคุณสมบัติ ไม่ว่าจะเป็น โฟกัส, ไทมิ่ง, ไดนามิก, ฮาร์มอนิก, เนื้อเสียง และเวทีเสียง เป็นคู่แอมป์+ลำโพงระดับกลางๆ ที่น่าสนใจมากคู่หนึ่งสำหรับคนที่มีห้องขนาด ไม่เกิน 4 x 6 ตรม. รวมถึงคนที่ใช้ห้องรับแขกเป็นห้องฟังเพลงก็ออกมาน่าพอใจมาก ผมทดลองยก I15 Prisma MK II + Classic 8 ออกมาเซ็ตอัพทดลองฟังในห้องรับแขกที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 20 ตรม. เพื่อทดลองฟังเสียงจากวิดีโอคอนเสิร์ตใน YouTube, ฟังซาวนด์แทรคจากภาพยนตร์ใน Netflix และฟังเพลงผ่านการสตรีมด้วยแอพฯ PRISMA พบว่า เสียงที่ออกมามันลงตัวมากๆ เพราะว่าปกติแล้ว การใช้งานลำโพงตั้งพื้นอย่าง Classic 8 คู่นี้ในพื้นที่เปิดโล่งและไม่มีการปรับอะคูสติกใดๆ แบบนี้เสียงที่ออกมามักจะมีลักษณะอึมครึม ไม่เคลียร์เพราะเบสมักจะล้น แต่เพราะโทนเสียงที่เด่นไปทางกลางแหลมมากกว่าทุ้ม (สัดส่วน แหลม/ทุ้ม ประมาณ 60/40) ของแอมป์ตัวนี้มีส่วนช่วยให้โทนเสียงโดยรวมในสภาพการใช้งานแบบนี้มีความโปร่ง กังวาน ไม่หนักทุ้มมากไป เหมาะกับการใช้งานในห้องรับแขกมากเป็นพิเศษ เพราะแม้ว่าโดยรวมจะให้เสียงออกมาโปร่ง แต่ความที่เป็นลำโพงตั้งพื้น จึงทำให้ได้เสียงกลางที่มีมวลหนาเข้ม ฟังแล้วได้ความอิ่มหนา แต่ไม่ทึบเพราะเบสไม่ท่วมล้นขึ้นมากวน แค่ขยับหาตำแหน่งวางนิดหน่อยก็สามารถปรับจูนให้ได้เสียงออกมาน่าพอใจมากแล้วทั้งสำหรับฟังเพลงและดูหนัง

ส่วนคนที่ต้องการฟังเพลงแบบเอาจริงเอาจังกับอรรถรสของเพลง และมีห้องฟังเป็นสัดเป็นส่วนด้วยขนาดพื้นที่ไม่เกิน 4 x 6 ตรม. คุณจะได้เสียงที่มีคุณภาพสูงขึ้นจากแอมป์+ลำโพงคู่นี้ เมื่อทำการเซ็ตอัพตำแหน่งวางลำโพงจนลงตัว..

TakeI15 Prisma MK IIto the limit..!!!

ในช่วงท้ายของการทดสอบ ผมทดลองทำ imposible project! โดยยก I15 Prisma MK II เข้าไปขับลำโพง Dali รุ่น Epikore 3 ที่มีราคาสูงกว่าตัวมันมากถึง 5.6 เท่า.! (I15 Prisma MK II ราคาตัวละ 75,000 บาท ส่วน Epikore 3 ราคาคู่ละ 420,000 บาท) ซึ่งเชื่อว่า คนที่เล่นลำโพงราคาคู่ละเกือบครึ่งล้านบาท คงจะไม่มีใครจับคู่กับอินติเกรตแอมป์ราคาไม่ถึงแสนอย่างแน่นอน แต่หลังจากทดลองจับแอมป์+ลำโพงทั้งสองรุ่นนี้ทำงานร่วมกัน พบว่าผลลัพธ์มันออกมาน่าสนใจมาก คือ จากจำนวน 80% ของเพลงที่ลองฟังผ่านแอมป์+ลำโพงชุดนี้ ซึ่งเป็นเพลงที่ไม่ได้เน้นพลังความถี่ต่ำที่รุนแรงและหนักหน่วง ผมพบว่าแอมป์+ลำโพงชุดนี้มันให้เสียงออกมาดีมาก เสียงกลาง+แหลม ซึ่งเป็นจุดขายของลำโพงคู่นี้ถูกขับดันออกมาได้โดดเด่นมาก แม้ว่าจะยังไม่ ที่สุดของลำโพงคู่นี้ แต่จากการฟังเปรียบเทียบกับตอนที่ขับด้วย Wattson AudioMadison’ + Jeff RowlandModel 555แล้ว ต้องยอมรับเลยว่า อินติเกรตแอมป์ I15 Prisma MK II ตัวนี้ทำได้ถึง 60-70% ของคุณภาพเสียงที่ Madison + Model 555 ทำได้ ซึ่งถือว่าดีเกินคาดมากๆ แล้ว ส่วนที่ I15 Prisma MK II + Epikore 3 ยังสู้ Madison + Model 555 + Epikore 3 ไม่ได้จริงๆ ก็คือคุณภาพเสียงในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มเท่านั้น

เนื่องจากเป็น imposible project! อย่างที่ว่า ผมจึงไม่ขอนำผลการทดลองฟังมาสรุปแต่อย่างใด เพียงแต่ว่า จากการที่ได้มีโอกาสทดลองจับคู่แบบ ข้ามขั้นลักษณะนี้มันทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพของ I15 Prisma MK II ที่สามารถรักษาคุณภาพของเสียงกลางและแหลมให้มั่นคงอยู่ได้แม้ในสภาวะที่ถูกกดดันจากโหลดยากๆ อย่าง DaliEpikore 3ที่มีราคาสูงกว่าเกือบหกเท่า.!!

เสียงของ I15 Prisma MK II

ในตลาดเครื่องเสียงมีอุปกรณ์ประเภท all-in-one integrated ลักษณะเดียวกับ I15 Prisma MK II ตัวนี้อยู่หลายตัว โดยเฉพาะรุ่นที่วางตัวอยู่ในระดับกลางสูง คือในระดับราคาระหว่าง 70,000 – 100,000 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีการแข่งขันสูง ผู้ผลิตแต่ละแบรนด์มีโจทย์ให้ต้องพิจารณาในการออกแบบ all-in-one integrated ระดับนี้มากกว่าระดับที่ ต่ำกว่า 70,000 บาทลงไป และระดับที่ สูงกว่า 100,000 บาทขึ้นไป โจทย์ที่ว่าต้องคาดเดาถึงความต้องการของผู้ใช้ที่อยู่งบประมาณนี้ว่าพวกเขาอยากได้อะไรมากกว่ากัน ระหว่าง ฟังท์ชั่นใช้งาน + ความสะดวกในการใช้งานกับ คุณภาพเสียง

บางแบรนด์อย่าง WiiM ซึ่งทำผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจจะใช้ ราคาเป็นจุดขายมาตั้งแต่แรก พวกเขาจึงโฟกัสไปที่ ฟังท์ชั่นใช้งานมาก่อนเรื่องอื่น ซึ่งถ้าเอาราคาขายมาถ่วงน้ำหนักกับฟังท์ชั่นที่ให้มาก็ต้องบอกว่าเกินคุ้ม ส่วนเรื่องของ คุณภาพเสียงแม้ว่าจะไม่ดีที่สุดในระดับราคานั้น แต่ก็ไม่ถึงกับขี้เหร่ นั่นคือเหตุผลของความสำเร็จที่ล้นหลามของแบรนด์ WiiM ที่ผ่านมา

แต่พอมาถึงระดับราคาที่สูงขึ้นมาถึงระดับกลางๆ คือ 40,000 – 70,000 บาท กลุ่มนี้จะแข่งขันกันอยู่ที่ ฟังท์ชั่นใช้งาน” vs. “คุณภาพเสียงในอัตราส่วนที่สูสีกัน และเมื่อขยับขึ้นมาอีกขั้นคือระดับกลางสูงที่มีราคาอยู่ระหว่าง 70,000 – 100,000 บาท กลุ่มนี้จะเริ่มดันทั้งส่วนของ ฟังท์ชั่นใช้งาน” + “ความสะดวกในการใช้งานและ คุณภาพเสียงให้เขยิบสูงขึ้นกว่าระดับกลางอย่างชัดเจน และ I15 Prisma MK II ของ Primare ตัวนี้ก็อยู่ในระดับกลางสูงที่ว่านี้ ซึ่งหลังจากได้ทดลองใช้งานและทดลองฟังเสียงของ all-in-one integrated ของ Primare ตัวนี้แล้ว ก็ต้องยอมรับว่า พวกเขาตีโจทย์ออกมาได้แตกละเอียด คือ ได้ผลออกมาครบทั้ง ฟังท์ชั่นใช้งาน” + “ความสะดวกในการใช้งาน” + “คุณภาพเสียงโดยทำคะแนนได้สูงลิบทั้งสามด้าน.!!!

หลังจากฟังแบบลำลองในห้องรับแขกติดต่อกันนานสองอาทิตย์จนมั่นใจว่า I15 Prisma MK II ผ่านการเบิร์นฯ ไปแล้ว ผมก็ยกมันเข้าห้องทดสอบเพื่อการเซ็ตอัพและทดลองฟังแบบเอาจริงเอาจัง ซึ่งผมพบว่า I15 Prisma MK II ไปได้ดีมากทั้งกับ Totem AcousticsThe Oneและ Audio PhysicClassic 8ถ้าคิดออกมาเป็นคะแนน ผมให้คู่ของ I15 Prisma MK II + Classic 8 ได้ 9 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 ในขณะที่คู่ I15 Prisma MK II + The One ผมให้ 8.5 คะแนน แพ้อยู่ครึ่งคะแนนเท่านั้น

และจากการทดลองฟังเทียบเสียงของช่องอินพุต LAN + DAC ในตัว I15 Prisma MK II ระหว่างการเล่นผ่านแอพลิเคชั่นของ PRISMA เอง กับใช้โหมด Roon Ready แล้วเล่นไฟล์เพลงจาก Roon Core บน InnuosSTREAM1เป็นทรานสปอร์ต โดยใช้แอพฯ Roon Remote บน iPad ควบคุมการเล่นไฟล์เพลงแล้วให้ I15 Prisma MK II เป็น endpoint ผมพบว่า เล่นโดยให้ระบบเพลย์แบ็คของ Roon ทำหน้าที่เป็นสตรีมิ่ง ทรานสปอร์ต ให้ผลลัพธ์ของเสียงที่ดีกว่าใช้แอพฯ PRISMA อยู่พอสมควร

class-D ที่เสียง ไม่เหมือนclass-D
และ “กับดัก” ของตัวเลข 60W ต่อข้าง..!!!

แอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D เพิ่งจะฝ่าฝันอุปสรรคจนขยับชั้นขึ้นมาถึงระดับไฮเอ็นด์ฯ ได้ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง จนถึงตอนนี้ก็คงต้องยอมรับกันอย่างจริงๆ จังๆ แล้วว่า มีแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D อยู่หลายตัวในปัจจุบันที่ สอบผ่านในแง่ของคุณภาพเสียงที่สามารถต่อกรกับแอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-A/B ได้อย่างสูสี ในขณะที่บางตัวนั้นสามารถ ลอกคราบโทนเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของภาคขยาย class-D ออกไปได้อย่างเกลี้ยงเกลาแล้ว คือถ้าไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า จับปิดตาเดินเข้าห้องฟังแล้วเปิดเสียงให้ฟังเทียบกันโดยไม่บอกใบ้ ก็เชื่อเลยว่า ยากที่ใครจะกล้าฟันธงว่าเสียงที่ฟังอยู่นั้นเป็นเสียงของแอมป์ class-D หรือ class-A/B ซึ่ง I15 Prisma MK II ตัวนี้ก็เป็นแอมป์อีกตัวหนึ่งที่สามารถทำได้ถึงระดับนั้นแล้ว.!!!

แอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ มักจะมี กับดักอยู่อย่างหนึ่งที่ทำให้นักเล่นฯ สับสนและงุนงง สิ่งนั้นก็คือ ตัวเลขกำลังขับที่มักจะระบุมาต่ำกว่าความเป็นจริง ยิ่งถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยกับตัวเลขกำลังขับหลอกๆ ของเครื่องเสียงถูกๆ ที่ระบุด้วยมาตรฐาน PMPO ทะลุขึ้นไปเป็นพันวัตต์ มาเห็นตัวเลขกำลังขับของแอมป์ระดับไฮเอ็นด์ฯ แล้วอาจจะตกใจ ทำไมมันต่ำเตี้ยเรี่ยดินฉะนี้.??

นั่นมันเรื่องของตัวเลข และมาตรฐานการวัดที่ต่างกัน แต่ถ้าคุณวัดประสิทธิภาพทางด้านกำลังขับของแอมป์ด้วยการ ฟังด้วยหูจะพบว่า 1000W PMPO ของแอมป์เหล่านั้น กับ 60W ที่โหลด 8 โอห์ม ของ Primare ตัวนี้มันต่างกันราวฟ้ากับเหว.!!

ผมใช้ลำโพง Totem Acoustics รุ่น The One เป็นลำโพงอ้างอิงส่วนตัวมานานนับสิบปี จำเสียงของลำโพงคู่นี้ได้ทุกเม็ด อยากจะกระซิบว่า ตอนทดลองใช้ I15 Prisma MK II ขับ The One นั้น บอกได้เลยว่า เสียงที่ออกมานั้น มันใกล้เคียงกับเสียงที่ผมเคยได้ยินในอดีต จากการใช้แอมป์ไฮเอ็นด์ฯ class-A/B ตัวละ 2-3 แสนบาท ที่มีกำลังขับข้างละ 120 – 150W ขับมัน.!

เสียงหลุดตู้.? นั่นมันเด็กๆ ไปแล้วสำหรับ The One ถ้าแอมป์เจ๋งจริง มันต้องดันเสียงแต่ละเสียงให้หลุดออกไปจากตัวตู้ของเดอะ วันได้แบบ ครบทั้งตัวซึ่งนั่นเป็นจุดเด่นของ The One เมื่อเทียบกับโมเดล วันเวอร์ชั่นแรก คือไม่ใช่แค่โผล่มาแต่หัวเสียงผอมๆ เรียวๆ พุ่งๆ แต่แอมป์ที่ดีพอจะปลดปล่อยส่วนที่เป็นมวลบอดี้ตามติดออกมากับหัวเสียงที่เป็น attack โดยไม่ขาดตอน จากนั้นก็เป็นฮาร์มอนิกที่แผ่กระจายออกไปโดยรอบตัวเสียงนั้นๆ ซึ่งถ้าแอมป์ตัวไหน ไม่มีความสามารถในการจ่ายกำลังออกมาได้เร็วทันกับสัญญาณส่วนที่เป็นบอดี้และฮาร์มอนิกที่ไหลตามหัวเสียงออกมา จะทำให้เสียงของ The One มีลักษณะบางทันที ซึ่งนั่นไม่ใช่บุคลิกของลำโพง เพราะลำโพงเป็นกลไกที่ต้องอาศัยไฟฟ้าจากแอมป์เข้าไปควบคุม เสียงที่ฉับไว สด ไทมิ่งที่เร็วเป็นธรรมชาติ คือคุณสมบัติที่ดีเยี่ยมของลำโพง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็เป็น ยาขมสำหรับแอมป์ที่มาขับมันเหมือนกัน ดังนั้น ถ้าเอา The One ไปจับกับแอมป์ตัวไหนแล้วเสียงออกมาบาง เสียดแทงหู ก็ขอให้ตำหนิแอมป์ได้เลย..!! ไม่ใช่ความผิดของลำโพง เพราะไม่มีลำโพงคู่ไหนที่ออกแบบมาเพื่อให้ปรับตัวไปตามแอมป์ แต่แอมป์เป็นอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตอบสนองความต้องการของลำโพงทุกรูปแบบ หน้าที่ของมัน (แอมป์) คือต้องสามารถ ตอบสนองกับความต้องการของลำโพงได้ทุกเสี้ยววินาทีโดยไม่มีความผิดเพี้ยนใดๆ ปนออกมา..

อัลบั้ม : Dream with Dean (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Dean Martin
สังกัด : Reprise
TIDAL (https://tidal.com/album/25688984/u)

อัลบั้มนี้บันทึกเสียงร้องของ Dean Martin ออกมาได้ดีที่สุด และเมื่อผ่านมาถึงมือมิกซ์ฯ เขาก็จัดเสียงร้องของดีนให้ลอยเด่นออกมาแบบ ฟูลบอดี้เนื้อมวลอิ่มเข้ม ตัวเสียงมีสันทัดที่กลมกลึงไม่แบน ในขณะที่เสียงดนตรีแบ็คอัพถูกลดบทบาทลงมาเป็นตัวสำรองคอยซัพพอร์ตเสียงร้องอย่างเต็มที่ ทั้งเสียงกีต้าร์, เบส และเปียโน จะถูกมิกซ์มาให้มีลักษณะที่หม่นและเบา โทนออกไปทางดาร์ก ไม่สว่าง ส่งผลให้โทนของเพลงมีลักษณะที่อบอุ่น ละมุนละมัย ซึ่ง The One + I15 Prisma MK II ก็ทำหน้าที่ของมันออกมาได้เที่ยงตรงและซื่อสัตย์อย่างมาก คือมันทั้งสองช่วยกันทำให้โทนของเพลงนี้ออกมาละมุนละมัย นวลเนียน ได้บรรยากาศอบอวล ไม่มีอาการจ้า หรือแห้งหยาบ เลยแม้แต่น้อย.!

ใครที่เคยได้ยินมาว่า ลำโพง Totem เสียงหยาบ และใครที่เคยได้ยินเขาว่ามาว่า แอมป์ class-D เสียงแห้ง ไม่ฉ่ำ ไม่นวล อยากจะขอให้ไปหาโอกาสลองฟัง I15 Prisma MK II ตัวนี้ให้ได้ แล้วคุณจะรู้เลยว่า คำที่เขาว่า class-D เสียงแห้งหยาบ มันเป็นคำกล่าวหาในอดีตที่ผ่านมานับสิบปีมาแล้ว เอามาใช้กับ I15 Prisma MK II ตัวนี้ไม่ได้เลย..

อัลบั้ม : Nameless (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Dominique Fils-Aime
สังกัด : Ensoul Records
TIDAL : (https://tidal.com/album/82811588/u)

มีอยู่หนึ่งผมฟังเพลง Birds ในอัลบั้มนี้บ่อยมาก ช่วงแรกสตรีมฟังจาก TIDAL เมื่อตอนไปเดินงานเครื่องเสียงที่ฮ่องกงช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ผมก็เลยซื้อแผ่นซีดีอัลบั้มนี้มาด้วย ตอนนี้ริปเป็นไฟล์ WAV 16/44.1 เก็บไว้ใน NAS แล้วสตรีมมาฟัง เสียงออกมานิ่งและ solid กว่าฟังจาก TIDAL ซึ่งผมสังเกตว่า ตอนสตรีมมาจาก TIDAL เสียงมันมีลักษณะ glow คือคล้ายๆ กับแต่ละตัวเสียงมันมีรัศมีฟุ้งๆ ออกมาจากบอดี้ของมันด้วย คือฟังคล้ายกับว่ามันมีความกังวานมากกว่าฟังจากไฟล์ WAV ที่ริปมาจากแผ่นซีดี

เสียงทุ้มจากเพลง Birds ทำให้รู้ถึง ขีดจำกัดของแม็ทชิ่งที่ The One + I15 Prisma MK II สามารถทำได้ คือ จริงๆ แล้ว การถ่ายทอดเสียงทุ้มของเพลง Birds ให้ full เต็มในห้องฟังของผมไม่ใช่ปัญหาของ The One เพราะเคยได้ยินแบบนั้นมาแล้ว แต่เมื่อจับกับ I15 Prisma MK II แล้ว มันได้ส่วนของหัวเสียงและบอดี้ออกมาดี แต่ส่วนของปลายเสียงที่เป็นฮาร์มอนิกนั้น ลำโพงเก็บตัวเร็วไปหน่อย เพราะความไวของ The One อยู่ที่ 87dB กับโหลด 4 โอห์ม เมื่อผมลองคงที่ทุกอย่างในซิสเต็มเอาไว้รวมทั้ง I15 Prisma MK II แล้วเปลี่ยนลำโพงเป็น Audio PhysicClassic 8ลงไปแทนที่เดอะ วัน เปิดเพลง Birds เพลงเดิม ผลปรากฏว่า เสียงทุ้มของเพลงนี้มีขนาดที่ขยายใหญ่ขึ้นและขยายส่วนฐานเสียงกับฮาร์มอนิกด้านต่ำออกมามากขึ้นจน full เต็มห้อง ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเสียงทุ้มเท่านั้น เสียงร้องก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วย (ความไวของ Classic 8 อยู่ที่ 89dB, อิมพีแดนซ์ 4 โอห์ม เท่ากัน)

แอมป์ตัวเดิม เปลี่ยนลำโพง ฟังเพลงเดิม ได้เสียงแผ่ขยายออกมาเต็มห้องมากขึ้น สเกลเสียงใหญ่ขึ้น และได้ความถี่ออกมามากขึ้น (Classic 8 ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 34Hz – 30kHz) พอจะสรุปได้ว่า ลำโพงที่มีอิมพีแดนซ์ 4 โอห์ ไม่ใช่ปัญหาของแอมป์ I15 Prisma MK II ตัวนี้ แต่ปัจจัยที่มีผลกับมันคือ ความไวที่ดูเหมือน I15 Prisma MK II จะชอบลำโพงที่มีความไวตั้งแต่ 89dB ขึ้นไป

อัลบั้ม : Beauty Within (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Edward Simone Group
สังกัด : Audioquest

อัลบั้มนี้เป็นผลงานการบันทึกเสียงของ Joseph Marciano ตั้งแต่ ปี 1993 บนมาสเตอร์เทป Ampex 499 ที่ความเร็ว 30 นิ้วต่อวินาที โดยใช้เทปเรคคอร์เดอร์ของ Studer แบบ 2 แทรค รุ่น A-80 บันทึกเสียงแบบ Live direct to 2-track master ยกเว้นเพลง ‘In Search Of Power’ (แทรคที่ 4 ในอัลบั้ม) ที่ใช้วิธีบันทึก overdubbing เพียงเล็กน้อยผ่านเครื่องบันทึกเสียง Studer แบบ 24 แทรค รุ่น A-800 ซึ่งถ้าฟังแบบแยกแยะ+วิเคราะห์ จะพบว่า แทรค ‘In Search Of Powerให้การแยกแยะชิ้นดนตรีที่ชัดเจนมากกว่าแทรคอื่นๆ ที่บันทึกแบบ Live to 2-track ที่มีจุดเด่นในแง่ความกลมกลืนที่ดีกว่า

Classic-8 + I15 Prisma MK II สามารถแยกแยะให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการบันทึกเสียงแบบมิกซ์สดผ่านเครื่องบันทึก 24 แทรค กับใช้ไมโครโฟนแค่ 2 ตัว บันทึกสดด้วยเทคนิค Live to 2-track ลงมาสเตอร์ออกมาได้อย่างชัดเจน สังเกตได้จากเสียงเปียโนและเสียงกลองในแทรค In Search Of Power ที่แยกแยะรายละเอียดออกมาได้เคลียร์กว่าแทรคอื่นๆ และยังให้ไทมิ่งของสปีดที่ฉับพลันได้ดีกว่าด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้นปรากฏออกมาภายใต้สนามเสียงที่แผ่เต็มห้อง ภายใต้ความสามารถของการตอบสนองความถี่ที่ครบ ทั้งช่วงกลางแหลมและช่วงเบสที่ให้ออกมาได้เต็มพอกัน

ความสลับซับซ้อนของเลเยอร์ดนตรีที่ประเดประดังในอัลบั้ม Beauty Within นี้ทำให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมและจัดจ่ายกำลังขับของ I15 Prisma MK II ที่มากพอในการจัดระเบียบให้เสียงดนตรีเหล่านั้นสอดประสานกันได้อย่างเป็นระบบ ไม่มีอาการมั่วหรือหลุดคิวเกิดขึ้น ฟังแล้วเพลินมาก.!!

อัลบั้ม : Massenet; Le-cid & Scenes Pittoresques (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Louis Fremaux: conduct, England’s City Of Birmingham Symphony
สังกัด : Klavier Digital

อัลบั้ม : Rachmaninoff: Symphonic Dances, Etudes-tableaux & Vocalise (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Eiji Oue: conduct, Minnesota Orchestra
สังกัด : Reference Recordings

เพลงคลาสสิกแนวโหมโรง (overture) ที่บรรเลงโดยวงคลาสสิกขนาดใหญ่สองชุดนี้ตอกย้ำให้เห็นถึงความสามารถในการใช้งานภายในห้องฟังที่มีพื้นที่อากาศอยู่ที่ 3.6-3.8 x 6.6 x 2.5-3.0 ลบม. ว่า พลังขับ 60W ที่ 8 โอห์ม / 100W ที่ 4 โอห์ม ของอินติเกรตแอมป์ PrimareI15 Prisma MK IIตัวนี้สามารถ จำลอง” (scaling) เสียงของวงออเคสตร้าขนาดใหญ่เข้ามาไว้ในห้องฟังนี้ได้อย่างสบายๆ ขอแค่ลำโพงที่มีความไว ไม่ต่ำกว่า89dB ที่โหลด 4 โอห์ม (ยิ่งเป็นโหลด 8 โอห์ม ยิ่งสบาย!) คุณจะได้ความรู้สึกเหมือนเข้าไปนั่งอยู่ในฮอลล์แสดงสดเลยทีเดียว..!! (ใช้อินพุตสตรีมเมอร์ภายในตัวด้วย)

สรุป

เซอร์ไพร้มาก.!!! ไม่นึกเลยว่า อินติเกรตแอมป์ตัวแบนๆ บางๆ ขนาดหน้าปัด ¾ ของไซร้มาตรฐานของ Primare ตัวนี้จะมีพลังขับที่ อึดถึกได้ถึงขนาดนี้ ไม่นึกจริงๆ ว่ามันจะสามารถจำลองเสียงของวงออเคสตร้าขนาดใหญ่เข้ามาในห้องของผมได้แบบ full scale อย่างนี้ ไดนามิกสวิงไม่มีอั้น ฟังคลาสสิกให้ได้อรรถรสต้องได้เสียงแบบนี้ คือได้วงที่เปิดกว้าง กระจ่างไปทุกองศา และได้ไดนามิกที่สวิงกว้างมากๆ ตั้งแต่ช่วงที่เบาที่สุด (ppp) ของเสียงที่แผ่วผิวไปจนถึงช่วงที่ดังที่สุด (fff) ที่เครื่องดนตรี ทุกชิ้นในวงโหมประโคมขึ้นมาสุดเสียงพร้อมๆ กัน โอ้วว.. ฟังแล้วขนลุกจริงๆ.!!!

ไม่แน่ใจว่า ลักษณะเสียงแบบนี้คือ คุณสมบัติของภาคขยาย class-D ที่เพิ่งถูกเปิดเผยออกมา หรือว่าทาง Primare มีเทคนิคพิเศษในการปรับจูนเสียงของโมดูล NcD จึงให้เสียงออกมายอดเยี่ยมแบบนี้.? หรือว่าเป็นเพราะภาคจ่ายไฟที่พวกเขาออกแบบขึ้นมาใช้กับโมดูลนี้โดยเฉพาะ.?? หรือว่าเป็นทั้งหมดนั้นรวมกัน..???

อย่างไรก็ตาม ถ้ามี I15 Prisma MK II อยู่ในมือ มิใยต้องไปเสียเวลาค้นหาคำตอบว่าเพราะอะไร แต่เอาเวลานั้นไปเอ็นจอยกับเพลงดีกว่าเยอะ.. กรณีที่ยังไม่มีลำโพงและไม่อยากเสียเวลา ถ้าห้องหรือพื้นที่ฟังเพลงของคุณ มีขนาด กว้างxลึก ไม่เกิน 24 ตรม. หรือคิดเป็นพื้นที่อากาศ xx ไม่เกิน 60 ลบม. (4 x 6 x 2.5) แนะนำให้จับคู่กับลำโพง Audio Physic รุ่น Classic 8 เพราะจากการทดสอบคู่นี้แม็ทชิ่งกันดีมาก เล่นได้กับเพลงทุกแนว..

***********************
ราคา : 75,000 บาท / ตัว
***********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. HI-END AUDIO
โทร. 02-101-1988
facebook: @hiendaudiothailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า