รีวิวเครื่องเสียง Sugden Audio รุ่น IA-4 อินติเกรตแอมป์ที่ใช้วงจรขยายแบบ Class-A

ช่วงเวลาใกล้ๆ ปี 1967 ได้มีอินติเกรตแอมป์ทรานซิสเตอร์ที่ออกแบบวงจรขยายแบบ class A เกิดขึ้นมาบนโลก ชื่อรุ่นว่า A21 และมีชื่อยี่ห้อว่า “Richard Allanชื่อเดียวกับผู้ผลิตลำโพงระดับโลกจากประเทศอังกฤษ ซึ่งแอมป์ตัวนี้ได้ถูกเคลมว่าเป็น The ‘WORLD FIRST’ production pure class A transistor amplifier ..!

หน้าตาของ Richard Allan รุ่น A21

เปรียบเทียบกับหลังเปลี่ยนเป็น Sugden Audio A21

ผ่านไปไม่ถึงปี อินติเกรตแอมป์ตัวนี้ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “Sugden Audio A21ตามชื่อของผู้ออกแบบคือ James Edward Sugden

โฉมหน้าของ James Edward Sugden คนออกแบบ

สาเหตุก็เพราะว่าแอมป์ตัวนี้ได้รับความสำเร็จทางการตลาดอย่างสูง มีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ James Sugden ตัดสินใจดึงเอาแอมป์ตัวนี้กลับมาจากแบรนด์ Richard Allan เพื่อเอามาทำเองแบบครบวงจร คือออกแบบ + ผลิต + ทำตลาดเอง

James Sugden ตัดสินใจสร้างโรงงานขนาดใหญ่ขึ้นที่เมือง Cleckheaton ชื่อว่า J.E. Sugden Research & Electronic ซึ่งนอกจากที่นี่จะใช้เป็นอ๊อฟฟิศที่ทำการออกแบบ, พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ และเป็นโรงงานผลิตแอมปลิฟายภายใต้ชื่อแบรนด์ Sugden Audio แล้ว เนื่องจากตัวของเจมส์ ซักเดนเองเขามีพื้นฐานมาจากการออกแบบเครื่องมือวัด (test equipment) ที่นี่จึงถูกใช้เป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์ที่เป็นเครื่องมือวัดค่าสำหรับงานออดิโอไปด้วย แอมป์รุ่นใหม่ที่ออกแบบและผลิตจากโรงงานแห่งนี้ก็คืออินติเกรตแอมป์รุ่น A48 และยังได้ออกแบบและผลิตเครื่องรับสัญญาณวิทยุ (radio tuners) แบบอะนาลอกออกมาอีก 3 รุ่น

จนถึง ปี 1981 โรงงานผลิตแอมป์ Sugden Audio ได้ย้ายมาอยู่ที่เมือง Heckmondwike ไม่ไกลจากโรงงานเดิมมาก โดยรักษามาตรฐานการผลิตที่ ทำด้วยมือ” (handmade) โดยทีมงานดั้งเดิมที่มีอยู่ 6 คนซึ่งอยู่กับบริษัทมาตั้งแต่ต้น ยาวนานมากกว่า 30 ปี นั่นคือตัวการันตีถึงความเชี่ยวชาญของแรงงานเหล่านี้ที่ยังคงยึดแนวทางการออกแบบและผลิตในประเทศอังกฤษทั้งหมดมาจนถึงปัจจุบัน

IA-4 อินติเกรตแอมป์ class-A

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Sugden Audio ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะในโลกใบนี้มีผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงอยู่จำนวนมาก อย่าว่าแต่โอกาสที่จะได้ทดสอบใช้งานเลย แค่รู้จักชื่อและได้เห็นตัวเป็นๆ ก็ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ไม่เคย หลังจากเข้าไปค้นหาประวัติของผู้ผลิตยี่ห้อนี้คร่าวๆ พบว่า Sugden Audio เป็นแบรนด์ขนาดเล็กที่ไม่ได้เน้นตลาดแมส เนื่องจากมีกำลังผลิตต่ำ แต่เมื่อพิจารณาที่ตัวเครื่องรุ่น IA-4 ที่ได้รับมาทดสอบผมพบว่า เนื้องานที่ปรากฏต่อสายตามันไม่ได้ส่อแสดงให้เห็นเลยว่ามาจากโรงงานเล็กๆ ที่มีพนักงานอยู่แค่ไม่กี่คน..

แผงหน้าเรียบง่าย.. แต่ดูดี.!

IA-4 มาในรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมที่มีสัณฐานอวบอ้วน ไม่แบนบางเหมือนอินติเกรตแอมป์ที่มีกำลังขับน้อยๆ ทั่วไป ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีเพราะคนเล่นฯ ในเมืองไทยนิยมแอมป์ที่มีรูปร่างอวบๆ แบบนี้มากกว่าแบบแบนบาง ข้อดีอีกอย่างคือบอดี้ที่สูงและอวบใหญ่จะช่วยให้การระบายความร้อนทำได้ดีกว่าตัวถังแบนๆ ที่ด้านข้างของตัวถังจะมีแผงระบายความร้อน (ฮีทซิ้งค์) ติดตั้งอยู่ทั้งสองข้าง แถมที่แผ่นหลังของตัวเครื่องยังเจาะรูช่วยระบายความร้อนด้วย ซึ่งจำเป็นสำหรับแอมป์ที่ดีไซน์ภาคเอ๊าต์พุตด้วยวงจรขยายแบบ class-A ที่มีความร้อนสูงขณะทำงาน

อินติเกรตแอมป์ตัวนี้ดีไซน์รูปร่างหน้าตามาตามแบบแผนดั้งเดิม คือติดตั้งปุ่มหมุนและปุ่มกดที่ใช้ควบคุมการทำงานของตัวเครื่องไว้บนแผงหน้าทั้งหมด จากซ้ายไปขวาเริ่มด้วย (A) ปุ่มเพาเวอร์ ให้ไว้กดสำหรับเปิด/ปิดเครื่อง ซึ่งอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ใช้ปุ่มนี้ปุ่มเดียวในการเปิดไฟเข้าเครื่องเพื่อเริ่มใช้งาน และกดซ้ำเพื่อตัดไฟเมื่อต้องการหยุดใช้งาน ซึ่งการทำงานของปุ่มเพาเวอร์นี้จะสัมพันธ์กับไฟ LED ที่อยู่ติดกันถัดไปทางขวา (B) ไฟดวงนี้จะสว่างขึ้นเป็นสีฟ้าเมื่อปุ่มเพาเวอร์ถูกกดให้บุ๋มลงไป แสดงสภาวะไฟเข้าเครื่อง การทำงานของปุ่มเพาเวอร์นุ่มนวลมาก ไม่มีอาการกระชากของไฟตอนกดเปิดเครื่อง จึงไม่มีเสียงดังปุ๊ออกไปที่ลำโพง เนื่องจากข้างในมีรีเลย์ช่วยป้องกันลำโพงอยู่ที่เอ๊าต์พุตของแอมป์ หลังกดปุ่มเพาเวอร์ลงไปแล้ว ระบบรีเลย์ภายในจะทิ้งช่วงว่างประมาณ 4-5 วินาทีเพื่อเปิดโอกาสให้วงจรภายในจัดการกับระบบไฟเลี้ยงให้พร้อมใช้งานจริงๆ ก่อนถึงจะมีเสียงรีเลย์ดังคลิ๊กเบาๆ เป็นสัญญาณแสดงให้รู้ว่าภาคเอ๊าตืพุตของ IA-4 พร้อมทำงานแล้ว..

จากการทดลองเล่น ผมพบว่า IA-4 เป็นอินติเกรตแอมป์ที่ยึดถือแนวทางดั้งเดิมในการออกแบบ คือไม่ได้ถูกแปลงร่างเป็น all-in-one อย่างที่หลายๆ แบรนด์นิยมทำ ไม่มีภาค DAC ในตัว มีแต่ภาคโฟโน MM มาให้ เหมือนตั้งใจจะให้ IA-4 มีสถานะเป็น pure analog amplifier โดยคำนึงถึงคุณภาพเสียงมาก่อนความสะดวก หลายๆ จุดที่พบเห็นมันทำให้คิดไปแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น เขามีรีโมทไร้สายมาให้ ซึ่งเป็นรีโมทแบบยูนิเวอร์แซล ใช้ควบคุมเครื่องเล่นซีดีได้ด้วย ซึ่งมีไว้ให้ใช้ควบคุมวอลลุ่มของ IA-4 แต่ถ้าสังเกตว่าที่รีโมทมีปุ่ม Standby สีแดงๆ ตรงมุมขวาบนมาให้ อันนั้นใช้กับ IA-4 ไม่ได้นะครับ เพราะวงจรรีซีฟเวอร์ที่ใช้รับคลื่นจากรีโมทในตัว IA-4 ไม่มีฟังท์ชั่นสำหรับคำสั่ง Standby/Operate มาให้ ซึ่งก็มีผู้ผลิตแอมป์ฯ หลายเจ้าเหมือนกันที่ไม่ติดตั้งภาครับคลื่น IR จากรีโมทสำหรับคำสั่ง Standby/Operate ไว้ในแอมป์ของตน (เท่าที่นึกออกตอนนี้ Accuphase ก็ไม่มี) เพราะผู้ผลิตเหล่านั้นมองว่ามันทำให้เสียงแย่ลง เพราะการติดตั้งวงจรอิเล็กทรอนิคที่ใช้รับคลื่น IR จากรีโมทที่ใช้ไมโครโปรเซสเซอร์ควบคุมการเปิด/ปิดเครื่อง (อาจ) จะทำให้ความถี่สูงระดับเมกกะเฮิร์ตที่เกิดจากการทำงานของไมโครโปรเซสเซอร์หลุดเข้ามารบกวนเสียงได้

ประเด็นนี้บางคนอาจจะมองว่าทางผู้ผลิตประหยัดงบรึเปล่า.? ซึ่งไม่น่าจะใช่ เพราะต้นทุนไม่ได้สูงมาก จะถามว่าระหว่างใส่ฟังท์ชั่น Standby/Operate เข้าไปเพื่อความสะดวกจะทำให้เสียงด้อยลงมากแค่ไหน เมื่อเทียบกับตัดออกไป.? อันนี้ผมตอบให้ไม่ได้เพราะไม่มีผู้ผลิตเจ้าไหนออกแบบแอมป์ที่มีความแตกต่างกันสองแบบนี้ให้ลองฟังเทียบ แต่ดูจากแนวทางการออกแบบของแอมป์ยี่ห้อนี้ก็พอจะเข้าใจได้ว่าพวกเขาซีเรียสกับ คุณภาพเสียงมากซึ่งการตัดฟังท์ชั่นเปิด/ปิดด้วยรีโมทออกไปก็น่าจะเป็นด้วยเหตุผลนี้

นอกจากสวิทช์กดเปิด/ปิดเครื่องแล้ว IA-4 ยังมีฟังท์ชั่น Record/Monitor (C, E) ที่สมัยก่อนมีไว้ให้ใช้บันทึกเสียงมาให้ ซึ่งก็อาจจะเป็นอะไรที่เกินจำเป็นสำหรับยุคนี้ ถัดไปคือปุ่มวอลลุ่มแบบหมุน (D) ที่สามารถควบคุมผ่านรีโมทได้ ที่เหลือถัดไปก็คือช่องรับคลื่นจากรีโมท (F) กับปุ่มหมุนเลือกอินพุต (G)

ทราบมาว่า แผงหน้าของ IA-4 มีสีให้เลือกอยู่ 2-3 สี ตัวที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นแผงหน้าสีดำ ปุ่มกดและปุ่มหมุนเป็นสีเงิน

แผงหลังจัดสรรพื้นที่เป็นระเบียบ

ขั้วต่อสำหรับสัญญาณอินพุต/เอ๊าต์พุตถูกติดตั้งไว้ที่แผงหลังทั้งหมด แต่ละส่วนถูกแยกกลุ่มอย่างเป็นระเบียบ เริ่มจากกลุ่มของสัญญาณอินพุต (H) ที่มีมาให้ทั้งหมด 6 ชุด ผ่านขั้วต่อ RCA ห้าชุด ได้แก่ Phono, Line 1, Line 2, Line 3 และช่อง Tape In ส่วนชุดที่หกใช้ขั้วต่อ XLR สำหรับรองรับสัญญาณอะนาลอกบาลานซ์จากอุปกรณ์ภายนอก กลุ่มที่สองเป็นขั้วต่อสำหรับสัญญาณขาออก (I) ที่มีให้เลือกใช้ 2 ชุด คือ Pre Out กับ Tape Out ซึ่งช่อง Pre Out นั้นเป็นสัญญาณขาออกที่ผ่านการควบคุมความดังของวอลลุ่ม ประโยชน์คือใช้ต่อเข้ากับเพาเวอร์แอมป์จากภายนอกในกรณีที่ต้องการเพิ่มกำลังขับ หรืออยากจะเปลี่ยนแนวเสียงของแอมป์ไปเล่นเป็นแอมป์หลอดหรือแอมป์โซลิดสเตทแบบที่ใช้วงจรขยาย class A/B ที่มีกำลังขับสูงกว่าภาคเพาเวอร์ในตัว IA-4 หรือในกรณีที่คุณเปลี่ยนลำโพงที่ขับยากขึ้น ต้องการกำลังขับที่สูงขึ้น ก็สามารถอัพเกรดกำลังขับเพิ่มขึ้นได้ด้วยการหาเพาเวอร์แอมป์ภายนอกที่มีกำลังขับสูงๆ มาใช้งานร่วมกับสัญญาณปรีเอ๊าต์ของ IA-4 (ทาง Sugden ก็มีเพาเวอร์แอมป์กำลังขับสูงๆ) ส่วนเอ๊าต์พุต Tape Out จะให้สัญญาณขาออกแบบที่มีความแรงคงที่ ระดับความแรงเต็มสเกลของวอลลุ่ม สามารถนำไปใช้เพื่อการบันทึกเสียงได้ หรือจะใช้ส่งไปให้ลำโพงแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์ก็ได้สำหรับคนที่ต้องการเซ็ตอัพระบบเสียงสเตริโอ 2 + .1 แชนเนล

ส่วนขั้วต่อสายลำโพงที่ให้มาก็ใช้ของดี ยี่ห้อ WBT ของเยอรมัน (J) ตัวขั้วมีขนาดใหญ่ โครงสร้างแข็งแรง ส่วนที่เป็นโลหะที่ต้องเชื่อมต่อกับสัญญาณชุบทองเพื่อช่วยให้การส่งสัญญาณเป็นไปด้วยความไหลลื่นไม่สะดุด แยกขั้วต่อมาให้สองชุดสำหรับเชื่อมต่อกับลำโพงแชนเนลซ้ายกับแชนเนลขวา ส่วนเต้ารับสำหรับเชื่อมต่อกับสายไฟเอซีเพื่อนำไฟเอซีเข้าเครื่อง (K) ให้มาเป็นเต้ารับสามขาแยกกราวนด์ สามารถใช้สายไฟอัพเกรดได้ ซึ่งบอกเลยว่า คุณภาพของสายไฟเอซีมีส่วนอย่างมากสำหรับคุณภาพเสียงที่ได้จากแอมป์ตัวนี้ ผมทดลองใช้สายไฟหลายเส้นในการทดลองฟังทดสอบช่วงเกือบเดือนที่ผ่านมา ผมพอใจผลที่ได้จากการจับคู่กับสายไฟรุ่น Signature 1 ของ Life Audio มากที่สุด (REVIEW) ทุกอย่างออกมาลงตัวมาก โดยเฉพาะทางด้านพละกำลัง ซึ่งสายไฟ Signature 1 ช่วยทำให้ตัวเลข 33W ของ IA-4 ตัวนี้เป็นอะไรที่ออกมาเหนือความคาดหมายไปไกล ฟังลืมไปเลยว่ามันระบุกำลังขับไว้แค่ 33 วัตต์.. !!!

Masterclass Series, Masterclass Quality.!

ผู้ผลิตแบ่งผลิตภัณฑ์ของพวกเขาออกเป็น 4 กลุ่ม เริ่มจาก Grande ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์โมโนบล็อกที่มีกำลังขับข้างละ 100W ที่ 8 โอห์ม / 190W ที่ 4 โอห์ม ถือว่าเป็นซีรี่ย์ใหญ่ของแบรนด์นี้ ถัดลงมาก็เป็น A21 Signature Series ซึ่งเป็นเหมือนที่รวมของอินติเกรตแอมป์รุ่น A21 ในตำนานที่สร้างชื่อเสียงให้กับแบรนด์ Sugden ที่ปัจจุบันมีการอัพเกรดขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่น A21SE และมีภาคโฟโนแบบแยกภายนอกรุ่น A21 Stage Two Phono อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย ถัดไปก็เป็นกลุ่มที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลาย คือกลุ่ม Masterclass Series ที่มีทั้งอินติเกรตแอมป์, ปรีแอมป์, เพาเวอร์แอมป์, DAC และแอมป์หูฟัง ซึ่งตัว IA-4 ที่ผมกำลังจะทำรีวิวตัวนี้ก็ถูกจัดอยู่ในกลุ่มนี้ สุดท้ายคือกลุ่ม Sapphire Series ซึ่งเป็นกลุ่มของผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาเพิ่มเติมในส่วนของดีไซน์ class A ในระดับสูงขึ้นกว่าซีรี่ย์ A21 ไปอีกขั้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้กคือปรีแอมป์กับเพาเวอร์แอมป์

IA-4 เป็นอินติเกรตแอมป์ที่อยู่ในกลุ่ม Masterclass Series ถือว่าเป็นรุ่นท็อปในประเภทของอินติเกรตแอมป์ ใช้วงจรขยายภาคเอ๊าต์พุตแบบ class A ให้กำลังขับข้างละ 33 วัตต์ที่ 8 โอห์ม จุดเด่นของแอมป์ตัวนี้อยู่ที่ bandwidth ของความถี่ตอบสนองที่เปิดประตูไว้กว้างสุดขอบสเปคตรัม คือไล่ตั้งแต่ 6Hz ขึ้นมาจนไปไกลถึง 300kHz หรือสามแสนเฮิร์ต..!! แต่ทางทีมออกแบบเลือกตัดความถี่บางส่วนออกไปเพื่อให้ได้ค่าเฉลี่ยของ frequency response ทั้งระบบที่มีความลิเนียร์ดีที่สุด ทำให้ย่านความถี่ที่ถูกกำหนดให้ใช้ในการถ่ายทอดเสียงครอบคลุมอยู่ที่ 14Hz – 200kHz โดยมีอัตราเบี่ยงเบนแค่ +/-1dB เท่านั้น ด้วยสเปคฯ นี้คาดหวังได้เลยว่าปลายเสียงแหลมจะต้องทอดไปได้จนสุดอ็อกเตรป ส่วนด้านทุ้มก็ลงไปได้เกือบถึงก้นบึ้ง ลึกเกินมาตรฐาน 20Hz ที่ใช้ในวงการไฮไฟฯ ลงไปอีก..!!

ในแง่ของการออกแบบวงจร ผู้ผลิตไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรไว้มากนัก บอกแค่ว่า ภาคขยายเอ๊าต์พุตเป็นดีไซน์ class A ที่อัพเกรดขึ้นมาจากรุ่น A21 ตัวตึงของแบรนด์ ด้วยการเพิ่มภาคจ่ายไฟให้ใหญ่ขึ้น ปรับปรุงในส่วนของแคปาซิเตอร์เอ๊าต์พุตที่ให้เสียงนุ่มนวลมากขึ้น ใช้แผงวงจรชุบทองเชื่อมต่อสัญญาณด้วยรีเลย์ทั้งระบบ ใช้อินพุตซีเล็คเตอร์ที่มีความแม่นยำสูง ภาคปรีแอมป์คุณภาพสูง ให้เสียงที่มีทั้งความกระจ่างชัดและเต็มไปด้วยรายละเอียด รวมถึงมิติเสียงทั้งด้านลึกและด้านสูงที่โดดเด่น… แค่นี้ ที่เหลือนอกจากนี้คงต้องไปลองฟังเอาเอง..!

ทดลองแม็ทชิ่ง

ช่วงเวลาขณะที่ IA-4 อยู่ในห้องทดสอบของผม ผมมีลำโพงที่พร้อมให้ทดลองจับคู่กับแอมป์ตัวนี้อยู่ทั้งหมด 4 คู่ ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ ส่วนฟร้อมต์เอ็นด์ผมยืนพื้นด้วยสตรีมมิ่ง โดยใช้ Roon nucleus+ ทำหน้าที่เล่นไฟล์เพลงจาก NAS แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลไปที่ Bluesound NODE เวอร์ชั่นล่าสุดทำหน้าที่เป็น Roon Ready DAC ก่อนจะเชื่อมต่อสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตจาก NODE ไปที่อินพุต LINE 1 (RCA) ของ IA-4 ด้วยสายสัญญาณ Nordost รุ่น Frey 2

ผมเชื่อว่าคุณคงสงสัยว่า กำลังขับ 33 วัตต์ของ IA-4 ขับลำโพงเหล่านี้ออกมั้ย.? จะบอกให้ว่า แอมป์โซลิกสเตทที่ดีไซน์วงจรขยายแบบ class A จะมีพฤติกรรมแบบเดียวกับแอมป์หลอด class A นั่นแหละ คือมักจะทำให้เราประหลาดใจเสมอกับ ลักษณะเสียงที่มันให้ออกมาเมื่อเทียบกับ ตัวเลขกำลังขับที่แจ้งไว้ในสเปคฯ .!!

ผมอยากจะบอกด้วยว่า กำลังขับที่ 33 วัตต์ ของ IA-4 มันมีอิทธิพล มากพอที่ทำให้ลำโพงทั้ง 4 คู่ข้างต้นสำแดงเสียงที่มี ความเป็นดนตรีออกมาให้ผมฟังได้อย่างน่าพอใจ ถึงแม้จะรู้ได้ว่าบางคู่อย่าง Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 กับ KEF Reference 1 Meta จะออกมายังไม่เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ สามารถให้เสียงที่ดีกว่านี้ขึ้นไปได้อีก แต่ถ้าไม่ใช่เพลงที่โหดมากในแง่ที่โชว์ไดนามิกในย่านต่ำที่รุนแรง เสียงที่ IA-4 ผลักดันออกมาจากลำโพงทั้งสองคู่นั้นก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีน่าพอใจมากแล้วสำหรับคนที่ยึดเอาคำว่า ความเป็นดนตรีเป็นเป้าหมายของการฟัง

Audio Physic Classic 8 กับ Usher SD500 เป็นลำโพงสองคู่ที่แม็ทชิ่งกับกำลังขับของ IA-4 มากที่สุดในจำนวนสี่คู่ที่ได้มีโอกาสทดลองนำมาจับคู่กันครั้งนี้ ถ้าห้องฟังของคุณมีขนาดสัดส่วนอยู่ที่ระดับไม่เกิน 4 x 6 ตรม. IA-4 กับลำโพงคู่ใดคู่หนึ่งระหว่าง Classic 8 กับ SD500 จะทำให้คุณฟังเพลงได้อย่างถึงแก่นของเพลงแทบจะทุกแนว กำลังขับของ IA-4 สามารถขุดเอาคุณสมบัติสำคัญของความเป็นดนตรี นั่นคือ ไดนามิกออกมาจากลำโพงทั้งสองคู่นี้ได้อย่างหมดเปลือก ความแตกต่างของเสียงที่ได้จากการขับลำโพงทั้งสองคู่นี้อยู่ที่ บุคลิกเสียงคือถ้าชอบกลางแหลมที่มีรายละเอียดเด่นๆ แนวเสียงโดยรวมเปิดโปร่ง ปลายเสียงแหลมกังวานและเนียนละเอียด เบสไม่เยอะมาก ตัวเลือกที่ตรงประเด็นก็คือ IA-4 บวกกับ SD500 (ทวีตเตอร์ diamond) แต่ถ้าลดรายละเอียดในย่านเสียงกลางและสูงลงมาระดับหนึ่งเพื่อแลกกับปริมาณเสียงในย่านทุ้มก็เลือกคู่ IA-4 บวกกับ Classic 8 (ทวีตเตอร์ soft dome) จะลงตัวกับความต้องการ

เมื่อเปิดฟังด้วยระดับความดังสูงๆ เพื่อเหยียดไดนามิกเร้นจ์ของเพลงคลาสสิกให้แผ่ขยายออกมาได้เต็มสเกลมากที่สุด ผมพบว่า กำลังขับของ IA-3 มากพอที่จะทำแบบนั้นกับ Classic 8 และ SD500 โดยไม่มีผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ปรากฏออกมา แต่กับ Element ‘FIRE’ v2 และ Reference 1 Meta ผมพบว่า ที่ระดับวอลลุ่มสูงๆ กับช่วงโหมของเพลงที่รุนแรง เสียงที่ออกมาจะเริ่มมีลักษณะ เดินหน้า” (forward) เข้ามาหาตัวนิดๆ ปลายเสียงตอนเครื่องสายโหมทั้งวงจะมีอาการกร้าวและเสียดหูผสมออกมาเล็กน้อย แสดงว่าโหลดของลำโพง Element ‘FIRE’ v2 กับ Reference 1 Meta มันหนักเกินกำลังของ IA-4 ไปนิดนึง เพลงที่มีช่วงความดังปานกลางลงไปถึงช่วงแผ่วจะไม่ปรากฏอาการที่ว่านั้น ส่วนเพลงที่ใช้เครื่องดนตรีน้อยชิ้น รวมถึงเพลงสมัยใหม่ตั้งแต่ยุค ’70 มาสอบผ่านทั้งหมด (กรณีเจอกับลำโพงที่โหลดหนักๆ ถ้าเพิ่มเพาเวอร์แอมป์เข้ามาเสริมน่าจะจบ)

สรุปในแง่ พละกำลังของ IA-4 เมื่อประเมินจากการทดลองฟังจากเพลงที่หลากหลาย ผมพบว่า ถ้าจะเทียบกับตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่ดีไซน์ภาคขยายแบบ class B คงจะต้องเอา 5 คูณตัวเลขกำลังขับของ IA-4 เข้าไป นั่นคืออยู่ที่ 150-160W โดยประมาณ หากแต่ว่า ด้วยความที่ภาคปรีและภาคเอ๊าต์พุตของ IA-4 ออกแบบด้วยวงจรขยายแบบ class A มันจึงให้ทั้งสปีด, ความใสของพื้นเสียง และความต่อเนื่องของการสวิงไดนามิกที่เหนือกว่าแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class A/B ที่มีราคาใกล้เคียงกันอยู่พอสมควร

เสียงของ IA-4

อะไรคือความโดดเด่นของแอมป์ class A ? อย่างแรกที่เป็นเหมือนตรายางประจำตัวสำหรับแอมป์ class A ก็คือ โฟกัสของตัวเสียงที่คมชัด ซึ่งเป็นมรรคผลที่ได้มาจากการที่คลื่นเสียงซีกบวกและซีกลบถูกขยายพร้อมกัน ซึ่งเป็นลักษณะการทำงานที่ต่างจากการขยายแบบ class B ที่ทรานซิสเตอร์ที่ใช้ในการขยายสัญญาณจะสลับกันขยายสัญญาณซีกบวกกับซีกลบคนละที ซึ่งแม้ว่าจะได้ข้อดีคือได้กำลังขับที่มากกว่าแบบ class A (เมื่อใช้ทรัพยากรเท่าๆ กัน) แต่ในขั้นตอนการขยายสัญญาณที่สลับไปมาระหว่างเฟสบวกกับเฟสลบจะทำให้เกิดปัญหาสัญญาณซีกบวกกับซีกลบต่อกันไม่สนิท เรียกว่า ‘crossover distortion

เพราะทรานซิสเตอร์เสียเวลาในการสลับขั้วทำให้เกิดการเหลื่อมเวลาตรงตำแหน่งที่เป็นรอยต่อระหว่างสัญญาณซีกบวกกับซีกลบ คำถามคือ ปัญหา crossover distortion ส่งผลอย่างไรกับเสียง.? ถ้าเปรียบเทียบเสียงโน๊ตดนตรีตัวหนึ่งเป็นภาพหนึ่งภาพ เมื่อนำภาพนี้มาแบ่งครึ่งเป็นซีกบวกกับซีกลบสองชิ้น จากนั้นนำภาพทั้งสองชิ้นไปขยายให้ใหญ่ขึ้น และนำกลับมาต่อกันให้เป็นภาพเดิมที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เมื่อภาพทั้งสองชิ้นถูกต่อเข้าด้วยกันไม่ตรงตำแหน่งระหว่างชิ้นบน (บวก) กับชิ้นล่าง (ลบ) ภาพนั้นก็จะเพี้ยนไปจากภาพเดิมก่อนจะนำไปขยายนั่นเอง อีกวิธีคือนำภาพนั้นไปขยายทั้งภาพพร้อมกันโดยไม่ตัดแบ่งเป็นสองส่วน ภาพที่ผ่านการขยายมาก็จะไม่มีปัญหาตรงรอยต่อที่ว่า

ถ้านำรูปแบบการขยายเสียงด้วยวงจรขยายแบบ class A และ class B ไปเปรียบเทียบกับการสแกนภาพที่ใช้ในระบบโฮมเธียเตอร์ก็พอจะเทียบได้ว่า การขยายเสียงด้วยวงจรขยาย class A จะให้ผลแบบเดียวกับการฉายภาพด้วยเทคนิคการสแกนที่เรียกว่า ‘Progressive scanคือสแกนเรียงลำดับไปทั้งภาพจากเส้นแรกไปถึงเส้นสุดท้าย ซึ่งภาพที่ออกมาจะมีความต่อเนื่อง นุ่มนวลตา จะไม่มีปัญหาภาพกระตุกเหมือนการฉายภาพด้วยเทคนิคที่เรียกว่า ‘interlace scanที่แบ่งการสแกนภาพออกเป็น 2 ชุดโดยสแกนสลับเส้นกัน (เส้นคู่หนึ่งชุด, เส้นคี่อีกหนึ่งชุด)

เป็นการยากที่จะชี้ให้เห็นถึงจุดที่เกิดปัญหา crossover distortion ของเสียงที่ได้จากวงจรขยายแบบ class B หรือ Class A/B ด้วยการฟังสั้นๆ เพราะมันเกิดขึ้นเร็วมาก ต้องใช้วิธีฟังเปรียบเทียบกันด้วยระยะเวลาที่นานพอ โดยสังเกตที่โฟกัสหรือความคมชัดของตัวเสียง ซึ่งเสียงที่ได้จากการขยายด้วยวงจรขยายแบบ class A จะให้โฟกัสของตัวเสียงที่ชัดเจนกว่า และเมื่อฟังนานๆ ก็จะไม่เกิดอาการล้าหูซึ่งเป็นผลมาจากประสาทหูถูกกระตุ้นด้วยปัญหา crossover distortion ที่เกิดจากวงจรขยายแบบ class B ที่ต่อเนื่องซ้ำๆ กันไปเรื่อยๆ

อัลบั้ม : Etta (DSF64)
ศิลปิน : Etta Cameron and Nikolaj Hess with Friends
สังกัด : Master Music LTD.

ข้อดีของวงจรขยาย class A จะส่วผลกับคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสกับ ไดนามิกคอนทราสน์” (หรือความต่อเนื่อง ลื่นไหล) ซึ่งเสียงร้องของ Etta Carmeron ในอัลบั้มนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงจุดเด่นทั้งสองข้อนี้ได้ค่อนข้างชัด เมื่อนำมาลองฟังผ่าน IA-4 ผมพบว่า เสียงร้องของ Etta ในเพลง ‘Motherless Childแทรคที่ 7 ในอัลบั้มชุด Etta มันมี ตำแหน่งที่บ่งชี้ได้ชัดเจนมากเป็นพิเศษ ชัดขนาดที่เรียกว่า แทบจะขีดรอบเสียงร้องได้เลย นอกจากนั้น ในแง่ของ ความต่อเนื่องก็เป็นอีกคุณสมบัติที่เป็นเอกลักษณ์ของวงจรขยาย class A ซึ่งส่งผลถึงลักษณะการถ่ายทอด อารมณ์ของนักร้องออกมาพร้อมกับคำร้องแต่ละคำที่เปล่งออกมาจากปาก ผมแทบจะไม่ต้องตั้งใจฟังก็ รับรู้ได้ถึงลักษณะการควบคุมเสียงร้องแต่ละคำได้อย่างชัดเจน เป็นปรากฏการณ์ที่ลึกซึ้งกว่าการ ได้ยินเป็นผัสสะที่แผ่มากระทบโสตโดยไม่ต้องตั้งใจฟัง บางคำร้องจะมีลักษณะของการเน้นน้ำหนักตรงพยางค์แรกแล้วลดเสียงให้แผ่วเบาในพยางค์ถัดมาก่อนจะลากเสียงให้ยาวยืดออกไปก่อนจะผ่อนลมออกมาจากปากอย่างแผ่วเบา อาการเหล่านี้ปรากฏออกมาชัดมาก แทบจะไม่มีอากัปกิริยาไหนของเธอที่หลุดพ้นไปจากการรับรู้เลย ผมสามารถตามติดไปกับเสียงร้องของเธอได้ทุกขณะแบบไม่ต้องเพ่ง มันลอยมาให้รับรู้เอง ไม่มีสะดุดและไม่มีขาดหาย ผลที่ได้รับคือ อารมณ์ของเพลงที่สัมผัสได้อย่างลึกซึ้ง ต่อเนื่อง นิ่งนาน และมั่นคง …

อัลบั้ม : Breaking Silence (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Janis Ian
สังกัด : Analogue Productions

คุณสมบัติที่เด่นมากๆ ของแอมป์ class A ที่ปรับจูนมาดีคือมันให้ ไทมิ่งของเพลงที่ถูกต้องและแม่นยำ โดยเฉพาะ สปีดเร็วๆ ที่ไม่มีอาการหน่วง ซึ่ง IA-4 ตัวนี้มันแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการตอบสนองต่อสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ดีมาก ตั้งแต่จังหวะแรกกระทบ (attack) ของหัวเสียงไปจนถึงบอดี้ของเสียงที่เกิดขึ้น มันมีทั้งความเร็วระดับ snapshot ตรงหัวเสียง และให้น้ำหนักของแรงปะทะของบอดี้ที่เด่นชัด กอปรเป็นบุคลิกเสียงที่ออกไปทาง สดสมจริงซึ่งเป็นลักษณะเด่นของแอมป์ตัวนี้ ใครที่เข้าใจว่าแอมป์ class A จะออกหวาน แช่มช้อย เอื่อยเฉื่อยและช้าๆ เนิบๆ ก็ต้องขอบอกว่านั่นไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงของแอมป์ class A จากประเทศอังกฤษตัวนี้.!

ความสดที่ IA-4 สูบฉีดออกมาทางสปีดและไดนามิกนั้น ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นผลมาจากพื้นฐานของตัวเลขกำลังขับที่ 33 วัตต์ ของมันนี่เอง ซึ่งถ้ามองในแง่ของกำลังขับของแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class A จริงๆ แล้ว ตัวเลข 33W ต้องถือว่าเยอะมาก.! ผมบอกตามตรงว่ารู้สึกแปลกใจด้วยซ้ำว่าพวกเขา (วิศวกรที่ Sugden) ทำได้อย่างไร.?เพราะ ถ้าใครรู้จักและเคยเห็นเพาเวอร์แอมป์ยี่ห้อ Mark Levinson รุ่น ML-2 ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์โซลิดสเตทที่ใช้วงจรขยาย class A ซึ่งแสดงตัวเลขกำลังขับไว้ในสเปคฯ แค่ 25W ต่อข้างเท่านั้น แต่ตัวเครื่องใหญ่โตมโหฬารมาก.! นักเล่นฯ ในอดีตเขาใช้ขับลำโพงแผ่นฟิล์มที่ขับยากๆ กัน เพราะแอมป์มันให้กระแสสูง ผมเคยได้ยินเสียงของแอมป์ class A มาแล้วหลายตัวจึงไม่รู้สึกแปลกใจกับเสียงที่ได้ยินเมื่อเทียบกับตัวเลขกำลังขับของแอมป์ประเภทนี้ ซึ่งจากประสบการณ์ที่มีมา ผมกลับรู้สึกว่าตัวเลข 33 วัตต์ มันค่อนข้างเยอะสำหรับแอมป์ class A ที่มีขนาดตัวถังประมาณนี้

ผมมักจะใช้แทรคที่ 7 เพลง ‘Walking On Sacred Groundทดสอบสมรรถนะของอุปกรณ์เครื่องเสียงในแง่ของการตอบสนองต่อสัญญาณฉับพลัน (transient response) ของเสียง ซึ่งในแทรคนี้มีเสียงกลองสแนร์ที่บันทึกหัวไม้มาได้เร็วและมีน้ำหนักที่ฟังแล้วทำให้นึกถึงเสียงกลองจริงมาก จากการทดลองฟังด้วยแอมป์ IA-4 ตัวนี้มันถ่ายทอดประเด็นนี้ออกมาได้ตามมาตรฐานที่เคยได้ยิน ส่งผลให้ฟังแล้วรู้สึกสนุก ได้จังหวะของเพลงที่แม่นยำ โฟกัสของเสียงคมเป๊ะ.. อิมแพ็คเร็ว คม และกระชับ น่าพอใจมาก.!

อัลบั้ม : Cinema Collection (DSF64)
ศิลปิน : Anastasia Chebotareva – violin
สังกัด : King Records

อัลบั้ม : Schubert – Death And The Maiden (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : English Chamber Orchestra / Jeffrey Tate – conductor
สังกัด : EMI/Angel Records

พูดถึงแอมป์ class A ต้องคู่กับเพลงคลาสสิกครับ.! เพราะตามทฤษฎีแล้ว วงจรขยายแบบ class A จะให้ ความต่อเนื่องได้ดี เสียงของเครื่องดนตรีประเภทที่เกิดจากการสี, เป่า และร้อง จะมีความลื่นไหลมากเป็นพิเศษ ซึ่งจากการทดลองฟังเสียงไวโอลินของ Anastasia Chebotareva ในอัลบั้มชุด Cinema Collection ผมก็ได้ยินอะไรแบบนั้น คือเสียงไวโอลินในอัลบั้มนี้ออกมาพลิ้วและใสลอยมากเป็นพิเศษ ลีลาการสีของอะนาสตาเซียก็ไหลลื่น ฟังเพลิน ในขณะที่อัลบั้มชุด Death And The Maiden ซึ่งเป็นงานประพันธ์ของ Schubert นั้นจะให้ลีลาอารมณ์ของเพลงที่รุกเร้าและเด็ดขาดมาก

อัลบั้ม : How Long Has This Been Going On? (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Sarah Vaughan w. Oscar Peterson Quartet
สังกัด : Pablo Records

คำกล่าวที่ว่า ช่วงปี 1970 -1980 เป็นปีทองของวงการเพลงน่าจะมีส่วนจริงอยู่มาก เพราะหลายๆ อัลบั้มที่ออกมาในช่วงปี ’70 – ‘80 เป็นงานเพลงที่ดีเยี่ยมทั้งทางด้านสาระของเพลงและเพอร์ฟอมานซ์ของศิลปิน ซึ่งหนึ่งในนั้นต้องนับเอาผลงานของ Sarah Vaughan ชุดนี้รวมไว้ในนั้นด้วย

ถ้าเป็นนักฟังเพลงแนวแจ๊สและคลาสสิกจะรู้ว่า เพลงสองรูปแบบนี้เขาวัดกันที่เพอร์ฟอมานซ์ของศิลปินในการ interpret หรือตีความเป็นสำคัญ เพราะเพลงที่นำมาเล่นกันเกือบทั้งหมดเป็นเพลงมาตรฐานที่มีศิลปินนำไปขับร้องและบรรเลงกันมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุนี้ เพลงชื่อเดียวกัน เนื้อเดียวกัน แต่ต่างวงต่างศิลปินเอาไปเล่น ลีลาของเพลงก็จะออกมาต่างกัน บางเวอร์ชั่นอาจจะมีท่วงทำนองที่ละม้ายของเดิม แตกต่างกันในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในขณะที่บางเวอร์ชั่นฉีกออกไปคนละแนวแบบจำของเดิมไม่ได้ก็มี เมื่อมองในมุมนี้ จะเห็นว่า แต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ถูกตีความแปลกหูออกไปจากที่เคยได้ยินในหลายๆ เวอร์ชั่นที่ผ่านมา แต่สิ่งที่เป็นไฮไล้ท์สำหรับอัลบั้มนี้อยู่ที่เสียงร้องของ Sarah Vaughan ที่มีทั้งพลังและเทคนิคสารพัดแบบนักร้องรุ่นใหญ่ และเมื่อมาผสมกับทักษะฝีมือของศิลปินทั้ง 4 ที่เล่นแบ็คอัพให้ ผลรวมจึงออกมาน่าฟังและได้อรรถรสแบบเข้มๆ ถึงใจมาก ใครที่ชอบเพลงแนวสแตนดาร์ดแจ๊ส แนะนำให้หามาลองฟังกัน

คุณภาพเสียงที่ได้ยินจากอัลบั้มนี้ถือว่าอยู่ในระดับอ๋อง ซึ่งนับว่าเป็นโชคดีของวงการเพลงที่อัลบั้มนี้มาถือกำเนิดในปี 1978 ซึ่งเป็นยุคที่เทคโนโลยีการบันทึกเสียงด้วยมาตรฐานอะนาลอกกำลังเบ่งบานเต็มที่ ทำให้ซาวนด์เอนจิเนียร์ Val Valentin สามารถใช้เครื่องไม้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการเก็บเกี่ยวรายละเอียดของบรรยากาศการบรรเลงแต่ละเพลงมาได้อย่างหมดจด เมื่ออัลบั้มนี้ถูกนำมาเพลย์แบ็คผ่านแอมป์ class A อย่าง IA-4 ส่งออกลำโพง Totem Acoustic รุ่น Element ‘FIRE’ v2 สิ่งที่พุ่งผ่านลำโพงออกมาจึงไม่มีอะไรน้อยไปกว่าคำว่า มหัศจรรย์เหมือนยกวงมาร้องและเล่นกันในห้องฟังกระนั้น.!!

ความมหัศจรรย์ที่ผมกล่าวถึงข้างต้นมันหมายรวมถึงลักษณะของเสียงที่มีความสด มีพลัง มีชีวิตชีวา ทุกเสียงที่ได้ยินมันเหมือนกับกำลัง เกิดขึ้นในห้องฟังของผม ณ เวลานั้น คุณสมบัติทางด้านไดนามิกที่เยี่ยมยอดของอัลบั้มนี้มันสะท้อนถึงสมรรถนะในการตอบสนองกับสัญญาณฉับพลันที่ดีมากๆ ของแอมป์ตัวนี้ ซึ่งแนวทางของ IA-4 มันแม็ทชิ่งกับลักษณะการออกแบบของ Element ‘FIRE’ V2 มาก เพราะไดเวอร์ของ Element ‘FIR’ v2 ต่อตรงเข้ากับแอมป์โดยไม่มีเน็ทเวิร์คคั่น ถ้าเจอกับแอมป์ที่ตอบสนองสัญญาณฉับพลันได้เร็ว ไม่มีอาการหน่วงหรือดีเลย์ (ซึ่งก็คือจุดเด่นของแอมป์ class A) คุณสมบัติของเสียงที่ได้กลับมาก็คือ ไดนามิกที่สวิงได้กว้าง ตั้งแต่ระดับที่เบามากๆ (micro dynamic) ขึ้นไปจนถึงระดับที่ดีมากๆ (peak dynamic) และเมื่อความฉับพลันกับไดนามิกที่เปิดกว้างมาผนวกรวมกัน ผลลัพธ์ก็คือ ความสดของเสียงที่ให้ไทมิ่งที่แม่นยำสมจริง และเมื่อได้ไทมิ่งที่ถูกต้องแม่นยำ ผลสรุปสุดท้ายที่ตามมาก็คือ ความเป็นดนตรีนั่นเอง..!!!

สรุป

ผมชอบซิสเต็มที่ดูเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ด้วยเหตุนี้ อินติเกรตแอมป์จึงเป็นเป้าหมายหลักในการจัดชุด และน่ายินดีที่พบว่าอินติเกรตแอมป์ยุคสมัยนี้มีความเพรียบพร้อมอย่างมาก คุณสมบัติครบถ้วนทั้งทางด้านคุณภาพเสียง, ความการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ในซิสเต็ม และถ้าเป็น IA-4 ตัวนี้มันยังรวมไปถึง พละกำลังที่มากพอสำหรับลำโพงระดับกลางๆ อีกด้วย

การออกแบบวงจรขยายแบบ class A ให้เสียงที่วิเศษมาก มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น 40-50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันความวิเศษของ class A ก็ยิ่งแสดงตัวออกมาเด่นชัดมากขึ้น เมื่อการออกแบบลำโพงได้รับการพัฒนามากขึ้น ผนวกกับคุณภาพของแหล่งต้นทางที่ให้สัญญาณอินพุตที่ดีขึ้น มีความแรงของเกนสัญญาณสูงขึ้น (S/N ratio สูงขึ้น) เหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้คุณสมบัติของแอมป์ class A ปรากฏชัดเจนและโดดเด่นออกมามากขึ้น ผมรู้สึกแฮ้ปปี้มากกับการทดสอบ IA-4 ครั้งนี้ เป็นการทดสอบที่รู้สึกเพลิดเพลินไปกับการฟังเพลงซะมากกว่า ใครที่ยังไม่เคยสัมผัสกับแอมป์ที่ออกแบบภาคขยายแบบ class A มาก่อนควรจะหาโอกาสสัมผัสให้ได้ เพราะไม่ว่าคุณจะ อ่านมามากแค่ไหนก็ไม่เท่ากับได้มีโอกาส ฟังด้วยหูของตนเองเพียงไม่กี่นาที แล้วคุณจะตะหนักว่า สวรรค์มีจริง..!!!

************************
ราคา : 286,000บาท / ตัว
************************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
Sound Box ติดต่อ
คุณโจ้ 089-920-8297
———-
ตัวแทนจำหน่าย
Direct Sound ติดต่อ
คุณธงชัย 092-890-4660
คุณเบียร์ 095-559-3990
คุณทราย 083-793-7386
———-
M Sound ติดต่อ
คุณเอ็ม 096-978-7424
———-
HiFi 99 ติดต่อ
คุณนะ 081-999-1699
———-
Inter HiFi ติดต่อ
คุณโมท 094-124-2732
———-
TSV ติดต่อ
คุณท็อป 081-657-3397
———-
Audi Home HiFi ติดต่อ
คุณตั้ม 089-028-7117
———-
Audio Mate ติดต่อ
คุณปัน 081-869-3613
———-
Turntable One ติดต่อ
คุณพิทักษ์ 084-814-9011
———-
HiFi House ติดต่อ
คุณยุทธ 083-636-4447

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า