ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา คำถามยอดฮิตที่ผมได้รับบ่อยมากที่สุด คือ “เครื่อง xxx ตัวนี้คืออะไร.? มันทำอะไรได้บ้าง.?” ซึ่งเป็นคำถามที่เกิดขึ้นหลังจากยุค Music Streaming นี่เอง เหตุก็เพราะว่า อุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทมิวสิค สตรีมมิ่ง (ที่เรียกสั้นๆ ว่า “สตรีมเมอร์“) เป็นอุปกรณ์เครื่องเสียงที่อาศัยการทำงาน 2 ส่วน ร่วมกัน นั่นคือ “ส่วนของฮาร์ดแวร์” ก็คือตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้อลูบคลำได้ กับอีกส่วนที่เรามองไม่เห็น นั่นคือ “ส่วนของซอฟท์แวร์” ซึ่ง “หน้าที่” หรือ “ความสามารถ” ของสตรีมเมอร์แต่ละตัวจะมีความแตกต่างกันมากหรือน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับส่วนของซอฟท์แวร์ที่ใช้ในแต่ละเครื่องนี่แหละ.!
ดังนั้น ถ้าพิจารณาเฉพาะใช้สายตามองจากรูปร่างหน้าตาภายนอกจะ “ไม่” อาจประเมินสมรรถนะของสตรีมเมอร์ตัวนั้นได้อย่างครบถ้วน ถ้าอ่านจากสเปคฯ หรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ผู้ผลิตแจกแจงไว้ในเว็บไซต์ ก็อาจจะพอทราบแค่ “คร่าวๆ” ว่าอุปกรณ์สตรีมเมอร์ตัวนั้นทำอะไรได้บ้าง.? แต่ถ้าจะให้รู้ชัดๆ ไปเลยว่า ไอ้ที่ว่า “ทำได้” นั้น มัน (สตรีมเมอร์ตัวนั้น) ทำได้มากแค่ไหน.. ถ้าจะเอาให้รู้กันถึงระดับนั้น คุณก็ไม่มีทางอื่นนอกจากทดลองใช้งานมันจริงๆ เท่านั้น..!!!
ผลิตภัณฑ์ที่ผมจะทำรีวิวครั้งนี้มีชื่อยี่ห้อว่า Bluesound ส่วนชื่อรุ่นคือ NODE เจนเนอเรชั่นล่าสุดที่มีนิคเนมว่า ‘New NODE‘ แต่ในรีวิวครั้งนี้ผมจะเรียกสั้นๆ ว่า Bluesound NODE นะ ถือว่ารู้กัน..
รูปลักษณ์ที่ “สวนทาง” กับสมรรถนะที่แท้จริง..!
อย่าให้รูปร่างภายนอกของ Bluesound NODE ตัวนี้หลอกคุณได้.! แม้ว่าสัดส่วนของมันจะแลดูเล็กกระทัดรัด แถมแบนบาง เรียบโล่ง เพราะไม่มีปุ่มปรับอะไรมากมายให้เห็น ซึ่งนั่นคือส่วนของฮาร์ดแวร์ที่ถูกออกแบบให้ดูเรียบง่าย แต่จริงๆ แล้ว ความเรียบโล่งเป็นแค่เปลือกนอก แต่ความสามารถของ Bluesound NODE เวอร์ชั่นล่าสุดที่บางคนเรียกว่า “New NODE” ตัวนี้มันถูกซ่อนอยู่ในรูปของ “ซอฟท์แวร์” ซึ่งฝังอยู่ในชิปโปรเซสเซอร์ ARM Cortex A53 ที่มีประสิทธิภาพในการประมวลผลสูงมากระดับ Quad-Core 1.8GHz x4 ที่ติดตั้งอยู่บนแผงวงจรภายในตัวเครื่อง..!!!
แผงหน้าเครื่องที่สูงแค่ 4.6 ซ.ม. มีเพียงไฟแอลอีดีดวงเล็กๆ ดวงเดียวที่แสดงสถานะการทำงานของตัวเครื่องด้วยการกระพริบเป็นสี หรือสว่างขึ้นมาเป็นสีต่างๆ ที่มีความหมายเหล่านี้
นอกจากไฟ LED ดวงนี้แล้ว บนแผงหน้ายังมีรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 3.5mm มาให้หนึ่งช่อง ที่ด้านบนของตัวเครื่องจะเป็นจอแสดงผลขนาดใหญ่ที่สามารถสั่งงานด้วยวิธีสัมผัสลงไปบนหน้าจอโดยตรงได้ ซึ่งบนจอรองรับหน้าที่อยู่ 2-3 อย่างคือ เลือก presets, ปรับวอลลุ่ม และควบคุมการเล่นไฟล์เพลงด้วยการสั่งข้ามไปแทรคหน้า/ถอยไปแทรคที่ผ่านมาแล้ว
ขั้วต่อ In/Out
ถ้าเข้าใจสถานะของ Bluesound NODE ก็จะรู้ได้ว่า ขั้วต่อแต่ละชุดของ NODE ใช้งานอย่างไร.? อันดับแรกคือ Bluesound NODE มีสถานะเป็น music streamer ที่มี DAC ในตัว มันจึงมีช่องทางสำหรับสัญญาณอะนาลอกขาออกมาให้ โดยปล่อยสัญญาณออกมาทางขั้วต่อ RCA (1) ส่วนสัญญาณอินพุตมีช่องทางขาเข้ามาให้เลือกใช้ทั้งหมด 3 ช่องทางที่เป็นแบบ “ใช้สาย” ได้แก่ช่อง Optical In/Analog In (5), ช่อง Ethernet (8) และช่อง HDMI eARC (10) ส่วนอินพุตที่เป็นแบบ “ไร้สาย” ก็มีการเชื่อมต่อผ่านคลื่น Bluetooth กับผ่านคลื่น WiFi มาให้อีกสองช่องทาง
นอกจากนั้น Bluesound NODE ยังมีสถานะเป็น ‘Network Bridge‘ คือสามารถดึงสัญญาณเสียงดิจิตัล PCM ที่รับเข้ามาทางอินพุต Ethernet หรือ HDMI eARC ไปส่งออกทางช่อง Coaxial Out (3), ช่อง Optical out (4) และส่งออกทางช่อง USB (9) ได้ด้วย พูดง่ายๆ ก็คือ คุณสามารถใช้ Bluesound NODE ให้ทำหน้าที่เป็น file transpot เพื่อป้อนสัญญาณดิจิตัล PCM ให้กับ external DAC รุ่นเก่าๆ ที่ไม่มีอินพุต LAN (Ethernet) นั่นเอง
ช่อง USB type A (9) มีอยู่แค่ช่องเดียว แต่ทำหน้าที่ถึง 2 อย่าง คือเป็นได้ทั้ง ‘USB Input’ คือดึงไฟล์เพลงจากแฟรชไดร้–ยูเอสบี หรือจากฮาร์ดดิส–ยูเอสบี เข้ามาเล่นก็ได้ หรือจะทำหน้าที่เป็นช่อง ‘USB Out’ เพื่อส่งออกสัญญาณ PCM ไปที่ DAC ภายนอกก็ได้ ซึ่งหน้าที่หลังนี้ คุณต้องเข้าไปปรับตั้งที่เมนู Audio Setting บนแอพ BluOS เพื่อสั่ง bypass ภาค DAC ในตัว Bluesound NODE ออกไป ฟังท์ชั่นนี้ใช้ในกรณีที่คุณต้องการเอาสัญญาณดิจิตัลเอ๊าต์จาก Bluesound NODE ไปอาศัยภาค DAC ภายนอกทำหน้าที่แปลงเป็นอะนาลอกให้นั่นเอง
ใช้งานร่วมกับทีวีในห้องรับแขก
ที่ยอมรับว่าผมรู้สึกเซอร์ไพร้มากก็คืออินพุต HDMI ที่ให้มา ซึ่งผู้ออกแบบตั้งใจให้เอามาใช้รองรับสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จากทีวีโดยเฉพาะ เป็นการยกระดับคุณภาพเสียงของทีวีได้มหาศาล.! แต่คุณต้องปรับตั้งเอ๊าต์พุตที่ทีวีให้ปล่อยออกมาเป็นสัญญาณ PCM เท่านั้นนะ เนื่องจากภาค DAC ในตัว Bluesound NODE รองรับได้เฉพาะสัญญาณ PCM และไม่มีดีโต๊ดเดอร์ Dolby ถ้าทีวีปล่อยออกมาเป็นฟอร์แม็ต Dolby จะไม่มีเสียงออก
สำหรับคนที่ใช้อินติเกรตแอมป์ + ลำโพงในห้องรับแขกเป็นศูนย์กลางของระบบภาพและเสียง คุณจะแฮ้ปปี้กับอินพุต HDMI ที่ให้มาเป็นพิเศษ เพราะเมื่อนำ Bluesound NODE ตัวนี้ไปใช้กับซิสเต็มของคุณ มัน (Bluesound NODE) จะเข้าไปอัพเกรดชุดเครื่องเสียง Audio/Video ในห้องรับแขกของคุณให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมากทั้งทางด้านฟังท์ชั่นใช้งานที่เปิดกว้างมากขึ้น อย่างเช่นสตรีมไฟล์เพลงได้, ดึงเพลงจากฮาร์ดดิสมาเล่นได้, ดึงเสียงจากทีวีมาอัพเกรดคุณภาพด้วยภาค DAC ในตัว NODE ก็ได้ โดยเฉพาะคนที่ใช้ทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android TV อย่าง Sony จะแฮ้ปปี้มากเป็นพิเศษกับการดูหนังผ่าน Netflix และฟังเพลงผ่าน YouTube เพราะ NODE จะช่วยทำให้เสียงของ Netflix และ Youtube มีคุณภาพดีขึ้นมหาศาล..!!
เนื่องเพราะ New NODE มีช่องขาออกของสัญญาณอะนาลอกสำหรับไปต่อเข้ากับลำโพงแอ๊คทีฟ ซับวูฟเฟอร์ (2) มาให้ด้วย อันนี้ก็เหมาะกับการใช้ดูหนังจาก Netflix แม้ว่าจะไม่ใช่การถอดรหัส 5.1 ch จริงๆ แต่เมื่อต่อพ่วงกับแอ๊คทีฟซับวูฟเฟอร์ก็จะช่วยเพิ่มความหนักแน่นขอเสียงขึ้นมาได้มาก
ใช้กับชุดเครื่องเสียงสเตริโอ
ศักยภาพที่แท้จริงของ Bluesound NODE จะปรากฏอย่างเด่นชัดเมื่อเข้าไปอยู่ในชุดฟังเพลงที่เน้นคุณภาพเสียง
ด้วยความสามารถในการสตรีมไฟล์เพลงได้ถึงระดับไฮเรซฯ 24/192 ผนวกกับความสามารถในการรองรับการถอดรหัสและเรนเดอร์ไฟล์ MQA ถึงขั้นสูงสุด (ถอด MQA ได้ถึงระดับ DXD 352.8/384kHz นั่นทำให้ Bluesound NODE มีคุณสมบัติเป็น Music Streamer ระดับไฮเอ็นด์ฯ อย่างสมภาคภูมิ โดยมีแอพลิเคชั่น BluOS มาให้ใช้ในการควบคุมการใช้งาน Bluesound NODE ซึ่งสามารถสั่งงานผ่านอุปกรณ์พกพาได้ หรือจะสั่งจากคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะก็ได้ เพราะ BluOS ที่ว่านี้มีเวอร์ชั่นที่รองรับระบบปฏิบัติการณ์ได้ครบหมดทั้ง iOS, Android, Windows และ MacOS
ใช้งานผ่านแอพ BluOS
สองภาพด้านบนเป็นตัวอย่างลักษณะของหน้า Library ของแอพ BluOS เวอร์ชั่น MacOS ที่เปิดบนคอมพิวเตอร์ MacBook Pro
ส่วนสองภาพข้างบนนี้เป็นตัวอย่างของหน้า Library ของแอพฯ BluOS เวอร์ชั่น iOS ที่เปิดบนสมาร์ทโฟน iPhone 12 เป็นหน้าแอพฯ ที่ใช้เลือกเพลงที่จะฟังและใช้ควบคุมการเล่นเพลงด้วย
มีเรื่องแปลกเกิดขึ้นอย่างหนึ่ง คือปกติแล้ว ถ้าคุณมีไฟล์ DSF หรือ DIFF เก็บอยู่ใน NAS หรือฮาร์ดดิสที่เก็บไฟล์เพลงของคุณ เมื่อ add ฮาร์ดดิสหรือ NAS เข้ามาใน Library ของแอพ BluOS เมื่อคุณคลิ๊กเข้าไปดูที่หัวข้อ Library เพื่อเลือกอัลบั้มที่จะเล่น คุณจะพบว่า แอพ BluOS จะไม่ดึงเอาไฟล์ DSF หรือ DIFF ขึ้นมาโชว์ให้เห็น สาเหตุก็เพราะว่าแอพฯ BluOS ไม่รองรับการเล่นไฟล์ DSF กับ DIFF โดยตรงนั่นเอง แต่เมื่อผมทดลองใช้แอพฯ เวอร์ชั่น MacOS เปิดบน MacBook Pro ผมพบว่าที่หัวข้อ ‘Playback’ มีฟังท์ชั่นที่ชื่อว่า ‘Enable DSD Playback’ ปรากฏขึ้นมา (ศรชี้สีแดง) ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นที่ทำหน้าที่แปลงสัญญาณ DSD ในไฟล์ DSF/DIFF ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM 24bit เพื่อให้แอพฯ BluOS เอาไปเล่นได้ เมื่อผมลองเปิดใช้งานฟังท์ชั่นนี้ แล้วทดลองเลือกโฟลเดอร์ที่มีไฟล์ DSF64 ขึ้นมา ตัวแอพฯ ได้แสดงข้อความขึ้นมาว่าโฟลเดอร์ที่ผมเลือกได้ถูก add เข้ามาในตัวแอพฯ แล้วและขั้นตอนการแปลงสัญญาณจะถูกดำเนินการ แต่ตัวแอพฯ ไม่แจ้งว่าเก็บไฟล์ PCM 24bit ที่สร้างขึ้นมาไว้ที่ไหน.? ผมพยายามหาก็ไม่เจอ*..??? เป็นไปได้ว่า ฟังท์ชั่นนี้อาจจะรองรับเฉพาะกับระบบปฏิบัติการณ์ Windows ก็เป็นได้..!!
หมายเหตุ :
* ทีแรกผมเดาว่าเขาน่าจะเอาไฟล์ PCM 24bit ที่แปลงออกมาไปไว้ในโฟลเดอร์เดียวกับสัญญาณ DSD แต่ก็ไม่พบ)
** สำหรับคนที่มีไฟล์ DSD อยู่และอยากจะแปลงเป็นไฟล์ FLAC เพื่อใช้เล่นกับ BluOS แนะนำให้ใช้โปรแกรม DSD2FLAC (ลิ้งค์ดาวน์โหลด) เป็นโปรแกรมเวอร์ชั่น Mac ซึ่งจะใช้ได้ดีกว่า
โดยโครงสร้างแล้ว แอพ BluOS ทำหน้าที่เป็นทั้ง app remote ที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลงได้ และยังทำตัวเป็น app control ที่สามารถปรับตั้งพารามิเตอร์การทำงานของตัว Bluesound NODE ได้ด้วย ซึ่งความสามารถในการปรับตั้งทั้งหมดจะถูกเก็บไว้ที่หัวข้อเมนูที่ชื่อว่า “Settings” (ศรชี้ ภาพด้านบน) ในนั้นมีฟังท์ชั่นให้ปรับตั้งได้มากถึง 8 หัวข้อ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม หลักๆ กลุ่มแรกจัดการกับไฟล์เพลงที่ใช้เล่น ประกอบด้วยหัวข้อ Music Library เป็นที่สำหรับกำหนดแหล่งที่มาของไฟล์เพลง อาทิ Network Shares = แชร์ไฟล์เพลงมาจาก NAS ผ่านเน็ทเวิร์ค, Local Shares = แชร์ไฟล์เพลงจากฮาร์ดดิสและทรัมไดร้ กับอีกฟังท์ชั่นคือ Reload artwork กดซ้ำเพื่อแก้ไขเมื่อพบว่าปกอัลบั้มไม่มาปรากฏบนไลบรารี่ ส่วนกลุ่มที่สองเป็นฟังท์ชั่นที่ใช้ปรับตั้งการทำงานทั่วๆ ไปของเครื่องผ่านแอพ อาทิเช่น Sleep timer = เป็นการปรับตั้งเวลาปิดเครื่องอัตโนมัติ ซึ่งเลือกเวลาได้ตั้งแต่ 15 นาที ขึ้นไปจนถึง 90 นาที แบ่งเป็นช่วงละ 15 นาที และ off คือปิดการใช้งานซึ่งเป็นการเปิดเครื่องไว้ตลอดเวลา
กลุ่มที่มีผลกับคุณภาพเสียงคือหัวข้อ Audio ซึ่งในนั้นมีคำสั่งในการเปิดใช้ Tone Control = ปรับตั้งปริมาณทุ้ม–แหลม, Subwoofer = ปรับตั้งจุดตัด crossover ในกรณีที่คุณมีลำโพงซับวูฟเฟอร์อยู่ในซิสเต็ม, Replay-gain = ปรับความดังของแต่ละอินพุตให้ใกล้เคียงกัน, Output Mode = เลือกลักษณะของสัญญาณเสียงขาออกระหว่างสเตริโอ–ซ้าย–ขวา และโมโน, MQA external DAC = เลือกให้ หรือไม่ให้แอพทำการถอดรหัส MQA ซึ่งคุณต้องตั้งเป็น off กรณีที่ external DAC สามารถถอดรหัส MQA ได้ทั้งหมดแบบ full decoder, Output level fixed = เลือกตั้งเพื่อบายพาสวอลลุ่มของแอพฯ BluOS และสุดท้ายคือ Audio clock trim = ต้องสั่งปิดกรณีใช้สัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์จาก BluOS กับ external DAC
ใช้งานผ่านระบบเพลย์แบ็คของ Roon
ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบอินเตอร์เฟซของ Roon หรือมีระบบของ Roon ใช้งานอยู่แล้ว คุณก็สามารถนำ Bluesound NODE ตัวนี้เข้าไปใช้งานเป็น Endpoint ทำหน้าที่เป็น DAC ในระบบของ Roon ได้อย่างกลมกลืนเพราะ Bluesound NODE ตัวนี้มีคุณสมบัติเป็น Roon Ready นั่นเอง ซึ่งผลประโยชน์ที่ได้จากการนำ Bluesound NODE ไปใช้กับระบบสตรีมมิ่งของ Roon ก็คือทำให้คุณสามารถเล่นไฟล์ DSD ผ่านไปใช้ภาค DAC ในตัว Bluesound NODE ได้ ซึ่งถ้าไม่มี Roon แอพลิเคชั่น BluOS จะมองไม่เห็นไฟล์ DSF หรือ DIFF ที่ใช้เก็บสัญญาณ DSD แต่พอนำ Bluesound NODE เข้าไปเสริมเป็น endpoint ของระบบสตรีมของ Roon ระบบเพลย์แบ็คของ Roon จะทำการแปลงสัญญาณ DSD ที่อยู่ในไฟล์ DSF กับ DIFF ให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM ที่ระดับ 176.4kHz ก่อนส่งให้ภาค DAC ของ Bluesound NODE ทำการแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอก
ภาพด้านบนแสดงหน้าจอแอพ Roon ที่ใช้เล่นไฟล์เพลง DSF โดยมี Bluesound NODE ทำหน้าที่เป็น Endpoint (DAC) ซึ่งในกรอบสีแดงจะเห็นว่า Roon ได้ทำการแปลงสัญญาณ DSD เป็น PCM ให้ โดยเริ่มจากแปลงสัญญาณ DSD64 ของเพลงนี้ให้ออกมาเป็น PCM ที่ระดับแซมปลิ้ง 352.8kHz ก่อน จากนั้นจึงค่อยทำ Sample rate conversion หรือ “ลดขนาด” (downconversion) ลงมาอยู่ที่ 176.4kHz ซึ่งเป็นระดับสูงสุด (สำหรับฐาน 44.1kHz) ที่ “อินพุต” ของภาค DAC ในตัว Bluesound NODE ยอมรับ นอกจากนั้น เพื่อให้การทำ scaling (downconversion) สัญญาณได้คุณภาพเสียงออกมาดีที่สุด โปรแกรม Roon ยังได้ทำการปรับ bit-depth ไปพร้อมกันด้วย คือทำ Bit depth conversion จาก 64bit ลงมาเป็น 24bit
เสียงที่ได้จากการทดลองฟังไฟล์ DSF64 เทียบกับไฟล์ WAV 16/44.1 ที่ริปมาจากชั้นข้อมูล PCM ในแผ่นเดียวกันนี้ (อัลบั้มนี้เป็นแผ่น SACD แบบ dual layer) ผมพบว่า เสียงที่ได้จากการเล่นไฟล์ DSF64 ที่ผ่านการแปลงเป็น 24/176.4 ด้วย Roon ให้คุณภาพสูงกว่าอย่างชัดเจน เนื้อเสียงแน่นและข้นกว่า โฟกัสตรึงแน่นมากกว่าในขณะที่เวอร์ชั่น WAV 16/44.1 จะเปิดโปร่งกว่านิดๆ แต่เนื้อเสียงบางกว่าและเสียงทั้งหมดจะมีลักษณะเดินหน้า (forward) ออกมามากกว่า
เซ็ตอัพเพื่อทดลองใช้งาน และทดสอบฟังเสียง
ผมทดลองฟังเสียงของ Bluesound NODE กับชุดเครื่องเสียงสองชุด ชุดแรกประกอบด้วยอินติเกรตแอมป์หลอด Dared รุ่น Saturn Signature (REVIEW) ขับลำโพง Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW)
แอมป์หลอดตัวนี้กับลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็กคู่นี้ทำงานร่วมกันได้อย่างน่าพิศวง.! ตัวเลขกำลังขับที่ 23 วัตต์ ของแอมป์หลอดตัวนี้สร้างเสียงออกมาในระดับที่เรียกว่าอัศจรรย์เมื่อเจอกับลำโพงคู่นี้ คุณภาพเสียงที่แสดงออกมามันบรรยายความหมายของคำว่า “เป็นดนตรี” ได้อย่างแจ่มแจ้ง มันให้เสียงที่ดึงดูดความสนใจให้อยากฟังไปที่ “เนื้อหาของเพลง” มากกว่าที่จะพยายามค้นหาตำหนิในคุณภาพเสียงที่มันให้ออกมา
เมื่อเพิ่มเติม Bluesound NODE เข้ามาทำหน้าที่เป็นแหล่งต้นทางร่วมกับ Saturn Signature + Classic 8 ผลที่ออกมาคือความลงตัวอย่างมาก คุณสมบัติแรกที่ถูกใจในแนวทางของผมคือลักษณะของเสียงที่ “เปิดกระจ่าง” ตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้ม ซึ่งความกระจ่างที่ว่านี้ทำให้รายละเอียดของเสียงถูกเผยออกมาให้ได้ยินอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในย่านแหลม, ย่านกลาง หรือทุ้ม และไม่ว่าจะเป็นช่วงที่แผ่วเบา (Low Level) หรือช่วงที่โหมกระหน่ำ (Peak) ก็ยังสัมผัสได้ถึงตัวตนของแต่ละชิ้นดนตรีที่ประกอบอยู่ในแต่ละวินาทีของเพลงที่ชัดเจนไม่ต่างกัน ส่วนอีกคุณสมบัติที่มีส่วนมากกับความเป็นดนตรีที่ Bluesound NODE ถ่ายทอดออกมานั่นคือ “ไทมิ่ง” ของเสียงที่ส่งผลให้ “จังหวะ” ของแต่ละเพลงที่ฟังมีความแม่นยำและคงเส้นคงวาไปตลอด จังหวะจะโคนในการรับ–ส่งของแต่ละโน๊ตเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มั่นคง สะท้อนว่าสัญญาณ clock ที่ใช้ควบคุมระบบการเล่นไฟล์เพลงต้องมีประสิทธิภาพและความแม่นยำสูงเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
หลังจากทดลองฟัง Bluesound NODE กับชุด Saturn Signature + Classic 8 อยู่พักใหญ่ๆ นั้น ผมได้ทดลองเปลี่ยนแอมป์และลำโพงที่มีอยู่ในห้องฟังไปเรื่อยๆ เพื่อตรวจเช็คความสามารถของ Bluesound NODE ตัวนี้ว่ามันจะไปได้ไกลสักแค่ไหน.? ซึ่งผลที่ได้รับมันทำให้ผมรู้สึกทึ่งเมื่อพบว่า สตรีมเมอร์ Bluesound NODE ไปได้กับชุดแอมป์+ลำโพงที่มีราคาสูงกว่าค่าตัวของมันมากหลายเท่าตัว ซึ่งชุดแอมป์+ลำโพงชุดสุดท้ายที่ผมเซ็ตอัพร่วมกับ Bluesound NODE แล้วยังรู้สึกแฮ้ปปี้กับเสียงที่ออกมามากเกินคาดนั่นคือตอนจับกับชุด Accuphase E-4000 + Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 ซึ่งสองตัวนี้ราคาร่วมกันเกินห้าแสนบาท ในขณะที่ Bluesound NODE มีราคาค่าตัวไม่ถึงสามหมื่นบาท..!!
ไปกับ Accuphase E-4000 + Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 ได้เต็มที่มั้ย.? ถ้ามองในแง่ความเหมาะสมในการจัดงบประมาณแม็ทชิ่งก็ไม่ถือว่าเต็มที่ เปรียบเทียบกันแล้ว ตอนจับชุดกับคู่ Dared Saturn Signature + Audio Physic Classic 8 ซึ่งเป็นระดับที่ Bluesound NODE ทำหน้าที่ของมันได้อย่างเต็มที่ เสียงโดยรวมของซิสเต็มออกมา “เต็ม” กว่า แต่เสียงที่ได้ยินจากการจัดเข้าชุด Accuphase E-4000 + Totem Acoustic Element ‘FIRE’ v2 ก็ไม่ได้หลุดออกไปนอกแนวทางเดียวกัน เพียงแต่ว่าในแง่ของมวลเสียงจะไม่อิ่มเข้มเท่าแค่นั้นเอง
แต่ก็ต้องยอมรับว่า การที่จะทำให้ Bluesound NODE เข้าไปทำงานร่วมกับชุดแอมป์+ลำโพงที่มีราคาสูงๆ ได้จำเป็นต้อง “แต่งองค์ทรงเครื่อง” กันพอสมควร ตอนแรกที่ทดลองแม็ทชิ่ง Bluesound NODE เข้ากับชุด E-4000 + Element ‘FIRE’ v2 ผมพบว่า เสียงโดยรวมมันแสดงแววดีออกมาให้ได้ยิน แต่ก็มีอยู่บางจุดที่ฟังแล้วน่าจะจูนให้สมบูรณ์มากขึ้นไปได้อีก จุดแรกที่ผมเห็นและรู้สึกขัดใจตั้งแต่แรกก็คือสายไฟเอซีของ Bluesound NODE ที่ให้มาเป็นสายไฟธรรมดาที่ใช้ขั้วต่อมาตรฐาน C7 แบบสองรูเสียบ ผมจึงทดลองใช้สายไฟของ Nordost รุ่น Purple Flare C7 AC cable เข้าไปแทน ปรากฏว่าช่วยให้เสียงโดยรวมดีขึ้นมากเกิน 20% อย่างแรกคือ “โฟกัส” ของแต่ละเสียงมีความชัดเจนเป็นตัวเป็นตนมากขึ้น พื้นเสียงใสสะอาดมากขึ้น ทำให้รายละเอียดที่ชัดเจนดีมากอยู่แล้วถูกทำให้ดีขึ้นไปอีกขั้น คือรู้สึกได้เลยว่าแต่ละเสียงมีบอดี้ที่ขึ้นรูปเป็นสามมิติมากขึ้น มวลเนื้อเข้มข้นเป็นตัวเป็นตนมากยิ่งขึ้นไปอีก ปลายเสียงก็สะอาดเนียนมากขึ้นด้วย แต่ผลจากการทดลองฟังผมพบว่า การสลับขั้วปลั๊กส่งผลกับเสียงที่ออกมาต่างกัน แนะนำให้ทดลองสลับขั้วตอนเสียบเข้ากับเต้ารับแล้วฟังดู ถ้าเสียบถูกด้านเสียงจะเปิดกระจ่าง เนื้อเนียนสะอาด บอดี้เข้มข้นและให้โฟกัสที่ชัดเจน แต่ถ้าเสียบผิดด้านเสียงจะแบน มิติจะฟุ้งและเบลอ ปลายเสียงจะแข็งกระด้างหู ยิ่งใช้สายไฟเอซีคุณภาพสูงๆ ยิ่งรับรู้ได้ง่าย..
อีกจุดที่ส่งผลกับการจูนเสียงค่อนข้างชัด นั่นคือ สายสัญญาณที่เชื่อมต่อระหว่างเอ๊าต์พุตของ Bluesound NODE กับอินพุตของแอมป์ ซึ่งผมพบว่า Bluesound NODE ถูกชะตากับสายสัญญาณรุ่น Frey 2 ของ Nordost เป็นพิเศษ ซึ่งมันให้ผลลัพธ์ที่ดีน่าพอใจอย่างมากเมื่อเข้ามาอยู่ในชุด E-4000 + Element ‘FIRE’ v2 ทุกเสียงมีความอิ่มเอิบของมวลมากขึ้น ให้แรงปะทะของไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่เด็ดขาดมากขึ้น สปีดของหัวเสียงก็คมและเร็วมากขึ้นด้วย ซึ่งจุดนี้ถือว่าเป็นไฮไล้ท์ เพราะมันส่งผลต่อเนื่องไปถึงความสมจริงของเสียง เมื่อพยายามแยกฟังแต่ละเสียงที่เกิดขึ้นในเพลงที่ฟัง ผมพบว่า การเคลื่อนขยับตัวของแต่ละเสียงมันแยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด รู้สึกได้ถึงความแตกต่างทางด้าน “สปีด” ของการเกิดขึ้นของเสียงที่ต่างกัน แสดงว่า Bluesound NODE ตอบสนองไทมิ่งของเสียงได้เยี่ยมยอดมาก เมื่อเชื่อมต่อสัญญาณเอ๊าต์พุตด้วยสายสัญญาณที่ออกแบบโดยเน้นไปที่สปีดในการถ่ายทอดสัญญาณที่รวดเร็วและแม่นยำมากๆ อย่าง Nordost มันก็เลยให้ผลลัพธ์ที่ไปทางเดียวกันอย่างชัดเจน นั่นคือ สปีดของการตอบสนองกับสัญญาณที่ฉับไว และแม่นยำมากเป็นพิเศษ ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้มันสะท้อนออกมาในแง่ “ความสด” ของเสียงที่ได้ยินแล้วทำให้นึกถึงเสียงจริงธรรมชาติ แสดงถึงประสิทธิภาพของภาค DAC ในตัว Bluesound NODE ที่ออกแบบมาได้ดี*
(* ข้อมูลของผู้ผลิตแจ้งสเปคฯ ของภาค DAC ไว้ที่ 32-bit, 384kHz แต่ไม่ได้บอกว่าใช้ชิปสำเร็จ หรือใช้วิธีเขียนซอฟท์แวร์ลงบน FPGA ซึ่งในเวอร์ชั่นเก่าทาง Bluesound เคยใช้ชิปเซ็ตของ BurrBrown ในขณะที่เวอร์ชั่นล่าสุดนี้ใช้โปรเซสเซอร์ชิปแบบ 4-core ของ ARM Cortex-A53 ซึ่งเป็นไปได้ว่าจะใช้วิธีเขียนซอฟท์แวร์ลงบนชิป)
ช่อง Digital Output ของ Bluesound NODE
Bluesound NODE ตัวนี้ให้ช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตมาทั้งหมด 3 ช่อง คือ coaxial out, optical out และ USB out เพื่อส่งออกไปใช้งานร่วมกับ external DAC ภายนอก ในกรณีที่คุณต้องการ “อัพเกรด” คุณภาพเสียงด้วยภาค DAC ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าภาค DAC ที่อยู่ภายในตัว Bluesound NODE ตัวนี้ ทางเลือกที่ดีสำหรับคุณมีอยู่ 2 ช่องทาง คือเอ๊าต์พุต coaxial กับช่องเอ๊าต์พุต USB ขึ้นอยู่กับว่าภาค DAC ภาบนอกที่คุณเลือกมาอัพเกรดให้อินพุตแบบไหนมา
ผมทดลองฟังเอ๊าต์พุต coaxial กับเอ๊าต์พุต USB เทียบกัน พบว่ามันมีฟังท์ชั่นต่างกันบางจุด และให้เสียงออกมาต่างกันอยู่นิดหน่อย สองภาพด้านบนคือตอนผมเลือกใช้เอ๊าต์พุต USB ของ Bluesound NODE (ศรชี้ รูปบน) เมื่อใช้เอ๊าต์พุตจากช่อง USB ผมสามารถปรับระดับความดังผ่านวอลลุ่มได้จากบนแอพฯ โดยตรงด้วยการสไลด์บนจอ…
เมื่อผมสลับมาใช้เอ๊าต์พุตจากช่อง coaxial โดยเลือกไปที่ Default (ศรชี้สีเขียว ภาพบน) สังเกตว่า เอ๊าต์พุต coaxial จะมีฟังท์ชั่นให้เลือกปรับตั้งมากกว่าเอ๊าต์พุต USB อยู่ 3 หัวข้อ นั่นคือ MQA external DAC (ตั้งให้แอพฯ BluOS ถอดรหัส MQA ให้หรือไม่), Output level fixed (ปิด/เปิดวอลลุ่มปรับความดัง) และ Audio clock trim (เปิด/ปิดฟังท์ชั่นปรับ clock) ซึ่งการปรับตั้งทั้งสามหัวข้อนี้จะส่งผลกับเสียงทั้งหมด ซึ่งในส่วนของการปรับตั้งเกี่ยวกับวอลลุ่มระหว่างเอ๊าต์พุต coaxial กับเอ๊าต์พุต USB มีความแตกต่างกันตรงที่เอ๊าต์พุต USB ไม่สามารถตั้งวอลลุ่มให้เป็น fixed ได้เหมือนกับเอ๊าต์พุต coaxial
ผมเชื่อมต่อสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์พุตทั้งจากช่อง coaxial และ USB ของ Bluesound NODE ไปเข้าที่อ๊อปชั่นการ์ดอินพุตดิจิตัลของ Accuphase รุ่น DAC 50 ด้วยสายดิจิตัลโคแอ็กเชี่ยลของ Illuminati DV70 กับสาย USB ของ Nordost รุ่น Blue Heaven (ภาพบน) และผมพบว่า ทั้งช่อง coaxial และ USB ของ Bluesound NODE ตัวนี้สามารถส่งออกสัญญาณดิจิตัล PCM ได้ถึงระดับ 24/192 และจะทำการถอดรหัส MQA ให้หนึ่งชั้นเมื่อเล่นไฟล์ MQA และคุณเลือกอ๊อปชั่นให้แอพฯ BluOS ถอด MQA ให้ และเมื่อเล่นไฟล์ DSF64 ผมพบว่า ทั้งช่องเอ๊าต์พุต coaxial และ USB ของ Bluesound NODE ต่างก็แปลงสัญญาณ DSD เป็น PCM 176.4kHz ออกมาให้ด้วย (ศรชี้ ภาพล่าง)
เสียงของสัญญาณดิจิตัล เอ๊าต์ของ Bluesound NODE เมื่อฟังผ่านการ์ดอ๊อปชั่น DAC 50 ของ Accuphase ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีเลย โดยรวมสะอาด โฟกัสคมชัดกว่าภาค DAC ในตัว Bluesound NODE อยู่พอสมควร ระหว่างเอ๊าต์พุต coaxial กับ USB พบว่าเสียงไม่ต่างกันมาก ทางช่อง USB จะให้โฟกัสตำแหน่งเสียงที่แม่นยำกว่า ชี้ชัดได้มากกว่า บรรยากาศเปิดโล่งมากกว่า ในขณะที่เอ๊าต์พุต coaxial ให้ความนุ่มมากกว่า เนื้อเสียงในย่านทุ้มหนากว่านิดๆ แต่ไทมิ่งของช่อง USB มีความถูกต้องแม่นยำมากกว่า (ทรานเชี้ยนต์ อิมแพ็คคมกว่า)
ทดลองสตรีมไฟล์เพลงผ่านคลื่นไร้สายกับ Bluesound NODE
เมื่อใช้อุปกรณ์พกพาที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการณ์ iOS คุณสามารถสตรีมไฟล์เพลงผ่านระบบไร้สายมาที่ Bluesound NODE ได้ทั้ง 2 ช่องทาง คือผ่านคลื่น WiFi ด้วยเทคโนโลยี AirPlay (ภาพที่สองด้านบน) และผ่านคลื่น Bluetooth (ภาพล่างสุด ด้านบน)
เสียงต่างกันมั้ย.? แบบไหนดีกว่ากัน..?? คุณคงอยากรู้ จากการทดลองสตรีมไฟล์เพลง ‘เพลงเหงาเคล้าความขมขื่น‘ (WAV 16/44.1) ของปาน ธนพร (ค่ายใบชาซองค์) โดยเล่นด้วยแอพฯ Onkyo HF Player บน iPhone 12 สลับฟังระหว่างการสตรีมผ่าน Bluetooth vs. AirPlay ผมพบว่า เสียงโดยรวมที่ได้จากการสตรีมผ่าน AirPlay ออกมาดีกว่าสตรีมผ่าน Bluetooth อย่างชัดเจน เกนเสียงออกมาเต็มกว่า เปิดกว่า รายละเอียดออกมาครบกว่า ส่วนตัวแล้วผมชอบเสียงของ Bluesound NODE ที่สตรีมผ่าน AirPlay มากกว่า พอใจทั้งคุณภาพเสียงและความเป็นดนตรี
สรุป
ทั้งรูปร่างหน้าตาและฟังท์ชั่นหลายๆ อย่างที่ให้มาชวนให้คิดไปว่า Bluesound NODE ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานแบบ “ลำลอง” มากกว่าที่จะ “เอาจริง” โดยเฉพาะอินพุต HDMI กับความสามารถในการเชื่อมต่อกับลำโพงซับวูฟเฟอร์ทาง WiFi แบบไร้สาย แต่เมื่อได้ลองฟังเสียงแบบจริงๆ จังๆ กับซิสเต็มที่เซ็ตอัพโดยเน้นคุณภาพเสียง กลับพบว่า เสียงของ Bluesound NODE เวอร์ชั่น ‘New NODE’ ตัวนี้มันเอาจริงมากๆ ไม่ได้ลำลองอย่างที่คิดเลย..!!!
โทนเสียงโดยรวมของ Bluesound ‘New NODE’ มันก้ำกึ่งอยู่ระหว่างความนุ่มนวลกับความคมชัด แต่สิ่งที่ได้ยินอยู่ตลอดคือจังหวะจะโคนของเพลงที่ชวนฟัง ออกแนว laidback นิดๆ แต่ไม่ถึงกับหน่วงช้า (น่าจะเป็นผลมาจากการ trim clock) ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ออกแบบตั้งใจที่จะปรับจูนเสียงด้วยการ “เฉลี่ย” คุณสมบัติของเสียงในแง่ต่างๆ ให้ออกมาฟังเพลงแล้วรู้สึกสัมผัสถึง “ความเป็นดนตรี” ได้มากกว่าที่จะพยายามเค้นเอาความแม่นยำในแต่ละด้านของเสียงออกมาให้ได้มากที่สุด..
ยิ่งได้ลองเล่น ยิ่งได้เห็นถึงความสามารถของมิวสิค สตรีมเมอร์ตัวนี้มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละความสามารถของมันได้เพิ่มคุณค่าให้กับตัวมันเองมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน สรุปได้ว่า ถ้าคุณมีงบ ไม่เกิน 30,000 บาท และต้องการมิวสิคสตรีมเมอร์ที่มีคุณสมบัติครบทั้งฟังท์ชั่นและคุณภาพเสียง ผมขอแนะนำ Bluesound NODE เวอร์ชั่นล่าสุด ‘New NODE’ ตัวนี้โดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย..!!!
*** HIGHLY RECOMMENDED..!!! ***
*******************
ราคา : 24,900 บาท
*******************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Conice Electronic
โทร. 02-276-9644
สั่งซื้อได้ที่ conice.co.th