Lien-Shui Tsai ก่อตั้ง Usher Audio ขึ้นมาเมื่อ ปี 1972 นับเวลาจนถึงปัจจุบันก็ครบ 50 ปี ไม่เมื่อ ปี 2022 ที่ผ่านมา และเนื่องจาก “ลำโพง” เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อให้กับพวกเขา เป็นประเภทผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ชื่อของ Usher Audio กลายเป็น ‘somebody‘ ที่มีนักเล่นเครื่องเสียงทั่วโลกรู้จักกันต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ นี่คือเหตุผลที่พวกเขาถือโอกาสนี้ให้กำเนิดลำโพงรุ่น UA-50 ออกมาเพื่อเฉลิมฉลองวาระที่น่าภาคภูมิใจให้กับแบรนด์ของตัวเอง

“Audio Is No Black Magic At USHER: Correlating the measurements and the perceived performance by human ears”
ต้องยอมรับว่า ผู้ก่อตั้งแบรนด์คือ Lien-Shui Tsai เป็นคนที่มีวิธีคิดและวิสัยทัศน์ที่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุและผล เขามีความเชื่อเสมอว่า ‘เครื่องเสียง‘ ไม่มีวูดู แต่การออกแบบและผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงต้องอาศัยความเชื่อมโยงกันระหว่างการตรวจสอบประสิทธิภาพด้วย “เครื่องมือวัด” กับการประเมินประสิทธิผลของเสียงด้วย “หู” ของมนุษย์
UA-50 สามทาง–วางขาตั้ง–สวย–เซ็กซี่–ดูดีมาก.!!
นึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่า ช่วงเวลา 50 ปีของแบรนด์เครื่องเสียงที่ทำอะไรซ้ำๆ มาอย่างต่อเนื่องจะก่อให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้าง.? น่าจะมีอะไรมากมาย แต่คิดว่ายังไงก็ต้องมีอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก นั่นคือ “ความเชี่ยวชาญ” ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ที่สะสมมานานถึงครึ่งศตวรรษ ซึ่งความเชี่ยวชาญนี่แหละที่นำมาซึ่ง “พัฒนาการ” ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตา (รูปร่างภายนอก) และสัมผัสได้ด้วยหู (เสียง)

UA-50 เป็นลำโพง 3 ทาง “รุ่นแรก” ของแบรนด์ Usher Audio ที่ดีไซน์มาในรูปแบบของลำโพงวางขาตั้ง.! ถือว่าสมศักดิ์ศรีของผลิตภัณฑ์ที่ทำออกมาฉลองวาระพิเศษจริงๆ .!!

ถ้าดูจากขนาดสัดส่วนของ UA-50 เห็นทีว่าจะเรียก “ลำโพงเล็ก” ไม่ได้ซะแล้ว ด้วยความสูงถึง 2 ฟุต (60 ซ.ม.) x หน้ากว้างฟุตนิดๆ (31.5 ซ.ม.) และลึกถึง 44 ซ.ม. มันน่าจะเป็นลำโพงขนาดกลางซะมากกว่า ยิ่งขยับเข้าไปทดลองยกดูก็จะรู้สึกได้ถึง “ความหนัก” และ “ความแน่น” ของตัวตู้ได้อย่างชัดเจน (น้ำหนักข้างละ 28 ก.ก.)

นอกจากจะเป็นลำโพงสามทางซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นแล้ว UA-50 ยังมีความพิเศษอยู่หลายอย่างในตัว ที่ผู้ผลิตภูมิใจนำเสนอมากก็คือ “ตัวตู้” ที่ทำจากไม้แท้ๆ มาผ่านการดัดให้โค้งงอ ซึ่งเป็นงานที่ยากมากเนื่องจากแผ่นไม้ที่นำมาดัดโค้งนั้นมีความหนาถึง 30 ม.ม. ต้องใช้เทคโนโลยีพิเศษในการดัด ด้วยจุดประสงค์ไม่ใช่แค่เพื่อความแกร่งของผนังตู้เท่านั้น แต่เพื่อให้ผนังตู้มีลักษณะที่ไม่ขนานกันด้วย ซึ่งมีผลทำให้คลื่นเสียงที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้มีการหักล้างกัน ไม่ส่งผลให้เกิดเรโซแนนซ์ที่สั่นค้างอยู่ภายในตัวตู้คอยรบกวนการทำงานของไดเวอร์

แผงหน้าของ UA-50 มีความหนา 2 ซ.ม. ลงสีดำเคลือบเงาวาววับ ที่มุมบนซ้ายและขวาของแต่ละข้างจะมีป้ายทอง ‘50 Years Anniversary Since 1972‘ ติดอยู่ ประกาศศักดาให้โลกรู้.!
ไดเวอร์

ลำโพงคู่นี้มีย่านความถี่ตอบสนองที่ค่อนข้างกว้างเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมัน ด้านทุ้มลงไปได้ถึง 32Hz ส่วนความถี่สูงพุ่งขึ้นไปได้สูงสุดถึง 40kHz ซึ่งความถี่ทั้งหมดนั้นถูกส่งผ่านออกมาจากไดเวอร์ที่ติดตั้งอยู่บนตัวตู้ทั้งหมด 3 ตัวต่อข้าง ประกอบด้วยทวีตเตอร์, มิดเร้นจ์ และวูฟเฟอร์ อย่างละดอก

Usher Audio ออกแบบและผลิตไดเวอร์เอง ซึ่งทวีตเตอร์คอมโพสิต DMD หรือ Diamond-Metal-Diamond ของ Usher Audio มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันมานาน และเพื่อให้สมกับเป็นลำโพงรุ่นที่ทำออกมาเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี คุณ Lien-Shui Tsai แกเลยตัดสินใจใช้ทวีตเตอร์รุ่น 9980-20DMD ขนาด 1.25 นิ้ว ซึ่งเป็นตัวที่ครอบคลุมความถี่ตอบสนองกว้างที่สุดเท่าที่ Usher Audio เคยทำออกมา เป็นรุ่นที่สามารถขจัดความถี่เรโซแนนซ์ของโลหะออกไปได้จนเกือบหมด ทำให้ได้ความถี่สูงที่ตอบสนองไปได้ไกล สะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากสีสัน ถูกกำหนดให้ทำงานในย่านความถี่ตั้งแต่ 2.3kHz ขึ้นไปจนถึง 40kHz ทะลุถึงมาตรฐาน Hi-Res Audio พอดี.!

ไดเวอร์มิดเร้นจ์ที่ใช้ในการสร้างความถี่ในย่านกลางตั้งแต่ 400Hz ถึง 2.3kHz ให้กับลำโพง UA-50 คู่นี้มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 5.25 นิ้ว ไดอะแฟรมทำมาจากวัสดุผสมระหว่างเยื่อกระดาษ, คาร์บอนไฟเบอร์ และเคฟล่าร์ และผ่านการเคลือบผิวเพื่อลดเรโซแนนซ์และเพิ่มความแกร่ง สามารถตอบสนองสัญญาณได้เร็วเพราะน้ำหนักเบา

วูฟเฟอร์กรวยไดนามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 8 นิ้ว ที่ติดตั้งอยู่ด้านล่างสุดของแผงหน้า ถูกนำมาใช้เพื่อให้สร้างความถี่ในย่านต่ำ ตั้งแต่ 400Hz ลงไปถึง 32Hz ซึ่งไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ตัวนี้ทำมาจากเยื่อกระดาษ เสริมด้วยเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อเพิ่มความแกร่ง

UA-50 ถูกออกแบบมาให้ทำงานในระบบตู้เปิด บนแผงหน้าของตัวตู้มีท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2.5 นิ้ว ติดตั้งอยู่หนึ่งท่อ เพื่อใช้เป็นช่องทางสำหรับมวลอากาศที่ไหลเข้า–ออกตัวตู้ขณะที่วูฟเฟอร์ขยับตัวทำงาน
วงจรเน็ทเวิร์ค
ข้อดีของลำโพง 3 ทาง คือ ทำให้ไดเวอร์แต่ละตัวมีภาระในการสร้างความถี่เสียงที่เหมาะสมกับสรีระของไดเวอร์เอง ลดโอกาสที่จะเกิดปัญหาโอเวอร์โหลดลงไปได้มาก เมื่อไดเวอร์แต่ละตัวถูกกำหนดให้ทำงานในย่านความถี่จำกัด ข้อดีที่ได้มาอีกอย่างหนึ่งก็คือ “ไดนามิกเร้นจ์” หรืออัตราสวิงของความดังของแต่ละย่านเสียงที่ออกมาเต็มที่มากกว่า เมื่อเทียบกับลำโพงสองทางที่ใช้ไดเวอร์สองตัวครอบคลุมความถี่ที่กว้างพอๆ กัน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การออกแบบลำโพง 3 ทางให้ออกมาดี ทำได้ยากกว่า เพราะการที่ต้องมี “จุดตัดความถี่” (crossover frequency) ถึง 2 จุด เพื่อตัดแบ่งความถี่ตลอดย่านเสียงให้กับไดเวอร์ทั้งสามตัว จากภาพด้านบน เส้นสีแดงในแนวดิ่ง 2 เส้นในภาพคือความถี่ตรงจุดตัดทั้ง 2 จุดบนวงจรเน็ทเวิร์คของลำโพงคู่นี้ ส่วนแถบสีส้มทางขวามือคือย่านความถี่ที่ตัดแบ่งให้ทวีตเตอร์รับหน้าที่สร้างความถี่เหล่านี้ออกมา, แถบสีเหลืองคือย่านความถี่ที่กำหนดให้มิดเร้นจ์รับหน้าที่ไป และแถบสีเขียวทางซ้ายมือสุดเป็นย่านความถี่ที่กำหนดให้วูฟเฟอร์รับหน้าที่ไป
ความยากมันอยู่ตรงนี้ คือทำยังไงให้ความถี่ทั้งสามช่วงที่มาจากไดเวอร์ทั้งสามตัว “ที่มีลักษณะทางสรีระแตกต่างกัน” ออกมากลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน มันยากเพราะยิ่งมีจุดต่อเชื่อมเยอะ ก็ทำให้มีโอกาสมากที่จะเกิดความผิดพลาดตรงจุดเชื่อมต่อของความถี่ระหว่างไดเวอร์ทั้งสามตัว (ลำโพงสองทาง มีแค่จุดตัดเดียว)
นี่คือความท้าทายสำหรับ Usher Audio สำหรับประสบการณ์ 50 ปีที่พวกเขาสั่งสมมา จากข้อมูลที่ผู้ผลิตให้มา นอกเหนือจากการเลือกใช้คอมโพเน้นต์ในแต่ละจุดบนวงจรเน็ทเวิร์คที่มีคุณภาพสูง อย่างเช่น คาปาซิเตอร์ และตัวเหนี่ยวนำแกนอากาศแล้ว อีกกลยุทธที่พวกเขางัดออกมาใช้ในการออกแบบวงจรเน็ทเวิร์คของลำโพงคู่นี้ก็คือ กำหนดจุดตัดความถี่ที่อยู่ “ห่าง” จากย่านความถี่ที่ไวต่อการรับรู้ของหูมนุษย์ และห่างจากจุดวิกฤตในการทำงานของไดเวอร์แต่ละตัวด้วย นั่นคือเลือกจุดตัดที่ 400Hz สำหรับการเชื่อมต่อระหว่างมิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์ ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่ทั้งตัวมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์ทำงานได้สบายๆ ส่วนการเชื่อมต่อระหว่างมิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ พวกเขาเลือกจุดตัดไว้ที่ความถี่ 2.3kHz ซึ่งไม่ใช่จุดวิกฤตสำหรับมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์ (รายละเอียดในส่วนของวงจรฟิลเตอร์ไม่ได้แจ้งไว้)
แม็ทชิ่ง

ความไวของ UA-50 อยู่ที่ 87dB ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนไปทางต่ำ แต่ก็ไม่ได้ต่ำมากเพราะตัวเลข 87dB ก็ถือว่ายังอยู่ใกล้กับความไวระดับกลาง (88dB – 90dB) โดยเฉพาะที่เป็นความไวที่วัด ณ ระดับความต้านทานรวม (อิมพีแดนซ์) ที่ 8 โอห์ม ก็ถือว่าเป็นสเปคฯ มาตรฐานสำหรับลำโพงไฮเอ็นด์ส่วนใหญ่ในปัจจุบันก็จะอยู่ราวๆ นี้ ส่วนความสามารถในการรับมือกับกำลังขับของแอมป์ (power handling) ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้ระบุไว้ที่ 130W ต่อข้างเท่านั้นอง เห็นสเปคฯ แล้วสบายใจ เพราะไม่รู้สึกกังวลเรื่องแอมป์เลย
ลองของจริงกัน

ขณะทดสอบ UA-50 ในห้องฟังของผมมีอินติเกรตแอมป์ที่พร้อมให้ทดลองแม็ทชิ่งกับ UA-50 ทั้งหมด 5 ตัว ซึ่งทั้งหมดนั้นมีกำลังขับอยู่ระหว่าง 70W ขึ้นไปจนถึงสูงสุดที่ 200W ต่อข้างที่โหลด 8 โอห์ม (ดูตารางข้างบน)

อาศัยจากตัวเลข power handling หรือความสามารถในการรับมือกำลังขับของแอมป์ที่ UA-50 ระบุไว้ว่ารองรับได้สูงสุดอยู่ที่ 130W ต่อข้าง ผมลองใช้แอมป์ที่มีกำลังขับสูงกว่านั้น คือ 200W ต่อข้าง (McIntosh MAC7200) ขับลำโพงคู่นี้ดูว่ามันจะแสดงอาการ (ทางเสียง) ออกมาแบบไหน.? ซึ่งโดยปกติแล้ว การใช้แอมป์ที่มีกำลังขับ 200W ขับลำโพงที่รองรับกำลังขับสูงสุดได้ “น้อยกว่า” มักจะไม่ค่อยมีปัญหา เพราะในการใช้งานจริงนั้น เราก็ไม่ได้บิดวอลลุ่มไปจนสุดสเกลอยู่แล้ว ซึ่งผลที่เกิดขึ้นก็ไม่มีอาการที่แสดงถึงความเสียหายออกมากับน้ำเสียง เพียงแต่ว่า ในบางเพลงที่มีอัตราสวิงไดนามิกกว้างๆ จะรู้สึกว่าช่วงโหม หรือช่วงพีคของเพลง เสียงที่ออกมาจะมีอาการพุ่งดันออกมานิดหน่อยเมื่อเปิดวอลลุ่มดังๆ คล้ายๆ อาการตื้อ ซึ่งตอนใช้แอมป์ที่มีกำลังขับต่ำกว่า 200W ลงไปอย่างเช่น Mola Mola Kula (150W/ch) กับ Audiolab 9000A (100W/ch) จะไม่มีอาการที่ว่านี้

กำลังขับของ Mola Mola Kula ใกล้เคียงกับตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่รองรับได้ของ UA-50 มากที่สุดในจำนวนแอมป์ทั้งหมดที่ผมมีอยู่ตอนทดสอบลำโพงคู่นี้ ซึ่งเสียงที่ออกมาถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากในหลายๆ จุด โดยเฉพาะทางด้าน “รายละเอียด” ของเสียงที่แอมป์ผลักดันออกมาได้ครบทุกย่านความถี่ ตั้งแต่ทุ้มขึ้นไปถึงแหลม..



อินติเกรตแอมป์ทั้ง 3 ตัว คือ Audiolab 9000A (100W/ch)(REVIEW), LEAK Stereo 230 (75W/ch) และ Marantz 40n (70W/ch) พวกนี้เป็น “แอมป์ยุคใหม่” ที่ให้สมรรถนะสูงกว่าตัวเลขกำลังขับที่โชว์อยู่ในสเคฯ แม้ว่ามองในแง่ “ราคา” ของแอมป์ไปเทียบกับราคาของลำโพงแล้วมันไม่น่าจะไปด้วยกันได้ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาจากการทดลองขับจริงๆ บอกให้รู้ว่า Usher Audio UA-50 เป็นลำโพงที่มีพฤติกรรมที่ “ขับง่าย” ไม่ได้ขับยากออย่างที่คาด
สรุปแล้ว แอมป์ทั้งสามตัวข้างบนนี้ขับ UA-50 ออกมั้ย.? ตอบสั้นๆ ก็คือ “ขับออก” แต่ “ไม่หมด”.! ซึ่งหากเทียบว่า “ขับออกหมด” มีค่าเท่ากับ 100% สัดส่วนที่แอมป์ทั้งสามตัวขับ UA-50 ออกมาได้ก็น่าจะอยู่ระหว่าง 70 – 80% ซึ่งตัวแปรจะอยู่ที่ปัจจัย 2 ข้อ ข้อแรกคือ “ลักษณะเพลง” ที่คุณฟัง + ข้อที่สองคือ “ขนาดห้อง” ที่เอาลำโพงคู่นี้เข้าไปใช้ ซึ่งเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไปมักจะจัดเกนสัญญาณโดยเฉลี่ยออกมาค่อนข้างสูง จึงมีส่วนช่วยส่งเสริมให้กำลังขับของแอมป์ทั้งสามตัวนี้สามารถขับดันเสียงออกมาจากลำโพงคู่นี้ได้อย่างมีคุณภาพในระดับที่ยอมรับได้ ยิ่งถ้าคุณเป็นมิวสิค เลิฟเวอร์ที่ฟังเพลงเพื่อความบันเทิง ไม่ได้ต้องการให้ได้เสียงออกมาใกล้เคียงกับระดับ “สตูดิโอ มาสเตอร์” ของเพลงนั้นจริงๆ คุณจะแฮ้ปปี้กับเสียงที่ได้ และไม่มีปัญหาอะไรเลยกับการใช้แอมป์ตัวใดตัวหนึ่งในสามตัวนี้ขับลำโพงคู่นี้ แต่ถ้าคุณเป็นนักเล่นเครื่องเสียงที่มองหา “ความเป็นที่สุด” และต้องการให้ได้คุณภาพเสียงจากลำโพงคู่นี้ออกมาครบถ้วนเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เท่าที่ลำโพงให้ได้ ก็ต้องบอกว่า แอมป์สามตัวนี้ทำได้แค่ 70-80% อย่างที่เกริ่นมาข้างต้นเท่านั้น
นอกจาก Mola Mola Kula และ McIntosh MAC7200 แล้ว ถ้าคุณคาดหวังแอมป์ที่จะสามารถขับรายละเอียดเสียงออกมาจาก Usher Audio UA-50 คู่นี้ได้ “เต็ม 100% จริงๆ” ควรจะมีกำลังขับอยู่ระหว่าง 97.5 – 130W หรือจะไปถึง 150W ที่ 8 โอห์ม ก็ได้ ส่วนราคาของแอมป์ก็ควรจะอยู่ระหว่าง 200,000 ไปจนถึง 500,000 บาท โดยประมาณ อันนี้คือแนวทางคร่าวๆ เท่านั้น แต่ถ้าสรุปจาก experience หรือประสบการณ์จริงที่ได้จากการทดลองฟัง ส่วนตัวแล้ว แค่จับกับ Marantz 40n หรือ LEAK Stereo 230 ผมก็แฮ้ปปี้แล้วกับเสียงที่ได้จากเพลงแจ๊สและเพลงทุกแนวที่ไม่ได้สวิงไดนามิกกว้างมากๆ เพราะ UA-50 ให้เสียงกลาง–แหลมที่ดีแม้จะขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังขับปานกลาง ซึ่งความแตกต่างของเสียงที่ปรากฏออกมาชัดเจนมากที่สุดเมื่อเทียบกับขับด้วยแอมป์ที่ใหญ่กว่า ส่วนมากจะไปอยู่ในย่านเสียงทุ้ม
เซ็ตอัพ + ไฟน์จูน
ใครที่ชอบเซ็ตอัพและไฟน์จูนลำโพง คุณจะชอบลำโพงคู่นี้ บอกเลยว่า UA-50 คู่นี้จะมอบความสนุกให้กับการเซ็ตอัพและไฟน์จูนอย่างมาก คุณสามารถเล่นอะไรกับมันได้เยอะ โดยเฉพาะการเล่นกับ “เฟส” ซึ่งลำโพงคู่นี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ฝีมือการเซ็ตอัพของคุณได้เป็นอย่างดี



ที่มาของความสนุกที่ได้จากการเซ็ตอัพลำโพงคู่นี้เกิดจากการที่ผู้ผลิตออกแบบตำแหน่งไดเวอร์ทั้ง 3 ตัวให้มีลักษณะที่อยู่ในแกนแนวตั้ง (vertical) ที่ต่างกัน และที่เด็ดกว่านั้นก็คือ ตำแหน่งของไดเวอร์ที่ติดตั้งอยู่บนแผงหน้าของลำโพงทั้งสองข้างจะมีลักษณะที่เป็น mirror image ซึ่งกันและกันอีกด้วย.! นั่นก็หมายความว่า คุณสามารถจัดวางลำโพงทั้งสองข้างได้ 2 แบบ แบบแรกคือ ให้ตำแหน่งของทวีตเตอร์ทั้งสองข้าง “ชี้ออกด้านข้าง” (ภาพบน) กับแบบที่สอง คือวางลำโพงสลับกัน ให้ตำแหน่งของทวีตเตอร์ทั้งสองข้าง “ชี้เข้าด้านใน” (ภาพล่าง) ซึ่งเสียงที่ออกมาจะไม่เหมือนกัน
แบบไหนถูก.. แบบไหนผิด.? บอกเลยว่า ไม่มีถูก–ไม่มีผิด แต่การจัดวางลำโพงทั้งสองลักษณะนั้นให้เสียงออกมาต่างกัน..!! มันสนุกตรงนี้..!!!


ผมลองเซ็ตอัพทั้งสองลักษณะแล้ว โดยเริ่มต้นที่ระยะห่างซ้าย–ขวา = 180 ซ.ม. และห่างหลังอยู่ที่ 220 ซ.ม. (ความลึก 6.6 เมตร หารด้วยสาม) หลังจากขยับและฟังเสียงมาเรื่อยๆ จะได้ระยะวางที่ผมพอใจโฟกัสของเสียงมากที่สุดอยู่ที่ระดับห่างซ้าย–ขวา = 170 ซ.ม. และระยะห่างหลังที่ให้โทนัลบาลานซ์ที่ผมพอใจมากที่สุดอยู่ที่ระยะ = 210 ซ.ม. ซึ่งระยะลงตัว (โฟกัส + โทนัลบาลานซ์) ของการวางลำโพงทั้งสองรูปแบบนี้อยู่ในจุดที่ใกล้เคียงกันมาก แทบจะเป็นตำแหน่งเดียวกัน.! แต่เสียงออกมาต่างกันไปคนละแบบ.!!
กรณีที่เซ็ตอัพแบบที่วางตำแหน่งทวีตเตอร์ “หันเข้าหากัน” จะได้เสียงแหลมที่คมเปรี๊ยะ เสียงเครื่องดนตรีในย่านแหลม อย่างพวกเพอร์คัสชั่นที่ทำด้วยโลหะจะให้โฟกัสของหัวเสียงที่คมชัด ลอยออกมาเป็นเม็ดๆ ในขณะที่เสียงกลางมีบอดี้ที่อวบใหญ่ หัวเสียงไม่คมเป๊ะมากแต่ได้มวลหนาและใหญ่ ฟังเพลงแนวสแตนดาร์ด แจ๊สเก่าๆ อย่างของค่าย Bluenote ได้อารมณ์ดีมาก เสียงฉาบกับปลายเสียงแซ็กโซโฟนจะออกมาสดและจัดจ้านมากเป็นพิเศษ แต่พอสลับข้างให้ทวีตเตอร์ยิงออกด้านข้างทั้งสองข้าง ใครชอบเสียงร้องจะต้องหูผึ่ง เพราะเซ็ตอัพแบบนี้ให้เสียงร้องที่มีโฟกัสเป๊ะมาก.! เสียงลมหายใจ เสียงขยับริมฝีปาก เสียงลากเอื้อนจากคำร้องหนึ่งไปถึงอีกคำร้องหนึ่ง ฯลฯ อากัปกิริยาของนักร้องจะปรากฏออกมาให้สัมผัสอย่างชัดเจนกว่าการเซ็ตอัพแบบทวีตเตอร์หันเข้าหากัน เมื่อลองขยับลำโพงซ้าย–ขวาให้ชิดเข้าหากันอีกแค่ไม่กี่เซนติเมตร จนเสียงร้องซ้อนทับกันสนิทมากขึ้น เฟสของเสียงกลางจากลำโพงซ้ายและลำโพงขวากลืนเป็นเนื้อเดียวกัน ณ จุดนั้น ภาพของนักร้องจะปรากฏชัดเจนเป็นสามมิติลอยออกมาอยู่ในอากาศเลย ชัดขนาดที่สามารถติดตามคำร้องของนักร้องไปได้ตลอดทุกคำ รับรู้ได้ว่าแต่ละคำร้องถูกขับขานออกมาลักษณะไหน ส่วนเสียงแหลมจะผ่อนตัวลงไปมากกว่าการเซ็ตอัพแบบที่หันทวีตเตอร์เข้าด้านใน คืออิมแพ็คจะเบาลง แต่จะพลิ้วและแตกปลายออกไปเป็นฝอยละเอียด
การเซ็ตอัพแบบหันทวีตเตอร์ออกด้านนอกเป็นแนวทางที่ผู้ผลิตใช้ในการเปิดสาธิตในงานเครื่องเสียง แต่ก็ไม่ได้ตายตัว คุณสามารถเซ็ตอัพให้ทวีตเตอร์หันชี้เข้าหากันก็ได้ถ้าชอบเสียงที่สดมากๆ …
ลักษณะการเชื่อมต่อสายลำโพงก็เป็นประเด็น..

เนื่องจาก UA-50 ให้ขั้วต่อสายลำโพงแยกมา 2 ชุด แบ่งเป็นคู่บน ผ่านเน็ทเวิร์คไปที่มิดเร้นจ์+ทวีตเตอร์ ทำงานตั้งแต่ย่านความถี่ 400Hz ขึ้นไปจนถึง 40kHz กับคู่ล่าง ผ่านเน็ทเวิร์คไปขับวูฟเฟอร์ ซึ่งทำงานตั้งแต่ 400Hz ลงไปจนถึง 32Hz ทางผู้ผลิตได้แถมแท่งโลหะสำหรับทำจั๊มเปอร์เพื่อเชื่อมโยงขั้วต่อสายลำโพงทั้งสองชุดเข้าด้วยกันมาให้

กรณีที่คุณใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ล 2 > 2 กับลำโพงคู่นี้ คุณก็สามารถเชื่อมต่อกับลำโพงคู่นี้ได้ถึง 4 รูปแบบโดยเสียบแท่งจั๊มเปอร์คาไว้ตลอด คือ 1) ต่อที่คู่ล่าง, 2) ต่อที่คู่บน, 3) ต่อไขว้ บวกลงล่าง/ลบขึ้นบน และ 4) ต่อไขว้ ลบลงล่าง/บวกขึ้นบน ซึ่งการเชื่อมต่อแต่ละรูปแบบให้เสียงออกมาต่างกันค่อนข้างชัดเจน ฟังออกง่ายกว่าลำโพงสองทาง

อีกวิธีของการเชื่อมต่อคือหาสายจั๊มเปอร์มาใช้แทนแท่งโลหะที่ผู้ผลิตแถมมา ซึ่งโดยมากแล้ว สายจั๊มเปอร์ที่ผู้ผลิตสายลำโพงทำออกมาขายมักจะให้เสียงโดยรวมออกมา “ดีกว่า” แท่งโลหะจั๊มเปอร์ที่แถมมา มากบ้าง–น้อยบ้าง ก็แล้วแต่แบรนด์, รุ่น และราคา ของจั๊มเปอร์นั้นๆ ในภาพผมทดลองใช้จั๊มเปอร์ของ Nordost รุ่น Norse 2 เสียงออกมาดีกว่าแท่งโลหะที่แถมมาเยอะมาก.! ถ้าใครใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ล 2 > 2 ที่มีราคาสูงๆ คุณภาพดีมากๆ อยู่แล้วก็ควรจะหาจั๊มเปอร์ดีๆ มาใช้ อย่างของ Nordost ที่ผมเลือกใช้เพราะมันให้สปีดของการตอบสนองที่ฉับไว ไปกันได้ดีกับการทำงานของทวีตเตอร์โลหะลักษณะนี้ โดยเฉพาะกับลำโพง Usher Audio คู่นี้ซึ่งใช้ทวีตเตอร์ไดม่อน คอมโพสิต ที่เปิดความถี่ด้านแหลมไปได้สูงมากถึง 40kHz เปลี่ยนจั๊มเปอร์ดีๆ เข้าไปจึงเห็นผลมากเป็นพิเศษโดยเฉพาะในย่านกลาง–แหลม

ถ้าคุณใช้แอมป์ที่มีกำลังขับเยอะๆ ประมาณ 100W ขึ้นไป และเป็นแอมป์ที่มีกำลังสำรองเยอะ (เบิ้ลได้เป็นสองเท่าเมื่ออิมพีแดนซ์ลดลงครึ่งนึง) แนะนำให้หาสายลำโพงแบบไบ–ไวร์ฯ 2 > 4 ที่มีคุณภาพดีหน่อยมาใช้ จะได้เสียงที่ดีกว่าใช้สายลำโพงซิงเกิ้ล+จั๊มเปอร์ ยิ่งถ้าได้เป็นไบ–ไวร์ฯ แบบ shotgun ก็จะยิ่งดี
ในการทดสอบ UA-50 ครั้งนี้ ผมใช้แอมป์หลายตัว ได้ทดลองใช้การเชื่อมต่อด้วยสายลำโพงทั้งแบบ single + jumper และ bi-wired พบว่า ตอนใช้ Marantz 40n, LEAK Stereo 230 และ Audiolab 9000A ขับลำโพงคู่นี้ ผมเลือกใช้การเชื่อมต่อด้วยวิธี single + jumper (สายลำโพง Purist Audio Design Aqueous + จั๊มเปอร์ Nordost Norse 2) ได้ค่าเฉลี่ยทางด้านกำลังขับและโทนเสียงที่ลงตัวกว่าต่อเชื่อมด้วยไบ–ไวร์ฯ ซึ่งให้เสียงออกมาบาง แต่ตอนใช้ Mola Mola Kula กับ McIntosh MAC7200 ผมพบว่า เชื่อมต่อด้วยสายไบ–ไวร์ Nordost Heimdall ให้รายละเอียดของเสียงออกมาดีกว่า ความถี่ในย่านกลาง–แหลมกับทุ้มออกมาสมดุลกันมากกว่า ส่วนเรื่องกำลังขับไม่เป็นปัญหาเพราะแอมป์ใหญ่พอ
เสียงของ UA-50
อะไรคือมรรคผลที่ได้จาก ลำโพง 3 ทาง.? ถ้าเทียบกับลำโพงสองทางที่มีขนาดตู้ใกล้เคียงกัน ตอบสนองความถี่ได้กว้างพอกัน ลำโพงที่ใช้ไดเวอร์ 3 ตัวแยกกันทำงานในย่านความถี่ที่ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน จะได้เปรียบลำโพงสองทางอยู่ 2-3 ประเด็น อย่างแรกในแง่ของ “รายละเอียด” ในแต่ละความถี่ที่มีความชัดเจนมากกว่า โดยเฉพาะความถี่ในย่านกลางลงมาถึงทุ้ม กับอีกประเด็นคือ “ความนิ่ง” คือ ณ ระดับความดังสูงๆ เสียงที่ออกมาจากลำโพงสามทางจะมีความนิ่งมากกว่า

ชาร์ตข้างบนนั้นทำขึ้นมาเพื่อใช้ประกอบการอธิบายให้เห็นภาพชัดขึ้นถึง “ข้อดี” ที่ได้จากลำโพงสามทาง เปรียบเทียบกับลำโพงสองทางโดยทั่วไป ซึ่งโดยปกติแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลำโพง 2 ทาง หรือ 3 ทาง ตัวทวีตเตอร์มักจะถูกกำหนดจุดตัดอยู่ระหว่าง 2.0kHz – 2.5kHz ซึ่งถ้าเป็นลำโพง 2 ทาง ความถี่ต่ำที่เหลือก็จะถูกโยนไปที่ตัวมิด/วูฟเฟอร์ทั้งหมด ในขณะที่ลำโพง 3 ทางจะมีไดเวอร์สองตัวคือมิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์เข้ามาช่วยกันแบ่งเบาภาระ
ด้วยเหตุที่ไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่ใช้ในลำโพงสองทางต้องรับภาระในการสร้างความถี่ในย่านกลาง (M) และย่านต่ำ (L) ไปพร้อมกัน ทำให้คนออกแบบจำเป็นต้องกำหนดค่า “เฉลี่ย” ของการสวิงของไดนามิกของความถี่ย่านกลางลงไปทุ้มไว้ในระดับที่ค่อนข้างต่ำ (ลดความดังลง) เพื่อไม่ให้เกิดปัญหา clip ที่ความถี่ในย่านเสียงที่ตัวมิด/วูฟเฟอร์รับภาระอยู่ ในขณะที่ลำโพง 3 ทางซึ่งแยกความถี่ในย่านกลางให้กับไดเวอร์มิดเร้นจ์ และความถี่ย่านต่ำให้กับวูฟเฟอร์ช่วยกันรับภาระไป ทำให้ไดเวอร์ทั้งสองทำงานไม่หนักมาก ผู้ออกแบบสามารถรับอัตราสวิงไดนามิกของแต่ละไดเวอร์ได้กว้างขึ้น เสียงกลางและทุ้มจากลำโพงสามทางจึงเปิดได้ดังกว่า (ให้ SPL สูงกว่า) และไม่มีอาการตีรวน หรือดึงกันเพราะมาจากไดเวอร์คนละตัว
ด้วยเหตุที่กล่าวมาข้างต้น จะสังเกตได้ว่า ผู้ออกแบบลำโพงสองทางมักจะกำหนดความถี่ตอบสนองของตัวมิด/วูฟเฟอร์ไม่ให้ลงไปต่ำมาก (และมักจะเลือกไดเวอร์มิด/วูฟเฟอร์ที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก) เหตุผลก็เพราะต้องการลดภาระของตัวมิด/วูฟเฟอร์ลง ให้ทำงานในย่านความถี่ที่แคบลง เพื่อให้สามารถเร่งความดัง (SPL) ของตัวมิด/วูฟเฟอร์ได้มากขึ้นนั่นเอง

อัลบั้ม : Jungle Of Joy (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Anugama
สังกัด : Nightingale Records
อัตราสวิงไดนามิกที่กว้างกว่า + มิติโฟกัสที่คมชัดและนิ่งกว่า คือ “คุณสมบัติเด่น” ของลำโพงสามทางที่เหนือกว่าลำโพงสองทางที่มีขนาดตัวตู้ใกล้เคียงกัน ซึ่งเพลงไตเติ้ลแทรคของอัลบั้มนี้เป็นตัวอย่างที่ใช้แสดงคุณสมบัติเด่นทั้งสองข้อข้างต้นของ UA-50 ออกมาได้ชัดเจนมาก.!
ดนตรีของวง Anugama เป็นแนวนิวเอจที่ใช้เครื่องดนตรีจริงบรรเลงในสไตล์ ‘multi instrumental’ มีทั้งเครื่องเป่าและเครื่องเคาะจำนวนหลายชิ้นเล่นประสานกัน ซึ่งเสียงของเครื่องดนตรีเหล่านั้นครอบคลุมย่านเสียงที่แผ่กว้างและเกลี่ยไปทั่ว ผมทดลองฟังเพลง ‘Jungle of Joy’ กับลำโพง Totem Acoustics The One ซึ่งเป็นลำโพงสองทางที่ผมใช้อ้างอิงอยู่ เสียงที่ออกก็ถือว่าดีมากๆ แล้ว ผมสามารถแยกเสียงของชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นออกจากกันได้อย่างง่ายดาย เมื่อเปลี่ยนมาฟังผ่าน UA-50 ผมพบว่า จำนวนของชิ้นดนตรีในเพลงนี้ก็ยังออกมาครบทุกชิ้นไม่ต่างกัน แต่.. สิ่งที่ต่างกันมีอยู่ 2-3 ประเด็น อย่างแรกก็คือ “รายละเอียด” ของแต่ละเสียง ซึ่ง UA-50 ทำให้ผมรับรู้ได้ “ชัดขึ้น” ว่าแต่ละเสียงนั้นเป็นเสียงของเครื่องดนตรีอะไรบ้าง ยกตัวอย่าง เสียงฟรุ๊ท ซึ่งตอนฟังจาก The One ก็รู้ว่าเป็นเสียงฟรุ๊ท แต่เมื่อฟังผ่าน UA-50 ผมรู้สึกได้ลึกลงไปอีกว่า เสียงนั้นเป็นเสียงฟรุ๊ทที่มีแรงคนเป่ามันออกมา ไม่ใช่เสียงที่ลอยขึ้นมาในอากาศเฉยๆ หรือเสียงกีต้าร์ที่รู้สึกได้ถึงแรงนิ้วที่สะกิดสายออกมาด้วย..!!
อยากจะพูดว่า UA-50 มันเติม “รายละเอียด” ลงไปในแต่ละเสียงที่มีรายละเอียดอยู่แล้วระดับหนึ่ง ทำให้ “ความเป็นตัวตน” ของเสียงนั้นๆ มันมีความเด่นชัดมากขึ้น มีทรวดทรงมากขึ้น มีความหนาของเนื้อมวลมากขึ้น ซึ่งตอนฟังผ่าน The One ผมก็ไม่ได้รู้สึกว่าแต่ละเสียงมันมีอาการ “เบลอ” นะ แต่พอมีการเปรียบเทียบด้วยลำโพงที่ให้รายละเอียดสูงกว่าออย่าง UA-50 คู่นี้ ผมถึงได้รู้ว่าชัดกว่าเป็นอย่างไร (*ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับ source เพราะผมใช้วิธีสตรีมไฟล์เพลงผ่าน DAC ของ dCS รุ่น LINA DAC + LINA CLOCK เป็นต้นทางตลอดการทดสอบ)

อัลบั้ม : More Than You Know (FLAC 16/44.1)
ศิลปิน : Alice Carreri
สังกัด : TIDAL/Elektriske Optagelser
เพลง ‘These Foolish Things’ แทรคที่สองในอัลบั้มนี้ถือเป็นตัวชี้ขาดให้เห็นถึงศักยภาพของความเป็น “ลำโพง 3 ทาง” ที่ออกแบบมาได้ลงตัวมากๆ เพราะเมื่อฟังเทียบกับลำโพงสองทางที่ดีมากๆ แล้วอย่าง The One ผมพบว่า UA-50 ทำคะแนนรวมออกมาได้เหนือชั้นกว่า The One อย่างชัดเจน สิ่งที่ต่างกันเยอะมากคือ “ความชัดเคลียร์” ระหว่างเสียงร้องของ Alice Carreri กับเสียงอะคูสติกเบสของ Andreas Mollerhoj ที่ UA-50 สามารถฉีกแยกสองเสียงนี้ให้หลุดออกจากกันได้อย่าง “เด็ดขาด” ซึ่งพอย้อนกลับไปฟังผ่าน The One จะเห็นชัดว่า เสียงร้องไม่ลอยตัวออกมามากเท่ากับตอนฟังผ่าน UA-50 ซึ่งจะรับรู้ได้ชัดถึง “ความเป็นอิสระ” ในการขยับเคลื่อนตัวระหว่างเสียงร้องกับเสียงเบสที่ไม่มีการดึงกันเลย ซึ่งคำอธิบายที่สมเหตุสมผลก็น่าจะเป็นเพราะเสียงร้องกับเสียงเบส มันออกมาจากไดเวอร์คนละตัวกันนั่นเอง.!!

อัลบั้ม : Amanda (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Amanda McBroom
สังกัด : Sheffield Labs
งานเพลงของค่าย Sheffield Labs มีชื่อเสียงมากในแง่ของไดนามิกเร้นจ์ที่สวิงได้กว้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Doug Sax กับทีมซาวนด์เอ็นจิเนียร์ของเขาเลือกใช้วิธีแปลงมาสเตอร์อะนาลอกลงบนแผ่นซีดีด้วยการปรับเกนจาก ADC ไว้เบามาก เพื่อรักษาอัตราสวิงของสัญญาณต้นฉบับเอาไว้ ซึ่งนั่นทำให้เวลาฟังต้องเร่งวอลลุ่มที่แอมป์สูงกว่าปกติถึงจะได้เสียงที่สวิงได้เต็มสเกลจริงๆ ซึ่งแน่นอนว่า การเพลย์แบ็คอัลบั้มนี้ด้วยระดับวอลลุ่มที่ต้องเร่งขึ้นมาค่อนข้างสูง ถ้าลำโพงไม่สามารถรองรับกำลังขับได้สูงพอ เสียงก็จะออกมาตื้อ ฟังแล้วจะรู้สึกอึดอัด
เพลงที่ผมใช้ทดสอบ “ความอึดถึก” ของลำโพงบ่อยๆ ก็คือเพลง ‘Amanda’ ซึ่งมีช่วงพีคตอนขึ้นอินโทรที่สวิงไดนามิกกว้างและเร็ว เมื่อลองฟังผ่าน UA-50 ด้วยระดับวอลลุ่มจากแอมป์ที่สูงกว่าปกติประมาณ 20% ลำโพงคู่นี้ก็ให้เสียงดนตรีตอนขึ้นต้นแทรคที่มาพร้อมทั้งความเร็วและความแรงโดยไม่มีอาการตื้อ สนามเสียงแผ่เต็มห้อง ซึ่งตอนฟังผ่าน The One ผมพบว่า พอเร่งวอลลุ่มขึ้นไปสูงๆ เพื่อดึงอัตราสวิงของไดนามิกให้กว้างที่สุดพอๆ กับที่ UA-50 ทำได้ พบว่า ปลายเสียงแหลมตอนพีคมีอาการเสียดแทงหูออกมาเยอะ และเสียงโดยรวมเริ่มมีอาการตื้อ ฟังแล้วอึดอัด เมื่อย้อนกลับมาฟังผ่าน UA-50 อีกรอบ พบว่า อาการตื้อและเสียดแก้วหูหายไปเกือบหมด แม้ว่ายังมีเสียงเฟี๊ยวๆ ติดปลายแหลมออกมาอยู่ แต่อาการเสียดแทงเข้าไปในรูหูลดน้อยลง คือทนฟังได้มากกว่าเยอะ ฟังแล้วได้อารมณ์เพลงมากกว่า ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นมรรคผลที่ได้จากทวีตเตอร์ DMD ที่ใช้อยู่ในตัว UA-50 ด้วย
เสียงร้องของอาแมนด้าในแทรคนี้ก็มีความอิ่มเข้มมากกว่า และมีรายละเอีนดที่แสดงถึงลักษณะการควบคุมเสียงร้องของแต่ละพยางค์ออกมาให้รับรู้ได้ชัดกว่าตอนฟังผ่าน The One พอสมควรเลย พูดได้ว่า “ความสด สมจริง” ของเสียงกลาง เป็นคุณสมบัติเด่นของ UA-50 โดยเฉพาะเสียงร้องที่ฟังแล้วทำให้เกิด “ความรู้สึก” ว่ากำลังฟังคนจริงๆ กำลังร้อง.!

อัลบั้ม : Dotou Banri (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Ondekoza
สังกัด : JVC
วง Ondekosa เป็นวง Kumi-daiko หรือวงเพอร์คัสชั่นที่ประกอบด้วยกลอง taiko และเครื่องเคาะหลากชนิด พวกเขามีโอกาสแสดงโชว์ครั้งแรกเมื่อ ปี 1975 ในงาน Boston Marathon หลังจากนั้นก็มีงานแสดงโชว์อยู่เรื่อยๆ ส่วนอัลบั้มนี้ทำการบันทึกเสียงกันสดๆ ใน Sapporo Concert Hall เมื่อ ปี 1998
การบรรเลงในอัลบั้มนี้ไม่ได้ออกแนวตึงตังมโหระทึกเหมือนอัลบั้มปกแดงของ Yim Hok-man แต่จะโชว์การบรรเลงที่มีกลองใบเล็กๆ จำนวนมากรัวขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งผมใช้วัดความสามารถในการถ่ายทอดความฉับพลันของหัวเสียงหรืออิมแพ็คที่รวดเร็วและต่อเนื่องด้วยเสียงกลองใบเล็กในเพลง ‘Monochrome II’ ซึ่ง UA-50 ทำออกมาได้ดีมาก มันสามารถแยกเสียงตีกลองจำนวนหลายๆ ใบพร้อมกันให้แยกออกมาได้เป็นใบๆ โดยไม่ติดกันเป็นพืดได้ แสดงว่าไดอะแฟรมของตัวมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์มีความสามารถในการตอบสนองกับสัญญาณทรานเชี้ยนต์ได้เร็ว และเก็บตัวได้ดีมาก.!! และตอนที่กลองใหญ่ประโคมออกมาก็ไม่มีอาการอื้ออึง สามารถคุมได้ให้เกิดความกระชับได้อย่างดีเยี่ยม สิ่งที่ขาดไปนิดนึงคือหางเสียงทุ้มที่เก็บตัวเร็วไปหน่อยเท่านั้น …

อัลบั้ม : Stravinsky – ‘The Firebird’ (DSD64)
ศิลปิน : London Symphony Orchestra, Antal Dorati; conductor
สังกัด : Mercury Living Presence / Stereo Sound
อัลบั้มนี้บันทึกเสียงมาเบามาก เส้นสเปคตรัมบนเพลเยอร์ของ Roon แทบจะเป็นเส้นตรงเรียบๆ ซึ่งตอนฟังต้องเร่งวอลลุ่มขึ้นมามากกว่าปกติหน่อยถึงจะได้ยินรายละเอียดออกมาครบ โดยเฉพาะแทรคแรก ซึ่งหากลำโพงมีสเปคฯ S/N ratio ไม่สูงพอ จะรองรับไดนามิกได้ไม่กว้าง พอเพลงถึงท่อนโหมเสียงมันจะล้น แต่ผมไม่พบอาการล้นหรือตื้อจาก UA-50 เลย ตรงข้าม พอเร่งวอลลุ่มได้สูงหน่อย กลับรู้สึกว่าฟังแล้วได้อารมณ์มากกว่าปกติซะด้วยซ้ำไป..!!!
สรุป
UA-50 เป็นลำโพงที่ให้ความสนุกในการเล่นกับมันมากเป็นพิเศษ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพ และเมื่อเซ็ตอัพลงตัวแล้ว คุณยังสามารถไฟน์จูนมันได้อีก ซึ่งต้องขอบอกว่า ลำโพงคู่นี้เป็นลำโพงที่ส่งผลทางเสียงออกมาให้ได้ยินชัดมาก ไม่ว่าจะคุณจะทำอะไรกับมัน อย่างตอนที่ทดลองขับด้วย Audiolab 9000A ผมลองเอาอุปกรณ์เสริมที่ใช้ลด vibration ของ Audio Bastion ไปรองใต้ขาของ Audiolab 9000A ลำโพงคู่นี้ยังทำหน้าที่เป็นมอนิเตอร์แสดงผลที่เกิดกับเสียงออกมาให้ได้ยินชัดมาก..! หรือแม้แต่ตอนไฟน์จูนด้วยการขยับตำแหน่งลำโพงไปแค่นิดเดียว คือทีละเซ็นติเมตร มันก็แสดงความแตกต่างของเสียงออกมาให้ได้ยิน แม้แต่ตอนที่ผมทดลองเอาตัวรองเดือยแหลมของ Audio Bastion ไปรองใต้เดือยแหลมของขาตั้งที่มากับลำโพงตัวนี้ มันก็แสดงให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเสียงที่เกิดขึ้นได้ชัดมากเช่นกัน..
สิ่งที่อยากจะย้ำเน้นเกี่ยวกับลำโพง Usher Audio คู่นี้อย่างหนึ่งก็คือ มันต้องการเวลาในการเบิร์นฯ นานมาก.! ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งตอนยกมาตัวแทนคือคุณเปเล่ แจ้งว่าผ่านการลองฟังมาแล้วประมาณหนึ่ง แต่ผมต้องนำมาเบิร์นฯ ต่อจากนั้นมากกว่า 100 ช.ม. ขึ้นไป เสียงถึงจะเริ่มเปิดเผยและเป็นอิสระเต็มที่ ซึ่งรวมๆ แล้ว อย่างน้อยก็ต้องผ่าน 150 ชั่วโมงไปแล้วถึงค่อยฟังเอาเรื่องได้ …
ราคาของ UA-50 พร้อมขาตั้งโลหะอยู่ที่คู่ละ 220,000 บาท เทียบกับคุณภาพเสียงที่ให้ออกมาถือว่าถูกมาก..! ยิ่งมองไปที่รูปร่างหน้าตาและเนื้องานด้วยแล้ว บอกได้คำเดียวเลยว่าคุ้ม.!! ใครวางงบไว้ประมาณนี้ สำหรับลำโพงที่เหมาะสมกับห้องฟังที่ไม่ได้ใหญ่กว่า 4 x 6 ตรม. ผมขอแนะนำว่าให้หาเวลาไปพิจารณาลำโพง Usher Audio รุ่น UA-50 คู่นี้ให้ได้.. HIGHLY RECOMMENDED..!!! /
***********************
ราคา : 220,000 บาท / คู่
***********************
สนใจสอบถามเพิ่มเติมที่
Hi Fine Audio (Pele)
โทร. 089-141-5260



