WiiM ปล่อยตัวรุ่น ‘Amp Pro’ ออกมาในตลาดครั้งแรกในงาน High End 2024 ที่มิวนิคเมื่อ ปี 2024 และผมได้ทำการทดสอบ WiiM รุ่นนี้ไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2025 ที่ผ่านมา (REVIEW) ส่วนรุ่น ‘Amp Ultra’ นั้น ทางผู้ผลิตนำไปโชว์ตัวครั้งแรกในงาน High End 2025 ที่มิวนิคเมื่อเดือน พฤษภาคม 2025 ที่ผ่านมานี้เอง หลังจากนั้นทางผู้ผลิตได้กำหนดวางตลาดขายจริงสำหรับ WiiM รุ่น ‘Amp Ultra’ ไว้ว่า ผู้ซื้อในอเมริกาและแคนาดาจะสามารถจับจองเป็นเจ้าของ WiiM ‘Amp Ultra‘ ได้ตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคม 2025 เป็นต้นไป
ผมได้รับเครื่องตัวอย่าง WiiM ‘Amp Ultra’ จากบริษัท Sound Republic เพื่อทำรีวิวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่ผ่านมา หลังจากเปิดเบิร์นฯ เครื่องทิ้งไว้ครบ 100 ชั่วโมง กระบวนการทดสอบ WiiM ‘Amp Ultra’ ก็เริ่มต้นขึ้น..
‘Amp Ultra’ vs. ‘Amp Pro’


ความเป็นจริงแล้ว ทั้ง WiiM ‘Amp Pro’ และ WiiM ‘Amp Ultra’ ต่างก็เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของแอมปลิฟายประเภท all-in-one ทั้งคู่ แค่ว่า WiiM ‘Amp Ultra’ เป็นรุ่นที่อัพเกรดขึ้นมาจากรุ่น WiiM ‘Amp Pro’ โดยอาศัยรูปลักษณ์และฟังท์ชั่นการทำงานของรุ่น Amp Pro เป็นพื้นฐาน แล้วทำการ “ปรับปรุง” สมรรถนะ และ “เพิ่มเติม” ฟังท์ชั่นใหม่ๆ เข้าไปในรุ่น Amp Ultra จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องหยิบ Amp Pro มาเทียบกับ Amp Ultra
จากภาพด้านบน เมื่อพิจารณาในแง่ของ “ช่องอินพุต” ของทั้ง Amp Pro และ Amp Ultra ที่ให้มา ซึ่งสะท้อนถึงความเปิดกว้างในการใช้งานของทั้งสองรุ่นนี้แล้ว จะเห็นว่า ทั้งสองรุ่นนี้ให้ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัล คือให้ช่อง optical (B), ช่อง USB (E), ช่อง HDMI (C) และช่อง Ethernet (D) มาอย่างละช่องเท่ากัน และยังให้ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณอะนาลอกมาให้อีกคนละชุด (F) นอกจากนั้น ทางด้านสัญญาณเอ๊าต์พุตก็มีช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณซับวูฟเฟอร์มาให้ คือช่อง Sub Out (G) จำนวนหนึ่งช่อง เหมือนกัน

ภาพข้างบนเป็นแผงหลังของตัว Vibelink Amp (REVIEW) จะเห็นว่าขั้วต่อสายลำโพงที่ใช้ในรุ่น Amp Ultra เป็นแบบเดียวกัน ซึ่งดูดีมาก ใช้งานง่ายด้วย ในกล่องมีอะแด๊ปเตอร์บานาน่ามาให้ แต่สายลำโพงของผมทุกชุดจะติดขั้วต่อบานาน่าอยู่แล้ว ผมจึงใช้วิธีเสียบตรงเข้าไปเลยไม่ต้องผ่านอะแด๊ปเตอร์

จากรายละเอียดในตารางข้างต้น จะเห็นว่า ความแตกต่างสำคัญๆ ระหว่าง Amp Ultra กับ Amp Pro จะมีอยู่ 4 ประเด็นหลักๆ ได้แก่
1. จอ
2. กำลังขับ
3. ภาคแอมป์
4. ภาค DAC
ตัว Amp Ultra ให้จอ LED ขนาด 3.5 นิ้ว มาด้วย (Amp Pro ไม่มี) ซึ่งเป็นจอทัชสกรีนที่สามารถใช้ปลายนิ้วจิ้มสั่งงานเพื่อควบคุมการเล่นไฟล์เพลงได้ และเลือกสั่งงานบางอย่างได้ด้วย ส่วนความแตกต่างที่ถือว่าเป็นไฮไล้ท์คือความแตกต่างทางด้าน “กำลังขับ” ซึ่งภาคขยายเสียงที่ให้มาในตัว Amp Ultra อยู่ในระดับที่ “สูงกว่า” ภาคขยายในตัว Amp Pro เกือบสองเท่าตัว (100W vs. 60W) เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ Amp Ultra เหนือกว่า Amp Pro อย่างชัดเจนในแง่ของสมรรถนะในการควบคุมลำโพง
ที่มาของตัวเลขกำลังขับ 100W ต่อข้างของ Amp Ultra ได้มาจากชิปแอมป์ของ TI เบอร์ TP3255 จำนวน 2 ตัว ในขณะที่ในตัว Amp Pro ใช้ชิปเบอร์เดียวกันแต่แค่ตัวเดียว ส่วน op-amp ที่ใช้ขยายสัญญาณในส่วนอื่นในรุ่น Amp Ultra ใช้ของ TI เบอร์ OPA1612 ถึง 6 ตัว ในขณะที่รุ่น Amp Pro ใช้อ๊อปแอมป์พื้นๆ เท่านั้น
ความแตกต่างอีกจุดที่มีส่วนสำคัญต่อคุณภาพเสียงมากเป็นพิเศษก็คือชิป DAC ที่ใช้ ซึ่งในรุ่น Amp Pro ใช้ชิปของค่าย ESS Technologies เบอร์ ES9038Q2M ในขณะที่รุ่น Amp Ultra เปลี่ยนมาใช้ชิปตัวใหม่คือ ES9039Q2M ซึ่งมีสเปคฯ บางข้อดีกว่า
Amp Ultra vs. Ultra + Vibelink
หลายคนรอผลสรุปของการเปรียบเทียบระหว่าง Amp Ultra กับคู่ของ Ultra + Vibelink Amp ซึ่งเป็นคู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกันมากกว่า Amp Pro เยอะ.!
มาดูการเปรียบเทียบในแง่ของ “ราคา” กันก่อน เริ่มด้วยราคาของ Amp Ultra ซึ่งอยู่ที่ 22,900 บาท ต่อตัว (*อ้างอิงราคาของผู้นำเข้าคือ บ. Sound Republic) ในขณะที่ราคาคู่ของ Ultra (13,990 บาท) + Vibelink Amp (14,990 บาท) สองตัวนี้รวมกันอยู่ที่ 28,980 บาท สูงกว่า Amp Ultra อยู่ 5,990 บาท (28,980 – 22,990) ซึ่งถือว่าเป็นส่วนต่างที่เยอะพอสมควร ต้องมาดูกันล่ะว่า ถ้าจะยอมจ่ายมากกว่าเกือบหกพันบาทเพื่อไปเล่นคู่ของ Ultra + Vibelink Amp จะได้อะไรคุ้มมั้ย.? หรือจะเล่นแค่ Amp Ultra ก็พอซึ่งจะประหยัดเงินได้ถึงหกพันบาท ไปใช้อัพเกรดสายลำโพง หรืออัพเกรดลำโพงดีกว่ามั้ย.??
เปรียบเทียบทางด้านการใช้งาน

เสร็จจาก “ราคา” เรามาต่อกันที่ “อินพุต” ที่ให้มา ซึ่งจะบ่งบอกถึงความยืดหยุ่นของการใช้งานว่าครอบคลุมได้กว้างแค่ไหน จากภาพข้างบน เริ่มที่ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณดิจิตัลกันก่อน จากภาพจะเห็นว่า อินพุตหลักๆ สำหรับรองรับสัญญาณดิจิตัล อย่างเช่น Ethernet (1), Optical (2), HDMI (3), USB (4) จะมีให้มาทั้งฝั่ง Amp Ultra และ Ultra + Vibelink Amp โดยให้มาอย่างละช่องเท่ากัน และที่ตัว Vibelink Amp ยังมีช่อง Coaxial input (5) มาให้อีกช่องในขณะที่ตัว Amp Ultra ไม่มีอินพุต Coaxial ที่ว่านี้
ส่วนช่องดิจิตัล เอ๊าต์พุตนั้น ทางฝั่ง Amp Ultra ไม่มีเลย ในขณะที่ฝั่ง Ultra + Vibelink Amp มีมาให้ทั้งช่อง Coaxial และ Optical ครบเลย ตรงนี้ถ้าคุณจำเป็นต้องใช้ช่อง digital output เพื่อปล่อยสัญญาณดิจิตัลจากภาคสตรีมเมอร์ออกไปใช้กับ external DAC ภายนอก กรณีก็เท่ากับว่า Amp Ultra ไม่ตอบโจทย์ของคุณ.!! ส่วนความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัลของช่องอินพุตดิจิตัล “ทุกช่อง” ที่ Amp Ultra และ Ultra + Vibelink Amp ให้มาจะรองรับได้สูงสุดอยู่ที่ 24/192 เท่ากันทั้งหมด
ที่ตัว Ultra มีอินพุต Phono (6) สำหรับรองรับสัญญาณจากหัวเข็ม MM มาให้ ซึ่ง Amp Ultra ไม่มีภาคขยายหัวเข็มให้มา มีแต่ช่อง analog input (7) มาให้ซึ่งทำงานเหมือนกับช่องอะนาลอก อินพุตบนตัว Ultra คือรับสัญญาณอะนาลอกเข้าไปผ่านวงจร ADC แปลงเป็นดิจิตัล (สูงสุดถึงระดับ 24/192) ก่อนจะแปลงกลับเป็นอะนาลอกที่ปลายทางอีกที แต่ช่อง analog input บนตัว Vibelink Amp จะมีความพิเศษกว่าช่องอะนาลอก อินพุตบนตัว Amp Ultra และ Ultra คือมันเป็นช่องอะนาลอก อินพุตแบบ ‘pure analog’ คือสัญญาณอะนาลอกที่ป้อนเข้าไปที่ตัว Vibelink Amp จะไม่ถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตัลเลยตลอดทั้งเส้นทาง ผ่านแต่วอลลุ่มแล้วไปออกที่เอ๊าต์พุตเลย ดังนั้น สมมุติว่าคุณมีเครื่องเล่นแผ่นเสียงใช้อยู่ในระบบ และต้องการที่จะฟังเสียงของเครื่องเล่นแผ่นเสียงของคุณแบบเพียวๆ อยากได้ยินเสียงบริสุทธิ์ที่ได้จากแผ่นเสียงออกมาแบบที่ไม่ถูกแปลงเป็นดิจิตัล กรณีนี้ตัว Vibelink Amp จะตอบสนองความต้องการของคุณได้ดีกว่าช่องอะนาลอก อินพุตของ Amp Ultra และช่องอะนาลอก อินพุตของตัว Ultra นอกจากนั้นก็เป็นช่อง Sub Out (8) ซึ่งมีมาให้ใช้ทั้งฝั่ง Amp Ultra และฝั่ง Ultra + Vibelink Amp
เปรียบเทียบทางด้านสมรรถนะ

ถ้าคุณเข้าไปดูตัวเลข “กำลังขับ” ในสเปคฯ ของ Amp Ultra เทียบกับตัวเลขกำลังขับในสเปคฯ ของ Vibelink Amp คุณจะพบว่า ตัวเลขมันออกมาเท่ากันเป๊ะ คือ 100W ที่ 8 โอห์ม และ 200W ที่ 4 โอห์ม ถ้าเป็นคนทั่วไปที่พอจะดูสเปคฯ เป็นแต่ไม่เข้าใจทางด้านอิเล็กทรอนิคส์มาบ้างอาจจะเข้าใจว่า ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว Amp Ultra กับภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว Vibelink Amp มีสมรรถนะในการควบคุมลำโพงเท่าๆ กัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เท่ากัน..!!!
ผู้ผลิตให้ข้อมูลทางเทคนิคเอาไว้ว่า ภาคแอมปลิายในตัว Vibelink Amp ใช้ชิปแอมป์ของ TI เบอร์ TPA3255 ซึ่งเป็นชิปแอมป์ class-D ทำงานร่วมกับอ๊อปแอมป์เบอร์ OPA1612 จำนวน 6 ตัว ในการสร้างกำลังขับ 100W ที่ 8 โอห์ม และ 200W ที่ 4 โอห์ม แต่ถ้าเข้าไปอ่านข้อมูลทางเทคนิคของภาคแอมป์ในตัว Amp Ultra คุณจะพบว่า กำลังขับข้างละ 100W ที่ 8 โอห์ม และ 200W ที่ 4 โอห์ม ของ Amp Ultra มันได้มาจากชิปแอมป์เบอร์ TPA3255 ของ TI เหมือนกัน แต่ในตัว Amp Ultra เขาใช้ถึง 2 ตัว ช่วยกัน คืออะไร.?
คือตัวชิป TPA3255 ของ TI ตัวนี้จริงๆ แล้ว ตามสเปคฯชีต มันมีความสามารถในการจ่ายกำลังขับได้สูงสุดถึง 315W ที่ 4 โอห์ม แต่ทางผู้ออกแบบของ WiiM ต้องการให้ภาคเพาเวอร์แอมป์ในตัว Amp Ultra มีสมรรถนะในการควบคุมลำโพงที่ดีกว่าภาคแอมป์ในตัว Vibelink Amp ขึ้นไปอีกระดับ พวกเขาจึงเบิ้ลชิปแอมป์ TPA3255 เข้ามาช่วยกันถึงสองตัว ซึ่งในทางเทคนิคการทำงานของภาคเพาเวอร์แอมป์มีกฏว่า กรณีของแอมป์ 2 ตัวที่มีกำลังขับเท่ากัน แต่ใช้เซมิคอนดักเตอร์ที่ทำหน้าที่ในการขยายกำลังขับชนิดเดียวกัน แต่ใช้จำนวนไม่เท่ากัน “กำลังขับ” ที่ออกมาจากแอมป์ตัวที่ใช้เซมิคอนดักเตอร์จำนวน “มากกว่า” จะมีสมรรถนะในการควบคุมลำโพงที่ดีกว่า ซึ่งส่งผลถึงคุณภาพของเสียงที่ดีกว่านั่นเอง
สเปคฯ ที่ใช้แสดงถึงความสามารถในการควบคุมลำโพงของภาคขยายของแอมป์ก็คือ “แด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์” (dampling factor) ซึ่งดูเหมือนว่า Amp Ultra จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกของ WiiM ที่ระบุสเปคฯ Damping Factor เอาไว้ในคู่มืออย่างชัดเจนว่าภาคขยายของ Amp Ultra มีอัตราแด้มปิ้ง แฟ็กเตอร์อยู่ที่ 94 ซึ่งอาจจะยังไม่ถึอว่าอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับเพาเวอร์แอมป์ class-AB ทั่วไป แต่ถ้าเทียบกับแอมป์หลอดก็ถือว่าตัวเลขนี้ค่อนข้างสูงแล้ว ซึ่งแอมป์ระดับมิดเอ็นด์ที่มีราคาไม่สูงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครระบุสเปคฯ ข้อนี้ไว้
สรุปแล้ว ถ้าจะเปรียบเทียบในแง่ของสมรรถนะในการควบคุมลำโพง ก็ต้องบอกว่า Amp Ultra มีสมรรถนะ “สูงกว่า” ภาคแอมปลิฟายของ Vibelink Amp แต่ในการทำงานจริงนั้น เสียงที่เกิดจากการขับลำโพงโดยภาคแอมป์ของ Amp Ultra หรือภาคแอมป์ของ Vibelink Amp ตัวไหนจะออกมาดีกว่ากัน ตัวแปรที่จะตัดสินก็คือ “ลำโพง” ถ้าคุณใช้ลำโพงที่มีความไวค่อนข้างสูง อยู่ในระดับตั้งแต่ “90dB ขึ้นไป” ไม่ว่าคุณจะขับด้วย Amp Ultra หรือ Ultra + Vibelink Amp คุณภาพเสียงที่ได้ออกมาจะไม่ต่างกันมาก แต่เมื่อไรก็ตามที่คุณใช้ลำโพงที่มีความไว (sensitivity) อยู่ในระดับ “ต่ำกว่า” 90dB ลงไป เสียงที่ได้จากการขับด้วยตัว Amp Ultra จะให้คุณภาพดีกว่า ยิ่งเปิดดังยิ่งรับรู้ได้ชัด ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าลำโพงของคุณมีความไวต่ำกว่า 88dB ลงไป ก็จะยิ่งไปเข้าทางของ Amp Ultra มากขึ้นไปอีก
การเชื่อมต่อ WiiM ‘Amp Ultra’
เข้ากับระบบเพื่อการฟังเพลงและดูหนังด้วยระบบเสียง stereo 2 channel

คำว่า all-in-one ในปัจจุบันมันเริ่มขยายขอบเขตออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ยกตัวอย่างเช่น Amp Ultra ตัวนี้เป็นต้น ถ้าไม่ตั้งสติดีๆ อาจจะพิจารณาได้ไม่ครบถ้วนก็ได้ว่าแอมป์ตัวเล็กๆ ตัวนี้มันทำอะไรได้บ้าง
ค่อยๆ แกะจากรูปข้างบนนั้น จะเห็นว่า ถ้าคุณชอบฟังเพลง ไม่ว่าจะสายดิจิตัลหรืออะนาลอก แอมป์ตัวนี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้ครบถ้วนมากๆ โดยเฉพาะการฟังเพลงด้วยระบบดิจิตัล เขาให้มาครบมากๆ จะเป็นการสตรีมไฟล์เพลงด้วยแอพลิเคชั่น WiiM Home มาเล่นแล้วส่งสัญญาณดิจิตัลผ่านทางสาย Ethernet เข้าทางช่องอินพุต LAN เพื่อป้อนให้กับภาค DAC ในตัว Amp Ultra ก็ได้ หรือจะใช้แอพลิเคชั่น WiiM Home ดึงไฟล์เพลงจาก USB External HDD ซึ่งเสียบอยู่ที่ช่องอินพุต USB ของ Amp Ultra มาเล่นแล้สส่งต่อสัญญาณดิจิตัลไปให้ภาค DAC ในตัว Amp Ultra ช่วยแปลงเป็นสัญญาณอะนาลอกก็ได้ หรือจะใช้สมาร์ทโฟน/แท็ปเล็ต สตรีมไฟล์เพลงจาก Spotify หรือ Tidal มาเล่นบนสมาร์ทโฟน/แท็ปเล็ต แล้วส่งสัญญาณดิจิตัลมาที่ Amp Ultra ผ่านทางอินพุตไร้สาย Bluetooth/Wi-Fi ของ Amp Ultra ก็ได้ หรือถ้าคุณเป็นคนที่พิศมัยกับการฟังเพลงจากแผ่นเสียง ก็สามารถเล่นแผ่นเสียงของคุณบนเครื่องเล่นที่มีภาคขยายหัวเข็มแล้วส่งสัญญาณอะนาลอกเข้ามาที่อินพุต analog in ของ Amp Ultra ก็ได้ นอกจากนั้น Amp Ultra ยังให้ช่องอินพุต HDMI (ARC) มาอีกช่องหนึ่ง สำหรับคนที่ชอบฟังเพลงแบบเห็นภาพไปด้วยผ่านทางแอพ YouTube บนทีวี ก็สามารถส่งผ่านสัญญาณเสียงจากทีวีของคุณมายัง Amp Ultra ผ่านทางช่องอินพุต HDMI ได้อีกช่องทางหนึ่ง
รีโมท Voice Control 2
รีโมทไร้สายที่แถมมาในกล่องเป็นรีโมทรุ่น Voice Control 2 ซึ่งดีไซน์สวยมาก คล้ายรีโมทของแอ็ปเปิ้ล


บนตัวรีโมทไม่รก มีเฉพาะคำสั่งที่จำเป็นๆ เท่านั้น อาทิเช่น เปิดเครื่อง / สแตนด์บาย, หรี่ / เพิ่มวอลลุ่ม, ปิดเสียงชั่วคราว, เลือกอินพุต ฯลฯ ที่เจ๋งมากคือชาร์จแบตได้ และใช้เสียงควบคุมสั่งงานได้
แอพ WiiM Home
นอกจากรีโมทไร้สายแล้ว WiiM ยังได้ออกแบบแอพลิเคชั่นมาให้ใช้ร่วมกับ Amp Ultra ตัวนี้ด้วย

หลังจากดาวน์โหลดมาติดตั้งบนอุปกรณ์พกพาของคุณแล้ว เมื่อจิ้มเปิดแอพขึ้นมา ที่หน้าโฮมของแอพตัวนี้จะมีหัวข้อหลัก (D) ปรากฏออกมาเป็นไอค่อนให้เลือกใช้งานอยู่ทั้งหมด 4 หัวข้อ คือ Favorites, Browse, Devices, Search และยังมีหัวข้ออื่นๆ ซ่อนอยู่ด้านในอีก 11 ข้อโดยรวบรวมไว้ที่หัวข้อ more ซึ่งส่วนใหญ่ในนั้นก็จะเป็นการแสดงข้อมูลต่างๆ อย่างช่น เวอร์ชั่นของแอพ, การปรับแต่งหน้าตาของแอพ, คู่มือออนไลน์ ฯลฯ ซึ่งหัวข้อที่ใช้เช็คเวอร์ชั่นและอัพเดตเฟิร์มแวร์ก็อยู่ในนี้
ที่หัวข้อ Favorites นั้น เป็นที่เก็บรวบรวมเพลงที่เพิ่งเล่นไป รวมถึงเพลงจากผู้ให้บริการ (อย่างเช่น TIDAL, Spotify ฯลฯ) ที่เล่นบ่อย ส่วนหัวข้อ Browse ใช้เลือกอินพุต และแหล่งต้นทางที่จะทำการสตรีมไฟล์เพลง หัวข้อ Devices แสดงอุปกรณ์เครื่องเสียงทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่ในเน็ทเวิร์คเดียวกับตัว Amp Ultra ตัวนี้ และหัวข้อ Search มีไว้ให้ค้นหาเพลงที่ต้องการฟัง
ลองฟังเพลงจาก NAS
หน้าที่หลักของ WiiM ‘Amp Ultra’ ก็คือเล่นไฟล์เพลง ซึ่งพื้นฐานของออล–อิน–วันตัวนี้ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อให้สามารถเล่นไฟล์เพลงได้จากหลายแหล่ง ทั้งสตรีมสัญญาณมาจากเน็ทเวิร์ค และรับสัญญาณอะนาลอกตรงมาจากอุปกรณ์เครื่องเล่นต่างๆ อาทิเช่น รองรับสัญญาณจากเครื่องเล่นซีดี/เอสเอซีดี และรองรับสัญญาณจากเครื่องเล่นแผ่นเสียง โดยเข้ามาทางอินพุต Line In ซึ่งหลังจากสัญญาณเหล่านั้นผ่านเข้าไปในตัวเครื่องจะถูกแปลงให้เป็นสัญญาณดิจิตัลด้วย ADC ที่มีความละเอียดสูงสุดถึง 24/192
ทำไมต้องแปลงเป็นดิจิตัลก่อน.? เหตุผลก็เพื่อให้คุณสามารถปรับแต่งสัญญาณเหล่านั้นด้วยฟังท์ชั่นพิเศษที่ Amp Ultra มีอยู่ อย่างเช่นฟังท์ชั่นปรับแต่งเสียงด้วย EQ นั่นเอง

ทั้ง 6 ภาพ ข้างบนนั้นคือขั้นตอนการเลือกเล่นไฟล์เพลงของผมเองที่ริปและเก็บไว้ใน NAS ของ QNAP และติดตั้งโปรแกรม MinimServer เอาไว้ให้ทำหน้าที่เป็นมีเดียเซิร์ฟเวอร์คอยคุยกับสตรีมเมอร์ผ่านทางเน็ทเวิร์ค ซึ่ง WiiM จะเอาเซิร์ฟเวอร์บนเน็ทเวิร์คทั้งหมดไปรวมกันไว้ในหัวข้อ Home Music Share (ศรชี้ / ภาพ A) เมื่อจิ้มลงไปที่หัวข้อนี้ แอพจะพาคุณมาที่หน้ารวมของแหล่งเก็บไฟล์เพลงทั้งหมดที่เชื่อมต่ออยู่กับ Amp Ultra บนเน็ทเวิร์ค โดยแยกออกเป็นหัวข้อ Media Server, Shared Folder และ Virtual Folder ซึ่งในภาพ B จะปรากฏ MinimServer ซึ่งเป็น NAS ของผมโผล่ขึ้นมา กรณีที่เป็นครั้งแรกที่เริ่มต้นเปิดเครื่อง Amp Ultra ขึ้นมานั้น เมื่อจิ้มเลือกไปที่ MinimServer แอพจะทำการสแกนไฟล์เพลงที่อยู่ใน NAS เพื่อดึงเอา matadata (ข้อมูลที่กำกับอยู่กับไฟล์เพลงแต่ละเพลง) พร้อมภาพปกของไฟล์เพลง “ทั้งหมด” ที่อยู่ใน NAS ขึ้นมาทำ Library ไว้ให้คุณเลือกไฟล์เพลงเหล่านั้นมาเล่น
ในภาพ C จะเห็นว่า แอพสำรวจพบไฟล์เพลงรวมทั้งภาพปกใน NAS จำนวนทั้งหมด 95,884 หน่วย แยกเป็นอัลบั้มได้ทั้งหมด 7,107 อัลบั้ม ซึ่งผมพบว่า แอพ WiiM Home ตัวนี้ใช้เวลาในการสแกนไฟล์เร็วมาก.!! มันใช้เวลาไม่ถึง 2 นาที ก็ทำการสแกนไฟล์เพลงได้ครบทั้งหมด พร้อมให้ดึงมาเล่นได้เลย ยอดเยี่ยมมาก.. ซึ่งครั้งต่อไปที่เปิดเครื่องขึ้นมาก็ไม่ต้องสแกนอีก หลังจากสแกนครบแล้ว ก็กดปุ่ม Let’s Get Started (ศรชี้ / ภาพ D) แอพจะโชว์ไฟล์เพลงเหล่านั้นขึ้นมา โดยมีวิธีแสดง 2 แบบ ให้คุณเลือก แบบแรกคือโชว์ภาพปกขนาดเล็กเรียงเป็นแนวตั้งจากบนลงล่าง โดยที่แต่ละปกจะมีชื่ออัลบั้ม, ศิลปิน ตามมาทางขวา แบบที่สอง โชว์ภาพปกขนาดใหญ่ โดยมีชื่ออัลบั้ม, ศิลปิน อยู่ด้านล่าง ลักษณะตามที่เห็นในภาพ E เมื่อต้องการฟังอัลบั้มไหน ก็จิ้มลงไปที่ภาพปกของอัลบั้มนั้น ตามตัวอย่างในภาพ E ผมทดลองจิ้มลงไปที่อัลบั้ม Gerry Mulligan meets Ben Webster (ศรชี้) แอพจะแสดงรายชื่อเพลงในอัลบั้มนี้ขึ้นมาให้เราเห็น เมื่อจิ้มลงไปที่ปุ่ม Play ตรงเพลงที่ต้อการฟัง เพลงนั้นก็จะเริ่มเล่นในขณะที่หน้าปกแอพจะเปลี่ยนไปตามภาพ F

ภาพข้างบนเป็นภาพบนหน้าจอแอพขณะกำลังเล่นไฟล์เพลง ซึ่งสัญลักษณ์ที่อยู่ด้านบน (ศรสีแดง) ตรงนั้นจะเป็นตัวบอกว่ากำลังเล่นไฟลืเพลงจากเซิร์ฟเวอร์ไหน ในภาพคือจาก UPnP Media Server ซึ่งในที่นี้ก็คือ NAS (MinimServer) ของผมนั่นเอง ส่วนข้อความในกรอบสีเทาที่อยู่ด้านล่างของปกอัลบั้มที่กำลังเล่นก็คือชื่อเพลง, ชื่อศิลปิน และชื่ออัลบั้มที่กำลังเล่น ถัดลงไปที่ลูกศรสีเหลืองชี้นั้นแสดงความยาวของเพลงที่เล่นไปแล้ว ส่วนตัวเลขที่ลูกศรสีเขียวชี้อยู่นั้นคือปริมาณบิตเรตของไฟล์เพลงที่กำลังเล่นซึ่งมีหน่วยเป็น kbps (กิโลบิตต่อวินาที) ตามด้วยฟอร์แม็ตของสัญญาณที่กำลังเล่น ในภาพคือ 24-bit/192 kHz ซึ่งภาพข้างบนนี้แสดงให้เห็นว่า ตัวโปรแกรมเล่นไฟล์เพลงที่ Amp Ultra ใช้ในการเล่นไฟล์เพลงมันมีฟังท์ชั่น sample rate conversion (SRC) อยู่ด้วย เพราะไฟล์เพลง Wrap Your Troubles In Dreams ของ Ayako Hosokawa ที่ผมเลือกขึ้นมาทดลองฟังนี้ตัวออริจินัลเป็นไฟล์ DSF64 เมื่อดึงขึ้นมาเล่น พบว่า ตัวโปรแกรมเล่นไฟล์เพลงในตัว Amp Ultra มันทำการแปลงเป็นสัญญาณ PCM 24/192 แสดงว่า ผู้ออกแบบ Amp Ultra ต้องการให้ภาค DAC ในตัว Amp Ultra แปลงสัญญาณ PCM เป็นหลัก เมื่อเจอกับสัญญาณ DSD ตัวเพลเยอร์มันจึงแปลงเป็น PCM ก่อนส่งไปให้ภาค DAC ซึ่งผมทดลองเล่นมาจนถึงระดับ DSD256 รวมถึงฟอร์แม็ต DXD คือ 352.8kHz พบว่า โปรแกรมเล่นไฟล์เพลงในตัว Amp Ultra สามารถเล่นได้ทั้งหมด แต่ทุกฟอร์แม็ตที่มีสเปคฯ เกิน PCM 24/192 จะถูกแปลงลงมาอยู่ที่ 24/192 ทั้งหมด ซึ่งเสียงที่ออกมาก็ไม่ขี้เหร่นะ ฟังดีเลย เนื้อเสียงมีความนวลเนียนที่รับรู้ได้ถึงคุณภาพเสียงว่าดีกว่าไฟล์ lossy อย่าง MP3 เยอะมาก
ในกรอบสีม่วงที่อยู่ถัดลงมาเป็นเครื่องมือที่ใช้ควบคุมการเล่นไฟล์เพลง ส่วนเส้นสีขาวที่อยู่ถัดลงไป (ศรสีฟ้า) คือสเกลที่แสดงระดับวอลลุ่ม สุดท้ายในกรอบสีส้มที่อยู่ล่างสุดนั้นมีอยู่ 3 คำสั่ง อันแรกที่เป็นรูปลำโพงคือโซนที่ต้องการเล่น, ถัดมาคือเลือกให้เสียงออกไปที่ลำโพงหรือจะส่งออกไปทาง Bluetooth Out ส่วนอันที่สามคือช่องทางเข้าไปปรับ EQ
ฟังท์ชั่นปรับ EQ

EQ ที่ให้มาสามารถใช้กับการเล่นไฟล์เพลงจากทุกแหล่ง มีมาให้ใช้ปรับทั้งแบบ Graphic EQ และแบบ Parametric EQ โดยมีสไลด์มาให้ปรับมากถึง 10 แบนด์ ตั้งแต่ 31Hz, 63Hz, 125Hz, 250Hz, 500Hz, 1kHz, 2kHz, 4kHz, 8kHz และ 16kHz ครอบคลุมทั้งทุ้ม–กลาง–แหลมครบหมด แถมแต่ละแบนด์ยังมีเร้นจ์ให้ปรับตั้งได้มากถึง 24dB (+/-12dB) เลยทีเดียว.!!
ซึ่งคุณสามารถปรับตั้งแล้วบันทึกค่าแยกเก็บแต่ละอินพุตอิสระต่อกันได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีค่าที่ปรับสำเร็จมาให้เลือกใช้แบบง่ายๆ ด้วย ซึ่งให้มามากถึง 24 รูปแบบ..!!! คือมีทั้งค่าที่ปรับมาโดยตั้งใจบู๊สต์เฉพาะเสียงร้อง (vocal Booster) หรือบู๊สต์เฉพาะเสียงเปียโน (Piano) และบู๊สต์เฉพาะเสียงพูด (Spoken Word) และแบบที่ตั้งใจปรับมาเพื่อให้เหมาะกับลักษณะ sound ของเพลงบางแนว อาทิเช่น Classical, Jazz, Latin, Dance, Deep, Electronic, Hip-Hop, Pop, R&B และ Rock ไปจนถึงปรับตั้งมาเพื่อเพิ่ม/ลดความถี่ในย่านแหลม (Treble Booster, Treble Reducer) หรือเพิ่ม/ลดความถี่ในย่านทุ้ม (Bass Booster, Bass Reducer) กับค่าที่ปรับตั้งมาด้วยจุดประสงค์อื่นๆ อีก อย่างเช่น Game สำหรับเล่นวิดีโอเกมส์, Loudness บู๊สต์ทุกย่านขึ้นมาหมดแต่เน้นทุ้มมากหน่อย, Small Speaker ปรับมาให้เหมาะใช้กับลำโพงขนาดเล็ก และสุดท้ายคือ Flat เป็นการเอาสัญญาณมาผ่านฟังท์ชั่น EQ แต่ปรับตั้งค่าไว้ที่ 0 ทุกแบนด์ ซึ่งเสียงจะต่างไปจากปิดใช้งานฟังท์ชั่น EQ เล็กน้อย
หลังจากทดลองใช้งานฟังท์ชั่น EQ ของ Amp Ultra ตัวนี้อยู่หลายชั่วโมง ผมพบว่า มันมีส่วนช่วยให้ได้เสียงที่ดีขึ้นมากถ้าปรับใช้อย่างถูกต้อง ที่ชัดเจนที่สุดคือช่วยปรับโทนัลบาลานซ์ของเสียงให้มีความสมดุลมากขึ้น ในกรณีที่จับคู่ Amp Ultra กับลำโพงบางคู่แล้วพบว่า โทนัลบาลานซ์ของเสียงออกมาไม่ตรงกับที่คุณชอบ ไม่ว่าจะเป็นไปในลักษณะว่าทุ้มมากไป, แหลมมากไป, หรือว่ากลางโด่งไป ฯลฯ ด้วยสเกลของย่านเสียงที่แยกมาให้ปรับที่ค่อนข้างละเอียด คือสามารถปรับเพิ่ม/ลดได้สเต็ปละ 0.1dB ทำให้สามารถใช้ฟังท์ชั่น EQ ของ Amp Ultra ช่วยแก้โทนเสียงของลำโพงคู่นั้นให้ออกมาในแนวทางที่คุณชอบได้ ซึ่งบอกเลยว่า ผมรู้สึกสนุกกับการปรับจูน EQ ของแอมป์ตัวนี้มาก..!!
ลองฟัง TIDAL กับ Amp Ultra


ลองเปลี่ยนมาฟังการสตรีมไฟล์เพลงจากผู้ให้บริการอย่าง TIDAL ดูบ้าง จากภาพข้างบนเป็นหน้าจอแอพขณะสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL จะเห็นว่า ที่หน้าจอแอพบนมือถือแจ้งว่าเป็นไฟล์ระดับ HIGH 16-bit/44.1kHz ในขณะที่บนจอแสดงผลของตัวเครื่อง Amp Ultra แสดงคุณสมบัติของไฟล์เพลงที่กำลังเล่นออกมาเป็นจำนวนบิตเรตของไฟล์ออกมาเป็น 688kbps 16-bit/44.1kHz เสียงที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก รายละเอียดคมชัด การแยกแยะดี เวทีเสียงแผ่กว้าง ถ้าคุณยังไม่เคยฟังเสียงจากชุดเครื่องเสียงดีๆ มาก่อน รับรองว่าถ้ามาได้ยินเสียงเพลงนี้ที่เล่นผ่าน Amp Ultra ตัวนี้คุณจะต้องหลงรักการฟังเพลงมากขึ้นอีกโขเลย..!!
ลองฟัง YouTube Music กับ Amp Ultra


YouTube Music เป็นบริการฟังเพลงผ่านแอพ YouTube แบบไม่มีโฆษณา แต่คุณต้องสมัครสมาชิก YouTube Premium ก่อนถึงจะสามารถใช้บริการ YouTube Music นี้ได้ ซึ่งค่าบริการ YouTube Premium แยกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ใช้งานบนเว็บไซต์และบนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android กับประเภทที่ใช้งานบนอุปกรณ์พกพาที่ใช้ระบบปฏิบัติการ iOS โดยที่แต่ละประเภทยังมีแยกย่อยลักษณะของผู้ใช้งานออกไปอีกประเภทละ 3 กลุ่ม ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่ต่างกัน ดังนี้
YouTube Premium (บนเว็บไซต์ และอุปกรณ์พกพา Android)
– รายบุคคล : ราคา 179 บาท / เดือน (1,790 บาท / ปี)
– แบบครอบครัว : ราคา 359 เดือน
– แบบนักเรียน, นักศึกษา : ราคา 109 บาท / เดือน
YouTube Premium (บนอุปกรณ์พกพา iOS)
– รายบุคคล : ราคา 239 บาท / เดือน (1,790 บาท / ปี)
– แบบครอบครัว : ราคา 469 เดือน
– แบบนักเรียน, นักศึกษา : ราคา 109 บาท / เดือน
จะเห็นว่า ค่าใช้บริการของคนที่ใช้งาน YouTube Premium บนอุปกรณ์พกพา iOS จะมีราคาสูงกว่ากลุ่มผู้ใช้งานบนอุปกรณ์พกพา Android และบนเว็บไซต์ อยู่พอสมควรสำหรับกลุ่มที่สมัครใช้แบบรายบุคคลและครอบครัว คนที่สมัครใช้งาน YouTube Premium อยู่แล้วคุณจะได้สิทธิ์ใช้งาน YouTube Music โดยไม่มีโฆษณาคั่นไปด้วยโดยอัตโนมัติ สำหรับคนที่ยังไม่เคยสมัครใช้งาน YouTube Music มาก่อน คุณต้องไปสมัครใช้บริการ YouTube Premium ก็จะได้สิทธิ์ใช้งาน YouTube Music โดยปริยาย
เสียงของ YouTube Music ผ่านแอพ WiiM Home บน Amp Ultra
ขั้นตอนในการเข้าใช้งาน YouTube Music บนแอพ WiiM Home มีขั้นตอนอยู่ 2-3 ขั้นตอน ใครที่มีแอคเคาต์ Google อยู่แล้วจะง่ายหน่อย

ผมลองเซิร์สหาเพลง “ความเหงาเคล้าความขมขื่น” ของ ปาน ธนพร แวกประยูร ซึ่งเป็นงานของค่ายใบชาซองค์ ของคุณบรรณ สุวรรณโณชิน ปรากฏว่ามีด้วย.. ซึ่งไฟล์ที่ YouTube Music มีให้ฟังเป็นไฟล์ MP3 ที่มีระดับบิตเรตให้คุณสามารถเข้าไปเลือกฟังได้ 3 ระดับ คือ
LOW : 48 kbps
NORMAL : 128kbps
HIGH : 256 kbps
ซึ่งคุณต้องเข้าไปทำการปรับเลือกในแอพ YouTube Music แล้วมันจะลิ้งค์กับแอพ YouTube Music บนแอพ WiiM Home โดยอัตโนมัติ ซึ่งประโยชน์ของการเล่น YouTube Music บนแอพ WiiM Home ผ่านตัวเครื่อง Amp Ultra ที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งก็คือทำให้คุณสามารถปรับ EQ เพื่อจูนเสียงได้นั่นเอง ซึ่งจากการทดลองฟังเพลงหลายๆ เพลงผ่านแอพ YouTube Music บนแอพ WiiM Home ผ่านตัวเครื่อง Amp Ultra โดยมีลำโพง Audio Physic รุ่น Classic 8 เชื่อมต่อกับเอ๊าต์พุตของ Amp Ultra ผมพบว่า อย่างแรกคือ “ความดัง” ของเสียงมันให้ความดังที่มากเกินพอสำหรับห้องรับแขกขนาดพื้นที่มากกว่า 20 ตรม. ที่บ้านผม คือเปิดวอลลุ่มของ Amp Ultra เพียงแค่สเกล 25 – 30 เท่านั้น เสียงที่ออกมาก็ดังเต็มพื้นที่แล้ว และเสียงที่ออกมาก็ยังให้คุณภาพที่ดีกว่าที่คาดเยอะเลย.!!

เสียงที่ออกมามีน้ำหนัก มีอิมแพ็คที่คมและหนักเพียงพอต่อการขยับเท้าตามจังหวะของเพลงได้อย่างสบาย ต้องยอมรับว่า ทีมออกแบบ WiiM ‘Amp Ultra’ ตัวนี้ปรับจูนเสียงออกมาได้สมดุลดี โทนัลบาลานซ์ดี ความถี่ที่ออกมาครบทั้งย่านทุ้ม–กลาง–แหลม ไม่ขาด (*ถ้าคุณปรับจูน EQ ของ Amp Ultra ให้ลงตัวกับลำโพงที่ใช้) ถ้าถามหาคะแนนรวมสำหรับ Amp Ultra ในการเล่นไฟล์เพลงจาก YouTube Music จากเต็ม 10 ผมให้ 9 เลย ฟังเพลินมาก..!!!
สรุป
WiiM ทำรุ่น Amp Ultra ออกมาหวังเจาะตลาดคนที่ต้องการความเรียบง่าย ไม่ซับซ้อน จบที่เครื่องเดียว ทุกอย่างที่ให้มาต้องถือว่าครอบคลุมและเพียงพอสำหรับคนที่เป็น “นักฟังเพลง” จริงๆ
แต่ที่นอกเหนือความคาดหมายก็คือภาคแอมปลิฟายที่พูดได้ว่า ให้ประสิทธิภาพ “สูง” กว่าภาคเพาเวอร์แอมป์ที่อยู่ในแอมป์ทุกรุ่นที่ WiiM ทำออกมา.! แม้ว่าตัวเลขกำลังขับจะเท่ากับรุ่น Vibelink Amp แต่ด้วยเบื้องหลังของดีไซน์ที่ใช้ชิป TPA3255 ของ TI ช่วยกันถึง 2 ตัว (ในขณะที่ Vibelink Amp ใช้ TPA3255 แค่ตัวเดียว) จึงทำให้ Amp Ultra สามารถขับลำโพงออกมาได้หมดจดมากกว่า ด้วยกำลังขับที่เท่ากัน แต่ชิปแต่ละตัวใน Amp Ultra ทำงาน “ต่ำกว่า” ความสามารถที่แท้จริง ส่งผลให้เสียงที่ออกมามีความเพี้ยนต่ำกว่า และมีกำลังสำรองมากพอสำหรับขับลำโพงที่มีขนาดใหญ่อย่างลำโพงตั้งพื้นออกมาได้ดีกว่า
เสียงโดยรวมของ Amp Ultra มีลักษณะที่เปิดโปร่ง ตัวเสียงลอย เป็นอิสระ เวทีเสียงแผ่กว้าง ไดนามิกสวิงกว้าง ทรานเชี้ยนต์คมและกระชับ เนื้อเสียงสะอาด น้ำเสียงผ่อนคลาย ไม่เครียด แม้ว่าจะขับลำโพงที่มีระดับราคาสูงกว่าหลายเท่าอย่าง Audio Physic รุ่น Classic 8 น้ำเสียงที่ออกมาก็ยังไม่เครียด สามารถเปิดได้ดังเต็มพื้นที่อากาศภายในห้อง แสดงถึงสภาวะที่กำลังขับของ Amp Ultra ต่อสู้กับโหลดของลำโพงได้อย่างสบาย ซึ่งถ้าเปรียบเทียบในแง่ความสามารถต่อสู้กับแรงต้านของโหลดของลำโพงแล้ว Amp Ultra เหนือกว่าทั้ง Amp Pro และ Vibelink Amp อย่างชัดเจน..!!!
***** HIGHLY RECOMMENDED!!! *****
สำหรับ
All-in-One ระดับราคา “ไม่เกิน 25,000 บาท“
***********************
ราคา : 22,900 บาท / ตัว
***********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Sound Republic by Home HiFi
โทร. 02-448-5489
facebook: soundrepublic



