รีวิว Wilson Audio รุ่น Sabrina V

โดยมากแล้ว ลำโพงแพงๆ จะทำให้เพลงที่ฟังมี ความไพเราะมีความแพง มีความละมุนละม่อมมากกว่าฟังผ่านลำโพงที่มี ราคาต่ำกว่าลงมา แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า ลำโพงแพงๆ ทุกคู่จะมีคุณค่าในตัวเองอยู่ในระดับที่สูงพอสมกับคำว่า ไฮเอ็นด์” ..!!

อะไรเป็นตัวกำหนดว่าลำโพงคู่ไหนมีคุณค่ามากพอถึงระดับที่จะหยิบยกคำว่า ไฮเอ็นด์ฯให้มันได้.? สำหรับผม ผมจะถือว่า ลำโพงคู่ไหนที่มีคุณสมบัติในการถ่ายทอดคุณภาพเสียงได้สูงถึงระดับ Hi-Fidelity ผมจะยอมรับลำโพงคู่นั้นว่ามีคุณค่าสูงพอกับความเป็น ลำโพงไฮเอ็นด์ฯแล้ว

คำว่า Hi-Fidelity ในอดีตนั้น มันคือ หมุดหมายที่ถูกกำหนดขึ้นในขณะที่เทคโนโลยีในการ playback ในยุคสมัยนั้นยังพัฒนามาไม่ถึงระดับที่จะสามารถถ่ายทอดเสียงจากระบบเพลย์แบ็คที่มีคุณสมบัติ เหมือนกับเหตุการณ์ตอนที่เพลงนั้นถูกบันทึกไว้ได้ ดังนั้น เป้าหมายของคำว่า Hi-Fidelity จึงพิจารณาที่ ความสามารถ (ของระบบเพลย์แบ็ค) ในการถ่ายทอดเสียงที่มีองค์ประกอบเหมือนสัญญาณต้นฉบับที่รับเข้ามาทางอินพุตทุกประการ ซึ่งในยุคแรกๆ นั้น อุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละชิ้นที่ประกอบกันอยู่ในระบบเพลย์แบ็คทั้งสามส่วนหลัก ได้แก่ แหล่งต้นทาง + แอมป์ + ลำโพง ยังไม่สามารถขจัด distortion หรือความเพี้ยนที่เกิดขึ้นระหว่างการจัดการกับสัญญาณอินพุตออกไปได้อย่างเด็ดขาด ถ้าหยิบเอาสเปคฯ ของเครื่องเล่นฯ, แอมปลิฟาย หรือลำโพง รุ่นเก่าๆ ในอดีตประมาณยี่สิบปีที่แล้วหรือมากกว่า มาพิจารณาดู จะพบว่า ตัวเลข THD + Noise ของอุปกรณ์เครื่องเสียงเหล่านั้นจะอยู่ในระดับที่ สูงกว่าอุปกรณ์เครื่องเสียงในยุคปัจจุบันมาก นั่นแสดงว่า เครื่องเสียงรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันสามารถขจัด distortion ออกไปจากตัวมันได้เยอะมากแล้ว ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด จะทำได้ ต่ำกว่า1% ทั้งนั้น..!!!

คำถามก็คือ เมื่ออุปกรณ์เครื่องเสียงที่เป็นองค์ประกอบหลักในกระบวนการ playback มี ความผิดเพี้ยน” (distortion) ในการทำงานน้อยลงมาก น้อยจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความเพี้ยนหลงเหลือเช่นนั้นแล้ว ความเที่ยงตรงและแม่นยำในการทำงานของเครื่องเล่นฯ, แอมป์ และลำโพง เหล่านั้นจะส่งผลลัพธ์ออกมาเช่นไร.. เสียงที่เกิดจากการ playback ของซิสเต็มที่ประกอบด้วยอุปกรณ์เครื่องเสียงที่มีความเพี้ยนต่ำ (ควร) จะมีลักษณะเช่นไร.?

ในความเห็นของผม เครื่องเสียงที่มีคุณสมบัติเหมาะสมกับคำว่า ไฮเอ็นด์ฯควรจะต้องให้เสียงออกมาได้ มากกว่าแค่ฟังแล้วรู้สึกเพราะดี แต่ต้องให้ ประสบการณ์บางอย่างที่เครื่องเสียงระดับต่ำกว่าไม่สามารถให้ได้ คือต้องฟังแล้วทำให้เกิด ความรู้สึกว่ากำลังฟังการบรรเลงเพลงนั้นสดๆ ณ เวลานั้น เหมือนตอนที่เพลงนั้นถูกบันทึกมา หรือฟังแล้วเหมือนถูกดึงดูดให้ย้อนเข้าไปอยู่ในขณะเวลาที่เพลงนั้นกำลังถูกบันทึกเสียงเอาไว้.. ต้องทำให้ได้แบบนั้นถึงจะเรียกว่า ไฮเอ็นด์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ..!!!

จาก Sabrina เวอร์ชั่นแรก
สู่ Sabrina X ในบทต่อมา..

เวอร์ชั่นแรกสุดของลำโพง Wilson Audio รุ่น Sabrina เปิดตัวสู่สาธารณะเมื่อวันที่ 12 มีนาคม ปี 2015 ก่อนจะส่งคู่แรกให้กับผู้โชคดีช่วงปลายเดือนเดียวกันนั้น หลังจากนั้นผ่านไปประมาณ 5 ปีกับอีก 6 เดือน ทาง Wilson Audio ก็ประกาศเปิดตัวลำโพงรุ่น Sabrina เวอร์ชั่น ‘Xออกมาเมื่อวันที่ 1 กันยายน ปี 2020 ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่มีการปรับปรุงจาก Sabrina เวอร์ชั่นแรกไปถึง 6 จุด หลักๆ

รูปร่างหน้าตาของ Sabrina เวอร์ชั่นแรก (first edition)

รูปร่างหน้าตาของ Sabrina X

ส่วนที่อัพเกรดจาก
Sabina เป็น Sabrina X

1. ตัวตู้ (Cabinet)

เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และส่งผลกระทบกับเสียงของลำโพงรุ่นนี้มากที่สุด นั่นคือการเปลี่ยนแปลงส่วนของวัสดุที่ใช้ทำผนังตู้ทั้งตัวของ Sabrina X จากเวอร์ชั่นแรกเดิมที่ทำด้วยวัสดุผสม (composite) ระหว่างโพลีเมอร์, ผงแร่, ผงคาร์บอน และใยกระดาษ ตามสูตรเฉพาะที่พวกเขาคิดขึ้น โดยมีการใช้วัสดุที่เรียกว่า X-Material ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดแรงสั่นได้ดีเฉพาะชิ้นส่วนที่เป็นแผงหน้าของตัวตู้กับชิ้นส่วนที่ใช้ติดตั้งเดือยแหลมที่อยู่ใต้ฐานของลำโพง

พอมาเป็นเวอร์ชั่น X ได้มีการเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำตัวตู้มาเป็น X-Materialทั้งหมดซึ่งเป็นที่มาของตัวอักษร ‘Xที่ต่อท้ายอยู่หลังชื่อรุ่นนั่นเอง ซึ่งผู้ผลิตเคลมว่า วัสดุ X-Material นี้ได้ทำให้ตัวตู้ของ Sabrina X มี ความสงัดสูงกว่าเวอร์ชั่นแรกอย่างชัดเจน

2. ทวีตเตอร์ (Tweeter)

Sabrina เวอร์ชั่นแรกใช้ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมขนาด 1 นิ้ว ที่ออกแบบขึ้นมาใช้พร้อมกับตัวลำโพง ซึ่งช่วงที่พวกเขากำลังอัพเกรด Sabrina ขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่น ‘Xเป็นช่วงที่ Daryl Wilson ลูกชายของเดฟ วิลสันกับเอ็นจิเนียร์ของพวกเขาเพิ่งเสร็จจากการพัฒนารุ่น Chronosonic XVX ซึ่งเป็นรุ่นรองท็อปของแบรนด์ (ถือเป็นรุ่นท็อปแรกจากมันสมองของ Daryl Wilson) ซึ่งในรุ่นนั้นใช้ทวีตเตอร์ซอฟท์โดมรุ่น Convergent Synergy MK5 ที่เพิ่งพัฒนาขึ้นมาใช้กับลำโพงรุ่น Chronosonic XVX และได้ผลลัพธ์ที่ดี พวกเขาจังตัดสินใจเอาทวีตเตอร์ Convergent Synergy MK5 ตัวนี้เข้ามาใช้กับ Sabrina X แทนทวีตเตอร์ตัวเดิมที่ใช้อยู่ใน Sabrina เวอร์ชั่นแรก

3. วูฟเฟอร์ (Woofer)

วูฟเฟอร์ที่ใช้ในรุ่น Sabrina เวอร์ชั่นแรก มีขนาด 8 นิ้ว ไดอะแฟรมทำด้วยกระดาษปั่น ซึ่งในเวอร์ชั่น ‘Xได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ไดเวอร์ขนาด 8 นิ้ว ที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่ใช้อยู่ในรุ่น Sasha DAW

4. วงจรตัดแบ่งความถี่ (Crossover)

มีการปรับปรุงคาปาซิเตอร์ที่ใช้อยู่ในวงจรตัดแบ่งความถี่ที่เป็นคาปาซิเตอร์แบบธรรมดาในรุ่นแรก มาเป็น AudioCapX รวมถึงคาปาซิเตอร์ Cap X ที่ปรับปรุงขึ้นมาเพื่อใช้กับ Sabrina เวอร์ชั่น Xโดยเฉพาะด้วย

5. ท่อระบายอากาศ (Port)

Sabrina ถูกออกแบบให้เป็นลำโพงสามทางที่แบ่งช่องว่างภายในตัวตู้ออกเป็นสองส่วน โดยที่ท่อนบนสำหรับตัวมิดเร้นจ์ และท่อนล่างสำหรับตัววูฟเฟอร์ ซึ่งในเวอร์ชั่นแรกนั้น ท่อระบายอากาศทั้งท่อนบนและท่อนล่างจะเป็นแบบท่อกลม และท่อระบายอากาศท่อนบนจะมีขนาดเล็กกว่าท่อนล่าง พอมาเป็นเวอร์ชั่น Xพวกเขาได้เปลี่ยนท่อระบายอากาศท่อนบนจากท่อกลมมาเป็นแบบวงรียาวๆ แทนเพื่อลดแรงเสียดสีที่ปากท่อ ในขณะที่ท่อระบายอากาศท่อนล่างยังคงเหมือนเดิม

6. เดือยแหลม (Spikes)

เดือยแหลมที่ติดตั้งอยู่ที่มุมทั้ง 4 มุม ของส่วนฐานของตัวลำโพงที่ช่วยพยุงตัวตู้ให้ลอยขึ้นมาจากพื้นนั้น ในเวอร์ชั่น Sabrina เป็นแค่เดือยแหลมธรรมดาเหมือนที่พบเห็นอยู่ในลำโพงระดับกลางๆ ทั่วไป ซึ่งในเวอร์ชั่น Xเดือยแหลมตัวนี้ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นแบบที่มีขนาดใหญ่ขึ้น มีระบบกลไกที่ดูพิเศษมากขึ้น ทาง Wilson Audio เรียกมันว่า acoustic diode system และเคลมว่ามันช่วยลดแรงสั่นสะเทือนได้ดีกว่าแบบเดิมมาก

*** ถ้าอยากรู้ว่า Sabrina X ให้เสียงออกมาเป็นอย่างไร ผมได้ทำการทดสอบ Sabrina X ไว้แล้ว และได้ทำบทความเกี่ยวกับการเปิดตัว Sabrina X ไว้ด้วย เชิญคลิ๊กลิ้งค์ด้านล่างนี้เข้าไปอ่านได้เลย..

REVIEW – Wilson Audio ‘Sabrina X’
เปิดตัว – Wilson Audio ‘Sabrina X’

Sabrina V
เจนเนอเรชั่นที่ 3 ของ น้องเล็กจากครอบครัว Wilson Audio

หลังจากเปิดตัว Sabrina X ออกสู่ตลาดมาประมาณ 5 ปี Daryl Wilson กับทีมออกแบบของเขาก็หันไปพัฒนาปรับปรุงรุ่นอื่นๆ ออกมาเรื่อยๆ ก่อนจะกลับมาปรับปรุงและเปิดตัวรุ่น Sabrina V ออกมาเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2025 สดๆ ร้อนๆ นี่เอง..

รูปร่างหน้าตาภายนอกของรุ่น Sabrina X กับรุ่น Sabrina เวอร์ชั่นดั้งเดิม แทบจะไม่มีอะไรต่างกันเลย มันทั้งคู่มีหน้ากว้าง = 12 นิ้ว, สูง = 38 นิ้ว และส่วนที่ลึกที่สุดของตัวตู้อยู่ที่ 15.3 นิ้ว น้ำหนักตัวอยู่ที่ 50.8 กิโลกรัม ต่อข้าง ในขณะที่เวอร์ชั่น Sabrina V จะมีส่วนสัดของตัวตู้ที่ต่างจากทั้งสองเวอร์ชั่นก่อนหน้าเล็กน้อย โดยรวมจะดูใหญ่ขึ้นนิดนึง ความกว้างอยู่ที่ 12 นิ้ว เท่ากัน แต่ความสูงจะมากขึ้นเกือบหนึ่งนิ้ว คืออยู่ที่ 38.98 นิ้ว ในขณะที่ความลึกใกล้เคียงกันคืออยู่ที่ 15.37 นิ้ว ส่วนน้ำหนัก เวอร์ชั่นใหม่คือ Sabrina V จะหนักมากกว่าทั้งสองเวอร์ชั่นก่อนหน้าเกือบห้ากิโล คืออยู่ที่ 55.79 กิโลกรัม ต่อข้าง

ถ้าสังเกตตรงแผงหน้าของตัว Sabrina V ที่อยู่ทางซ้ายมือของภาพข้างบนนั้น เมื่อเทียบกับรุ่น Sabrina X ที่วางอยู่ข้างๆ จะเห็นว่า แผงหน้าของรุ่น Sabrina V จะถูก เหลาให้ดูแหลมเรียวมากขึ้น คือส่วนของแผงหน้าที่เริ่มตีสโลปเรียวขึ้นด้านบนจะเริ่มจากจุดที่ลดต่ำลงมามากกว่ารุ่น Sabrina X เล็กน้อย ประกอบกับความสูงที่มากกว่าเกือบหนึ่งนิ้ว เลยทำให้ดูว่า Sabrina V มีทรงที่เพรียวระหงมากกว่า ถ้าไม่นับไดเวอร์ทั้งสามตัว พื้นที่ของแผงหน้าของรุ่น Sabrina V จะเหลือน้อยกว่ารุ่น Sabrina X อยู่พอสมควร แต่ถ้าไม่เอามาวางเทียบกันตรงๆ แบบนี้ก็อาจจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง

ส่วนที่อัพเกรดจาก
Sabrina X เป็น Sabrina V

แม้ว่ารูปทรงภายนอกของตัวตู้เวอร์ชั่น Sabrina V จะดูคล้ายกับทั้งสองเวอร์ชั่นก่อนหน้ามาก เรียกว่ายังคงใช้พิมพ์เดิมก็ได้ ทว่า เมื่อพิจารณาลงไปในรายละเอียด พบว่า ในเวอร์ชั่น Vได้มีการปรับปรุงไปจากเวอร์ชั่น Xถึง 6 จุด ด้วยกัน

1. วัสดุ (Material)

แผงหน้าของรุ่น Sabrina X ทำด้วยวัสดุ X-Material ที่มีความแกร่งสูง ได้ถูกเปลี่ยนมาเป็นวัสดุ H-Material ที่มีความนุ่มมากกว่า ซึ่งทางผู้ผลิตพบว่า เมื่อเปลี่ยนมาใช้วัสดุ H-Material แล้วได้ผลลัพธ์ของเสียงกลางที่มีความเป็นดนตรีสูงขึ้น

นอกจากนั้น ยังมีการเปลี่ยนอีก 5 จุด ที่ส่งผลอย่างมากต่อเสียงของ Sabrina V

2. มิดเร้นจ์ (QuadraMag Midrange)

ไดเวอร์ทั้ง 3 ตัวได้รับการปรับปรุงใหม่ ซึ่งสปอร์ตไล้ท์ของการปรับปรุงจาก Sabrina X มาเป็น Sabrina V ครั้งนี้ถูกส่องไปจับอยู่ที่ตัว มิดเร้นจ์ขนาด 7 นิ้ว เป็นพิเศษ ตัวนี้เป็นมิดเร้นจ์ที่พวกเขาตั้งชื่อเรียกมันว่า ALNiCo QuadraMag mid-range driver ซึ่งอ่านจากข้อความที่พวกเขาเอ่ยถึงไดเวอร์ตัวนี้แล้ว พอจะรับรู้ถึงความรู้สึกได้ว่า พวกเขามีความรู้สึกชื่นชมไดเวอร์ตัวนี้มากเป็นพิเศษ และได้นำมันเข้าไปใช้ในลำโพงหลายๆ รุ่นของพวกเขา โดยเฉพาะรุ่น Chronosonic XVX ซึ่งเป็นรุ่นที่พวกเขาตั้งใจพัฒนาไดเวอร์มิดเร้นจ์ตัวนี้ขึ้นมาเพื่อใช้กับรุ่นนี้นี่แหละ นอกจากนั้นก็มีรุ่น Alexx V, Alexia V, Sasha V และรุ่น Watt/Puppy ด้วย

ความแจ่มแจ๋วของไดเวอร์มิดเร้นจ์ ALNiCo QuadraMag ตัวนี้มันอยู่ที่ ระบบแม่เหล็กที่ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนตัวของว้อยคอยซ์นั่นเอง ซึ่งไดเวอร์ตัวนี้ใช้ระบบแม่เหล็กที่เรียกว่า ALNiCo (อัลนิโก้) ที่ผลิตขึ้นจากอัลลอยด์ที่เกิดจากการผสมรวมของอะลูมิเนียม + นิเกิ้ล + โคบอลต์ และอาจจะมีเหล็ก, ทองแดง และไตตาเนี่ยมผสมลงไปด้วย ซึ่งคุณสมบัติเด่นของแม่เหล็กอัลนิโก้ก็คือว่ามันให้เส้นแรงแม่เหล็กที่มีความเข้มข้นสูงและยังมีความเสถียรสูงด้วย คือจะไม่อ่อนไหวไปกับความร้อน คือสามารถทนต่ออุณหภูมิสูงๆ ได้ดี และไม่วูบวาบไปตามแรงสั่นสะเทือนอีกด้วย ซึ่งเป็นข้อดีที่เหนือกว่าแม่เหล็กแบบนีโอไดเมี่ยม แม้ว่าแม่เหล็กแบบนีโอไดเมี่ยมจะให้พลังสูงกว่าในขนาดที่เท่ากัน แต่ด้วยความที่ไม่อ่อนไหวต่อแรงสั่นสะเทือน (vibration) ที่อยู่รอบๆ ตัวมันนี่เองที่ทำให้แม่เหล็ก ALNiCo มีความเหมาะสมอย่างยิ่งต่อการใช้งานในลำโพงที่มีแรงสั่นสะเทือนเกิดขึ้นตลอดเวลาที่ไดเวอร์ทำงาน ซึ่งความเสถียรของเส้นแรงแม่เหล็กอัลนิโก้ ที่เข้มข้นแบบไม่ตกแม้จะมีแรงสั่นอยู่โดยรอบนี่เองที่ส่งผลทำให้ไดเวอร์มิดเร้นจ์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เต็มที่และ คงที่ตลอดเวลา

ส่วนตัววูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว ที่ใช้ในรุ่น Sabrina V เป็นตัวเดียวกับที่ใช้ในรุ่น Sasha V กับรุ่น WATT/Puppy นั่นเอง

3. ทวีตเตอร์ (CSC Tweeter)

เมื่อมิดเร้นจ์ที่ดูแลย่านเสียงกลางมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ส่งผลให้ทีมออกแบบต้องทำการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของทวีตเตอร์ที่ดูแลความถี่ในย่านแหลมให้สามารถ รับช่วงเชื่อมต่อจากมิดเร้นจ์ขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน นั่นเป็นที่มาของการปรับปรุงทวีตเตอร์ CSC (Convergent Synergy Carbon) ให้มีความฉับไวในการตอบสนองสัญญาณมากขึ้น ด้วยการฉาบเคลือบโดมผ้าแค่เพียงบางๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองขึ้นไปถึงส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกและแอรี่ของมวลบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกถึงความเปิดโล่งเป็นอิสระอย่างเต็มที่

4. ครอสโอเวอร์ (Crossover)

ถ้าตัวตู้เป็นร่างกาย ไดเวอร์เป็นแขนขา วงจรครอสโอเวอร์ก็ไม่ต่างกับ มันสมองที่เป็นตัวกำหนดให้แขนขาทำงานให้สอดคล้องกับสัญญาณอินพุตที่รับมาจากเพาเวอร์แอมป์ และเพื่อให้ไปถึงซึ่งเป้าหมายนั้น แดริล วิลสันและทีมออกแบบของเขาได้ตัดสินใจที่จะทำการออกแบบตัว capacitor ซึ่งเป็นส่วนประกอบหลักที่มีความสำคัญมากของวงจรครอสโอเวอร์ขึ้นมาใช้เอง พวกเขาเลือกวัสดุและออกแบบเทคนิคการพันตัวคาปาซิเตอร์ขึ้นมาเองจนได้ออกมาเป็นคาปาซิเตอร์เวอร์ชั่น AudioCapX-WA ที่ใช้อยู่ในวงจรครอสโอเวอร์ของตัว Sabrina V นั่นเอง

5. เปลี่ยนตัวต้านทานได้ (Resistor Access)

ลำโพง Wilson Audio รุ่นใหญ่ๆ เขาจะมีอ๊อปชั่นให้ผู้ใช้สามารถทดลองเปลี่ยน Resistor ที่ใช้อยู่บนวงจรครอสโอเวอร์เพื่อจูนเสียงได้ ซึ่งจริงๆ แล้วในรุ่น Sabrina ก็มีอ๊อปชั่นนี้ แต่เขาเอาช่องทางเข้าไปจัดการกับรีซีสเตอร์ไปไว้ใต้ฐานของลำโพง ทำให้เข้าถึงลำบาก ในเวอร์ชั่น ‘Vนี้ พวกเขาเลยย้ายช่องทางเข้าถึง Resistor ที่ว่านี้มาไว้ที่แผงหลังของตัวลำโพง พร้อมใส่กรอบอะลูมิเนียมซะสวยงามไปเลย ซึ่งทำให้ผู้ใช้เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และทำให้ลำโพงคู่นี้ดูมีมิติของความเป็นไฮเอ็นด์เพิ่มมากขึ้น..

6. ฐานรองรับเดือยแหลม (V-MCD)

ถ้าติดตามพัฒนาการของแบรนด์ Wilson Audio มาตลอด จะรู้สึกได้ว่า ยุคหลังที่ลูกชายของเดฟคือ Daryl Wilson เข้ามาช่วยดูแลการปรับปรุงคุณภาพเสียงของลำโพงวิลสันนั้น เขาจะให้ความใส่ใจทางด้าน acoustic มากขึ้นกว่ายุคแรกๆ ซึ่งสะท้อนออกมาให้เห็นจากวิธีการปรับจูนเสียงของลำโพงในจุดที่ไม่เคยถูกพูดถึงมาก่อน อย่างเช่นส่วนของเดือยแหลมที่พยุงตัวตู้ให้ลอยจากพื้นเพื่อเลี่ยงหนีจากปัญหาเรโซแนนซ์ ซึ่งในกรณีของรุ่น Sabrina V นี้ พวกเขาก็ได้ทำการปรับปรุง ณ จุดนี้ด้วย โดยการเปลี่ยนวัสดุรูปทางวงแหวนที่ใช้รองรับแรงกดระหว่างฐานของตัวตู้กับเดือยแหลมจากเดิมในเวอร์ชั่น Xที่ใช้วัสดุ X-Material มาเป็น V-Material ที่มีคุณสมบัติยืดหยุ่นต่อแรงกระทำมากกว่า มีผลให้ช่วยลดเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นตรงจุดสัมผัสระหว่างฐานของตัวตู้กับตัวเดือยแหลมลงไปได้มากขึ้น ถือว่าเป็นการ ตัดขาด” (isolate) ระหว่างหน้าสัมผัสทั้งสองลงได้เบ็ดเสร็จมากขึ้น ถ้าพื้นห้องของใครมีแรงสั่นสะเทือนเยอะ ทางผู้ผลิตก็มีอ๊อปชั่นให้อัพเกรดตัวเดือยแหลมที่ว่านี้ได้ด้วยเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดเรโซแนนซ์ให้สูงขึ้นไปอีก

ลูกศรชี้ในภาพข้างบนนั้นคือวัสดุ V-Material ที่กลึงเป็นแหวนขนาดใหญ่ ติดตั้งอยู่ตรงมุมฐานล่างของตัวตู้ทั้ง 4 มุม เอาไว้รองรับเดือยแหลมที่หมุนเกลียวยึดเข้ากับวงแหวนนี้ (ตรงกลางของแหวนมีรูเกลียว)

นอกจากนั้น ทางผู้ผลิตมีจานรองขนาดใหญ่ที่ทำด้วยอะลูมิเนียมมาให้ใช้รองใต้เดือยแหลมด้วย มีทั้งหมด 8 ตัว

ถ้าเข้าไปสัมผัสโดยตรงจะรู้สึกได้ว่า ตัวตู้ของ Sabrina V มีความแน่นหนามากเป็นพิเศษ แถมน้ำหนักยังมากกว่าขนาดเมื่อประเมินด้วยสายตา ส่วนสีนั้นมีให้เลือกถึง 7 สี โดยที่ 4 สี จากภาพข้างบน (Galaxy Gray, Quartz, Carbon และ Medio Grigio) เป็นสีมาตรฐานที่เลือกได้ ส่วนอีก 3 สี ข้างล่างเป็นสีที่เลือกอัพเกรดได้โดยมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม ได้แก่ Ivory, Diamond Black และ Crimson Satin นอกจากนั้น ยังมีสีพิเศษให้เลือกแบบ custom ได้อีกเยอะมาก ซึ่งถ้าคุณอยากรู้ว่าตัวตู้แต่ละสีให้ความรู้สึกอย่างไร ลองเข้าไปทดลองเทียบสีดูได้ที่ลิ้งค์นี้ (https://www.wilsonaudio.com/configure/sabrina-v) ทางผู้ผลิตเขามีทำไว้ให้ทดลองเทียบสีดูได้ก่อนตัดสินใจ

ขั้วต่อสายลำโพงพวกเขาก็ทำใช้เอง สามารถกำหนดคุณภาพได้อย่างเต็มที่ ที่ให้มากับ Sabrina V คู่นี้เป็นขั้วต่อที่ทำด้วยโลหะ แข็งแรงมาก ชุบทองอย่างดีช่วยนำสัญญาณ

แม็ทชิ่ง

ในสเปคฯ ของผู้ผลิตระบุไว้ว่าตอบสนองความถี่ได้ตั้งแต่ 27Hz ขึ้นไปจนถึง 24kHz โดยมีอัตราสวิงของระดับความดังตลอดทั้งย่านความถี่ตอบสนองไม่เกิน 6dB (+/-3dB) ซึ่งถือว่าเป็นลำโพงขนาดเล็กที่มีความสามารถในการตอบสนองความถี่ได้กว้างขวางมากเป็นพิเศษ หรืออาจจะเป็นเพราะวิธีการวัดค่าที่ทางผู้ผลิตเรียกว่า Room Average Response (RAR) ก็ได้ที่ทำให้ได้ตัวเลขออกมาแบบนั้น

อิมพีแดนซ์เฉลี่ยของลำโพงคู่นี้อยู่ที่ 4 โอห์ม โดยมีจุดที่สวิงต่ำสุดลงไปอยู่ที่ 2.23 โอห์ม วัดที่ความถี่ 121Hz แสดงว่าลำโพงรองรับการเปิดเสียงได้ค่อนข้างดัง เพราะจุดวิกฤตที่จะเกิดโอเวอร์โหลดจากกำลังขับของลำโพงคู่นี้ลงไปอยู่ต่ำมาก ในขณะที่ความไวอยู่ที่ 87dB/1W/1m เมื่อวัดที่ 1kHz ซึ่งค่อนข้างไปทางต่ำ เป็นที่มาของตัวเลขกำลังขับของแอมป์ที่ผู้ผลิตลำโพงคู่นี้แนะนำไว้ว่า อย่างต่ำคือ 50W ต่อข้าง ซึ่งก็ไม่ได้เข้าข่าย ขับยากแต่อย่างใด แต่จากประสบการณ์ในทางปฏิบัติแล้ว ถ้าจะให้ได้ประสิทธิภาพเสียงจากลำโพงคู้นี้ออกมาเต็มที่ ก็ควรใช้แอมป์ที่มีกำลังสำรองสูงๆ อย่างเช่น 2-3 เท่า ของกำลังขับต่ำสุดที่ผู้ผลิตแนะนำ นั่นคือประมาณ 100 – 150W ที่ 4 โอห์ม หรือมากกว่านั้นก็ได้

หลังจาก Sabrina V ผ่านการเบิร์นฯ มาเกิน 100 ชั่วโมง แอมป์ตัวแรกที่ผมยกเข้ามาจับคู่กับลำโพงคู่นี้เพื่อทดสอบฟังเสียงแบบเอาจริงเอาจังก็คือ Accuphase รุ่น E-3000 ซึ่งเป็นอินติเกรตแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-AB ที่ให้กำลังขับข้างละ 100W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม และขยับขึ้นไปได้ถึง 150W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม ถือว่ามีกำลังสูงพอในการขับลำโพงวิลสันคู่นี้

เสียงที่ออกมาเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า Sabrina V เป็นลำโพงที่ขับไม่ยาก ด้วยภาพรวมของเสียงที่ได้จากการขับด้วยอินติเกรตแอมป์ของ Accuphase ตัวนี้ต้องยอมรับว่ามันเกินเลยขอบเขตของคำว่า ขับออกไปไกล เมื่อลองฟังที่ระดับวอลลุ่มที่ให้เสียงแผ่เต็มห้อง ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้มันให้พื้นฐานของเสียงที่มีความพิเศษเหนือกว่าลำโพงระดับกลางๆ ออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ถ้าประสบการณ์ฟังของคุณล่วงเลยมาถึงระดับที่สามารถวิเคราะห์และวินิจฉัยได้ คุณจะเข้าใจ และถ้ายิ่งคุณมีโอกาสได้ทดลองฟังเสียงของลำโพงหลายระดับชั้นมามากพอ คุณจะรู้เลยว่า บางคุณสมบัติของเสียงนั้น ต้องเป็นลำโพงที่ออกแบบขึ้นมาอย่างพิถีพิถันในระดับที่เรียกว่า ไฮเอ็นด์เท่านั้นถึงจะสามารถถ่ายทอดออกมาได้.!!

คุณสมบัติเด่นที่ผมได้ยินจาก Sabrina V เมื่อขับด้วย E-3000 ของ Accuphase คือ ความสงัดของพื้นเสียงที่กล้าพูดเลยว่า ไม่มีลำโพงระดับกลางๆ คู่ไหนสามารถทำได้ถึงระดับนี้..!! มันไม่ใช่ความสงัดที่ กลืนกินปลายเสียงที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ ambient และ airy เอาไว้ แต่มันเป็นความสงัดที่ถอยลึกลงไปรอบด้านเพื่อเปิดทางให้มวลบรรยากาศที่บางเบาได้ปรากฏตัวขึ้นมา กอปรกับเนื้อเสียงที่สะอาดเนียนของ E-3000 ทำให้การจับคู่ระหว่าง Sabrina V + E-3000 มีความเหมาะสมกับการฟังเพลงร้องที่ต้องการสีสันของความละมุนละมัยมากเป็นพิเศษ..

โชคดีมากที่ผมได้รับปรีฯ+เพาเวอร์ฯ ของ Jeff Rowland รุ่น Capri S2-SC + Model 125 เข้ามาทดสอบในจังหวะเวลาที่ลำโพง Sabrina V ผ่านเข้ามาพอดีจึงได้มีโอกาสนำมาจับคู่กัน ซึ่งในแง่ของสเปคฯ นั้นไม่เป็นที่กังขา เพราะเพาเวอร์แอมป์ Model 125 ให้กำลังขับสูงถึง 125W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม และพุ่งขึ้นไปได้สูงถึง 250W ต่อข้างที่ 4 โอห์ม (REVIEW) ซึ่งมากเกินพอสำหรับความต้องการของ Sabrina V แต่ที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า เพาเวอร์แอมป์ Jeff RowlandModel 125ตัวนี้ใช้ภาคขยาย class-D นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ตัวถังของแอมป์ตัวนี้มีขนาดกระทัดรัด ไม่ใหญ่โตเหมือนแอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-AB ส่วนใหญ่โดยทั่วไป ซึ่งต้องแจ้งว่า แอมป์กับลำโพงชุดนี้เป็นคู่แม็ทชิ่งที่ FC เพจหลายคนให้ความสนใจ

ผลของเสียงที่ออกมาเป็นไปในทิศทางที่คาด เนื่องจากตัวเพาเวอร์แอมป์ Model 125 ของ Jeff Rowland ตัวนี้เป็นแอมป์ class-D ที่ผ่านการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันภายใต้ความเชี่ยวชาญของแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในวงการไฮเอ็นด์มานาน สิ่งที่ได้ยินจึงเป็นบุคลิกของแอมป์ class-D ที่มีความแตกต่างชัดเจนเมื่อเทียบกับบุคลิกเสียงของแอมป์ class-AB ในระดับเดียวกัน กล่าวคือ จุดเด่นของแอมป์ class-D อยู่ที่ ความโปร่งและ ความเนียนสะอาดของเสียง ภายใต้การถ่ายทอดที่มีความเที่ยงตรงสูง เมื่อได้ใช้เวลาในการทดลองฟังเสียงของแอมป์ Jeff Rowland กับลำโพง Wilson Audio ชุดนี้นานพอ ผมพบว่า ช่วงแรกๆ ของการทดลองฟัง จะรู้สึกเหมือนเสียงของแอมป์+ลำโพงคู่นี้มันไม่กระแทกกระทั้นเหมือนตอนจับกับแอมป์ class-AB อย่าง AccuphaseE-3000ที่ได้ฟังไปก่อนหน้า กับเพลงเดียวกัน ที่ระดับวอลลุ่มเท่ากัน เสียงของ Sabrina V ตอนขับด้วย E-3000 ดูเหมือนจะให้น้ำหนักเสียงที่มากกว่าหน่อย แต่พอฟังต่อเนื่องไปสักพัก ก็จับได้ว่า เสียงของ Sabrina V เมื่อขับด้วย Capri S2-SC + Model 125 มัน เกลี่ยน้ำหนักของเสียงออกไปให้กับ แต่ละเสียงที่ประกอบอยู่ในเพลงแต่ละเพลง และแปรเปลี่ยนไปตามจังหวะลีลาการบรรเลงของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้น มีผลให้น้ำหนักเสียงที่ได้จากแอมป์ (Capri S2-SC + Model 125) + Sabrina V มีลักษณะที่เปลี่ยนไปตามลีลาของเพลง ไม่ได้เน้นหนักอยู่เฉพาะในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ ตลอดเวลา และด้วยน้ำหนักเสียงที่เกลี่ยไปตามการบรรเลงของแต่ละชิ้นดนตรีนี่เองทำให้ (Capri S2-SC + Model 125) + Sabrina V ให้ผลลัพธ์ทางเสียงที่มีความละมุนละมัยมากเป็นพิเศษ ลักษณะเหมือนมีสปอร์ตไล้ท์ที่คอยฉาบจับไปที่ชิ้นดนตรีที่กำลังบรรเลงโดยเน้นความสว่างเปลี่ยนไปตามลีลาของการบรรเลงโดยตลอด และด้วยคุณสมบัติเด่นในการจ่ายกำลังขับแบบนี้ของ Jeff Rowland คู่นี้ทำให้ Sabrina V สามารถถ่ายทอดไดนามิก คอนทราสน์ของเสียงออกมาได้ละเอียดและต่อเนื่องเป็นพิเศษ ก่อให้เกิดเป็นบุคลิกเสียงที่ฟังแล้วรู้สึก แพงเพราะเสียงมันไม่โฉ่งฉ่างและไม่รกรุงรัง แต่มีรายละเอียดหยุมหยิมประกอบอยู่ในแต่ละเสียงเต็มไปหมด..!!

ผมคิดว่า ความสามารถในการตอบสนองความถี่ของ Capri S2-SC + Model 125 ที่เปิดกว้างมากๆ น่าจะเป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้จับคู่กับ Sabrina V แล้วรู้สึกได้ถึงความเปิดโปร่งที่เจือด้วยความผ่อนคลายและลื่นไหลมากเป็นพิเศษ ซึ่ง ความผ่อนคลายและ ลื่นไหลที่ว่านี้มีส่วนทำให้เสียงของแอมป์+ลำโพงชุดนี้ฉีกต่างออกไปจากลักษณะเสียงที่ได้ยินจากซิสเต็มระดับกลางๆ ทั่วไป คือมันเป็นเสียงที่มี อารมณ์ของเพลงคละคลุ้งอยู่ในนั้น..

เนื่องจากผู้นำเข้าแบรนด์ Wilson Audio คือบริษัท Deco2000 ซึ่งก็เป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ CH Precision ด้วย ผมจึงขอให้ช่วยจัดส่งอินติเกรตแอมป์รุ่น I1 ของ CH Precision มาพร้อมกับลำโพง Sabrina V คู่นี้ด้วย เพราะดูจากราคาค่าตัวของลำโพง Wilson Audio คู่นี้แล้ว ผมเกรงว่าแอมป์ที่ผมมีอยู่ในห้องฟังขณะนั้นอาจจะมีสมรรถนะไม่สูงพอที่จะสามารถดึงเอาศักยภาพของลำโพงคู่นี้ออกมาได้หมด

แต่.. หลังจากฟังเสียงของ Sabrina V ที่ขับด้วย E-3000 กับ Capri S2-SC + Model 125 ผ่านไปแล้ว มันทำให้ผมรู้ว่าผมคาดผิด ที่เกรงว่าแอมป์ที่มีอยู่จะขับไม่ออกนั้นไม่ใช่เลย ทั้ง E-3000 และ Capri S2-SC + Model 125 มันขับ Sabrina V ออกมาได้ดีเกินขอบเขตของคำว่าขับออกไปไกล แสดงว่าโดยเนื้อแท้แล้ว Sabrina V ก็ไม่ใช่ลำโพงที่ขับยากแต่อย่างใด แค่ใช้แอมป์สองตัวนี้ขับเสียงที่ออกมาก็น่าฟังมากแล้ว ด้วยเหตุนี้ ก่อนจะยก I1 เข้าไป ถ้าให้เดาล่วงหน้าว่าใช้ I1 ขับ Sabrina V แล้วเสียงจะออกมาเป็นแบบไหน.? ดีกว่าตอนขับด้วยแอมป์ Accuphase และ Jeff Rowland คู่นั้นหรือเปล่า.? ถ้าดีขึ้นไปอีก เสียงมันจะเป็นยังไง.?? ผมยอมรับว่าตอบไม่ได้ คือถ้าไม่ได้ทดลองจับคู่กันแล้วลองฟังจริงๆ ก็ยากที่จะให้จินตนาการขึ้นมาเองได้

แต่พอจับ CH PrecisionI1เข้าไปประกบกับ Sabrina V เท่านั้นแหละ.. อะไรๆ มันก็พรั่งพรูออกมาเต็มไปหมด บางอย่างก็เคยได้ยินมาก่อนแล้ว แต่บางอย่างนั้นเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่จริงๆ หลังจากเซ็ตอัพและปรับจูนตำแหน่งของ Sabrina V จนลงตัวดีแล้ว เสียงโดยรวมที่ได้ยินนั้นมันขยับหนีขึ้นไปอีกระดับจริงๆ รู้สึกได้เลยว่า เสียงทั้งหมดที่ได้ยินจาก I1 + Sabrina V มันปลอดจาก สีสันไปอีกขั้น ฟังเสียงของแอมป์ CH Precision กับลำโพง Wilson Audio คู่นี้แล้ว มันทำให้ตะหนักรู้เลยว่า ความสงัดของพื้นเสียงมันเป็นรากฐานสำคัญของคำว่าเสียงดีที่ชัดเจน เพราะแต่ละเสียงที่แอมป์ + ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามันสะท้อนให้รู้สึกถึงความเป็นธรรมชาติ รู้สึกเหมือนกำลังฟังการบรรเลงจริงมากกว่าที่จะเป็นเสียงจากการบันทึก เพราะนอกจากตัวเสียงที่มีองค์ประกอบออกมาครบตั้งแต่ หัวเสียง (อิมแพ็ค) > บอดี้ (มวล) > หางเสียง (ความกังวาน) แล้ว I1 + Sabrina V คู่นี้ยังถ่ายทอด มูพเม้นต์ของแต่ละเสียงที่มี สปีดแม่นยำ ตรงตามสัญญาณต้นฉบับที่ป้อนมาจากแอมป์ ทำให้เสียงเพลงที่ออกมามี ไทมิ่งที่ถูกต้องตามจังหวะจะโคนของเพลงทั้งช้าปานกลาง และเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของ ความเป็นดนตรีที่แอมป์+ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมา..

เซ็ตอัพ + ปรับจูน

การเซ็ตอัพ ตำแหน่งลำโพงสำหรับการฟังเพลงด้วยระบบเสียง stereo 2 ch ถือว่าเป็นศิลปะที่อยู่คู่กับการเล่นเครื่องเสียงมาช้านาน ถ้าคุณค้นคว้าย้อนกลับไปในอดีต คุณจะพบว่า มีผู้นิยามและคิดค้นเทคนิคการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงขึ้นมามากมาย หลากหลายวิธีการ ซึ่งในจำนวนผู้ผลิตลำโพงทั้งหมดที่มีอยู่ในวงการเครื่องเสียงนั้น ต้องยอมรับว่า Wilson Audio เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่มีรูปแบบการเซ็ตอัพเป็นของตัวเอง คิดค้นเทคนิคการเซ็ตอัพขึ้นมาโดย Dave A. Wilson ผู้ก่อตั้งแบรนด์ โดยที่เขาตั้งชื่อเรียกเทคนิคการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงของเขาไว้ว่า WASP หรือ The Wilson Audio Setup Procedure

https://youtu.be/UOI8py0DAC8

Dave Wilson มองว่าเทคนิคการเซ็ตอัพลำโพงที่เขาคิดค้นขึ้นมานี้เป็นเสมือน ‘Wilson Wayที่ทำให้ลำโพงวิลสันของเขาสามารถแสดง ตัวตนของมันออกมาตามที่เขาจินตนาการไว้ได้ชัดเจนมากที่สุด ถึงแม้ตัวเขาจะไม่อยู่แล้ว แต่เดฟ วิลสันก็ได้ทิ้งเทคนิคการเซ็ตอัพลำโพงที่เขาคิดค้นขึ้นมาไว้ให้นักเล่นฯ ที่อยู่ข้างหลังได้ศึกษากัน ถ้าสนใจแนวทางการเซ็ตอัพลำโพงของแบรนด์นี้ แนะนำให้ลองเข้าไปดูคลิปวิดีโอข้างบนนั้น กับอีกทางหนึ่งคือเข้าไปดูในคู่มือของลำโพง Wilson Audio ก็ได้ ในนั้นจะมีข้อความอธิบายถึงขั้นตอนการเซ็ตอัพไว้อย่างละเอียด..

การเซ็ตอัพลำโพงมีหลายวิธี
แต่ ความเป็นดนตรี” .. มีแค่หนึ่งเดียว..!!!

เชื่อเถอะว่า ถ้าคุณมีความสามารถ เข้าถึงอารมณ์เพลงได้อย่างแนบแน่นดีแล้ว ไม่ว่าจะใช้การเซ็ตอัพลำโพงสูตรไหน ถ้าสูตรนั้นสามารถนำพาให้คุณเข้าขยับไปใกล้ชิดกับอรรถรสของเพลงได้มากที่สุด (ซึ่งคุณจะรับรู้ได้ด้วยตัวเอง!) แล้ว ผมก็จะมั่นใจที่จะใช้สูตรนั้นในการเซ็ตอัพลำโพงโดยไม่มีความรู้สึกขัดขืนใดๆ แม้แต่น้อย ตราบเท่าที่ผลลัพธ์ที่การเซ็ตอัพนั้นให้ออกมาคือ “ความเป็นดนตรี.!!

ผมยอมรับเลยว่า ผมไม่ประสบความสำเร็จกับการเซ็ตอัพด้วยเทคนิคที่ผู้ผลิต Wilson Audio นำเสนอไว้ ในอดีตนั้นผมเคยพยายามทดลองทำตามคำแนะนำเหล่านั้นมาแล้วหลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ออกมามันมีอยู่บางประเด็นของเสียงที่เป็นอุปสรรค ทำให้ผมไม่สามารถเจาะเข้าไปใกล้กับ อารมณ์ของเพลงได้อย่างลึกซึ้งในระดับที่ผมปรารถนา

ปัจจุบันผมมีเทคนิคในการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงของผมเอง เป็นบทสรุปที่ได้มาจากประสบการณ์ในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงที่กระทำต่อเนื่องกันมานับสิบปี ซึ่งเทคนิคของผมไม่ได้มีอะไรซับซ้อน พื้นฐานคือให้ความสำคัญกับ ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้ายขวา กับระยะห่างระหว่างลำโพงซ้ายขวากับผนังด้านหลัง มากกว่าระยะห่างระหว่างลำโพงทั้งสองข้างกับผนังด้านข้างของห้อง ไม่ว่าจะเซ็ตอัพในห้องขนาดใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าลำโพงทั้งสองข้างจะมีขนาดใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าจะเป็นลำโพงตั้งพื้นหรือวางขาตั้ง ไม่ว่าลำโพงนั้นๆ จะออกแบบและถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีแบบใด จะเป็นแบบมีตู้หรือไร้ตู้, จะมีท่อระบายเบสที่ยิงไปด้านหลัง, ยิงไปด้านหน้า หรือยิงลงพื้น ทั้งหมดนั้นล้วนใช้เทคนิคเดียวกันนี้ในการเซ็ตอัพ รวมถึง Wilson AudioSabrina Vคู่นี้ด้วย

หลักการเซ็ตอัพของผมจะให้ความสำคัญกับคุณสมบัติทางด้าน เฟส” (phase) ของคลื่นเสียงจากลำโพงทั้งสองข้างที่เคลื่อนเข้ามา ซ้อนทับ” (in-phase) กันได้อย่างลงตัวมากที่สุดทั้งด้านกว้างและด้านลึก และเป็นการอินเฟสที่เสมอกันทุกย่านความถี่ด้วย (*การเซ็ตอัพโดยพิจารณาตรงประเด็นนี้ จะทำให้รู้ว่าลำโพงมีประสิทธิภาพในการตอบสนองเชิงเฟสดีแค่ไหน.?) ซึ่งการเซ็ตอัพให้คลื่นเสียงจากลำโพงทั้งสองข้างมีลักษณะที่ in-phase กันจะส่งผลถึงคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของเสียงที่มีความคมชัด ยิ่งอินเฟสมาก ตัวเสียงจะยิ่งมีโฟกัสที่คมชัดมาก แต่ละชิ้นเสียงจะมีความกลมกลึงเป็นสามมิติ ถ้ายิ่งได้โฟกัส ทุกความถี่เสมอกัน ก็จะได้โฟกัสของชิ้นดนตรีตั้งแต่แหลมลงมาถึงทุ้มที่มีความคมชัดเสมอกันด้วย หลังจากจัดวาง Sabrina V ทั้งสองข้างลงบนจุดเริ่มต้นของการเซ็ตอัพ คือทั้งสองข้างมีระยะห่างกันเท่ากับ 180 .. และทั้งสองข้างห่างจากผนังด้านหลังเท่ากับ ความลึกของห้อง หารด้วยสามซึ่งในห้องฟังของผมมีระยะห่างอยู่ที่ 180 .. แต่เนื่องจากแผงหน้าของ Sabrina V มีลักษณะที่ไม่เรียบ ผมจึงวัดจากผนังหลังมาถึงขอบด้านบนของตัวตู้ที่อยู่เหนือทวีตเตอร์เป็นหลัก โดยที่ลำโพงทั้งสองข้างถูกจัดวางในลักษณะหน้าตรง ไม่โทอิน

หลังจาก Sabrina V ผ่านการเบิร์นฯ มาจน เกิน 100 ชั่วโมง แล้ว ผมก็เริ่มทดลองฟังและทดลองขยับตำแหน่ง Sabrina V จากจุดเริ่มต้นที่ระยะห่างซ้ายขวาเท่ากับ 180 .. ไปเรื่อยๆ สุดท้ายผมก็ได้ตำแหน่งของระยะห่างซ้ายขวาที่ทำให้ได้ โฟกัสของเสียงที่คมชัดมากที่สุดอยู่ที่ 150 .. โดยวัดจากกึ่งกลางของตัวลำโพงทั้งสองข้างเข้าหากัน ส่วนการเซ็ตอัพระยะห่างระหว่างลำโพงทั้งสองข้างลงไปถึงผนังด้านหลังเพื่อปรับจูน โทนัลบาลานซ์ผมได้ระยะห่างที่ลงตัวซึ่งให้เสียงที่ผมพอใจอยู่ที่ 165 ..

ตอนคุณกฤตย์ กับทีมงานของ Deco2000 ยก Sabrina V คู่นี้มาให้ทดสอบนั้น หลังจากยกลำโพงทั้งสองข้างเข้าประจำตำแหน่งแล้ว คุณกฤตย์ได้ทดลองเซ็ตอัพคร่าวๆ เพิ่งตรวจเช็คเสียง ซึ่งมีขั้นตอนไฟน์จูนที่สำคัญอันหนึ่งคือ คุณกฤตย์ใช้ระดับน้ำแท่งยาวๆ จับระดับที่ฐานของลำโพงทั้งสองข้างด้วย เพื่อให้ลำโพงทั้งสองข้างตั้งตรงในลักษณะที่ขนานซึ่งกันและกันให้มากที่สุด ไม่เอนไปซ้ายขวา รวมถึงหน้าหลัง ซึ่งจุดนี้ส่งผลกับการตอบสนองทางด้านเฟสของคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาจากลำโพงให้มาบรรจบกันที่จุดนั่งฟังมาก

เสียงของ Sabrina V

หลังจากใช้ชีวิตอยู่กับลำโพงคู่นี้มานานแรมเดือน (ลำโพงเข้ามาถึงห้องฟังวันที่ 23 กันยายน 2568) ผมพบว่า เสียงของลำโพง Sabrina V คู่นี้ได้ปรับเปลี่ยนมาตรฐานการรับรู้ของผมที่เคยมีเกี่ยวกับคุณสมบัติของเสียงหลายๆ ข้อไปจากเดิม อาทิเช่น ความโปร่งใส” (transparency) ที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามันทำให้รู้ว่า ความโปร่งใสที่ดีในอุดมคตินั้นต้องไม่ไปทำให้เกิด ผลกระทบกับเสียงเพลง ซึ่งความโปร่งใสของลำโพงบางคู่มันไปทำให้เสียงใน ย่านสูง” (เสียงแหลม) มีลักษณะที่ถูกเน้นจนขึ้นขอบ ในขณะที่บางคู่นั้น โปร่งใสเฉพาะย่านเสียงกลาง คือพอไล่ขึ้นไปทางด้านแหลมและไล่ลงไปทางด้านทุ้มจะเริ่มอับทึบลง สังเกตได้จากปลายเสียงแหลมที่จมหายลงไปในแบ็คกราวนด์ของสนามเสียง ส่วนทางด้านทุ้มจะรับรู้ได้ว่า เสียงโน๊ตเบสที่ความถี่ต่ำลงไปจะมีลักษณะทึบๆ ด้านๆ และติดห้วน ไม่ดีดเด้งและลอยตัวเหมือนเสียงโน๊ตในย่านกลาง..

พอได้ฟังเสียงของ Sabrina V คู่นี้จนขึ้นใจแล้ว สิ่งที่ได้ยินจาก Sabrina V คู่นี้มันได้กลายเป็น บรรทัดฐานใหม่ที่ช่วย เปรียบเทียบให้เห็นถึง ความแตกต่างในคุณสมบัติของเสียงข้อเดียวกัน เมื่อมองย้อนกลับไปที่เสียงของลำโพงระดับรองลงไป

เพลง : House of the Rising Sun (DSD128)
ศิลปิน : Cyndee Peters
อัลบั้ม : Opus3 DSD Showcase No.3

ผมดาวน์โหลดซื้ออัลบั้มนี้จากเว็บไซต์ DSDfile.com มาหลายปีแล้ว ซึ่งที่ผ่านมา เพลง House of the Rising Sun ซึ่งเป็นแทรคแรกในอัลบั้มนี้มัน ฆ่าลำโพงมาแล้วหลายคู่.! คือพอฟังเพลงนี้แล้ว เสียงที่ออกมาแย่กว่าเวอร์ชั่น CD เยอะ ส่วนมากแล้วจะตกม้าตายในแง่ของการถ่ายทอด มวลเสียงในย่านกลางลงไปถึงทุ้มที่เบาบาง ขาดความอิ่มเข้มของเนื้อหนัง ในขณะที่เสียงแหลมที่เป็นเครื่องเคาะโลหะก็มีแต่หัวเสียงที่แหลมเฟี๊ยวพุ่งออกมา แต่ไม่มีทรวดทรงของความเป็นแท่งเหล็ก (tri-angle) ตามออกมาด้วย โดยรวมพื้นเสียงจะออกใสๆ ในขณะที่เนื้อเสียงบางจ๋อย ไทมิ่งก็อืดและหน่วง..

แต่คราวนี้ เมื่อฟังเพลงนี้ผ่าน Sabrina V คู่นี้ ผมพบว่า Sabrina V เป็นลำโพงที่ให้เสียงโดยรวมของเพลง House of the Rising Sun ออกมาได้ ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยฟังมา.! มวลเสียงไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง, เสียงกีต้าร์ ไปจนถึงเสียงเคาะเหล็กสามเหลี่ยม มันปรากฏ ความหนาของมวลของแต่ละเสียงออกมาให้รับรู้ได้อย่างชัดเจน เป็นรายละเอียดที่แผ่ออกมาให้ได้ยินแบบไม่ต้องเพ่ง เพราะมันต่างจากที่เคยฟังจากลำโพงอื่นๆ เยอะมาก นอกจากนั้น ผมยังรับรู้ถึงความแตกต่างของ ลักษณะมวลเนื้อของแต่ละเสียงได้อย่างชัดเจน คือเสียงเคาะเหล็กสามเหลี่ยมมันมีความเร็วของหัวเสียงที่พุ่งแหลมออกมา ก่อนจะตามด้วยเสียงสั่นค้างของโลหะที่ทอดยาวและแผ่กว้าง ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับลักษณะของเสียงร้องที่ถอยลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงและตรึงแน่นอยู่แถวนั้น ซึ่งผมรับรู้ได้ถึง สำเนียงการร้องของเธอที่ทอดปลายเสียงด้วยอารมณ์ที่อ่อนระทวย

ความใสของพื้นเสียงของเพลงนี้อยู่ในขั้นเยี่ยมยอดมาก เป็นผลมาจากเทคนิคการบันทึกเสียงสดๆ ภายใต้สภาพอะคูสติกจริง ซึ่งเป็นจุดขายของค่าย Opus3 เมื่อฟังผ่านลำโพงคู่นี้แล้วมันทำให้รู้สึกเหมือนเข้าไปร่วมอยู่ในบรรยากาศเดียวกับศิลปิน รับรู้ได้ถึงลักษณะความกว้างของห้องโถงจากปลายเสียงที่ทอดยาวออกไปและมีกังวานย้อนกลับมาเบาๆ ในขณะที่เสียงกีต้าร์และเครื่องเคาะก็ปลดปล่อยฮาร์มอนิกแผ่กังวานออกมารอบตัว รู้สึกได้ถึงอาการสั่นระรัวของสายกีต้าร์กับแท่งโลหะที่กระพืออยู่ในอากาศ..

ยอมรับว่ารู้สึกแปลกใจหน่อยๆ เมื่อได้ยินลักษณะเสียงแบบนั้นออกมาจากลำโพง Wilson คู่นี้ เพราะตอนที่เข้าไปสัมผัสตัวตู้ของลำโพงคู่นี้ ผมพบว่ามันมีน้ำหนักและความแน่นมากกว่าลำโพงที่มีขนาดพอๆ กันอย่างชัดเจน ซึ่งโดยปกติแล้ว จากประสบการณ์ที่เคยฟังลำโพงที่มีบอดี้หนักๆ แน่นๆ แบบนี้มาก่อน ผมพบว่าเสียงมักจะออกไปทางหนาและมีน้ำหนักเหมือนลักษณะของตัวตู้ โดยมากแล้วลำโพงเหล่านั้นมักจะให้เสียงที่จม ไม่ลอยตัวขึ้นมาเหนือพื้นมากเหมือนลำโพงคู่นี้ ซึ่งน่าแปลก.!

อีกทั้งเสียงกลางและเสียงแหลมของ Sabrina V คู่นี้ก็ลอยออกมาได้อย่างอิสระมาก แบบไม่มีอาการเครียดเค้นเพราะถูกดัน (push) ออกมาเลย ลักษณะของโทนเสียงมันมีส่วนคล้ายเสียงของลำโพงแบบไม่มีตู้อย่าง Magnepan ที่ผมกำลังทดสอบอยู่อีกคู่หนึ่ง คือถ้ามองในแง่ความรู้สึกของเสียงที่ถูก ปลดปล่อยออกมาจากตัวลำโพงแล้ว Sabrina V กับลำโพง Magnepan มันทำได้ไม่ต่างกันเลย เสียงกลางและแหลมของ Sabrina V มีลักษณะที่ลอยตัวและสามารถฉีกออกไปทางด้านข้างของตัวตู้ได้แบบไม่มีขีดจำกัด..

อัลบั้ม : La Fille Mal Gardee (DSD64)
ศิลปิน : John Lanchberry & The Royal Ballet Productions
สังกัด : Decca/Analogue Productions

ความเป็นอิสระของเสียงที่เปิดลอยและแผ่กว้างออกไปได้รอบด้านของ Sabrina V คู่นี้ปรากฏออกมาให้ได้ยินแบบเต็มๆ สองหูเมื่อได้ลองฟังเพลงคลาสสิกนี่แหละ..! โดยเฉพาะอัลบั้มชุดนี้ซึ่งเป็นหนึ่งใน My Favorite! ของผม ในฐานะของอัลบั้มที่โชว์ soundstage ออกมาได้อย่างเยี่ยมยอดมาก ซึ่ง Sabrina V คู่นี้ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า อัลบั้มนี้ให้สนามเสียงที่แผ่กว้างทิ้งห่างจากตำแหน่งที่ตั้งของลำโพงทั้งสองข้างออกไปรอบด้าน ทั้งลึกและกว้างเลยปริมณฑลของห้องออกไปไกล ที่โดดเด่นมากๆ ก็คือ มิติด้านลึกที่ไม่ใช่แค่ให้ตำแหน่งของเสียงที่ถอยร่นลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงเท่านั้น แต่ลำโพงคู่นี้มันยังให้ perspective หรือส่วนสัดของขนาดของแต่ละเสียงที่สอดคล้องกับระยะใกล้ไกลได้อย่างถูกต้องอีกด้วย ใครที่ยังไม่เข้าใจว่ามิติด้านลึกที่ดีเป็นแบบไหน ให้ลองฟังอัลบั้มนี้กับลำโพง Sabrina V คู่นี้แล้วจะถึงบางอ้อ..

ยิ่งไปกว่านั้น เวอร์ชั่น DSD64 ที่ผมริปมาจากแผ่น SACD ที่ค่าย Analogue Productions ทำออกมานี้มันยังโชว์ให้เห็นว่า อัลบั้มนี้มีคุณสมบัติเด่นทางด้าน ไดนามิกเร้นจ์ที่เปิดกว้างมากๆ อีกด้วย คือมีอัตราสวิงของไดนามิก จากช่วงเบาสุดของเพลงไปถึงช่วงดังสุดของเพลง (dynamic range) ที่สูงถึงตัวเลข 21 (เลขเยอะ = แสดงว่าเพลงนั้นหรืออัลบั้มนั้นให้ไดนามิกเร้นจ์กว้าง, เลขน้อย = ไดนามิกเร้นจ์แคบ) ซึ่งถือว่าสูงมาก และด้วยความสามารถในการถ่ายทอดไดนามิกเร้นจ์ของเสียงที่กว้างมากของลำโพง Wilson AudioSabrina Vคู่นี้ ทำให้มันสามารถ คลี่คลายไดนามิกเร้นจ์ของอัลบั้มนี้ออกมาได้เต็มสเกล สามารถ คุมไดนามิกสวิงของเสียงที่ออกมาจากเพลงนี้ได้ครบทั้งช่วงเบาสุดและช่วงดังสุด คือช่วงที่เบา เสียงก็ไม่ได้จมหายลงไป แต่ยังคงมีความคมชัดของตัวเสียงที่ลอยเด่นอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ ทำให้รู้สึกถึงระยะ ความลึกของวงออเคสตร้าที่ใช้บรรเลงได้อย่างชัดเจน ซึ่งมันลึกทะลุผนังห้องด้านหลังไปไกล จากการฟังอัลบั้มชุดนี้ทำให้เห็นว่า ลำโพงคู่นี้มันให้ความลึกของเวทีเสียงที่เชื่อมต่อกับความกว้างที่แผ่ขยายออกไปเป็นรูปครึ่งวงกลม ถอยลึกเข้าไปทางด้านหลังของระนาบลำโพงในลักษณะที่ฉีกกว้างออกไปที่มุมห้องซ้ายขวา ไม่ใช่ลึกแบบบีบลู่เข้าไปตรงกลาง (ผมเซ็ตอัพ Sabrina V แบบหน้าตรง ไม่โทอิน จึงไม่มีปัญหาเวทีเสียงลู่ไปทางด้านหลัง)

ส่วนช่องพีคของไดนามิกที่โหมขึ้นมานั้น ลำโพงวิลสันคู่นี้ก็สามารถฉีดพลังของเสียงให้กระจายตัวออกมาได้อย่างเต็มที่โดยไม่มีอาการแตกซ่าน ถ้าอัลบั้มนั้นไม่ได้บันทึกเสียงมี overload ซะเอง.!

อัลบั้ม : The Great American Songbook (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Carmen McRae
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/album/282871/u)

ได้ยินเสียงร้องของลำโพงคู่นี้แล้วตาลุกโพรง.! พระเจ้า..!! มัน real มาก..!!! ซึ่งใครที่รู้จักอัลบั้มแสดงสดของ Carmen McRae ชุดนี้จะรู้ว่า เสียงของอัลบั้มชุดนี้มันมี ความสด สมจริงอยู่ในระดับที่เรียกว่าสุดจริงๆ คนบันทึกเสียงอัลบั้มชุดนี้โหดมาก เขาเก็บรายละเอียดมาแทบทุกเม็ด และขั้นตอนทำมาสเตอร์ก็แทบจะไม่ได้ตัดอะไรออกไปเลย เพราะทั้งอัลบั้มจะมีอะไรล้นๆ เกินๆ โผล่ออกมาให้ได้ยินอยู่ตลอด แม้แต่เสียงของคาร์เมน แมคแร เองก็ยังมีอาการแปร่งๆ แลบเกินออกมาอยู่หลายครั้งเขาก็ไม่ได้ตัดออกไป ไม่แม้แต่จะพยายามขัดเกลาด้วย ซึ่งก่อนหน้าที่จะเลือกออกมามาลองฟังกับลำโพงวิลสันคู่นี้ ผมฟังกับลำโพงระดับกลางๆ ทั่วไปจะรู้สึกรำคาญกับอาการล้นๆ เกินๆ ที่ว่านี้อยู่เหมือนกัน แต่พอมาลองฟังผ่าน Sabrina V คู่นี้ (ขับด้วยอินติเกรตแอมป์ CH PrecisionI1’) แม้ว่าอาการล้นๆ เกินๆ นั้นจะไม่ได้หายไป แต่คราวนี้ผมกลับไม่ได้รู้สึกรำคาญ แต่กลับรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานที่นั้น เพราะทุกเสียงที่ออกมา ทั้งเสียงร้อง, เสียงดนตรี, เสียงปรบมือของคนดู และเสียงอื่นรอบๆ ด้านมันฟังดูจริงมาก เสียงทั้งหมดนั้นมัน หล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันจึงไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกแยก และเข้าใจเลยว่าเพราะอะไรซาวนด์เอ็นจิเนียร์ที่ดูแลอัลบั้มนี้จึงปล่อยเสียงของอัลบั้มนี้ออกมาแบบนี้ และเพราะอะไรอัลบั้มนี้จึงได้รับการยกย่องจากนักฟังเพลงแจ๊สว่าเป็นหนึ่งในอัลบั้มแสดงสดที่ดีมากๆ ชุดหนึ่ง (ตอนเป็นเวอร์ชั่นแผ่นเสียงถูกตัดออกมาเป็นแผ่นคู่)

อัลบั้ม : Duet (FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Doris Day with The Andre Previn Trio
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/album/1791019/u)

ฟังเสียงร้องของ Carmen McRae ในอัลบั้มนี้แล้ว ต้องหันควับไปมองมิดเร้นจ์ของตัว Sabrina V พร้อมๆ กับข้อมูลของไดเวอร์ตัวนี้หลั่งไหลเข้าสู่สมอง และพอเปลี่ยนมาลองฟังเสียงร้องของ Doris Day ในอัลบั้มชุด Duet ซ้ำเข้าไปอีก ผมถึงกับต้องรีบให้ความสนใจมิดเร้นจ์ขนาด 7 นิ้ว ที่ชื่อว่า QuadraMag ขึ้นมาจริงๆ จังๆ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเป็นเพราะขนาดของมิดเร้นจ์ที่ใหญ่กว่าตัวที่อยู่ในเวอร์ชั่น Xหรือเป็นเพราะแผงหน้าของตัวตู้ที่เปลี่ยนจาก X-Material เป็น H-Material หรือจะเป็นเพราะแม่เหล็ก Alnico ที่ใช้กับมิดเร้นจ์ QuadraMag ตัวนี้ หรือเป็นเพราะวงแหวน V-Material ที่รองรับอยู่เหนือเดือยแหลมทั้งสี่มุมที่ฐานล่างของตัวตู้.. หรือจะเป็นเพราะทุกอย่างทั้งหมดนั้นรวมกันแน่ ที่ทำให้เสียงกลางของลำโพงซาบีน่า วี คู่นี้มีคุณภาพสูงกว่าซาบีน่าเวอร์ชั่น Xอย่างชัดเจน.. และดีกว่ามากด้วย.!!!

เสียงร้องของดอริส เดย์ ลอยเด่นอยู่หน้าลำโพงข้างขวาในลักษณะที่แผ่ใหญ่ อิ่มเต็ม และเป็นเสียงร้องที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่ผ่อนคลายอย่างยิ่งยวด เสียงร้องของทั้ง Carmen McRae และ Doris Day จากทั้งสองอัลบั้มข้างต้นที่มีความเป็นธรรมชาติ เปิด ลอย และโปร่งกังวานนั้น เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีที่ทำให้เห็นว่า ทุกส่วนที่ Daryl Wilson กับทีมออกแบบของเขาช่วยกันคิดและลงมือทำลงไปกับ Sabrina V มันให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมกลับมา เป็นหลักฐานพยานที่ยืนยันว่าพวกเขาคิดถูกในการปรับจูน Sabrina V ออกมาแบบนี้.!!!

อัลบั้ม : Interplay (Remastered 2025) (FLAC-24/192)
ศิลปิน : Bill Evans
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/album/437617010/u)

ตัวตู้ที่หนัก แน่น ปราศจากการสั่นของลำโพงคู่นี้ เกิดขึ้นเพราะผนังตู้ของไดเวอร์แต่ละตัวถูกผลิตและจูนขึ้นมาด้วยเรซิ่นผสมผงแร่พร้อมทั้งกำหนดความหนาเพื่อไล่การสั่นให้ไปเกิดขึ้นที่ระดับความถี่กระตุ้นที่ เลยออกไปจากขอบเขตที่ไดเวอร์สร้างเสียงออกมา นี่ทำให้เสียงที่ดังและแผ่ออกมาจากลำโพงคู่นี้ เป็นเสียงที่เกิดจากการสั่นตัวของไดอะแฟรมของไดเวอร์แต่ละตัวที่ตอบสนองไปตามสัญญาณเสียงที่รับมาจากเพาเวอร์แอมป์ล้วนๆ ด้วยเหตุนี้ ทุกเสียงที่ปรากฏขึ้นมาในเพลงที่เล่นผ่านลำโพงคู่นี้ออกมามันจึง มีความหมายในตัวของมันเองทั้งสิ้น.! ไม่ว่าจะเป็นเสียงที่แผ่วเบาแค่ไหนก็สามารถแสดง ตัวตนของมันออกมาให้รับรู้ได้ว่าเป็นเสียงที่เกิดจากนักดนตรีกระทำอะไรลงไปกับเครื่องดนตรีเหล่านั้น และรับรู้ได้ลึกลงไปถึง อารมณ์ของเสียงเหล่านั้นซึ่งเป็นสิ่งที่นักดนตรีพยายามสื่อสารออกมา

เสียงเปียโนของ Bill Evens เป็นอะไรที่เสพย์ยากมากถ้าเป็นอัลบั้มเดี่ยวของเขา โชคดีหน่อยที่ชุดนี้เขาได้วง Quartet เข้ามาเสริมทำให้เสพย์ง่ายขึ้นเพราะมีบทบาทของเสียงเครื่องดนตรีอื่นๆ เข้ามาแจม โดยเฉพาะเสียงกีต้าร์กับทรัมเป็ตที่โดดเด่นมาก เพลงช้าๆ อย่าง When You Wish Upon A Star แทรคที่สองของอัลบั้มนี้ซึ่งเคยฟังกับลำโพงอื่นๆ แล้วจะรู้สึกว่าน่าเบื่อ จับต้อง อารมณ์ของเพลงไม่ค่อยจะได้ เหมือนไฟติดๆ ดับๆ ไม่ต่อเนื่อง แต่พอฟังกับลำโพงวิลสันคู่นี้กลับกลายเป็นเพลงที่ไพเราะมากที่สุดในอัลบั้มนี้.! เพราะครั้งนี้ผมรับรู้ได้ถึงรายละเอียด ทุกเม็ดที่ปรากฏอยู่ในเพลงนี้ได้อย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่รู้ว่ามีเสียงอะไรบ้าง แต่สามารถรับรู้ลึกลงไปได้ถึงอากัปกิริยาที่นักดนตรีกระทำลงไปกับเครื่องดนตรีที่พวกเขาเล่นอยู่ ผ่านออกมาทาง มูพเม้นต์ของเสียงเครื่องดนตรีเหล่านั้นด้วย

เมื่อฟังยาวไปทั้งอัลบั้ม ผมพบว่า Sabrina V คู่นี้ถ่ายทอด รูปวงของแต่ละเพลงในอัลบั้มนี้ออกมาได้สวยงามมาก เสียงของเครื่องดนตรีทั้ง 5 ชิ้นครอบคลุมปริมณฑลภายในห้องที่กินวงกว้างเป็นรัศมีแผ่ตั้งแต่หลังห้องมาจนถึงตำแหน่งนั่งฟัง ไทมิ่งที่แม่นยำทำให้รู้สึกได้ถึง ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นภายในวงที่สอดประสานรับส่งกันอย่างลื่นไหล นวลเนียน รู้สึกได้เลยว่า ทั้งหมดที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมามันคือ เนื้อหาที่ประกอบอยู่ในเพลงเหล่านั้นจริงๆ ไม่มีสิ่งแปลกปลอมใดปะปนออกมาเลย นั่นสะท้อนถึง ความสงัดอย่างยิ่งยวดของตัวตู้ และแสดงถึง ความลงตัวในการปรับจูนการทำงานของไดเวอร์แต่ละตัวให้ผสานกลมกลืนกันได้อย่างแนบเนียน ไร้รอยต่อ ผมชอบเสียงฉาบที่ Phil Jones เล่น มันเนียนละเอียดแต่ลอยชัดถอยลึกลงไปอยู่หลังระนาบลำโพงอย่างชัดเจน เมื่อมองด้วยสายตา พบว่าเสียงฉาบนั้นมันหลุดลอยออกไปจากตำแหน่งของทวีตเตอร์เป็นเมตร ไม่ได้มีความรู้สึกแม้แต่น้อยว่าเสียงฉาบนั้นจะออกมาจากทวีตเตอร์ เป็นปรากฏการณ์ หลุดตู้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะเสียงแหลมเท่านั้น แต่ลำโพงคู่นี้ให้ เสียงทุกย่านที่หลุดลอยออกไปจากตัวตู้ได้อย่างสมบูรณ์แบบเสมอกัน.!!!

อัลบั้ม : Paradise Theater (DSF64 > 352.8kHz +6.0dB)
ศิลปิน : Styx
สังกัด : Audio Fidelity

ถ้าลำโพงดี เล่นเพลงอะไรที่บันทึกมาดี เสียงก็ต้องออกมาดี ไม่เกี่ยงแนวเพลง ถ้าคำกล่าวนี้เป็นจริง แม้ว่าจะเล่นเพลงแนวพ๊อพร็อคที่บันทึกเสียงมาค่อนข้างดีกับลำโพงคู่นี้ก็ควรจะได้เสียงที่ฟังดีออกมาเช่นเดียวกัน..

อัลบั้มชุด Paradise Theater ของคณะดนตรี Styx ถือว่าหนึ่งในอัลบั้มเพลงแนวร็อคที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในกลุ่มของคนที่ชอบฟังเพลงแนวนี้ ซึ่งโทนของเพลงในอัลบั้มนี้ไม่ได้เอะอะมะเทิ่ง แม้ว่าจะมีลูกหนักลูกเน้นอยู่บ้างแต่ก็ไม่ถึงขั้นดิบเถื่อนเหมือนแนวเฮฟวี่เมทัล คนที่ยืนอยู่บนเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างพ๊อพกับร็อคจะชอบแนวนี้เป็นพิเศษ เพราะหลายๆ เพลงในอัลบั้มนี้จะมีเมโลดี้สวยๆ อย่างเช่นเพลงเอกของอัลบั้มคือ The Best of Times นั้น แม้แต่คนที่ไม่ชอบเพลงร็อคได้ยินแล้วบอกเลยว่าต้องมีนิ่ง.. และเผื่อใจรักไม่รู้ตัว.!

เพราะความที่เป็นอัลบั้มดังสำหรับกลุ่มนักฟังที่ชอบเพลงร็อค คุณ Steve Hoffman มือมาสเตอริ่ง เอ็นจิเนียร์ของค่าย Audio Fidelity จึงได้หยิบมาสเตอร์เทปของอัลบั้มนี้มาทำการรีมาสเตอร์ออกมาเป็นแผ่น SACD เวอร์ชั่น Limited Edition เพื่อวางจำหน่าย ผมมีอยู่แผ่นหนึ่ง เมื่อก่อนนำมาเล่นผ่านเครื่องเล่น SACD พบว่าเสียงโดยรวมออกมาดี แต่ผมติว่ามันออกมาติดนุ่มไปหน่อย อิมแพ็คมันไม่สดและไม่คมตามมาตรฐานของเพลงแนวนี้ ปัจจุบัน ผมริปออกมาเป็นไฟล์ DSF64 ใช้ฟังผ่านสตรีมเมอร์ ซึ่งที่ผ่านมาก็พบว่ามันยังติดนุ่มอยู่ดี แม้ว่าส่วนอื่นๆ จะแยกแยะได้ดีขึ้นก็ตาม ล่าสุด ผมใช้โปรแกรม DSDmaster ทำการแปลงไฟล์ DSF64 (DSD64) ของอัลบั้มนี้ให้ออกมาเป็นฟอร์แม็ต PCM ที่ระดับ DXD 352.8kHz/24-bit พร้อมทั้งปรับจูน gain ด้วยอัตรา +6.0dB เข้าไป เมื่อเล่นผ่าน DAC ของ Ayre AcousticsQB-9 Twentyพบว่า เสียงโดยรวมมีความสด กระชับมากขึ้น ฟังคร่าวๆ จะไม่นุ่มนิ่มเหมือนเวอร์ชั่น DSF64 แต่ฟังรวมๆ แล้วได้อารมณ์ของเพลงแนวร็อคมากกว่า ในการฟังเทียบนั้น ลำโพง Wilson AudioSabrina Vคู่นี้ได้ทำหน้าที่เป็นผู้ตัดสินระหว่าง Paradise Theater เวอร์ชั่น DSF64 vs. DXD352.8kHz/24-bit ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งแยกแยะให้เห็นความแตกต่างของเสียงระหว่างสองเวอร์ชั่นนี้ออกมาได้ชัดมาก แม้ในขณะที่ผมทดลองแปลงไฟล์ DXD แล้วค่อยๆ เพิ่ม gain เข้าไปทีละ 0.5dB ลำโพงวิลสันคู่นี้มันก็ยังสามารถถ่ายทอดความแตกต่างของเสียงออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ไม่เสียแรงที่เป็นลำโพงที่ออกแบบโดยนักออกแบบลำโพงที่สืบเชื้อสายมาจากซาวนด์เอ็นจิเนียร์

หลังจากเลือกเวอร์ชั่น DXD ได้แล้ว ผมก็ทดลองฟังทั้งอัลบั้ม พบว่า ลำโพงคู่นี้มันไม่สนใจเลยว่าเพลงที่คุณเล่นจะเป็นแนวไหน จะหนักหรือเบา เก่าหรือใหม่ อัดดีหรืออัดแย่ ไม่ว่าอัลบั้มนั้นจะมีแผลของการบันทึกเสียงอยู่ตรงไหน มัน (ลำโพงคู่นี้) ก็รายงานสิ่งเหล่านั้นออกมาให้ได้ยินแบบไม่มีกั๊ก.. ซึ่งทำให้ผมได้ยินเพลงเหล่านั้นในลักษณะที่ (เชื่อว่า) มันถูกบันทึกมาแบบนั้นจริงๆ และถึงแม้ว่าจะมีตำหนิของเสียงบางจุดปนอยู่ในเสียงเพลงที่ลำโพงคู่นี้ถ่ายทอดออกมา แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ Wilson AudioSabrina Vคู่นี้ถ่ายทอดออกมาแทบจะตลอดเวลากับทุกอัลบั้มก็คือ อรรถรสของ ความเป็นดนตรีที่คนชอบฟังเพลงเท่านั้นที่จะสัมผัสกับความรู้สึกนี้ได้.. เป็นความรู้สึกที่ยากจะหาได้จากลำโพงไฮเอ็นด์ฯ ส่วนใหญ่ที่ตั้งหน้าตั้งตา โชว์พลังมากกว่า ความเป็นดนตรี” ..!!!

สรุป

มาถึงบรรทัดนี้ เชื่อว่าก่อนจะมาอ่านรีวิวนี้ หลายคนก็คงมีความเชื่ออยู่ในใจแล้วว่า ลำโพงแบรนด์นี้ยังไงก็ต้องเสียงดีแน่นอน ที่รออ่านรีวิวก็เพราะแค่อยากจะรู้ว่า ข้อดีของลำโพง Wilson AudioSabrina Vคู่นี้มันอยู่ตรงไหนบ้าง บางคนอยากจะรู้ว่าผมจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับลำโพงคู่นี้หลังจากที่ได้ลองเล่นมันแล้ว ซึ่งผมก็คงจะไม่มีอะไรมาบอกคุณมากไปกว่าย้ำเน้นว่า ลำโพง Wilson Audio คู่นี้มีดีจริงๆ อย่างที่คุณคาดหวัง ซึ่งคุณภาพเสียงที่มันได้มาก็ไม่ได้เกิดจากความเชื่อถือของแบรนด์ หรือเกิดจากราคาขายที่หลายคนบ่นว่าแพง แต่มันมาจากพื้นฐานการออกแบบที่เกิดจากความคิดในการปรับปรุงประสิทธิภาพของตัวลำโพงในแต่ละจุด ซึ่งเป็นพื้นฐานที่กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ของ Daryl Wilson กับทีมออกแบบของเขาที่เก็บสะสมมาจากการปรับปรุงในรุ่นที่สูงกว่า Sabrina V นั่นเอง

ถึงจะไม่มีโอกาสซื้อหามาเป็นเจ้าของ แต่ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรง ก็อยากจะขอแนะนำให้หาเวลาไปลองฟังลำโพงคู่นี้ดูสักหน่อย ผมรับรองว่ามันจะเป็นประสบการณ์ที่ทรงคุณค่าเกินกว่า เวลาที่คุณเสียไปในการทดลองฟังอย่างแน่นอน..!!!

*** HIGHLY RECOMMENDED ***
สำหรับ
ลำโพงตั้งพื้นขนาดเล็ก
(Small Floor-standing Speaker)
ภายใต้งบประมาณ ไม่เกิน 1,000,000 บาท

********************
ราคา : 990,000 บาท / คู่ (สำหรับสีมาตรฐาน)
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
. Deco2000
โทร. 089-870-8987
Facebook: @DECO2000Thailand

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า