เมื่อปี 1993 สังกัด Morgan Creek ออกวางจำหน่ายผลงานอัลบั้มชุด Breaking Silence ของศิลปินสาว Janis Ian ในรูปของซีดีแผ่นสีเงินธรรมดา ในวงการเครื่องเสียงทั้งในและนอกประเทศต่างยอมรับกันว่าเป็นอัลบั้มเพลงที่เยี่ยมยอดมาก ทั้งด้านคุณค่าของเพลงและคุณภาพของการบันทึกเสียง
ข้ามมาสองปี 1995 สังกัด Analogue Productions ของนาย Chad Kassem ก็ไปเอามาสเตอร์ของอัลบั้มชุดนี้จากมอร์แกน ครีกมาผ่านขั้นตอน Digital Remastering ด้วยกระบวนการ Ultra Matrix Processing ซึ่งเริ่มจากการถ่ายข้อมูลเสียงจากมาสเตอร์อะนาลอกลงบนมาสเตอร์ดิจิตัลที่มีความละเอียด 20-bit ก่อนจะลดรูปลงมาอยู่ที่ระดับ 16-bit เพื่อใช้เป็นมาสเตอร์ในการตัดแผ่นซีดี ซึ่งกระบวนการทำ Digital Remastered ครั้งนี้เกิดขึ้นที่ The Mastering Lab ภายใต้การดูแลของ Doug Sax

ภาพปกของค่าย Morgan Creek

ภาพปกของค่าย Analogue Productions
แผ่นซีดีที่ค่าย Analogue Productions ผลิตออกมาเป็นแผ่นทอง 24K ภาพปกแผ่นเป็นภาพใบหน้าของ Janis Ian ภาพเดียวกันกับที่ใช้ในภาพปกของเวอร์ชั่นที่ Morgan Creek ทำออกมา แต่ถูกปรับให้หันหน้าสลับทิศทางกัน เวอร์ชั่นเดิมนั้นเป็นภาพขาวดำ หันหน้าไปทางขวา ในขณะที่เวอร์ชั่น Digital Remastered ใช้สีม่วงอมแดง หันหน้าไปทางซ้าย
ทางด้านตัวเพลงของทั้งสองเวอร์ชั่นไม่ต่างกัน แนวเพลงออกไปทาง Contemporary Pop หรือเพลงพ๊อพสมัยใหม่ที่มีลีลาของดนตรีร็อคอ่อนๆ ผสมอยู่ประปรายอยู่กับแนวโฟล์คในหลายๆ เพลง ท่วงทำนองเพลงมีทั้งออกแนวคึกคักและอ่อนหวานเกลี่ยกันไปในอัตราส่วนกำลังดี ฟังไปทั้งอัลบั้มแล้วจะไม่รู้สึกว่าหนักเกินไปหรืออ่อนเกินไปเพราะมีการเรียงลำดับเพลงที่ดีมีผลให้น้ำหนักของอารมณ์เพลงมีความกลมกลืนและสอดรับกัน ช่วยส่งเสริมอารมณ์กันไปตลอดทั้งอัลบั้ม

เพราะ Janis Ian มีศักยภาพของความเป็นนักแต่งเพลงอยู่ในตัว ผลงานเพลงในอัลบั้มชุดนี้จึงเป็นงานจากมันสมองของเธอเองทั้งหมด ทั้งในส่วนของแต่งคำร้องและทำนอง มีอยู่บางเพลงที่เธอทำงานร่วมกับคนอื่น แต่ภาพรวมก็ไม่ได้ผิดแผกออกไปจากโทนที่เธอทำเองทั้งหมด โครงสร้างดนตรีของอัลบั้มนี้ในแต่ละเพลงจะเด่นไปที่เลเยอร์ดนตรีที่เต็มไปด้วยรายละเอียดยิบย่อยที่ตกแต่งให้แต่ละเพลงมีเสน่ห์ให้ค้นหาที่ต่างกันออกไป ผสมกับลีลาของทำนองที่ฟังง่ายแต่ให้ความรู้สึกที่ลุ่มลึก ถึงบทที่จะแสดงพลังก็ปลดปล่อยออกมาอย่างเต็มที่ แต่ไม่โฉ่งฉ่าง แต่ตึงตังแบบมีรสนิยม มีแบบแผนและมีความแม่นยำ
เปรียบเทียบเสียงของเวอร์ชั่น Morgan Creek กับ Analogue Productions
ต่อไปนี้คือความแตกต่างระหว่างแผ่นเก่าเวอร์ชั่นของ Morgn Creek (แผ่นเงิน / เบอร์แผ่น 2959-20023-2) ซึ่งต่อไปผมจะเรียกย่อๆ ว่า ‘MC‘ กับแผ่น รีฯ ของค่าย Analogue Productions (แผ่นทอง 24K / เบอร์แผ่น CAPP 027) ซึ่งต่อไปผมจะเรียกสั้นๆ ว่าแผ่น ‘AP‘
* บทวิเคราะห์ต่อไปนี้ ได้มาจากการทดลองฟังเปรียบเทียบกับซิสเต็มระดับกลางๆ ประกอบด้วย อินติเกรตแอมป์ Devialet รุ่น EXPERT Pro 220 ขับลำโพงสองทางวางหิ้งของ Totem Acoustics รุ่น Element “Ember” ส่วนเพลงทั้งสองเวอร์ชั่นผมเล่นจากไฟล์ WAV ที่ริปมาจากแผ่นซีดี ด้วยโปรแกรม Audirvana+ ผ่านเข้าที่ EXPERT Pro 220 ทางช่อง Ethernet และใช้สายไฟเอซียี่ห้อ Life Audio รุ่น The Ant ลำเลียงไฟเอซีให้กับ EXPERT Pro 220 สายลำโพงของ Nordost รุ่น Heimdall (bi-wire)
แทรค 1: ‘All Roads To River‘
เริ่มกันที่แทรคแรก ซึ่งโดดเด่นที่เสียงร้องและกีต้าร์โปร่ง จากการฟังเปรียบเทียบกันแล้วปรากฏว่าแผ่น AP ได้เปรียบแผ่น MC อย่างเห็นได้ชัด เสียงกลางไล่ไปถึงเสียงสูงตั้งแต่เสียงร้องไปจนถึงโน๊ตตัวสูงๆ ของเสียงกีต้าร์โปร่งมีเนื้อมีหนังมากกว่า เป็นตัวเป็นตนมากกว่า และมีเสียงซิบๆ ตรงปลายเสียงน้อยกว่าแผ่น MC
เสียงร้องของเจนิส เอียนในแทรคนี้จะพบว่า เวอร์ชั่น AP ถ่ายทอดออกมาได้ “เต็มย่านเสียง” กว่า คือรับรู้เสียงร้องที่โน๊ตต่ำออกมาได้ชัดกว่า..
แทรค 2: ‘Ride Me Like A Wave‘
มาถึงแทรคนี้เกมชักเริ่มพลิก ผลปรากฏว่าทั้งสองเวอร์ชั่นต่างก็มีข้อดีและข้อด้อยกันไปคนละอย่าง แผ่น AP เด่นกว่าตรงเสียงกลางและสูงที่มีเนื้อหนังอิ่มเป็นตัวเป็นตนมากกว่า ในขณะที่แผ่น MC เก็บรายละเอียดและความกระชับของเสียงทุ้มได้ดีกว่า ให้จังหวะของหัวเสียงทุ้มที่ที่คมกว่า ในขณะที่เสียงทุ้มของแผ่น AP จะมีความอวบหนาเกินไปนิด และหัวเสียงทุ้มก็มีความคมชัดน้อยกว่าแผ่น MC เมื่อฟังสลับไปสลับมาหลายครั้ง โดยรวมๆ แล้ว ผมว่าแผ่น MC ให้ความเป็นดนตรีมากกว่า แยกแยะรายละเอียดของเสียงในย่านทุ้ม–กลาง–แหลมออกจากกันได้หมดจดกว่า และแสดงรายละเอียดของเสียงหัวไม้กลองออกมาได้ดีกว่าแผ่น AP แม้ว่าแผ่น AP จะให้เนื้อเสียงกลางและสูงที่มีเนื้อหนังอิ่มน่าฟังกว่า แต่เมื่อเปิดดังๆ ผมพบว่า เสียงทุ้มของแผ่น AP จะมีอาการล้ำหน้าความถี่กลาง–แหลมออกมานิดๆ สรุปแล้ว เวอร์ชั่นแผ่น MC ให้คุณภาพเสียงเหนือกว่านิดๆ สำหรับแทรคนี้
แทรค 3: ‘Tattoo‘
เป็นเพลงที่มีเสียงทุ้มลึกๆ ที่มีรายละเอียดยอดเยี่ยม ปรากฏว่าแผ่น AP ให้เสียงทุ้มที่มีอาการ “ล้น” หัวเสียงทุ้มบวม และติดขุ่น ถ้าเปิดดังจะเกิดอาการอื้ออึงและส่งผลให้เสียงโดยรวมมีอาการแกว่ง โดยเฉพาะถ้าใช้ลำโพงขนาดเล็กอย่างลำโพงวางหิ้งสองทางจะรับรู้อาการได้ชัด ในขณะที่แผ่น MC จะควบคุมอาการขยับตัวของเสียงทุ้มในแทรคนี้ได้ดีกว่า แม้ว่าเสียงกลางกับแหลมจะมีมวลน้อยกว่าแผ่น AP แต่โดยรวมๆ ผมยกให้แผ่น MC ฟังดีกว่ามาก
แทรค 4: ‘Guess You Had To Be There‘
แผ่น AP เหนือกว่าแผ่น MC หลายขุมในแทรคนี้ ทั้งเสียงร้องที่ออดอ้อนและให้อารมณ์ชัดเจนกว่า และเสียงกีต้าร์กับเสียงแทมมารีนที่ละเอียดและมีมวลเนื้อที่อิ่มหนากว่า แม้ว่าเสียงทุ้มของแผ่น AP จะล้ำหน้าอยู่นิดๆ และหนาอูมมากไปหน่อย แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นเลวร้าย สรุปแล้วแทรคนี้ผมให้แผ่น AP มีชัยเหนือแผ่น MC ค่อนข้างชัด
แทรค 5: ‘What About The Love?‘
แทรคนี้แผ่น MC ทำคะแนนได้เหนือกว่าแผ่น AP มาก จากลักษณะของดนตรีในแทรคนี้ที่มีการสอดประสานร่วมกันระหว่างเสียงกลอง กีต้าร์ และเบส ที่พัลวันพัลเกกันไปแทบจะตลอดเพลง ซึ่งแผ่น AP มีปัญหาในการขับเคลื่อนเสียงทุ้มให้เร็วทันกับเสียงกลาง–แหลมอยู่นิดๆ ฟังเพียวๆ อาจจะจับยากหน่อย แต่พอเมื่อฟังเทียบสลับ A/B และเพ่งโฟกัสความสนใจไปตรงประเด็นที่ผมกล่าวมาข้างต้น คุณจะรู้สึกได้ชัดว่าเวอร์ชั่น AP สตาร์ทเสียงทุ้มช้าไปนิดนึง ประมาณว่าออกมาอารมณ์ไม่ซิ้งค์กับเสียงกีต้าร์กับเสียงร้อง คือเสียงกีต้าร์กับเสียงร้องเล่นออกมาด้วยอารมณ์ที่ไว สดและทันกัน ในขณะที่เสียงเบสกับกลองโน๊ตต่ำๆ มีอาการเฉื่อยช้าและเนิบนาบไปนิด ซึ่งประเด็นนี้แผ่น MC ทำคะแนนเหนือกว่าอย่างชัดเจน และเมื่อเสียงทุ้มอยู่ในร่องในรอย ไม่ล้นบวม และเคลื่อนขยับได้ทันกับเสียงกลาง–แหลม ทำให้ความเป็น “เอกภาพ” ของแต่ละเสียงดำรงอยู่ได้ หมายถึงว่า แต่ละเสียงจะสามารถแสดงอากัปกิริยาในการขยับเคลื่อนตัวได้อย่างอิสระ สวิงได้เต็มที่ โดยไม่ไปรบกวนหรือเบียดแทรกเสียงอื่นๆ ที่กำลังบรรเลงอยู่ในเวลาเดียวกัน สังเกตตั้งแต่ช่วงเวลา 01:35 เป็นต้นไปจนถึงเวลาประมาณ 01:50 ของแทรคนี้ เสียงร้องจะลอยตัวอยู่เหนือเสียงกลองกับเพอร์คัสชั่นที่รัวกระหน่ำเป็นพัลวัน ในเวอร์ชั่น AP เสียงรัวกลองจะเข้ามาบดบังแย่งซีนเสียงร้องนิดๆ บางจังหวะ ทำให้เสียงร้องมีอาการวูบวาบเป็นช่วงๆ ยิ่งเปิดดังยิ่งจับได้ชัด ในขณะที่แผ่น MC ไม่เป็น เสียงร้องของช่วงเวลาดังกล่าวนี้จะมีความตรึงมั่นมากกว่า เคลื่อนไหวตัวได้อย่างมีอิสระมากกว่า ไม่พบอาการวูบวาบจากการเบียดกวนของเสียงทุ้มเข้ามายุ่งแต่อย่างใด
แทรค 6: ‘His Hands‘
แค่เวลาประมาณยี่สิบวินาทีแรกของแทรคนี้ แผ่น MC ก็คว้าคะแนนไปครองได้มากกว่าแผ่น AP เยอะเลย เสียงกีต้าร์ที่นำขึ้นมาในช่วงขึ้นต้นแทรคของแผ่น MC มันให้ความรู้สึกเหมือนกำลังฟังเสียงกีต้าร์ที่มีคนกำลังเล่นจริงมากกว่า ทั้งอิมแพ็คของหัวโน๊ตแต่ละตัวที่ดีดลงไปกับหางเสียงที่กังวานแผ่กว้างออกไปทำได้ดีกว่าแผ่น AP มาก ซึ่งเสียงกีต้าร์จากแผ่น AP จะรู้สึกได้ว่าเหมือนมีการฟิลเตอร์ปลายเสียงที่ทอดกังวานออกไปบางส่วน ทำให้ทำให้เสียงโดยรวมมีลักษณะที่อับทึบกว่าแผ่น MC อย่างชัดเจน เสียงทุ้มของแผ่น MC ในแทรคนี้ก็ออกมาดีกว่าด้วย เสียงเบสที่ออกมารับลูกเสียงกีต้าร์ในช่วงอินโทรสั้นๆ นี้ เมื่อฟังจากแผ่น MC จะรับรู้ได้ว่า แต่ละโน๊ตของเสียงเบสในช่วงอินโทรนี้จะมีลักษณะของมวลเบสที่ปรากฏออกมายังไม่ทันสุดตัวก็กลับม้วนตลบเก็บรวบปลายเสียงเอาไว้ไม่ให้แผ่ขยายออกไป พฤติกรรมคล้ายคลื่นในทะเลที่ตีเข้าหาฝั่งแต่ยังไม่ทันถึงชายหาดก็ตลบม้วนตัวกลับออกไปในทะเลอีกครั้ง คือเป็นเสียงเบสที่ไม่ยอมคลายพลังจนหมดนั่นเอง และเมื่อเสียงร้องโผล่ออกมารับต่อช่วงอินโทรจากเสียงกีต้าร์และเบส เมื่อฟังจากแผ่นทั้งสองเวอร์ชั่นก็พบว่า เสียงร้องออกมาต่างกันค่อนข้างชัด เสียงร้องจากแผ่น MC มีลักษณะแหบและกร้านมากกว่า ให้อารมณ์ที่กลมกลืนไปกับลีลาของดนตรีมากกว่า ในขณะที่แผ่น AP ให้เสียงที่นุ่มลงมา ทว่า ดูจะขาดอารมณ์ร่วมไปกับเสียงดนตรีนิดนึง ความใสในน้ำเสียงจะไม่ปิ้งเท่ากับเสียงร้องที่ได้จากแผ่น MC
แทรค 7: ‘Walking On Sacred Ground‘
จุดเด่นของแทรคนี้อยู่ที่ “สปีด” ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนมูพเม้นต์เกือบตลอด เดี๋ยวเร็วและสลับลงช้า เสียงกลองจะเล่นเป็นพระเอก เสียงสแนร์ในแทรคนี้คือไฮไล้ท์ของทั้งมวล จังหวะส่ง + จังหวะเร่ง + จังหวะเน้นของกลองในเพลงนี้แสดงออกมาในระดับของสปีดที่แตกต่างกัน ความฉับพลันหรือทรานเชี้ยนต์ไดนามิกของหัวเสียงอิมแพ็คของไม้กลองที่กระทบลงบนหนังกลองสแนร์ นอกจากจะแสดงออกถึงความเร็วและกระชับแล้ว มันยังมีรายละเอียดเด่นชัดในแง่ของน้ำหนักอีกด้วย ซึ่งแผ่น MC แสดงให้รับรู้ได้ชัดกว่าถึงน้ำหนักของการหวดไม้กลองที่แตกต่างกันในแต่ละครั้ง ซึ่งสังเกตได้ว่า ถ้าวัดกันที่คุณสมบัติทางด้านทรานเชี๊ยนต์ไดนามิกแล้ว แผ่น MC มักจะทำได้ดีกว่าแผ่น AP โดยเฉพาะอิมแพ็คในย่านเสียงต่ำๆ
แทรค 8: ‘This Train Still Runs‘
เพลงนี้เริ่มต้นขึ้นมาช้าๆ เสียงกี้ตาร์โปร่งพิกกิ้งกับเบสร่วมกันนำทางให้กับเสียงร้องที่ออกโทนเศร้าสร้อยของเจนนิส เอียน ความต่างระหว่างสองเวอร์ชั่นนี้จับต้องได้ไม่ยาก เพราะเบสกับกีต้าร์โปร่งมันเดินคู่กับไปตลอดเวลา เวอร์ชั่น MC ให้เสียงกีต้าร์ที่คม ใส และลอยออกมาจากแบ็คกราวนด์ได้เด่นชัดมากกว่า ในขณะที่เสียงกีต้าร์ของเวอร์ชั่น AP ออกมาขุ่นกว่า ความใสและลอยไม่ดีเท่ากับเวอร์ชั่น MC
เสียงเบสที่ได้ยินจากเวอร์ชั่น MC ของแทรคนี้ก็ขมวดตัวได้ดีกว่า ตึงตัวมากกว่า กระชับกว่า เคลื่อนไหวได้อย่างทะมัดมากกว่า สรุปแล้ว แทรคนี้ผมยกนิ้วให้เวอร์ชั่น MC นะ
แทรค 9: ‘Through The Years‘
จังหวะของเพลงนี้อยู่ในระดับปานกลาง จุดเด่นอยู่ที่เสียงเบสที่คอยเลี้ยงประคองเสียงของเครื่องดนตรีอื่นๆ และเสียงร้องให้เคลื่อนขยับไปอย่างต่อเนื่อง แต่ละโน๊ตที่มือเบสปล่อยออกมามีทั้งน้ำหนักและลีลาที่ไม่ธรรมดา ลีลาเหลือร้าย ตอดเล็กตอดน้อยไปตลอดเวลา และแน่นอนว่า พอเพลงโชว์ไปที่เสียงเบสซึ่งอยู่ในย่านความถี่ แผ่น MC ก็จะได้เปรียบเหนือกว่าแผ่น AP ทุกที
แทรค 10: ‘This House‘
เพลงนี้ไม่มีอะไรเด่นมาก จังหวะปานกลาง ลีลาดนตรีไม่ได้ซับซ้อนมาก จุดเด่นไปอยู่ที่อารมณ์เพลงซะมากกว่าอย่างอื่น ซึ่งฟังจากแผ่น AP แล้วจะรู้สึกอิ่มๆ เต็มๆ มากกว่า..
แทรค 11: ‘Some People’s Lives‘
เพลงช้าที่เน้นเสียงร้องตีคู่มากับเสียงเปียโน บันทึกด้วยวิธี Live to 2-Track (งานแต่งฝีมือ Kye Fleming) ถ้าสังเกต จะพบว่าทั้งเสียงร้องของเจนิส เอียนและเสียงเปียโนในแทรคนี้ปล่อยฮาร์มอนิกให้ทอดยาวออกไปได้มากกว่าแทรคอื่นๆ ซึ่งเวอร์ชั่น MC ทำภาพรวมออกมาได้ดีกว่าเวอร์ชั่น AP อย่างชัดเจน เริ่มจาก “ความเข้ม” ของมวลบอดี้ของทั้งเสียงเปียโนและเสียงร้องที่เวอร์ชั่น MC ทำได้อิ่มและเข้มข้นมากกว่า อิมแพ็คของเสียงเปียโนที่เวอร์ชั่น MC ถ่ายทอดออกมาก็แสดง “น้ำหนักนิ้ว” ของแต่ละโน๊ตออกมาได้ชัดเจนกว่า รับรู้ได้ชัดกว่าว่าช่วงจังหวะไหนที่เจนิส เอียนกระแทกปลายนิ้วลงไปพร้อมกับร้องท่อนที่เธอต้องการเน้น
ไม่ต้องฟังซ้ำก็ฟันธงได้เลยว่าแทรคนี้เวอร์ชั่น MC ชนะขาด!
แทรค 12: ‘Breaking Silence‘
นี่เป็นอีกแทรคในอัลบั้มนี้ที่มือมิกดาวน์ทำออกมาได้ดีมาก ลีลาและอารมณ์ของเพลงเป็นเยี่ยม มูพเม้นต์ของเสียงดนตรีแสดงตัวออกมาได้อย่างเหมาะเหม็ง รับ–ส่งกันได้อย่างลงตัว ทั้งสปีดและทัชชิ่งฟังแล้วได้อารมณ์สุดๆ
แค่ช่วงต้นเพลง 20 วินาทีแรกก็ทำเอาหูผึ่งแล้ว เพราะมิกซ์ดาวน์ เอนจิเนียร์มีเล่นเทคนิคประสานเสียงแบบผลุบโผล่ เริ่มจากเสียงร้องหลักโผล่ขึ้นมาบริเวณกลางเวทีเสียง ร้องไปหนึ่งวรรค แล้วตามด้วยเสียงประสานแรกโผล่ขึ้นมาทางซ้าย ร้องคลอตามเสียงร้องหลักไปอีกวรรค จากนั้นเสียงประสานที่สองก็โผล่ตามขึ้นมาทางขวามือข้างเสียงนักร้องหลัก (มองจากตำแหน่งนั่งฟังเข้าไป) ร้องประสานไปพร้อมกันสามเสียง ถือเป็นการเปิดฉากที่มีลีลาน่าสนใจ ชวนให้ติดตามฟังต่อในทันที

พิจารณาในแง่ของโฟกัสที่แสดงตำแหน่งของเสียงร้องทั้งสามเสียงบนเวทีเสียง จากภาพประกอบข้างบน เวอร์ชั่น AP ฉีกเสียงประสานคนแรกที่อยู่ด้านซ้ายออกไปไกลเกือบถึงลำโพงซ้าย ในขณะที่เวอร์ชั่น MC แสดงตำแหน่งของเสียงร้องประสานคนแรกแยกห่างจากเสียงร้องหลักออกไปเช่นกัน แต่ไม่ห่างมากเท่ากับเวอร์ชั่น AP ซึ่งประเด็นนี้ไม่ใช่จุดที่จะชี้ได้ว่าแบบไหนดีกว่ากัน ทว่า เมื่อลองพิจารณาทางด้านความเป็นสามมิติของเวทีเสียง ต้องยอมรับว่า เวอร์ชั่นไหนที่สามารถแสดงให้เรารู้สึกถึงลักษณะการจัดเรียงตำแหน่งของเสียงที่มีความลดหลั่นกันลงไปเป็นเลเยอร์ที่ชัดเจนกว่ากันก็ต้องให้คะแนนเวอร์ชั่นนั้นมากกว่า ซึ่งผมพบว่า เวอร์ชั่น MC จัดวางตำแหน่งเสียงได้มีมิติมากกว่า รู้สึกได้ว่า ทั้งสามเสียงมีตำแหน่งที่แยกเลเยอร์ลดหลั่นกันลงไปทางด้านหลังที่ชัดเจนมากกว่า ในขณะที่เวอร์ชั่น AP แสดงเลเยอร์ได้ไม่ชัดเท่า ลักษณะของเวทีเสียงที่เวอร์ชั่น AP พรีเซ้นต์ออกมาจึงค่อนข้างแบน รวมถึงความกลมกลึงของตัวเสียงก็เป็นรองเวอร์ชั่น MC อีกด้วย
ปัจฉิม
โดยรวมๆ แล้ว ผมชอบเสียงของเวอร์ชั่น MC มากกว่าเวอร์ชั่น AP อยู่หน่อยๆ ซึ่งต้องบอกว่า เสียงของสองเวอร์ชั่นนี้มีประเด็นที่อาจจะทำให้คุณมีความเห็นที่แตกต่างกันได้ง่าย เมื่อลองฟังกับซิสเต็มขนาดไม่ใหญ่มาก
บางครั้งผมพบว่า เสียงของเวอร์ชั่น MC ออกมาบางกว่าเวอร์ชั่น AP อย่างชัดเจน ซึ่งนั่นมักจะเกิดขึ้นตอนที่ผมฟังกับซิสเต็มขนาดเล็ก แอมป์ไม่ใหญ่ กำลังขับไม่เยอะ ซึ่งกับซิสเต็มแบบนี้ ผมพบว่า เวอร์ชั่น AP ให้ค่าเฉลี่ยของเสียงออกมาน่าพอใจกว่า เสียงอิ่มกว่า ซึ่งผมเข้าใจว่า เป็นเพราะเวอร์ชั่น AP ให้ gain ของเสียงที่แรงกว่าเวอร์ชั่น MC นิดๆ แต่พอมาฟังเทียบกันในซิสเต็มที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหน่อย แอมป์มีกำลังไม่จำกัด ควบคุมลำโพงได้เต็มที่ ผมกลับชอบเสียงของเวอร์ชั่น MC มากกว่า /
* หมายเหตุ : อัลบั้มนี้เป็นหนึ่งในอัลบั้มที่ผมใช้งานบ่อยมากในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียง ต่อจากนี้ไป เมื่อได้ยินอะไรในอัลบั้มนี้เพิ่มขึ้นจากที่สรุปไว้นี้ ผมจะมาอัพเดตเพิ่มเติมให้เป็นครั้งๆ ไป และทุกครั้งที่มีการอัพเดต ผมจะแจ้งให้คุณทราบ – enjoy listening!



