เส้นทางบนถนน High Fidelity ของผม! (part. 1 : เสียงทุ้มคือพระเจ้า มันคือสิ่งที่ผมค้นหา)

เมื่อตอนเริ่มเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆ ผมยังไม่มีหลักคิดใดๆ ในหัวเลย ปล่อยให้ความอยากลองมันชักนำไปเรื่อยๆ เมื่อหวนย้อนคิดไปในอดีต ผมมองเห็นภาพเหตุการณ์เก่าๆ ที่แฟรชแบ็คเข้ามาในสมองด้วยความเข้าใจมากขึ้น และรู้ว่าเพราะอะไรตอนนั้นผมถึงได้มีความคิดแบบนั้น

ประสบการณ์คือครูใหญ่ในชีวิตของมนุษย์เรา คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอ กับอีกประโยคที่จริงแท้ล้านเปอร์เซ็นต์ นั่นคือ การเล่นเครื่องเสียงไม่มีโรงเรียนสอนเพราะความรู้ที่ได้มาแต่ละอย่างล้วนมาจากตะกอนของการลองผิดลองถูกแทบทั้งสิ้น

เสียงแรกที่ชอบ มาจาก ถูกใจ

เรื่องราวของผมในยุคแรก ตอนที่ผมเริ่มเล่นเครื่องเสียงใหม่ๆ ผมก็ใช้ความอยากลองฟังนี่แหละเป็นตัวนำทางไป หลังจากหมกมุ่นอยู่กับการเล่นเครื่องเสียงไปสักพัก ผมยอมรับว่ามีอาการ ติดเสียงทุ้มเป็นอันดับแรก ในช่วงนั้น จำได้ว่า ผมจะโฟกัสไปที่เสียงทุ้มทุกครั้งเมื่อมีโอกาสไปลองฟังชุดเครื่องเสียงของคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเอง หรือแม้แต่ไปลองฟังในงานเครื่องเสียง ผมก็จะพุ่งความสนใจไปที่เสียงทุ้มมากกว่าความถี่อื่นเสมอ

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ techtalk.parts-express.com


ในตอนนั้นลำโพงที่ผมใช้อยู่คือลำโพงยี่ห้อ Infinity รุ่น RS3000 เป็นลำโพงสองทาง/วางหิ้ง เหตุผลที่ตัดสินใจซื้อลำโพงรุ่นนี้มาใช้ในตอนนั้นก็เพราะว่าอ่านโฆษณาในหนังสือเครื่องเสียงในยุคนั้นแล้วรู้สึกว่ามีอะไรสักอย่างมันโดนใจ แบบว่าน่าจะเป็นเวิร์ดดิ้งในโฆษณาประมาณว่า เป็นลำโพงรุ่นเล็กของผู้ผลิตลำโพงระดับไฮเอ็นด์อย่าง Infinity ที่เอาเทคโนโลยีของไดเวอร์ที่ใช้ในรุ่นใหญ่ๆ ราคาแพงสุดกู่มาใช้ในรุ่นที่มีราคาย่อมลงมา เพื่อให้นักเล่นฯ งบน้อยได้มีโอกาสสัมผัสกัน

ตอนนั้นผมก็ยังเรียนอยู่ ยังไม่จบ เงินทองก็ไม่เยอะ เลยเข้าทาง ถามว่า ได้ฟังแล้วรู้สึกยังไง.? ตอนนั้นไม่รู้เลยครับ ซื้อมาเพราะโฆษณามันดลใจจริงๆ ผมจำได้ด้วยว่า ตอนนั้น บริษัท KS & Sons เป็นผู้นำเข้าลำโพงยี่ห้อ Infinity มาจำหน่ายในประเทศไทย แต่ผมซื้อจากเฮียปัก ตั้งแต่ยุคที่เฮียปักแกไปเช่าพื้นที่ข้างๆ ร้าน ล. ศรียนต์ ที่คลองถมเพื่อขายลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงที่นั่น วันเสาร์อาทิตย์ แกจะขนลำโพงและอุปกรณ์เครื่องเสียงไปวางเรียงกันที่นั่น ผมก็ไปรอเพื่อขอซื้อลำโพงคู่นี้ จำราคาได้ไม่แม่นนัก น่าจะอยู่ราว 6,000 – 8,000 บาทนี่แหละ

ฟังไปสักพัก.. ชักไม่ใช่ซะแล้ว.!!

หลังจากใจของผมเริ่มชักนำหูของผมให้เริ่มฝักใฝ่กับเสียงทุ้ม เจ้า RS3000 ก็เริ่มหวั่นไหว ผมเริ่มรู้สึกว่าเหม็นขึ้หน้ามันซะแล้ว ลำโพงไรวะ.. ตู้อวบๆ โล้นๆ ทวีตเตอร์ก็เป็นโฟม จะพังเมื่อไหร่ก็ไม่รู้.. ยี้!

หลังจากนั้น ผมก็เริ่มออกเดินทางค้นหาลำโพงใหม่ โดยมีเป้าหมายที่เสียงเบส จนกระทั่งไปป๊ะจังงังกับลำโพงอเมริกันตัวหนึ่ง ชื่อรุ่นคือ Monitor 7B ชื่อยี่ห้อคือ Polk Audio ที่โชว์รูมร้าน เบ๊เต็กฮวด ที่ห้างมาบุญครอง ฟังแค่ไม่กี่เพลง แนวเสียงยังไงจำไม่ได้เลย มีแต่เสียงคนขายก้องกังวานอยู่ในหู มันแยกวูฟเฟอร์เสียงทุ้มออกมาจากมิดเร้นจ์เสียงกลาง ให้เบสได้ดีกว่าลำโพงที่รวมเบสกับกลางอยู่ด้วยกัน..”

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ hifiengine.com


สุดท้ายผมก็หิ้ว Monitor 7B กลับบ้าน สนนราคาจำไม่ได้แน่ชัดอีกแล้ว ตอนจ่ายเงินใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวล่ะครับ อยากฟังลำโพงเต็มแก่ จำได้เลาๆ น่าจะอยู่ที่หมื่นปลายๆ เป็นลำโพงสามทางคู่แรกที่ผมเล่น ซึ่งในตอนนั้น ความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเครื่องเสียงก็เริ่มถูกป้อนเข้ามาในสมอง

พอตั้งใจหาความรู้จึงทราบว่า ความถี่ที่หูคนเรารับฟังได้อยู่ในช่วงตั้งแต่ความถี่ต่ำไม่ลึกลงไปมากกว่า 20Hz ส่วนความถี่สูงก็ฟังได้ไม่เกิน 20,000Hz เท่านั้น หลังจากนั้น ผมก็เริ่มมองที่ specification ของลำโพงทุกครั้งที่ต้องการเปลี่ยนใหม่ ส่วนข้อมูลเกี่ยวกับ 2-Way Loudspeaker กับ 3-Way Loudspeaker ที่ผมเริ่มศึกษาหาความรู้ใส่ตัวได้สร้างความเข้าใจให้กับผมมากขึ้น และช่วยตอบข้อสงสัยได้ว่า เพราะอะไรลำโพงเล็กๆ ที่มีไดเวอร์แค่ 2 ตัว ที่ผมได้ฟังในยุคนั้นอย่าง Roger รุ่น LS 3/5a กับ ProAc รุ่น Tablette, Monitor Audio รุ่น Monitor One Gold และ Boston Acoustics รุ่น A40 ซึ่งให้เสียงเบสสู้ Polk Audio Monitor 7B ไม่ได้ แต่ให้เสียงกลางที่ดีมาก ดีกว่า น่าฟังกว่าเสียงกลางของ 7B ที่ผมฟังอยู่อย่างชัดเจน เหตุผลก็เพราะว่าคนออกแบบลำโพงสองทางวางหิ้งระดับตำนานเหล่านั้นไม่ได้พยายาม boost เสียงทุ้มขึ้นมา เพราะไม่อยากเพิ่มภาระให้กับวูฟเฟอร์ที่มีอยู่แค่ตัวเดียว โดยยอมเสียรายละเอียดของความถี่ย่านต่ำลงไปบางส่วน เพื่อแลกกับความเปล่งปลั่ง เปิดโปร่ง และพลิ้วกังวาน ของความถี่ในย่านกลาง มุ่งเน้นเพื่อขูดรีดคุณภาพของเสียงกลางออกมาให้มากที่สุด ซึ่งผู้ผลิตลำโพงบางยี่ห้อที่คิดต่างไปจากนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า นักออกแบบลำโพงสองทางระดับตำนานข้างต้นเหล่านั้นคิดถูก เพราะความพยายาม boost ความถี่ต่ำออกมาจากลำโพงสองทางตัวเล็กๆ จะส่งผลข้างเคียงในแง่ลบ คือทำให้เสียงกลางออกมาทู่ ทึม ทึบ และหม่นหมอง

ข้อเท็จจริงที่ผมรับรู้มาในขณะนั้น นำมาซึ่งบทสรุปว่า ทางออกสำหรับนักเล่นฯ ที่ต้องการความสมบูรณ์ของความถี่เสียงที่ออกมาครบ จำเป็นต้องเลือกใช้ลำโพงที่มีจำนวนไดเวอร์ยิ่งมากยิ่งดี เพื่อให้ไดเวอร์แต่ละตัวช่วยกันสร้างความถี่เสียงออกมา แบ่งเบาภาระในการทำงานของแต่ละย่านเสียงออกไป จะทำให้ได้ความถี่เสียงออกมาครบถ้วนที่สุด หลักฐานพยานที่ช่วยย้ำเน้นให้ผมเข้าใจแบบนั้นก็คือภาพของลำโพงระดับซุปเปอร์ไฮเอ็นด์ในยุคโน้นมันคาตา นั่นคือลำโพง Infinity รุ่น IRS ซึ่งใช้ไดเวอร์ทวีตเตอร์ที่ขับเสียงแหลมมากถึง 24 ตัวต่อข้าง และใช้ไดเวอร์มิดเร้นจ์แผ่นฟิล์มขับเสียงกลางข้างละ 12 ตัว ส่วนไดเวอร์ขับเสียงทุ้มก็ใช้ข้างละ 6 ตัว

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ infinity-classics.de


หลังจากผมค้นพบว่า ความถี่เสียงที่ออกมาครบ ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายซะแล้ว เสียงทุ้มที่หนา หนัก แน่น มันช่วยสร้างอารมณ์ที่แผ่กว้าง เป็นส่วนฐานที่ช่วยพยุงความถี่เสียงในย่านกลางและสูงให้ลอยตัวขึ้นมา ในขณะที่เสียงกลางที่สมบูรณ์แบบก็มีหน้าที่ของมันเองที่ต่างจากเสียงในย่านทุ้ม เสียงกลางจะนำเสนอโครงสร้างของฮาร์มอนิกของเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชนิดที่แตกต่างกันออกมาให้เรารับรู้ ส่วนเสียงแหลมนั้นเป็นตัวถ่ายทอดรายละเอียดในส่วนที่เป็น atmosphere หรือบรรยากาศของเสียง ซึ่งความถี่เสียงที่สร้างส่วนของฮาร์มอนิกและบรรยากาศของเสียงมีความเปราะบางมาก มีโอกาสจะถูกความถี่ต่ำที่แผ่ล้นเข้ามาทำลายลงได้โดยง่าย นั่นคือเหตุผลที่อธิบายว่า การเพิ่มจำนวนไดเวอร์ลงไปในลำโพงเยอะๆ ไม่ใช่แค่นั้น ไม่ได้เป็นอะไรที่คิดง่ายทำง่ายแล้วจะได้ผลลัพธ์ออกมาดี เสียงทุ้มจากวูฟเฟอร์ที่เพิ่มเข้าไปในลำโพงสองทางเพื่อสร้างความถี่ในย่านต่ำจนกลายเป็นลำโพงสามทางนั้น จะต้องถูกควบคุมอย่างดี กำหนดจุดตัด และอัตราการจางหายของปลายเสียงที่มีช่วงเวลาที่เหมาะสม สอดรับกับการเกิดขึ้นและจางหายของหางเสียงฮาร์มอนิกของย่านเสียงกลางได้อย่างลงตัวเท่านั้น ผลลัพธ์จึงจะออกไปทางบวก

นั่นคือสิ่งที่ผมเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นมาจากการอ่านรีวิวลำโพงยี่ห้อ Acoustic Research หรือ AR รุ่น 35T ซึ่งเป็นลำโพงสามทางที่ใช้ตู้ปิด ขอบวูฟเฟอร์ทำด้วยโฟม ซึ่งช่วยควบคุมการขยับตัวของไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ได้ดีกว่าขอบยางดิบที่ย้วยไปตามน้ำหนักของไดอะแฟรม หยุดตัวได้ช้ากว่า ทำให้เกิด เงาเสียงทุ้มที่ไปควบผสมกับฮาร์มอนิกของเสียงกลาง ทำให้เกิดความขุ่น มัว และอับทึบในย่านเสียงกลางและเสียงทุ้มเอง

ความรู้ที่ได้รัมาข้างต้นคือแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ผมเปลี่ยนจาก Polk Audio รุ่น Monitor 7B ไปเป็น Acoustic Research รุ่น 35T

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ tts2000.com


ตอนเปลี่ยนจาก Polk Audio รุ่น Monitor 7B มาเป็น AR รุ่น 35T ผมรู้สึกได้ถึงความสะอาดและเปิดโปร่งของเสียงกลางที่ 35T ทำได้ดีกว่า Monitor 7B จริงๆ เสียงร้องและเสียงเครื่องดนตรีที่อยู่ในย่านกลางเมื่อฟังจาก AR 35T มันลอยออกมาจากความถี่ย่านทุ้มมากกว่า Monitor 7B อย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าผมจะสูญเสียความถี่ต่ำลึกๆ ไปบ้างก็ตาม

ผมจำได้ว่า ใช้งาน AR 35T อยู่นานหลายปี ซึ่งในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมเริ่มสนใจศึกษาหาความรู้จากนิตยสารต่างๆ ทั้งไทยและเทศมากขึ้น โดยเฉพาะนิตยสาร The Absolute Sound! จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่มาในรูปลักษณ์กระทัดรัดแนวพ๊อกเก็ตบุ๊ค ผมจึงพกติดตัวไปอ่านได้เรื่อยๆ และช่วงหลังๆ ก็เริ่มอ่านนิตยสารอื่นๆ เพิ่มขึ้น อาทิ Hi-Fi News & Record Review, Hi-Fi Choice อะไรพวกนี้ รวมถึงนิตยสาร Stereophile ด้วย และเพราะนิตยสาร The Absolute Sound! นี่เองที่ทำให้ผมค้นพบครูคนสำคัญที่สอนให้ผมรู้จักกับคุณสมบัติของเสียงที่เรียกว่า dynamic

Larry Greenhill เป็นรีวิวเวอร์ที่ทำให้ผมรู้จัก Totem Acoustics รุ่น Model 1 ผมอ่านรีวิวจากนิตยสาร Stereophile ที่เขาเขียนรายงานไว้ บางประโยคในรีวิวนั้นมันพุ่งตรงเข้ามาในสมองผมอย่างแรง “.. In their true high-end perspective, however, the Totems represent value for money. Their imaging and their highly defined, rhythmic bass rival those of other loudspeakers several times their price. The B&W Matrix 805 has a more open top end, but not quite the bass definition or imaging. Only by ascending to the Sonus Faber Electa Amators ($4500/pair) will one exceed the Totems’ imaging, power, and bass definition in moderate and large rooms. For imaging, only the Sonus Faber Extrema exceeds this small two-way in spatial definition and depth of soundfield.

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซต์ ukaudiomart.com


ลารี่ กรีนฮิลล์ เขวี้ยงเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเริ่มเข้ามาในหัวของผม หลังอ่านรีวิวจบลง ความเชื่อในใจผมก็เริ่มเขว ทำไมคนรีวิวลำโพงสองทางวางหิ้งตัวนี้ถึงได้ชมเสียงทุ้มของมัน.? แถมเขายังพูดถึงเสียงกลางของ Totem Model 1 ในแง่ดีซะด้วย “.. The Totem’s midrange spectrum also caught my attention. Like many minimonitors, the Totems excelled on vocal, clarinet, and piano. Voices and strings floated free of the speaker positions. What the Totems added was an ability to better delineate distinct voices and instruments and accurately depict spatial positions.

หลังจากนั้น ผมก็ขยับไปเล่น Totem Acoustics รุ่น Model 1 ที่เป็นแค่ลำโพงสองทางวางขาตั้งที่ใช้วูฟเฟอร์แค่ 5.5 นิ้ว กับทวีตเตอร์ 1 นิ้วอย่างละตัวต่อข้าง ในราคาคู่ละ 39,000 บาทสำหรับเวอร์ชั่นซิงเกิ้ลไวร์ในขณะนั้น.! /

end of part.1

********************

ความเชื่อที่ว่า ลำโพงที่ให้ความถี่ได้กว้างและครบย่านต้องใช้ไดเวอร์หลายตัว ที่ผมยึดถือมามันกำลังสั่นคลอน.! ไม่มีทางที่ลำโพงสองทางวางหิ้งจะให้เบสได้ดีเท่ากับลำโพงสามทางวางพื้น แต่หลังจากได้ Model 1 มาเล่น ความเข้าใจบางอย่างก็แล่นเข้าสู่สมองและฝังตรึงอยู่ในรากสมองอย่างเหนียวแน่น

ประจวบเหมาะกับตอนนั้นผมกำลังให้ความสนใจอยู่กับการปรับแต่งสภาพอะคูสติกของห้องฟังอยู่ด้วย ประกายไอเดียถูกจุดขึ้นมาด้วยบทความในนิตยสาร Stereophile ที่สัมภาษณ์ Michael Green คนที่ออกแบบและผลิตอุปกรณ์ปรับแต่งสภาพอะคูสติกในห้องฟังที่ชื่อว่า RoomTune ซึ่งผมนำมาทดลองใช้แล้ว พบว่ามันส่งผลกับเสียงของลำโพงมากมหาศาล เป็นความมหัศจรรย์ของเสียงที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อน.!!!

แน่นอนว่า ประสบการณ์เหล่านี้กำลังถูกผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งผมจะมาเหลาให้อ่านกันใหม่ใน part.2 เร็วๆ นี้!

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า