3D Immersive Sound ระบบเสียงเซอร์ราวนด์มาตรฐานใหม่

เทคโลโลยีไม่มีวันหยุดนั่นคือความจริง โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับภาพ (Visual) และเสียง (Audio) ซึ่งเป็นความพยายามเอาชนะข้อจำกัดในการรับรู้ของประสาทตาและประสาทหูของมนุษย์ ในปัจจุบัน เมื่อระบบภาพพัฒนามาถึงระดับ 4K Ultra HD ที่มีความละเอียดสูง และผนวกด้วยเทคโนโลยี HDR (High Dynamic Range) ก็ยิ่งทำให้สัญญาณภาพวิดีโอของภาพยนตร์มีทั้งความคมชัด, สีสัน และคอนทราสน์ของแสง ที่เข้าใกล้กับต้นฉบับที่มาจากสตูดิโอมากขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้ระบบเสียงก็ต้องถูกพัฒนาตามขึ้นมาด้วยเพื่อให้ทัดเทียมกัน

from 2D Surround Sound
to 3D Immersive Sound

จาก
2 มิติ เข้าสู่ความเป็น 3 มิติ ที่สมบูรณ์แบบ!

ในอดีต ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ Dolby Digital และ DTS ที่ใช้รูปแบบการติดตั้งลำโพง 5.1 ch และ 7.1 ch นั้นเป็นมาตรฐานของระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบเก่าที่เราใช้ร่วมกับฟอร์แม็ตภาพวิดีโอตั้งแต่ยุค SD definition 480p/576p มาจนถึงยุคของระบบภาพ Full HD 1080p นั้น ถือว่าเป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่ให้สนามเสียงวนรอบตัวเราในแนวระนาบเดียวแค่ 2 มิติ คือ มิติด้านกว้าง (ซ้ายขวา)” กับ มิติด้านลึก (หน้าหลัง)” เท่านั้น

หลังจากนั้น ประมาณปี 2010 มีข่าวออกมาในวงการว่า ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ 5.1 ch และ 7.1 ch จะถูกพัฒนาให้มีจำนวนลำโพงมากขึ้น เป็น 11.1 ch ซึ่งทำให้นักเล่นระบบเสียงโฮมเธียเตอร์ส่วนใหญ่พากันวิพากษ์วิจารณ์ไปในทางลบ เพราะยังมองไม่ออกว่า การเพิ่มจำนวนลำโพงเข้าไปจะมีผลดีต่อคุณภาพเสียงยังไง

ทว่า เมื่อระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบใหม่ปรากฏตัวออกมาจริงๆ ความกังวลใจเรื่องจำนวนลำโพงที่มากขึ้นก็ตกไป กลายเป็นความตื่นเต้นน่าสนใจเข้ามาแทน เพราะระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบใหม่คือ Auro-3D ที่นำเสนอครั้งแรกโดย Wilfried van Baelen นั้นเป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่จริงๆ คือได้เพิ่มมิติเสียงในแนวตั้ง (vertical) เข้าไปกับสนามเสียงในแนวระนาบแบบเดิม เกิดเป็นสนามเสียงที่โอบล้อมผู้ชมได้ครบทั้ง 3 มิติ คือมิติด้านกว้าง (ซ้ายขวา), มิติด้านลึก (หน้าหลัง) และมิติด้านสูง (บนล่าง) ซึ่งมาพร้อมกับคำจำกัดความใหม่ว่า “3D Immersive Sound

จากภาพด้านบน ระบบเซอร์ราวนด์ยุคเก่าที่เป็นแบบ 5.1 ch และ 7.1 ch จะให้ความรู้สึกว่าเสียงวิ่งวนรอบๆ ตัวเราเท่านั้น ส่วนเสียงที่ควรจะมีตำแหน่งอยู่เหนือศีรษะของผู้ชมขึ้นไปด้านบน อย่างเช่น เสียงเครื่องบินที่บินเหนือศีรษะ หรือเสียงฝนตกกับเสียงฟ้าร้องที่ดังลงมาจากฟ้า จะยังไม่มีความชัดเจนของทิศทางที่ถูกต้อง

ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ยุคใหม่ที่เรียกว่า 3D Immersive Sound (ปัจจุบันมีอยู่ 3 ฟอร์แม็ต คือ Auro-3D, Dolby Atmos และ DTS-X) สามารถสร้างสัญญาณเสียงที่มีจุดกำเนิดมาจากด้านบนของสนามเสียงขึ้นมาได้ ด้วยการมิกซ์สัญญาณเสียงมาจากสตูดิโอ* ซึ่งจะทำให้เสียงเดินทางมาถึงตัวเราและพุ่งผ่านตัวเราไปได้ทุกทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นจากซ้ายไปขวา/ขวาไปซ้าย, หน้าไปหลัง/หลังไปหน้า และบนลงล่าง/ล่างขึ้นบน รวมถึงวิ่งวนสลับไปมาและควงสว่านไปได้รอบทิศทาง

* ระบบเสียง Auro-3D ใช้เทคนิคในการมิกซ์เสียงแบบ Hybrid คือใช้ทั้ง Channel-based และ Object-based ในขณะที่ระบบเสียง Dolby Atmos กับ DTS-X ใช้เทคนิคโนโลยีในการมิกซ์เสียงแบบ Object-based

Object-based Audio แบบใหม่
vs. Channel-based Audio แบบเก่า

ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ยุคเก่าทั้งฟอร์แม็ต Dolby Digital และ DTS ที่ใช้พื้นฐาน 5.1 ch และ 7.1 ch เป็นระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานเทคโนโลยีการมิกซ์เสียงด้วยวิธียึดเอาตำแหน่งของลำโพง (แชนเนล) ที่ติดตั้งไว้ตามมาตรฐานของ Dolby Lab. เป็นที่ตั้ง เรียกว่าเทคนิค “Channel-based Audio

ซึ่งระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่สร้างขึ้นด้วยกรรมวิธี Channel-based มีข้อจำกัดอยู่ 2 ประการ คือ

1. ในแง่ของจำนวนแชนเนล

สมมุติว่า ระบบเสียงของภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง มิกซ์ออกมาเป็นระบบเสียง 5.1 ch สัญญาณเสียงนั้นก็จะถูกกำหนดมาให้เพลย์แบ็คกับลำโพงเซอร์ราวนด์จำนวน 5 ตัวกับลำโพงซับวูฟเฟอร์อีกหนึ่งตัวที่ติดตั้งไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากว่าห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณมีขนาดใหญ่มากๆ การเพิ่มจำนวนลำโพงเข้าไปในระบบให้มากกว่า 5.1 ch คุณก็จะได้แค่ความเข้มของเสียงที่เพิ่มขึ้น แต่จะไม่ได้ประโยชน์จากตำแหน่งและทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียงที่ดีขึ้น เพราะตัวสัญญาณเสียงที่มิกซ์มาจากสตูดิโอไม่ได้ถูกกำหนดเผื่อมาให้ทำงานกับลำโพงที่มากกว่า 5.1 ch นั่นเอง

เมื่อตัวระบบเสียงมีจำนวนแชนเนลที่จำกัด ทำให้การกำหนดตำแหน่งเสียงและทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียงขาดความแม่นยำ แม้ว่าในเอวี รีซีฟเวอร์ส่วนใหญ่จะมีวงจร DSP เพื่อใช้คำนวนเพิ่มจำนวนแชนเนลจาก 5.1 ch ขึ้นไปเป็น 7.1 ch หรือมากกว่านั้น แต่ก็เป็นการสร้างสัญญาณเทียมขึ้นมา ไม่ใช่สัญญาณจริงๆ ที่มิกซ์มาจากสตูดิโอ ผลลัพธ์สุดท้ายจึงยังออกมาไม่ดี

2. ในแง่ของตำแหน่งการติดตั้งลำโพงในแต่ละแชนเนล

ในการเพลย์แบ็คระบบเสียง 5.1 ch หรือ 7.1 ch แบบเดิมกับชุดโฮมเธียเตอร์ คุณจำเป็นต้องติดตั้งลำโพง (แชนเนล) ไว้ในตำแหน่งที่ถูกต้องตรงตามรูปแบบที่ Dolby Lab. กำหนดไว้ในแพลทเทิ้นทุกตำแหน่ง จึงจะได้มิติเสียงออกมาตรงตามที่มิกซ์มาจากสตูดิโอจริงๆ ในกรณีที่ลำโพงทั้ง 5.1 ch ถูกติดตั้งไว้ไม่ตรงกับตำแหน่งที่กำหนดไว้ เสียงที่ออกมาก็จะผิดเพี้ยนไปเลย ซึ่งเป็นปัญหามากกับห้องโฮมเธียเตอร์ที่ไม่ได้มีพื้นที่สมมาตรกันทุกด้าน

ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ยุคใหม่ที่สร้างขึ้นด้วยเทคนิคการมิกซ์เสียงแบบ Object-based จะใช้วิธียึดที่ “ตัวเสียง” (sound image) เป็นหลัก ไม่ได้ยึดที่แชนเนล นั่นทำให้ ซาวนด์เอนจิเนียร์ในสตูดิโอสามารถกำหนดตำแหน่งของเสียงแต่ละเสียงได้แม่นยำอย่างเป็นอิสระทุกๆ ตำแหน่งในสนามเสียง ด้วยวิธีการบรรจุ “ข้อมูล” (metadata) ที่ระบุตำแหน่งเสียงนั้นๆ ลงไปในสนามเสียง แยกแยะกันอย่างชัดเจน

ด้วยวิธีนี้ ทำให้ระบบเสียงเซอร์ราวนด์ที่ใช้เทคนิคการมิกซ์เสียงแบบ Object-based มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวเองเข้ากับการติดตั้งลำโพงที่แตกต่างกันได้หลากหลายลักษณะ ทั้งที่เป็นความแตกต่างทางด้าน จำนวนลำโพงและความแตกต่างทางด้าน รูปแบบการติดตั้ง

คุณสามารถเริ่มต้นกับประสบการณ์ 3D Immersive Sound ในห้องเล็กๆ ได้ง่ายๆ ด้วยการติดตั้งลำโพง 5.1 ch แบบเดิมแล้วเพิ่มเติมลำโพงด้านบนเข้าไปอีก 2 ตัว (เรียกว่าฟอร์แม็ต 5.1.2) เพื่อสร้างมิติเสียงด้านสูง (บนลงล่าง/ล่างขึ้นบน) เพิ่มขึ้นมา หรือถ้าห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณมีขนาดใหญ่ คุณก็สามารถใช้การติดตั้งลำโพง 7.1 ch ตามรูปแบบของระบบเสียงเซอร์ราวนด์ดั้งเดิมแล้วเพิ่มแชนเนลด้านบนขึ้นมาอีก 2 ตัวก็ได้ (เรียกว่าฟอร์แม็ต 7.1.2) หรือจะอัดเต็มสเปคคือ4 ตัวก็ได้ (เรียกว่าฟอร์แม็ต 7.1.4) ซึ่งระบบเสียงเซอร์ราวนด์แบบใหม่ทุกฟอร์แม็ตสามารถรองรับจำนวนลำโพงได้มากเกิน 12 แชนเนลขึ้นไปทั้งนั้น

คุณไม่จำเป็นต้องซื้อแผ่นหนังที่บันทึกเสียงต่างกันสำหรับเล่นบนชุดโฮมเธียเตอร์ที่ติดตั้งจำนวนลำโพงไม่เท่ากัน เนื่องจาก แผ่นบลูเรย์ภาพยนตร์ทุกเรื่องที่มิกซ์ด้วยระบบเสียง Dolby Atmos หรือ DTS-X รวมถึงภาพยนตร์ที่สตรีมผ่านผู้ให้บริการทางอินเตอร์เน็ต อย่างเช่น NetFlix ถ้าระบบเสียงมิกซ์ด้วย Dolby Atmos หรือ DTS-X ก็จะสามารถเล่นบนชุดโฮมเธียเตอร์ได้ทุกชุดแม้ว่าจะมีจำนวนลำโพงต่างกัน และถึงแม้ว่า ห้องโฮมเธียเตอร์ของคุณจะมีลักษณะพื้นที่ที่ไม่สมมาตร ทำให้ไม่สามารถติดตั้งลำโพงบางแชนเนลได้ตามรูปแบบที่ Dolby Lab. กำหนดไว้ก็ตาม ด้วยประสิทธิภาพการมิกซ์แบบ Object-based จะสามารถปรับชดเชยให้ออกมาดีที่สุดได้ ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เรียกว่า scalable ของระบบเสียงเซอร์ราวนด์รูปแบบใหม่ๆ นั่นเอง /

* คอยติดตามข้อมูลเพิ่มเติมของเรื่องนี้ได้เร็วๆ นี้ โดยใช้ tags #3DImmerSiveSound นะครับ

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า