MQA ยังไม่ตาย.! เปิดต้ว QRONOd2a และ QRONOdsd ออกมาใหม่.!!

ใครที่คิดว่า MQA ตายไปจากโลกนี้แล้ว ก็ต้องขอบอกว่าคุณคิดผิดซะแล้ว.. !! หลังจาก MQA ถูก Lenbrook ซื้อไป มันก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ต่อมาได้ นับจากวันแรกที่เปลี่ยนมือจาก Meridian มาเป็น Lenbrook มันก็ยังคงมีพัฒนาการที่ต่อเนื่องมาตลอด ล่าสุดเมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ปี 2024 ที่ผ่านมา ทาง Lenbrook เจ้าของคนใหม่ของ MQA ได้ประกาศเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นหน่อเนื้อเชื้อไขของ MQA ดั้งเดิมออกมา 2 ตัว นั่นคือ QRONOd2a กับ QRONOdsd ข้อมูลที่รออยู่ด้านล่างนี้ เป็นข้อมูลที่แปลมาจากเอกสาร white paper ที่ MQA เผยแพร่ออกมาโดยตรง.. เชิญทัศนาได้เลย.!!

MQA QRONO
Digital Audio with Analogue Soul

ปฐมบท
ดิจิตัลถือกำเนิดด้วยเป้าหมายเพื่อนำเสนอวิธีการ “จัดเก็บ(store) และการ “ส่งผ่าน(transfer) สัญญาณเสียงที่ทำการบันทึกไว้ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งต้นทางสัญญาณแบบอะนาลอกที่ดีที่สุด อย่างเช่น โอเพ่นรีลและแผ่นเสียงแล้ว ดิจิตัล ออดิโอจะแสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ดีกว่าอย่างชัดเจนหลายประเด็น อาทิเช่น ไม่มีความเสื่อมถอยของคุณภาพเสียงเมื่อมีการทำซ้ำ, มีความนิ่ง และไม่มีความผิดพลาดทางด้านไทมิ่งเมื่อนำมาเล่นกลับ นอกจากนั้น เมื่อทำการตรวจวัดด้วยมาตรฐานไฮฟิเดลิตี้ก็พบว่า ดิจิตัล ออดิโอ ไม่พบสัญญาณรบกวนและความผิดเพี้ยนที่เรียกว่า wow & flutter ที่เกิดจากการทำงานของระบบแมคคานิคที่ซับซ้อนเหมือนระบบเพลย์แบ็คที่แหล่งต้นทางอะนาลอกใช้ แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นว่า แม้ดิจิตัล ออดิโอจะมีคุณสมบัติที่ดีกว่าอะนาลอก ออดิโอมากมาย แต่ต้องมี “อะไรสักอย่าง” ที่ทำให้เสียงของดิจิตัล ออดิโอยังให้ความมีชีวิตชีวาได้ไม่ดีเท่าอะนาลอก ออดิโอ

นักฟังที่มีความละเอียดช่ำช่องติว่า เสียงของดิจิตัล ออดิโอแบน และแข็งทื่อเหมือนหุ่นยนต์ ขาดความนุ่มเนียนตามธรรมชาติของเสียงดนตรี และอาการหยาบแห้งของเสียงที่เกิดจากระบบเสียงดิจิตัล ออดิโอจะทำให้เกิดความรู้สึกระคายหูเมื่อฟังไปนานๆ อะไรขาดหายไปจากระบบเสียงดิจิตัลกันแน่? ทำไมระบบเสียงอะนาลอกที่แม้จะมีความไม่สมบูรณ์ตั้งเยอะแยะ แต่กลับให้เสียงที่สมจริงและเป็นธรรมชาติมากกว่า.?? ปริศนาเหล่านี้จูงใจให้นักวิทยาศาตร์หัวก้าวหน้าและออดิโอ เอ็นจิเนียร์พากันค้นสืบไปถึงกลไกในการรับฟังเสียงของมนุษย์ให้ลึกลงไปมากขึ้น เพื่อค้นหาความสัมพันธ์ระหว่างการรับฟังเสียงของมนุษย์กับสัญญาณเสียงที่เล่นออกมาจากระบบดิจิตัล อิดิโอ

ประสาทวิทยายุคใหม่
สะท้อนให้เห็นถึงลักษณะการรับฟังเสียงของมนุษย์

เมื่อพูดถึงคำว่า “ได้ยิน” อย่างแรกที่เรานึกถึงก็คือ “หู” กับวิธีการที่มันแปลพฤติกรรมที่เกิดจากแรงดันของอากาศที่แปรผันไปตามสัญญาณเพลงให้ออกมาเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่เคลื่อนผ่านระบบประสาทรับเสียงของเราเข้าสู่สมอง ซึ่งความสามารถในการรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัว แม้ว่าจะเป็นเสียงที่เบามากๆ แต่เราก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าเสียงนั้นเดินทางมาจากทิศไหน ซึ่งความสามารถที่ว่านี้เกิดจากสัญชาตญาณเอาตัวรอดของมนุษย์เรานี่เอง

สมองของเราประมวลผลความรู้สึกเหล่านี้ออกมาเป็นเสียงที่หลากหลายซึ่งช่วยให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ เสียงสามารถสร้างแรงกดดันและมีความหมาย จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่า ทุกส่วนของสมองสามารถได้รับการกระตุ้นจากเสียงที่เราเรียกว่า ดนตรี” จากส่วนที่เป็นจังหวะ ทำนอง และความกลมกลืน ล้วนกระตุ้นโครงสร้างต่างๆ ของสมอง และโดยรวมสามารถสร้างระดับอารมณ์ที่ดึงดูดให้สมองเกิดพลวัตในระดับที่สูงขึ้นได้

กลไกในการได้ยินของมนุษย์เรามีความซับซ้อนมากกว่าส่วนประกอบของใบหูและ eardrum ที่ทำหน้าที่ดักจับคลื่นเสียงแล้วส่งไปให้สมอง ซึ่งสมองและระบบประสาทของมนุษย์เราก็มีความสำคัญพอๆ กัน เมื่อเราตั้งใจฟัง จะมีข้อมูลจำนวนมากถูกส่งจากสมองไปที่หูมากกว่าข้อมูลที่ถูกส่งจากหูไปที่สมอง เราสามารถโฟกัสไปที่องค์ประกอบย่อยของเสียงบางส่วนได้โดยละความสนใจองค์ประกอบอื่นๆ ลงไปได้ ซึ่งก็เป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมส่วนใหญ่ของมนุษย์ นั่นคือความสามารถในการได้ยินของมนุษย์สามารถปรับปรุงได้ด้วยการเรียนรู้และการฝึกฝน

มันเป็นเรื่องของ “เวลา(time)

การค้นพบทางประสาทวิทยาล่าสุดที่น่าประหลาดใจที่สุดประการหนึ่งก็คือ ความแม่นยำของการได้ยินของมนุษย์เราที่ดีขึ้นเมื่อแยกแยะเสียงด้วยความละเอียดของ “เวลา” ที่แม่นยำ เราสามารถรับรู้สัญญาณเสียงที่แตกต่างกันได้ใกล้กันแค่ 7 ไมโครวินาที ซึ่งความแม่นยำระดับนี้ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญต่อการอยู่รอดของมนุษยชาติในยุคแรก เมื่อนำความสามารถนี้ไปใช้กับการรับรู้ดนตรี มันทำให้เราได้ยินเนื้อสัมผัสที่ละเอียดอ่อน รับรู้ถึงการแยกแยะที่ชัดเจน และสัมผัสได้กับบรรยากาศที่น่าประทับใจของเครื่องดนตรี การประมวลผลทางเสียงที่ไม่สามารถรักษารายละเอียดของ “เวลา” เหล่านี้ไว้ได้จะทำให้เสียงออกมาเบลอและปนกัน

ส่วนใหญ่ที่คุณจะได้อ่านจากเอกสาร white paper ฉบับนี้ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์เราสามารถรับรู้ความแตกต่างของเสียงที่อยู่ใกล้กันแค่ 7 ไมโครวินาที คือข้อมูลใหม่ ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา เทคโนโลยีดิจิตัล ออดิโอมองข้ามความแม่นยำระดับนี้ไป ด้วยความรู้ใหม่นี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปรับปรุงและแก้ไขคุณสมบัติด้านนี้ของระบบเสียงดิจิทัล ออดิโอ เพราะความแม่นยำในโดเมนเวลาเป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เสียงจากระบบดิจิทัลฟังดูเป็นธรรมชาติเหมือนระบบเสียงอะนาล็อก โดยยังคงรักษาคุณสมบัติเด่นซึ่งเป็นแกนหลักของระบบเสียงดิจิตัลเอาไว้ได้

การค้นหา “เวลา(time)

วิธีการที่ใช้กันทั่วไปและได้รับการยอมรับในการแปลงสัญญาณอะนาล็อกให้เป็นสัญญาณดิจิทัล และแปลงจากสัญญาณดิจิทัลให้เป็นสัญญาณอะนาล็อก จำเป็นต้องมีการใช้ “การกรอง(filter) เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งในกระบวนการแปลงสัญญาณอะนาลอกให้เป็นสัญญาณดิจิตัลนั้น เราอยากใช้วงจรฟิลเตอร์เพื่อป้องกันปัญหาของความไม่เป็นเชิงเส้นในลักษณะที่เรียกทางเทคนิคว่า downward alising ที่เกิดขึ้นขณะที่มีการปรับลดอัตราแซมปลิ้งเรตที่สูงลิบลงมาสู่ระดับที่เหมาะสมกับการบันทึก, การมิกซ์, การทำมาสเตอร์ และการเผยแพร่ ส่วนในขั้นตอนแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นสัญญาณอะนาลอก ก็ต้องใช้วงจรฟิลเตอร์เพื่อป้องกันปัญหาความไม่เป็นเชิงเส้นในลักษณะที่ตรงข้ามกันที่เรียกว่า upward alising ซึ่งจำเป็นในขั้นตอนที่เปลี่ยนจากอัตราแซมปลิ้งต่ำๆ ให้ขึ้นไปเป็นสัญญาณที่มีอัตราแซมปลิ้งสูงๆ ก่อนส่งเข้าสู่ระบบการแปลงสัญญาณของภาค DAC

วงจรฟิลเตอร์ที่ใช้ใน DAC ทั่วๆ ไปจะให้ความสำคัญกับการวัดค่าแบบพื้นฐานเดิมๆ ที่เคยใช้กันมา เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหา upward alising และได้ความถี่ตอบสนองในย่านเสียงเป้าหมายที่ราบเรียบอย่างสมบูรณ์ โดยมักจะอยู่เหนือความถี่สูงสุดของเสียงดนตรีทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปกับดีไซน์ของวงจรฟิลเตอร์แบบ brick wall นี้ก็คือความคลาดเคลื่อนของ time ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้การรับรู้ถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของเสียงเพลงถูกทำให้ผิดเพี้ยนไป ซึ่งถ้ามองในเชิงกลไก ถือว่าฟิลเตอร์ brick wall นี้มีความยืดหยุ่นมากเกินไป (หรือแด้มป์น้อยไปหน่อย) เปรียบเทียบเหมือนขับรถไปเจอลูกระนาดที่ขวางอยู่บนถนนในขณะที่โช๊คของรถมีลักษณะที่นุ่มเกินไป ผลคือรถจะมีอาการเด้งขึ้นเด้งลงค้างอยู่ คือหลังจากขับผ่านลูกระนาดมาแล้วก็ยังไม่หยุดเด้งทันที ลักษณะนี้ก็เหมือนกับแนวคิดของฟิลเตอร์แบบ impulse response ซึ่งแสดงถึงลักษณะการตอบสนองของระบบต่อสัญญาณอินพุตที่เข้ามาแบบฉับพลันในช่วงเวลาสั้นๆ

ในภาพ 1 แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า perfect digital impulse หรือ delta function ซึ่งเกิดจากการป้อนสัญญาณดิจิตัลแค่หนึ่งหน่วย (single sample) ด้วยความแรงในระดับ full scale โดยไม่มีสัญญาณอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้องเลย ซึ่งสามารถใช้สัญญาณอินพุตแบบนี้เป็นสัญญาณอ้างอิงสำหรับการวัดค่า impulse response ของระบบได้ ซึ่งเอ๊าต์พุตของซิสเต็มก็จะสะท้อนผลของสัญญาณฉับพลัน (impulse) นั้นๆ

เมื่อพิจารณาลักษณะการตอบสนองต่อสัญญาณ impulse (ฉับพลัน) ของอุปกรณ์อะนาลอกทั่วไป เราจะเห็นสิ่งที่เรียกว่า “ post-ringingที่เกิดขึ้นภายในตัวอุปกรณ์นั้น ซึ่งเกิดขึ้นจากเรโซแนนซ์ของมวลที่สะท้อนไปมาเหมือนสปริงที่ไม่หยุดลงในทันทีที่สัญญาณหยุดลง คุณจะเห็นว่า พลังงานของเรโซแนนซ์ที่เกิดจากสัญญาณอินพุตแบบฉับพลัน (impulse) นั้นจะกระเพื่อมออกไปตาม time ของฟิลเตอร์

นักเล่นเครื่องเสียงมักจะให้นิยามที่อธิบาย speed ของดนตรีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “ jump factorอย่างเช่นจังหวะที่ไม้กลองกระทบกับใบฉาบ หรือจังหวะที่ฆ้อนไม้หุ้มนวมตีลงไปบนสายเปียโน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดพลังงานจำนวนมากขึ้นอย่างเฉียบพลัน ซึ่งช่วยสร้างความมีชีวิตชีวาให้กับเสียง ส่งผลให้ผู้ฟังตอบสนองกับเพลงได้อย่างเต็มที่ “ถ้า” ชุดเครื่องเสียงสามารถถ่ายทอดพลังงานเหล่านั้นออกมาได้อย่างถูกต้องและเที่ยงตรงอย่างถึงที่สุด

ด้วยพัฒนาการที่ก้าวล้ำของ Digital Signal Processing (DSP) จึงทำให้มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างวงจรฟิลเตอร์ที่มีลักษณะที่เหมือนกับวงจรฟิลเตอร์แบบที่มีอยู่ในซิสเต็มอะนาลอก และยังสามารถสร้างวงจรฟิลเตอร์ที่มีความซับซ้อนในระดับที่ “มากเกินกว่า” ความสามารถของซิสเต็มอะนาลอกสามารถทำได้ ออกมาด้วย รูปแบบของวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์รูปแบบหนึ่งที่รู้จักกันมากที่สุดก็คือ linear phase filter ซึ่งโดยหลักการที่เขียนลงบนกระดาษแล้ว จะเห็นว่าไอเดียในการออกแบบฟิลเตอร์ตัวนี้มันยอดเยี่ยมมาก มีฟังท์ชั่นสนับสนุนมากมาย และด้วยลักษณะที่สมมาตรของฟิลเตอร์ตัวนี้ ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ใน DAC ยุคแรกๆ และมักจะปรากฏเป็นตัวเลือกอยู่ใน DAC ยุคใหม่ๆ ในปัจจุบันด้วย

ลักษณะการทำงานของฟิลเตอร์ตัวนี้แสดงโดยภาพกราฟข้างบนนั้น ซึ่งฟิลเตอร์ตัวนี้มีทั้ง pre-ringing และ post-ringing เพราะพลังงานของสัญญาณอินพุตที่เข้ามาแบบฉับพลันจะทำให้เกิดแรงกระเพื่อม (ringing) ขึ้นทั้งก่อนและหลังช่วงพีคหลักของตัวฟิลเตอร์ ซึ่งจริงๆ แล้ว ส่วนของ pre-ringing เป็นส่วนที่ไม่มีอยู่จริงในธรรมชาติและในชุดเครื่องเสียง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้เมื่อใช้ฟิลเตอร์ตัวนี้แล้วจะทำให้มีความรู้สึกว่าเสียงออกมาไม่เป็นธรรมชาติ และทำให้เกิดการระคายเคืองต่อการรับฟังซึ่งนักเล่นเครื่องเสียงที่มีประสบการณ์มักจะติติงในช่วงที่ใช้ฟิลเตอร์ตัวนี้ใน DAC ยุคแรกๆ ถ้านึกไม่ออกว่าอะไรคือความผิดปกติของฟิลเตอร์ตัวนี้ ให้ลองจินตนาการถึงรถที่คุณขับว่ามันมีอาการเด้งขึ้นเด้งลง “ก่อน” ที่จะเจอกับลูกระนาดนั่นแหละ

ส่วน post-ringing นั้นลักษณะคล้ายกับการก้องสะท้อน (reverberation) ตามธรรมชาติ ซึ่งง่ายต่อการปล่อยผ่านไปสำหรับสมองของมนุษย์เรา แต่ post-ringing นี้ก็ยังมีประโยชน์เมื่อทำการปรับลดปริมาณลงเพื่อให้ได้ลักษณะความกังวานที่ตรงกับ timing ของเพลงที่บันทึกเสียงมา หากปล่อยให้พลังงานของคลื่นเสียงหนึ่งไปซ้อนทับพื้นที่ของอีกคลื่นเสียงหนึ่ง จะมีผลให้คลื่นเสียงที่เคยคมชัดจะกลายเป็นเบลอมัวลงไป

การแก้ไขปัญหาโดย
QRONOd2a ของ MQA Labs

ถึงตอนนี้ เมื่อเราเข้าใจปัญหาแล้ว เราก็พร้อมสำหรับการค้นหาวิธีการแก้ปัญหากันต่อไป ซึ่ง QRONOd2a ก็ถูกคิดขึ้นมาเพื่อการนี้.! ด้วยการสร้าง DAC filter แบบที่ไม่มี pre-ringing ส่วน post-ringing ก็ต้องทำให้หยุดตัวเร็วขึ้น เพื่อไม่ให้ไปซ้อนทับกับคลื่นเสียงถัดไป

QRONOd2a ถูกสร้างขึ้นจากประสบการณ์ที่ผ่านการพิสูจน์มาแล้ว ผสมผสานกับการระดมความคิดอย่างหนักในการค้นหาวิธีการแก้ปัญหานี้ ถือว่าเป็นความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในระบบเพลย์แบ็คสำหรับระบบเสียงดิจิตัล ออดิโอ

เกือบทั้งหมดของชิป DAC ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะทำการ upsampling สัญญาณอินพุตให้สูงขึ้นเพื่อป้อนให้กับโมดูเลเตอร์ที่มีความเร็วสูงก่อนส่งเข้าชิป DAC ซึ่งโดยทั่วไปนั้น วงจรฟิลเตอร์ที่ใช้อยู่ใน DAC เหล่านี้ มักจะออกแบบให้ได้สเปคฯ ที่ออกมาดูแล้วประทับใจ โดยเฉพาะทางด้านตัวเลขความเพี้ยนและระดับสัญญาณรบกวนต่ำๆ ซึ่งดูดีบนกระดาษ แต่เสียงล่ะดีมั้ย? ซึ่งโดยมากแล้ว การที่จะทำให้ได้ตัวเลขความเพี้ยนกับน้อยซ์และไดนามิกเร้นจ์ที่ดูดีมักจะทำให้ประสิทธิภาพทางด้าน time domain แย่ลง ซึ่งส่งผลกับสัญญาณอินพุตที่เล่นผ่านซิสเต็มที่ใช้ชิปเหล่านี้ ไม่ได้ให้เสียงออกมาอย่างที่เราต้องการฟัง

การออกแบบวงจรฟิลเตอร์ที่ดีกว่าฟิลเตอร์เหล่านั้น MQA Labs เริ่มจากมุ่งความสนใจไปที่สเปคตรัมของเสียงในธรรมชาติ กับเสียงเพลงที่เราต้องการฟังจากสัญญาณเสียงที่ป้อนเข้าไป คลื่นเสียงในสภาพแวดล้อมธรรมชาติมีแนวโน้มที่แอมปลิจูดจะลดลงเมื่อความถี่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเสียงดนตรีในสภาพแวดล้อมธรรมชาติก็มาในแนวเดียวกันนี้ ลักษณะเสียงที่นักเล่นเครื่องเสียงชอบคือย่านเบสกับย่านมิดเร้นจ์ที่มีแอมปลิจูดสูงๆ ในขณะที่ย่านความถี่สูงกว่าขึ้นไปมีความดังที่ต่ำมากๆ แม้ว่าความดังของความถี่ในย่านแหลมจะมีระดับที่ต่ำ แต่มันก็ยังคงมีความสำคัญทั้งกับการรับรู้รายละเอียดของเสียงเครื่องดนตรีและการรับรู้รายละเอียดทางด้านบรรยากาศ ซึ่งเป็นรายละเอียดที่สำคัญต่อการดื่มด่ำกับอรรถรสของดนตรี

MQA Labs ทำการออกแบบฟิลเตอร์ออกมาชุดหนึ่ง ที่มีพลังมากพอที่จะสามารถต้านปัญหาข้างต้นที่จะเกิดกับสัญญาณอินพุตได้ และยังสามารถตอบสนองกับคุณสมบัติทางด้าน “เวลา” ที่ดีกว่าฟิลเตอร์ที่มีอยู่โดยทั่วไป ซึ่งเรา (MQA Labs) สามารถบรรจุฟิลเตอร์ตัวนี้ลงไปในชิป DAC แทนที่วงจรฟิลเตอร์ที่ผู้ผลิตชิปใส่มาให้ได้ ซึ่งจะทำให้สามารถปรับปรุงคุณภาพทางด้าน “เวลา(time domain) ของซิสเต็มที่ใช้ในการทำ upsampling และฟิลเตอร์ในตัวชิป DAC ไปพร้อมๆ กัน

ชิป DAC ทั่วไปมักจะใช้วงจรฟิลเตอร์ตัวเดียวกันสำหรับรองรับสัญญาณอินพุตที่มีสเปคฯ ต่างกันทุกระดับ ซึ่งแน่นอนว่า ผลของฟิลเตอร์ตัวนั้นที่กระทำกับสัญญาณอินพุตแต่ละค่าย่อมออกมาต่างกัน ซึ่งต่างจากฟิลเตอร์ QRONOd2a ที่ MQA Labs ออกแบบมาที่จะถูกทำให้มีความเหมาะสมกับสเปคตรัมของสัญญาณอินพุตทุกระดับแซมปลิ้งเรต ซึ่งมีผลให้สามารถรักษาความเป็นดนตรีของสัญญาณอินพุตเอาไว้ได้โดยมั่นใจได้ว่ามัน (ฟิลเตอร์ QRONOd2a) จะไม่ปล่อยสัญญาณอัลตร้าโซนิคให้หลุดออกไปทำให้เกิดความเสียหายกับการทำงานของอุปกรณ์เครื่องเสียงที่อยู่ในลำดับถัดลงไป อย่างเช่นแอมปลิฟายและลำโพง

สุดท้ายแล้ว เราใช้เทคนิคที่เรียกว่า noise shaping เข้ามาช่วยกรองสัญญาณรบกวนที่เกิดขึ้นในย่านอัลตร้าโซนิคออกไป และ noise shaping ยังช่วยทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของชิป DAC ดีขึ้นด้วย เพราะ noise shaping จะช่วยรักษาคุณสมบัติทางด้านไดนามิกเร้นจ์ของสัญญาณอินพุตในย่านความถี่เสียงที่รับฟังได้เอาไว้ แต่ช่วยลดปริมาณ bits ของสัญญาณอินพุตที่ต้องการใช้ในการสร้างความถี่เสียงออกมา ซึ่งก็หมายความว่า เราสามารถเลือกใช้ช่วงการทำงานของชิป DAC ที่ให้ไดนามิกเร้นจ์ที่ราบเรียบมากที่สุดได้

ฟิลเตอร์ QRONOd2a ที่ติดตั้งเข้าไปในอุปกรณ์เครื่องเสียงแต่ละตัวได้ถูกปรับตั้งให้มีความเหมาะสมกับการทำงานของชิป DAC ที่ใช้อยู่ในอุปกรณ์ตัวนั้นๆ ด้วย

การวัดผลกระทบ

ลองพิจารณากราฟที่ได้จากการตรวจวัดลักษณะ impulse response ของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ vs ไม่ได้ใช้ฟิลเตอร์ QRONOd2a เมื่อป้อนด้วยสัญญาณอินพุตที่ระดับ 48kHz และ 192kHz ซึ่งก่อนที่ฟิลเตอร์ QRONOd2a จะถูกเปิดใช้งาน ฟิลเตอร์ minimum phase ได้ถูกเลือกใช้ ซึ่งก็ให้เสียงที่เป็นธรรมชาติสูงกว่าการใช้ฟิลเตอร์ตัว linear phase อย่างที่เราเห็นในกราฟหมายเลข 3 ก่อนหน้านี้

ภาพด้านบนโชว์ปริมาณ ringing ของสัญญาณเอ๊าต์พุตที่เกิดจากการตอบสนองต่อสัญญาณอินพุตที่ 48kHz ของ DAC ที่ใช้ฟิลเตอร์ที่ติดตั้งมาบนชิป DAC นั้น (เส้นสีแดง) เทียบกับการใช้ฟิลเตอร์ QRONOd2a ที่มีริ้งกิ้งเกิดขึ้นสั้นกว่า (เส้นสีเขียว) ซึ่งนับว่าสัญญาณอินพุตที่ระดับ 44.1kHz กับ 48kHz เป็นอัตราที่ท้าทายสำหรับการอัปแซมเปิ้ล เนื่องจากส่วนบนของย่านเสียงจะใกล้เคียงกับความถี่สูงสุดที่สามารถแสดงได้ด้วยอัตราแซมเปิลดังกล่าว

การรับรู้ของเรามีลักษณะที่ใกล้เคียงกับการคำนวนด้วยล็อกการิธึ่ม ซึ่งภาพที่ 5 ข้างบนนี้โชว์ค่าที่วัดได้เหมือนกับภาพที่ 4 แต่แสดงออกมาในลักษณะของ dB scale logarithmic ซึ่งทำให้เรามองเห็นความแตกต่างของอาการริงกิ้งที่เกิดจากฟิลเตอร์ตัวก่อนหน้าฟิลเตอร์ QRONOd2a ว่ามันทอดยาวลงไปถึงระดับ noise floor ที่ใช้วัดค่า ในขณะที่ริงกิ้งที่เกิดจากฟิลเตอร์ QRONOd2a สั้นกว่ามาก

โชว์กราฟตอบสนองของอุปกรณ์ที่วัดค่าหลังจากป้อนสัญญาณอินพุตระดับ 192kHz คุณจะเห็นว่า วงจรฟิลเตอร์ที่ใช้กับสัญญาณอินพุต 192kHz เป็นตัวเดียวกันกับที่ใช้กับอินพุต 48kHz แต่ทำงาน เร็วขึ้น 4 เท่า เราจึงออกแบบให้แกนเวลา (time axis) สั้นลง 4 เท่า ซึ่งทำให้มองเห็นได้ง่ายขึ้น ความแตกต่างเมื่อเทียบกับฟิลเตอร์ที่ติดตั้งมาให้ในชิป DAC ก็คือ QRONOd2a ใช้ฟิลเตอร์ที่ออกแบบแตกต่างออกไปอย่างชัดเจน เจาะจงออกแบบมาเพื่อใช้กับสัญญาณอินพุตที่ระดับ 192kHz โดยเฉพาะ ซึ่งมันสั้นกว่ามากโดยมีการตอบสนองทางด้านเวลา “timeเกือบสมบูรณ์แบบ

ภาพที่ 7 แสดงการวัดค่าเดียวกับ ภาพที่ 6 แต่แสดงออกมาในรูปแบบของ dB amplitude scale ซึ่งจากกราฟนี้จะเห็นว่า การตอบสนองทางด้านเวลา (time) ของฟิลเตอร์ QRONOd2a จะสั้นกว่าฟิลเตอร์อื่นๆ ที่ใช้ในชิป DAC ทั่วไปอยู่ราวๆ ยี่สิบเท่า

ต้องหมายเหตุไว้ด้วยว่า ค่าที่วัดได้นี้ เป็นแค่การแสดงให้เห็นถึงผลที่ได้จากการเพลย์แบ็คผ่านภาค DAC ที่ทำงานร่วมกับภาคอะนาลอก เอ๊าต์พุต โดยไม่ได้คำนึงถึงหรือแก้ไขอาการเบลอมัวที่เกิดจากกระบวนการ ADC ที่ใช้แปลงสัญญาณอะนาลอกมาสเตอร์ให้เป็นสัญญาณดิจิตัล ซึ่งถ้าจะแก้ไขตรงส่วนนั้น จะต้องใช้เทคโนโลยีที่ต่างกันอีกรูปแบบหนึ่ง

เราเริ่มต้นด้วยคำถามที่ว่า “ส่วนประกอบข้อไหนของเพลง digital audio ที่ขาดหายไป?หรือจะให้ถูก คำถามที่ควรถามก็คือ “อะไรที่ถูกเพิ่มเข้าไปในกระบวนการ ADC ในสตูดิโอ และกระบวนการแปลงสัญญาณ DAC ในขั้นตอนเพลย์แบ็ค?ซึ่งตอนนี้เรารู้คำตอบแล้วว่า ขั้นตอน ADC ที่ใช้ในสตูดิโอ กับขั้นตอน DAC ที่ใช้ในขั้นตอนเพลย์แบ็ค ได้เพิ่มความเหลื่อมของเวลาเข้าไปในกระบวนการทำงานผ่าน ringing ที่เกิดจากการทำงานของฟิลเตอร์ที่พวกเขาใช้กันอยู่

เมื่อเล่นไฟล์ดิจิตัลมาสเตอร์ที่ระดับ CD ด้วยฟิลเตอร์ QRONOd2a จะได้ประสิทธิภาพในการตอบสนองทางด้านเวลา (time response) เทียบเท่ากับตอนเล่นไฟล์ไฮเรซฯ ที่ระดับ 96kHz และเมื่อเล่นไฟล์ไฮเรซ 192kHz ด้วยฟิลเตอร์ QRONOd2a จะได้ผลการตอบสนองทางด้านเวลา (time response) ที่ดีกว่าผลการตอบสนองทางเวลาที่ได้จากระบบเพลย์แบ็คอะนาลอกที่ดีที่สุด คุณภาพเสียงที่ดีขึ้น แม้จะแค่เล็กน้อย แต่เห็นผลชัดเจนทันที เพราะอาการเบลอของเสียงที่เกิดจากความปนเปื้อนอันเนื่องมาจากความคลาดเคลื่อนทางด้านเวลาได้ถูกแก้ไขไป ทำให้รายละเอียดของเสียงถูกเปิดเผยออกมา คุณสมบัติทางด้านไมโครไดนามิกดีขึ้น แยกแยะชิ้นดนตรีได้ดีขึ้น รวมถึงคุณสมบัติทางด้านมิติซาวนด์สเตจก็ดีขึ้น เสียงดนตรีจะมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น เพิ่มความสมจริงมากขึ้น และลดอาการเคืองโสตประสาทในการรับฟังด้วย.. ขอเชิญลองฟังด้วยตัวของคุณเอง.!!!

**********

 

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า