รีวิว Wharfedale รุ่น Super Linton

ช่วง 3 – 4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่า Wharfedale ได้เริ่มดัน positioning ของแบรนด์ให้ขยับสูงขึ้นไปจากเดิมอย่างชัดเจน เป็นการขยับเคลื่อนจากระดับ “กลาง(mid-end) เพื่อขึ้นไปสู่ระดับ “กลางสูง(mid-high) โดยเริ่มจากอนุกรม EVO4 แล้วก็มาอนุกรม Elysian ที่ใหญ่ขึ้นไปอีก ก่อนจะเสริมความแกร่งให้แน่นขึ้นด้วยซีรี่ย์ Aura ที่มาแทรกกลางระหว่าง EVO4 กับ Elysian ซึ่งแต่ละอนุกรมที่ทำออกมาล้วนเหน็บเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ มาด้วย

แต่มีซีรี่ย์หนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของตลาดนักเล่นเครื่องเสียงมากเป็นพิเศษ นั่นคืออนุกรม Heritage ซึ่งเป็นกลุ่มของลำโพงที่ย้อนกลับไปเอารุ่นดังในอดีตมาทำใหม่ เริ่มด้วยรุ่น Denton ซึ่งทำออกมาถึง 3 เวอร์ชั่น คือ Denton 80, Denton 85 จนมาถึง Super Denton ก่อนจะตามมาด้วยรุ่น Linton Heritage ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า Denton ขึ้นมาระดับหนึ่งแต่ก็ยังคงเป็นลำโพงวางบนขาตั้งเหมือนกัน จากนั้นก็ถึงคราวของพี่ใหญ่ในกลุ่มนี้ นั่นคือรุ่น Dovedale ซึ่งถือว่าเป็นลำโพงวางขาตั้งรุ่นใหญ่สุดของ Wharfedale เพราะมันใช้วูฟเฟอร์ขับเบสที่มีขนาดใหญ่ถึง 10 นิ้ว น้ำหนักต่อข้างมากกว่า 26 กิโลกรัม

หลังจาก Dovedale แล้วก็มาถึงรุ่นที่พูดได้ว่า ได้รับความนิยมมากที่สุดในกลุ่ม Heritage นั่นคือรุ่น Linton Heritage ซึ่งเหตุผลที่ทำให้รุ่นนี้ได้รับความนิยมสูงมากมีอยู่หลายปัจจัย เริ่มจากตัวตู้ที่มีขนาด กำลังดีไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป อีกเหตุผลคือ Linton Heritage ให้เสียงได้ครอบคลุมย่านความถี่ที่เป็นเสียงของหัวโน๊ตของเครื่องดนตรีเกือบจะครบทุกชนิด และอีกเหตุผลที่สำคัญมาก นั่นคือ Linton Heritage เป็น ลำโพง 3 ทาง ที่ออกแบบโดยใช้ไดเวอร์ 3 ตัวแยกกันรับหน้าที่สร้างความถี่ทุ้มกลางแหลม ที่เป็นอิสระต่อกัน ส่งผลให้ได้คุณภาพของเสียงทั้งสามย่านหลักออกมาในเกณฑ์ที่ดีมาก

WharfedaleSuper Linton
เมื่อสิ่งที่ดีอยู่แล้ว ถูกทำให้ดียิ่งขึ้นไปอีก.!!

Super Lintonไม่ใช่ลำโพงรุ่นใหม่ หากแต่ลำโพง Wharfedale รุ่น Super Linton ได้เคยถูกสร้างขึ้นมาครั้งแรกตั้งแต่ ปี 1967 แล้ว ทว่า วลี “Superที่นำมาใช้ในครั้งนั้นส่อแสดงถึงความพิเศษในแง่ของการปรับปรุงการออกแบบตัวตู้ของรุ่น Linton เดิมให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง แต่ลำโพง WharfedaleSuper Lintonที่เพิ่งออกมาใหม่ล่าสุดคู่นี้เป็นลำโพงที่มีการปรับปรุงใหม่หมดในหลายๆ ด้านพร้อมกัน ซึ่งจะว่าไปแล้ว Super Linton เวอร์ชั่นล่าสุดที่อยู่ในห้องฟังของผมตอนนี้ ข้างในนั้นแทบจะไม่มีอะไรเหมือนเวอร์ชั่นที่ออกมาเมื่อ ปี 1967 เลย แม้แต่ไดเวอร์ก็ต่างกัน ที่ดูแล้วคล้ายของเดิมมากที่สุดก็เห็นจะเป็นตัวตู้เท่านั้นเอง.!

รูปลักษณ์คลาสสิก

รูปร่างภายนอกของรุ่น Linton เวอร์ชั่นแรกที่ออกมาเมื่อ ปี 1965 นั้นออกแบบโดยดีไซเนอร์ของสถาบัน British Design Council ชื่อว่า Robert Gutmann และเพื่อรักษารูปลักษณ์ที่เคยได้รับความนิยมในยุคนั้นเอาไว้ รุ่น Super Linton ที่ออกมาหลังจากนั้น จึงยังคงให้มีรูปร่างภายนอกที่ละม้ายกันอย่างมาก ทั้งตัวตู้และไดเวอร์ เรียกว่าถ้าไม่ยกมาวางเทียบกัน side-by-side ก็แทบจะแยกไม่ออกว่าตัวไหนเป็น Linton Heritage และตัวไหนเป็น Super Linton เพราะความแตกต่างที่มองเห็นได้ชัดเจนมากที่สุดระหว่างสองรุ่นนี้อยู่ที่สัดส่วน ความสูงของตัวตู้ ซึ่งในรุ่น Super Linton สูงกว่ารุ่น Linton Heritage อยู่ 5 .. เท่านั้น ในขณะที่ความกว้างและความลึกของตัวตู้ของทั้งสองรุ่นนี้เท่ากันเป๊ะ.! การเปลี่ยนแปลงสัดส่วนความสูงตัวตู้ของรุ่น Super Linton ให้มากขึ้นนั้นก็คือเทคนิคการเพิ่มวอลลุ่มอากาศภายในตัวตู้ ลักษณะเหมือนขยายปอดเพื่อให้วูฟเฟอร์หายใจได้ลึกและพ่นพลังงานผ่านไดอะแฟรมออกมาได้แรงขึ้นนั่นเอง

ความหมายของคำว่า Superของลำโพง Linton เวอร์ชั่นล่าสุดคู่นี้เริ่มมาตั้งแต่ตัวตู้ที่ใช้ไม้ MDF ประกบกันสองชั้นโดยมีกาวลาเท็กซ์ซึ่งเป็นสูตรผสมพิเศษทำตัวเป็น absorber เพื่อซับแรงปะทะของแผ่น MDF ทั้งสองชั้นที่เป็นผนังตู้เอาไว้ และยังได้ใช้แผ่นโฟมกับเส้นใยไฟเบอร์เข้าไปช่วยลดเรโซแนนซ์ภายในตัวตู้ด้วย

ที่แผงหลังของ Super Linton ก็หุ้มด้วยวีเนียร์ลายไม้แท้แบบเดียวกับผนังตู้ด้านข้างซ้ายขวา และบนล่าง ทำให้ลุคของมันดูคลาสสิกย้อนยุคมาก และบนแผงหลังยังมีป้ายทองแผ่นใหญ่แปะติดไว้ ซึ่งบนป้ายนั้นมีซีเรี่ยลนัมเบอร์เขียนกำกับไว้ นอกนั้นก็มีโลโก้แบรนด์ Wharfedale ที่ใช้ในยุคแรกๆ พิมพ์ไว้ตัวเบ้อเริ่ม ช่วยเพิ่มความขลังให้กับลำโพงคู่นี้มากขึ้นไปอีก..

Super Linton ทำงานในระบบตู้เปิด โดยติดตั้งท่อระบายอากาศขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.5 .. จำนวนสองท่อ ไว้ที่ส่วนล่างของตัวตู้ เหนือขั้วต่อสายลำโพงขึ้นมานิดนึง ตัวท่อทำด้วยพลาสติกแข็งที่ฉีดขึ้นรูปให้มีลักษณะสอบลู่เข้าไปทางด้านในเพื่อช่วยลดเสียงลมครูดไปตามผนังท่อขณะเคลื่อนที่เข้าและออกจากตัวตู้

ส่วนขั้วต่อสายลำโพงที่ติดตั้งมาให้ก็ทำด้วยโลหะชุบทองดูแข็งแรง หน้าตาก็กลมกลืนกับความเป็นวินเทจ และวางระยะห่างของขั้วซ้ายขวาไว้เยอะถึง 4.5 .. ทำให้เสียบขั้วต่อสายลำโพงได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นแบบหางปลาที่ใช้หนีบหรือแท่งบานาน่าที่ใช้เสียบเข้าไปในรูแกนกลางของขั้วต่อก็ทำได้สะดวกหมด

วูฟเฟอร์

การเพิ่มความสูงของตัวตู้ขึ้นมา 5 .. มีผลทำให้อากาศที่ไหลเวียนภายในตัวตู้มีปริมาณมากขึ้น เปิดโอกาสให้วิศวกรที่ดูแลการออกแบบสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเสียงทุ้มได้อย่างมีนัยยะสำคัญ ด้วยการเพิ่มพลังของระบบแม่เหล็กที่ใช้ผลักดันไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ 8 นิ้ว ของตัว Super Linton ให้สามารถถ่ายทอดความถี่ต่ำลงไปได้ลึกถึง 32Hz และยังสามารถปรับปรุงประสิทธิภาพของเสียงทุ้มในการตอบสนองสัญญาณทรานเชี้ยนต์ที่ดีขึ้นด้วย เมื่อทุ้มดีขึ้นก็แน่นอนว่ากลางกับแหลมก็ย่อมยกระดับดีขึ้นตามไปด้วยโดยอัตโนมัติ

ทวีตเตอร์

จากทุ้มข้ามมาถึงแหลม ซึ่งทวีตเตอร์ที่ใช้กับรุ่น Super Linton แม้ว่าจะยังคงเป็นทวีตเตอร์ซอฟท์โดมที่ใช้ไดอะแฟรมทำมาจากผ้าทอขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 นิ้ว เท่ากัน แต่ได้มีการเคลือบด้วยสารพิเศษลงไปด้วยเพื่อช่วยแด้มป์ให้ไดอะแฟรมมีความแกร่งมากขึ้น นอกจากนั้น ยังได้เปลี่ยนมาใช้แม่เหล็กเฟอร์ไร้ท์ (ceramic magnet-based) ที่ปรับปรุงใหม่เข้าไปด้วย เพื่อเพิ่มพลังในการควบคุมขับดันโดมทวีตเตอร์ให้ดังได้มากขึ้นแต่ยังคงมีเสถียรภาพที่นิ่ง ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังได้เพิ่มเติมศักยภาพให้กับทวีตเตอร์ของ Super Linton อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ ใช้ wave guide ที่มีลักษณะเหมือนปากแตรสั้นๆ (short horn) ครอบไว้รอบตัวโดมทวีตเตอร์เพื่อช่วยควบคุมมุมประจายเสียงของทวีตเตอร์ ทำให้สามารถตอบสนองความถี่สูงลงไปถึงย่าน upper midrange ได้อย่างราบลื่นด้วย และเพื่อให้เสียงแหลมมีความฉับไวทันกับทรานเชี้ยนต์ของเสียงทุ้ม แผงหน้าที่อยู่รอบๆ ตัวทวีตเตอร์จึงได้ถูกปรับปรุงให้มีมุมกระจายเสียงที่แม่นยำมากขึ้นด้วย

มิดเร้นจ์

ไดอะแฟรมของไดเวอร์มิดเร้นจ์ที่ใช้ในรุ่น Super Linton ก็ยังคงมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเท่ากับ 5 นิ้ว และทำด้วยเคฟล่าสานเหมือนที่ใช้ในรุ่น Linton Heritage แต่มีการเพิ่มเส้นใยไฟเบอร์เส้นยาวๆ ลงไปในช่องด้านหลังของไดเวอร์มิดเร้นจ์เพื่อช่วยซับคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นที่ด้านหลังของไดอะแฟรมออกไป ช่วยให้การขยับเคลื่อนตัวเดินหน้าถอยหลังของกรวยไดอะแฟรมเป็นไปอย่างมีอิสระมากที่สุด ส่งผลต่อเสียงที่เกิดจากไดเวอร์มิดเร้นจ์ที่มีความสะอาดบริสุทธิ์มากที่สุดเช่นกัน

วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์ค

เมื่อปรับเปลี่ยนทั้งในแง่สัดส่วนของตัวตู้เพื่อเพิ่มปริมาตรอากาศภายในตัวตู้ และปรับปรุงองค์ประกอบสำคัญของไดเวอร์แต่ละตัวแล้ว ถ้าไม่ปรับปรุงในส่วนของวงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คด้วยก็คงจะแปลก เพราะวงจรครอสโอเวอร์ฯ ของลำโพงนี่แหละที่ทำหน้าที่เหมือนคอนดักเตอร์ที่คอยควบคุมให้ไดเวอร์แต่ละตัวที่อยู่บนตัวลำโพงทำงานประสานกันได้อย่างลงตัว ซึ่งถ้าจะถามว่า ทีมออกแบบของ Wharfedale (ซึ่งนำทีมโดย Peter Comeau เจ้าเก่าคนเดิม) ทำอะไรกับวงจรเน็ทเวิร์คฯ บ้าง และทำมากแค่ไหน.? ให้พิจารณาจากภาพประกอบข้างบนได้เลย แผงวงจรตรงตำแหน่ง A นั้นคือ แผงวงจรที่ใช้กับรุ่น Linton Heritage ซึ่งคอมโพเน้นต์ทั้งหมดที่ใช้ในการตัดแบ่งความถี่เสียงให้กับไดเวอร์ทั้งสามตัวถูกติดตั้งอยู่บนแผงวงจรแผงนี้แค่แผงเดียว ส่วนตรงตำแหน่ง B กับ C ทั้งสองแผงนั้นคือวงจรเน็ทเวิร์คฯ ที่ใช้อยู่ในรุ่น Super Linton โดยที่แผง B นั้นใช้กับความถี่ย่านเสียงกลาง (MF) ที่แยกไปให้มิดเร้นจ์กับใช้กับเสียงแหลม (HF) ที่แยกไปให้ทวีตเตอร์ ส่วนแผง C นั้นใช้กับความถี่ต่ำ (LF) ที่แยกไปให้วูฟเฟอร์ จะเห็นว่า วงจรเน็ทเวิร์คฯ ของรุ่น Super Linton นั้นออกแบบได้อลังการงานสร้างกว่าวงจรเน็ทเวิร์คฯ ที่ใช้ในรุ่น Linton Heritage มากชนิดที่เทียบกันไม่ติดเลย.! เห็น capacitor ที่ใช้บนเน็ทเวิร์คของเสียงทุ้มแล้วบอกเลยว่า แน่นแน่นอน.!!!

เหตุผลที่พวกเขาแยกส่วนของวงจรเน็ทเวิร์คที่จัดการกับความถี่ต่ำออกไปก็เพราะไม่ต้องการให้แผงวงจรสำหรับเสียงกลางและเสียงแหลมถูกรบกวนจากคลื่น EMI (electromagnetic interference) ที่แผ่ออกมาจากคอมโพเน้นต์ที่อยู่บนแผงวงจรครอสฯ ของเสียงทุ้มนั่นเอง นี่แสดงถึงความละเอียดในการออกแบบเป็นพิเศษ และไม่ใช่เพียงแค่นั้นนะ แม้แต่สายสัญญาณที่ใช้เชื่อมโยงจากขั้วต่อมาที่แผงวงจรก็ใช้สายตัวนำทองแดง LCOFC (Long Crystal Oxygen Free Copper) ที่มีความบริสุทธิ์มากเป็นพิเศษซะด้วย

ขาตั้ง

ถึงแม้ว่าตัวตู้ของ Super Linton จะมีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ และมีน้ำหนักมากถึงข้างละเกือบยี่สิบกิโล แต่ด้วยสัดส่วนและรูปทรงของตัวตู้ก็ยังถือว่าเป็นลำโพงประเภทที่ต้องวางบนขาตั้ง ซึ่งทางผู้ผลิตได้ออกแบบและผลิตขาตั้งมาให้ใช้ด้วยกัน

โครงสร้างหลักของขาตั้งตัวนี้ประกอบด้วย เสา 4 ต้น ทำด้วยโลหะกล่องขนาด 4 x 4 .. แต่ละต้นจะวางอยู่ในตำแหน่งตรงกับมุมทั้งสี่ของตัวตู้ มีแผ่นโลหะหน้า 0.5 .. ประกบอยู่บนยอดเสาเป็นแพลทบนที่ใช้รองรับตัวลำโพง และที่ด้านล่างของเสาทั้งสี่ก็มีแผ่นโลหะแบบเดียวกันรองรับอยู่เป็นแพลทล่าง และที่ใต้มุมทั้ง 4 ของแผ่นแพลทล่างมีเดือยแหลมติดตั้งอยู่เพื่อทำหน้าที่ยกตัวลำโพงให้ลอยขึ้นเหนือพื้นห้อง จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ให้เกิดเรโซแนนซ์ระหว่างแผ่นแพลทล่างกับพื้นนั่นเอง

มีความพิเศษในการออกแบบขาตั้งตัวนี้อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีแผ่นไม้ที่มีขนาด กว้าง x ลึก ที่เล็กกว่าแผ่นแพลทล่างนิดหน่อย หนาประมาณ 4 .. แปะติดอยู่ที่ด้านบนของแผ่นแพลทล่าง และแปะติดอยู่ที่ด้านล่างของแผ่นแพลทบนตำแหน่งละหนึ่งแผ่น นัยว่าเพื่อใช้ปรับดูดซับเรโซแนนซ์บนตัวขาตั้งนั่นเอง เพราะตอนที่ลำโพงทำงาน ผมลองเอามือไปแตะที่แผ่นไม้ทั้งสองแผ่นนั้น ปรากฏว่ามีแรงสั่นเกิดขึ้นบนแผ่นไม้เยอะเหมือนกัน เข้าใจว่าแผ่นไม้สองแผ่นนี้น่าจะช่วยสลายเรโซแนนซ์ที่เกิดขึ้นบนตัวขาตั้งซึ่งได้รับแรงกระตุ้นมาจากแรงสั่นบนตัวตู้ลำโพงให้กระจายออกไปในอากาศได้เร็วขึ้น ช่วยให้เรโซแนนซ์ไม่สะสมอยู่บนตัวขาตั้งและย้อนกลับขึ้นไปที่ตัวลำโพง

แม็ทชิ่ง

พิจารณาจากสเปคฯ พบว่า ความไวของ Super Linton อยู่ที่ 90dB ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ปานกลางที่เริ่มค่อนไปทางสูง (ความไวปานกลางจะอยู่ระหว่าง 88 – 90dB ถ้าความไว 88dB จะถือว่าเริ่มค่อนไปทางต่ำ) กำลังขับที่ทาง Wharfedale ซึ่งเป็นผู้ผลิตลำโพงคู่นี้แนะนำอยู่ระหว่าง 25 – 200W เมื่ออ้างอิงกับโหลดที่ 6 โอห์ม ซึ่งถ้าไปเดินหาเพาเวอร์แอมป์มาเทียบแม็ทชิ่ง จะไม่ค่อยมีแอมป์ตัวไหนที่วัดกำลังขับที่โหลด 6 โอห์ม นอกจากแอมป์ที่ใช้กับโฮมเธียเตอร์ แอมป์สเตริโอสำหรับฟังเพลงเกือบทั้งหมดจะวัดกำลังขับที่โหลด 8 โอห์ม เป็นมาตรฐาน ซึ่งถ้าให้ง่าย ไม่ต้องเสียเวลาคำนวนก็ใช้ตัวเลขอิมพีแดนซ์ที่ 8 โอห์ม แทน 6 โอห์ม ไปเลยก็ได้

คำนวนคร่าวๆ จากตัวเลขกำลังขับสูงสุดของแอมป์ที่น่าจะขับลำโพง Super Linton คู่นี้ออกมาได้เต็มที่ก็ควรจะเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับตั้งแต่ 75 x 200 หารด้วย 100 ซึ่งผลลัพธ์ก็คือ 150W ต่อข้าง ขึ้นไป ซึ่งก็เป็นตัวเลขกำลังขับที่หาได้ไม่ยากสำหรับแอมป์ในปัจจุบัน มีให้เลือกทั้งอินติเกรตแอมป์และเพาเวอร์แอมป์ซะด้วยซ้ำไป

ผมทดลองเซ็ตอัพชุดเครื่องเสียงที่ใช้ทดลองฟังกับ Super Linton ไว้ 2 ชุด ซึ่งทั้งสองชุดนี้ต่างกันแค่เพาเวอร์แอมป์ ส่วนฟร้อนต์เอ็นด์หรือแหล่งต้นทางสัญญาณผมใช้สตรีมเมอร์ของ Bluesound รุ่น NODE ICON สลับกับใช้ InnuosPULSEเป็นสตรีมมิ่ง ทรานสปอร์ต + ภาค DAC ในตัว Audiolab9000Aเป็นตัวตั้ง ในขณะที่ภาคปรีแอมป์ผมใช้โหมด Pre ของอินติเกรตแอมป์ Audiolab รุ่น 9000A (REVIEW) เป็นตัวตั้งเหมือนกันทั้งสองชุด โดยที่ชุดแรกผมใช้เพาเวอร์แอมป์ของ NAD รุ่น C298 ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ภาคขยาย class-D ที่ให้กำลังขับข้างละ 185W ที่ 8 โอห์ม และขยับขึ้นไปเป็น 340W ที่ 4 โอห์ม ถ้าคำนวนกำลังขับของ C298 ที่ โหลด 6 โอห์ม ก็น่าจะได้อยู่ประมาณ 262.5W ที่ 6 โอห์ม ซึ่งก็มากกว่าที่ผู้ผลิตลำโพงแนะนำไว้ เกินนิดๆ ถือว่ากำลังดี เพราะมั่นใจได้ว่าขับ Super Linton ออกมาได้หมดจดแน่นอน ส่วนราคาของแอมป์ C298 ตัวนี้ก็อยู่ราวๆ 7 หมื่นบาท ก็ถือว่าอยู่ในเกณฑ์เหมาะสมกับราคาของลำโพงคู่นี้

ส่วนเพาเวอร์แอมป์อีกตัวที่เซ็ตอัพขึ้นมาเพื่อทดลองขับ Super Linton เป็นของ QUAD เป็นเพาเวอร์แอมป์ class-AB รุ่น Artera Stereo ซึ่งให้กำลังขับอยู่ที่ 140W ต่อข้างที่ 8 โอห์ม แต่ไม่ได้แจ้งตัวเลขที่โหลดอื่นๆ ไว้ แต่คิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะไปถึง 200W หรือมากกว่านั้นที่ โหลด 4 โอห์ม ดังนั้นถ้าคำนวนกลับไปที่ 6 โอห์ม ก็น่าจะได้กำลังขับอยู่ราวๆ 175 – 180W ที่ 6 โอห์ม ซึ่งก็ใกล้เคียงกับระดับสูงสุดที่ผู้ผลิตลำโพงแนะนำไว้ และจากน้ำเสียงก็ออกมาเต็มเหนี่ยวเหมือนกัน ซึ่งราคาของแอมป์ Artera Stereo ตัวนี้ก็อยู่ราวๆ 6 – 7 หมื่นบาทก็เรียกว่าเหมาะสมกับราคาของลำโพงคู่นี้

เซ็ตอัพ

ลำโพง Super Linton ออกแบบมาในลักษณะที่ระบุแชนเนลมาด้วย คือถ้ามองจากตำแหน่งการติดตั้งไดเวอร์ของทั้งสองข้าง คุณจะพบว่า ผู้ผลิตติดตั้งมิดเร้นจ์เสียงกลางกับวูฟเฟอร์เสียงทุ้มไว้ในลักษณะที่อยู่กึ่งกลางของแผงหน้าในแนวตั้งฉากกับพื้น ในขณะที่ตัวทวีตเตอร์ถูกติดตั้งมาให้อยู่ในลักษณะ off-center คือถ้าวางลำโพงทั้งสองข้างให้ถูกต้อง ทวีตเตอร์จะมีตำแหน่งที่ เยื้องเข้าด้านในทั้งสองข้าง ณ ตำแหน่งลงตัวในห้องฟังของผม พบว่า ระยะห่างของทวีตเตอร์ข้างซ้ายกับข้างขวาจะอยู่ที่ 150.5 .. โดยประมาณ (วัดห่างๆ ไม่กล้าเอาสายเทปเข้าไปใกล้ทวีตเตอร์ อันตราย!)

ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้ายขวาผมใช้วิธีวัดจากกึ่งกลางของตัวตู้เข้าหากัน ซึ่งก็คือระยะกึ่งกลางของมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์นั่นเอง ซึ่งในขณะเซ็ตอัพตำแหน่งของลำโพง ผมพบปรากฏการณ์น่าสนใจอย่างหนึ่ง คือปกติแล้ว เวลาขยับลำโพงซ้ายขวาให้เข้าชิดใกล้หรือห่างจากกันนั้น ผมจะพิจารณาที่คุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของเสียงเป็นหลัก โดยจะค่อยๆ ขยับจนได้ระยะห่างระหว่างลำโพงซ้ายขวาที่ให้โฟกัสคมชัดมากที่สุด ซึ่งการขยับตำแหน่งลำโพงครั้งนี้ผมพบว่า มันแสดงผลทางด้าน โฟกัสที่ง่ายกว่าทุกครั้งที่เคยเซ็ตอัพมา.! แปลกมาก ซึ่งถ้าจะให้วิเคราะห์ผมว่ามีความเป็นไปได้อยู่ 2 อย่าง อย่างแรกน่าจะเป็นเพราะลำโพงคู่นี้ผ่านการปรับจูน (align) phase ของลำโพงซ้ายขวามาได้ค่อนข้างเป๊ะ โดยเฉพาะ phase ของไดเวอร์ทั้ง 3 ตัว คือทั้งทวีตเตอร์มิดเร้นจ์ และวูฟเฟอร์ ทำให้ทุกครั้งที่ผมขยับลำโพงไป ผมพบว่าผลลัพธ์ที่ดีขึ้นหรือแย่ลงมันเกิดขึ้น พร้อมๆ กันกับความถี่ตลอดทั้งย่านคือทั้งทุ้มกลาง และแหลม คือถ้าขยับแล้วแย่ลง มันจะแย่ลงไปทั้งหมด และพอได้ตำแหน่งที่ลงตัวมันจะออกมาดีทั้งทุ้มกลางแหลม พร้อมกัน ทำให้ฟังผลง่าย ซึ่งที่ผ่านมา ถ้าเป็นลำโพงที่ไม่ใช่ระดับไฮเอ็นด์ฯ จริงๆ ผมพบว่า ขณะขยับลำโพงหาโฟกัสของเสียง ถ้าขยับจนได้เสียงกลางคมชัดมากที่สุดแล้ว เสียงแหลมกับเสียงทุ้มมักจะไม่ลงตัวร้อยเปอร์เซ็นต์ และพอลองขยับตำแหน่งเพื่อปรับให้ทุ้มลงตัวมากที่สุดกลับกลายเป็นว่า เสียงกลางกับแหลมหลุดโฟกัสไป หรือถ้าพยายามขยับให้เสียงแหลมได้โฟกัส ไม่ฟุ้ง เสียงกลางกับทุ้มก็จะไม่คมเป๊ะ มักจะเป็นแบบนี้ สุดท้ายก็ต้องหา จุดไกล่เกลี่ยที่ให้เสียง out-focus เกิดขึ้นน้อยที่สุด

อีกข้อสังเกตหนึ่งที่ผมสงสัย คือไม่มั่นใจว่านี่อาจจะเป็นผลลัพธ์จากฟิลเตอร์แบบไม่มี pre-ringing ของ MQA QRONOd2a ที่ใช้อยู่ในสตรีมเมอร์ BluesoundNODE ICONที่ผมใช้เป็นแหล่งต้นทางสัญญาณในการทดสอบครั้งนี้หรือเปล่า.? คือพอสัญญาณเสียงจากต้นทางไม่มี pre-ringing ก็เลยส่งผลไปถึงปลายทางคือทำให้ได้ โฟกัสของเสียงจากลำโพงที่ออกมาคมชัดมากขึ้น ทำให้การปรับจูนตำแหน่งลำโพงทำได้ง่ายขึ้นนั่นเอง (*ประเด็นนี้ขอค้างไว้ก่อน เดี๋ยวตอนทดสอบ NODE ICON ผมจะลงลึกกับประเด็นนี้อีกครั้ง)

เนื่องจาก Super Linton มีขาตั้งมาให้ด้วย จึงตัดเรื่องผลกระทบจากความสูงของลำโพงและผลกระทบจากขาตั้งออกไปได้เลย เหลือให้คุณปรับจูนเสียงได้ก็แค่ลองหาตัวรองเดือยแหลมของขาตั้งมาใช้ ซึ่งทาง Wharfedale เขาก็มีมาให้ แต่คงจะไม่ได้เน้นเรื่องเสียงมากนักแต่ก็รองไว้ดีกว่าไม่รอง ในขณะปรับจูนก่อนการทดสอบฟังจริงจัง ผมทดลองเอาที่รองเดือยแหลมของ Audio Bastion รุ่น X-PAD Plus II (REVIEW) มาเปลี่ยนของที่แถมมา พบว่าเสียงดีขึ้นพอสมควรในหลายๆ ด้าน สุดท้ายผมก็ใช้ที่รองเดือยแหลมของ Audio Bastion ตัวนี้รองไว้ใต้เดือยแหลมของ Super Linton ในขั้นตอนการฟังสรุปด้วย

เมื่อเซ็ตอัพและไฟน์จูน Super Linton จนลงตัวแล้ว ผมพบว่า แม้จะขยับตำแหน่งนั่งฟังให้ถอยหลังห่างจากจุด sweet spot ออกมามากถึง 1 เมตร ผมพบว่า คุณสมบัติทางด้านโฟกัสของเสียงก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ รวมถึงคุณสมบัติทางด้านโทนัลบาลานซ์ของลำโพงก็ไม่เปลี่ยนไปมาก แม้ขณะที่เร่ง วอลลุ่มขึ้นไปสูงๆ เสียงก็ไม่เปลี่ยนโทนง่ายๆ แสดงว่าลำโพงคู่นี้มันให้ energy ออกมาเข้มข้นมาก สามารถรักษาโทนเสียงของตัวมันเองเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

เสียงของ WharfedaleSuper Linton

ผมยอมรับว่าไม่เคยฟังเสียงของลำโพง Super Linton ที่เป็นเวอร์ชั่นออริจินัลมาก่อน (ผลิตออกมาเมื่อ ปี 1967) แต่หลังจากได้ทดลองฟังเสียงของ Super Linton เวอร์ชั่นปัจจุบันแล้ว ผมแน่ใจว่าเวอร์ชั่นออริจินัลก็น่าจะฟังดีไม่น้อย (*นึกอยากจะลองฟังซะแล้ว..)

อัลบั้ม : Fleda Sidor AV Samma Man (TIDAL MQA/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Peter Joback
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/552462?u)

อัลบั้ม : Lost Archive (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : The Ghost of Johnny Cash (David Radcliffe)
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/90788673?u)

อัลบั้ม : Hoist The Colours (A Cappella)(TIDAL HD/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : The Wellermen
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/350788225?u)

อย่างแรกที่ผมทดสอบลำโพง Wharfedale คู่นี้ก็คือความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ในย่านเสียงกลางของมัน เพราะโดยพื้นฐานแล้ว จุดเด่นของลำโพงที่แยกไดเวอร์ออกเป็น 3 ทาง จะอยู่ที่ เสียงกลางเป็นอย่างแรก คือเมื่อเสียงในย่านแหลมและทุ้มถูกแยกออกไปก็เท่ากับว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ไดเวอร์มิดเร้นจ์สามารถทำงานในการถ่ายทอดเสียงกลางได้อย่างเต็มที่มากที่สุด ซึ่งวิธีการพิสูจน์ก็คือใช้เสียงร้องของนักร้องชายหญิงนี่แหละเป็นตัวทดสอบ

เสียงร้องของ Peter Joback ในเพลง Always On My Mind จากอัลบั้ม Fleda Sidor AV Samma Man เป็นโทนเสียงกลางที่เลยขึ้นไปทางกลางสูงนิดนึง ในขณะที่เสียงร้องของ David Radcliffe ในเพลง House of the Rising Sun จะขยับลงมาทางด้านกลางต่ำ และเสียงร้องประสานในเพลง Hoist The Colours ของทีมประสานเสียงวง The Wellermen เป็นวงผู้ชายล้วนซึ่งจะมีอยู่คนหนึ่งที่สามารถปล่อยเสียงลงไปได้ต่ำมากถึงระดับ bass vocal range หรือ bass voice ด้วย ซึ่งวิชาการขับร้องเขาแบ่งย่านเสียงร้องของผู้ชายออกเป็น 3 ระดับ คือ Bass, Baritone และ Tenor ซึ่งคลุมความถี่อยู่ระหว่าง 80Hz – 523Hz ไม่รวมฮาร์มอนิก ซึ่งแทรคนี้แทรคเดียวเหมือนจะครอบคลุมได้ครบแถมยังเลยไปถึงช่วงที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงร้องเหล่านี้ด้วย (มีเสียงห้องกังวานออกมาเบาๆ ในหลายๆ ช่วงของเพลง) และท่อนท้ายๆ ที่ขึ้นต้นด้วยเสียงร้องที่ลงต่ำมากที่สุดนั้น เสียงที่ออกมามีพลังที่สะเทือนเลื่อนลั่นมาก.! ไดเวอร์มิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์ของ Super Linton ช่วยกันส่งเสียงสั่นในลำคอที่กระเพื่อมออกมาจากลำโพงแผ่มาถึงตำแหน่งนั่งฟังเป็นระลอกๆ ฟังแล้วขนลุก.!! สรุปฟันธงได้เลยว่า Super Linton ถ่ายทอดเสียงกลางท่อนล่าง คือตั้งแต่กลางลงไปถึงกลางต่ำออกมาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากเป็นพิเศษ เสียงที่ออกมามีมวลที่เข้มข้น ส่งผลต่อเนื่องทำให้เสียงโดยรวมฟังดูมีน้ำหนัก ใครชอบเสียงร้องหนาๆ มวลเนื้ออิ่มๆ เนื้อเสียงเข้มข้น ลำโพงคู่นี้ตอบโจทย์ให้คุณได้อย่างหนำใจแน่นอน.!

และจากการทดลองฟังเสียงร้องของนักร้องชายทั้งสามคนนี้พบว่า ลำโพง WharfedaleSuper Lintonคู่นี้สามารถถ่ายทอด บุคลิกของเสียงที่เป็นอัตลักษณ์ของนักร้องทั้งสามคนออกมาให้เห็นถึงความแตกต่างของแก้วเสียงของแต่ละคนได้อย่างชัดเจนมาก และมัน (Super Linton) ยังแจกแจงลึกลงไปถึงลักษณะการควบคุมลมหายใจรวมถึงการจัดระเบียบในการปล่อยเสียงร้องที่สะท้อนถึงทักษะในการขับร้องของศิลปินแต่ละคนออกมาให้รับรู้ได้ด้วย นี่ยืนยันถึงความสามารถของลำโพงคู่นี้ในการถ่ายทอดรายละเอียดระดับ inner detail ของเสียงในย่านกลางลงไปถึงกลางต่ำที่เยี่ยมยอดมาก.!! ส่วนตัวผมนั้นยอมรับเลยว่าชอบลักษณะโทนเสียงของนักร้องชายที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมามากเป็นพิเศษ เพราะนอกจากจะให้มวลที่อิ่มเข้มแล้ว ผมยังรู้สึกว่าเสียงร้องของนักร้องผู้ชายที่ได้ยินออกมาจากลำโพงคู่มันมี “ฟิลลิ่ง” ที่ให้อารมณ์เหมือนฟังคนร้องจริงๆ มากด้วย.!!

อัลบั้ม : Song (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Tutu Puoane
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/track/31510544?u)

อัลบั้ม : Etta (TIDAL MAX/FLAC-24/96)
ศิลปิน : Etta Cameron & Nikolai Hess with Friends
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/3174859?u)

ตามหลักวิชาการขับร้องก็แบ่งเสียงร้องของนักร้องหญิงออกเป็น 3 ระดับ เหมือนกัน คือ Contralto (ต่ำสุด), Mezzo-Soprano (ปานกลาง) และ Soprano (สูงสุด) ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะมี โทนเสียงตอนพูด (speaking range) ที่ความดังปกติอยู่ในย่านความถี่ประมาณ 165Hz – 255Hz (fundamental) แต่ขีดความสามารถในการเปล่งเสียงร้องออกมาตอนที่ร้องเพลง (singing range) อาจจะทะยานออกไปได้กว้างมากกว่านั้นเยอะ คือประมาณตั้งแต่ 250Hz – 1100Hz ซึ่งแต่ละคนจะครอบคลุมเร้นจ์เสียงได้ไม่เท่ากัน ถ้าเป็นคนที่มีโทนเสียงพูดปกติอยู่ในช่วงปลายๆ ของย่าน Mezzo-Soprano และเป็นคนที่มีเร้นจ์เสียงกว้างก็อาจจะสามารถไต่ขึ้นไปถึงระดับ Soprano ได้สบายๆ ซึ่งคนที่มีโทนเสียงลักษณะที่ว่านี้ก็เช่น Tutu Puoane ส่วนคนที่ร้องเสียงในย่าน Contralto จะหายากหน่อย ที่พอจะออกมาใกล้เคียงก็คือ Etta Cameron ที่ร้องอยู่ในอัลบั้ม Etta นั่นแหละ

จุดตัดความถี่ระหว่างไดเวอร์มิดเร้นจ์กับทวีตเตอร์ของลำโพงรุ่น Super Linton อยู่ที่ 2.5kHz แสดงว่าอยู่เลยเร้นจ์เสียงร้องของนักร้องผู้หญิงขึ้นไป แต่ก็ยังอยู่ในย่านความถี่ที่เป็นฮาร์มอนิกของเสียงร้องอยู่ (ฮาร์มอนิกของเสียงร้องสามารถไปได้ไกลถึง 8kHz) ซึ่งจากที่ลองฟังเสียงของ Tutu Puoane พบว่า แม้ว่าแก้วเสียงของเธอจะใสและอยู่ในเร้นจ์กลางค่อนไปสูง (น่าจะช่วงค่อนไปด้านบนของย่าน Mezzo-Soprano) แต่ช่วงที่เธอปลอดปล่อยพลังเสียงออกมาก็ยังสามารถรับรู้ได้ถึงความกังวานที่เกิดจากมวลฮาร์มอนิกของเสียงร้องของเธอที่แผ่กระจายออกไปได้ไกล ทำให้ได้ความรู้สึกของเสียงที่เปิดกระจ่าง ไม่อับทึบ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้รู้สึกแห้งหรือจัดจ้านแต่อย่างใด มิหนำซ้ำกลับฟังดี คือรู้สึกว่า ลำโพงมันยอมปล่อยให้เสียงร้องทะยานขึ้นไปได้โดยไม่รู้สึกอั้น คือเปิด ใส แต่ก็ยังอยู่ในความควบคุม คือไม่แผดมากเกินจนเลยไปถึงจุดที่จัดจ้าน ซึ่งคุณสมบัติข้อนี้ทำให้ฟังเสียงร้องของ Tutu Puoane จากเพลง For The Time Being แล้วรู้สึกถึงความสด กระจ่าง มีชีวิตชีวากำลังดี..

อัลบั้ม : An A Cappella Trek (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Voice Trek
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/29270826?u)

เพิ่งค้นพบเพลง The William Tell Story เวอร์ชั่นที่ร้องโดยวงอะแคปเปลล่าที่ชื่อว่า Voice Trek เพลงนี้เมื่อไม่นานนี้เอง ซึ่งความยอดเยี่ยมของเพลงนี้อยู่ที่ สปีดของเสียงร้องของนักร้องประสานเสียงชายหญิง 5-6 คนที่ร้องประสานกันในเพลงนี้ได้อย่างเมามันมาก.! ผมเดาไม่ถูกเลยว่า ไดอะแฟรมของตัวมิดเร้นจ์จะต้องสั่นเด้งเข้าเด้งออกเร็วขนาดไหนถึงได้สามารถแยกแยะเสียงร้องแต่ละเสียงออกมาได้อย่างชัดเจนมากขนาดนั้น ซึ่งเมโลดี้ของเพลงนี้ตอนที่เป็นเวอร์ชั่นคลาสสิกในอัลบั้มชุด Round-Up ของค่าย Telarc นั้นทั้งเร็ว กระชับ และมีการย้ำเน้นที่หนักหน่วง พอมาฟังเวอร์ชั่นที่ศิลปินวงนี้ใช้เสียงร้องจากปากของพวกเขาบรรเลงแทนเครื่องดนตรีในวงออเคสตร้าทั้งวง ฟังแล้วอึ้งมากเพราะพวกเขาทำถึงจริงๆ และก็ต้องชมลำโพง Wharfedale คู่นี้ด้วยที่สามารถถ่ายทอดความมหัศจรรย์ของเสียงร้องเหล่านี้ออกมาได้สดและมีพลังเหมือนฟังของจริงมาก.! ฟังไป ขนลุกไป สุดยอดเลยครับ.!!!

อัลบั้ม : Convergence (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Malia & Boris Black
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/25029965?u)

อัลบั้ม : Winter Song (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Terje Isungset
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/3343902?u)

ลักษณะเสียงทุ้มของลำโพงคู่นี้ออกไปทางสะอาด มีรายละเอียด บอดี้ของเสียงทุ้มที่มาจากกีต้าร์เบสจะให้โฟกัสที่เป็นตัวชัดเจน ไม่ทอดปลายเสียงออกไปยาวเหมือนเสียงทุ้มที่มาจากอะคูสติกเบส ส่วนเสียงที่อยู่ในระดับ Deep Bass คือต่ำสุดของย่านเสียง Bass (ความถี่ประมาณ 50 – 60Hz) อย่างในเพลง Celestial Echo นั้นก็ให้มวลที่มีความแน่นอยู่ในระดับที่น่าพอใจ (เมื่อเทียบกับราคาของลำโพง) แต่ที่เด่นคือทางด้านโฟกัสที่ชี้ชัดได้ สามารถระบุตำแหน่งของเสียงทุ้มในเพลงนี้ออกมาได้อย่างชัดเจน แยกแยะได้เด็ดขาด ไม่มีอาการเบลอหรือมัว ซึ่งลำโพงที่มีราคาต่ำกว่าเแสนน้อยคู่นักที่จะสามารถแสดงตำแหน่งของเสียงทุ้มในระดับ Deep Bass ของเพลงนี้ออกมาได้ชัดขนาดนี้ คือลำโพงบางคู่ให้มวลของเสียงเบสในเพลงนี้ออกมาได้มากกว่าเลยทำให้เสียงทุ้มในเพลงนี้มีลักษณะที่เบลอเข้าหากัน ซึ่งถ้าวัดกันในแง่ของโฟกัสแล้ว ผมว่าหาคู่แข่งที่จะมาวัดกับ WharfedaleSuper Lintonคู่นี้ได้ยากในระดับราคานี้ (*กำลังขับ+แด้มปิ้ง แฟคเตอร์ของแอมป์ก็มีส่วน ต้องแม็ทชิ่งกันด้วย)

ส่วนความถี่ที่ต่ำลงไปกว่า Deep Bass อีกระดับที่เรียกว่า Sub-Bass อย่างที่ได้ยินในเพลง Fading Sun ของ Terje Isungset นั้น เป็นความถี่ที่มากระทบกับผิวหนังในแง่ ความรู้สึกมากกว่า ความดังของเสียงที่รับรู้ด้วยหู ซึ่งฟิลลิ่งที่ Super Linton ให้ออกมานี้ก็ถือว่าพอใช้ได้สำหรับเพลงนี้ แม้ว่ามวลความถี่ต่ำจะไม่ได้ให้ออกมามากเท่ากับลำโพงตั้งพื้นที่มีราคาสูงกว่านี้ก็ตาม ซึ่งผมฟังเทียบกับลำโพงตั้งพื้นรุ่น Reference 5 ของ Canton ตอนยกเข้าไปแทนที่กัน พบว่า Reference 5 ของแคนตันให้มวลความถี่ต่ำในเพลง Fading Sun ที่หนาแน่นและแผ่กว้างมากกว่าอย่างชัดเจน ซึ่งก็เป็นไปตามระดับราคา (CantonReference 5ราคาคู่ละสี่แสนบาท) และนั่นก็ยืนยันให้เห็นว่า ทีมออกแบบ WharfedaleSuper Lintonจัดการให้ได้คุณภาพเสียงในย่านกลางออกมาให้ได้มากที่สุดก่อน จากนั้นในส่วนของความถี่สูง (แหลม) และความถี่ต่ำ (ทุ้ม) ก็ค่อยตามออกมาเท่าที่ศักยภาพของไดเวอร์และตัวตู้จะสามารถทำได้โดยมีแนวทางของเสียงกลางเป็นตัวนำ ซึ่งเท่าที่ผมจำได้ เสียงทุ้มของรุ่น Linton Heritage ที่ออกมาก่อนหน้านี้จะให้มวลเนื้อออกมาเยอะกว่า Super Linton แต่ในแง่รายละเอียดนั้น Super Linton แจกแจงรายละเอียดในย่านทุ้มออกมาได้ดีกว่า รวมถึงในแง่ของ สปีดในการตอบสนองที่ฉับไวก่อนด้วย ซึ่งนี่ส่งผลมหาศาลต่อ บุคลิกเสียงตลอดทั้งย่านด้วย นั่นคือ ถ้าฟังรวมๆ เสียงของ Linton Heritage จะให้ความรู้สึกนุ่มหนา อวบอิ่มมากกว่า ในขณะที่ Super Linton จะลดความอวบอิ่มลงมาหน่อยแต่ไปเพิ่มเติมคุณสมบัติในการแยกแยะรายละเอียดกับจัดการทางด้านสปีดในการขยับเคลื่อนของเสียงแต่ละย่านให้มีความแม่นยำมากขึ้น ผลลัพธ์คือทำให้เสียงของ Super Linton มีความสด ฟังแล้วให้ความรู้สึกใกล้เคียงการบรรเลงจริงในธรรมชาติมากกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ timing ของเสียงที่ Super Linton ถ่ายทอดออกมาได้แม่นยำมากกว่าด้วย

ทำไมฟังดูดีไปหมด..?? จากประสบการณ์ของผมนะ ลำโพงเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญมากที่สุดในชุดเครื่องเสียง และที่สำคัญมากที่สุดสำหรับลำโพงก็คือคุณสมบัติทางด้าน phase response ซึ่งเป็นที่มาของคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสของเสียงนี่แหละ ยิ่งเฟสแม่น โฟกัสยิ่งเป๊ะ เหมือนเลนส์ถ่ายภาพคุณภาพดีที่จัดเรียงชิ้นเลนส์เว้า-นูนมาได้ลงตัว เมื่อหมุนกระบอกเลนส์จนชิ้นเลนส์ align กันลงตัวแล้ว โฟกัสของภาพจะออกมาคมกริบ กรณีถ้าปรับโฟกัสไม่ได้เป๊ะจริงๆ เพราะชิ้นเลนส์ align มาไม่ดี ภาพที่ออกมาก็จะเบลอ ไม่คมเปี๊ยะ เช่นเดียวกัน ลำโพงที่ align ไดเวอร์แต่ละตัว (ผ่านตำแหน่งบนตัวตู้และ compensate บนวงจรเน็ทเวิร์ค) จนได้คุณสมบัติทางด้าน phase response ที่ลงตัวแล้ว เมื่อคุณเซ็ตอัพตำแหน่งวางลำโพงซ้ายขวาจนลงตัวแล้ว คุณจะได้ โฟกัสของเสียงที่คมชัดมากที่สุด ซึ่งลำโพงที่ดีมากๆ จะให้โฟกัสที่คมชัดไปตลอดทั้งย่านเสียงตั้งแต่แหลมสุดลงไปยันความถี่ต่ำสุดตามสเปคฯ ที่ลำโพงคู่นั้นระบุไว้ ซึ่งทำได้ยากมาก แต่โฟกัสที่ดีก็คือต้นทุนที่ดีของคุณสมบัติเสียงทางด้านอื่นๆ ที่จะตามมา นั่นคือ ไทมิ่ง > ไดนามิก และ > เวทีเสียง ส่วนลักษณะของเนื้อเสียงและโทนัลบาลานซ์นั้นจะเป็นไปตามขนาดของลำโพง (ไดเวอร์+ตัวตู้)

เหตุผลที่ Super Linton ให้เสียงที่ดูดีไปหมด ก็เพราะว่า ทีมออกแบบของ Peter Comeau เริ่มแก้โจทย์ด้วยการโฟกัสไปที่เสียงในย่านกลางก่อนแล้วค่อยเอาแหลมและทุ้มเข้ามาประกบ และเนื่องจากขนาดตัวตู้ที่ใหญ่พอ และใช้ไดเวอร์ที่แยก 3 ทาง โดยที่วูฟเฟอร์มีขนาดใหญ่ถึง 8 นิ้ว ทำงานร่วมกับท่อเปิดถึง 2 ท่อ รวมถึงมีการปรับวงจรเน็ทเวิร์คใหม่ ทำให้มันสามารถครอบคลุมความถี่เสียงได้กว้างพอสำหรับเพลงส่วนใหญ่ ซึ่งความสามารถในการตอบสนองเชิงเฟสของสัญญาณอินพุตสำหรับลำโพงคู่นี้ให้ผลดีตั้งแต่แหลมสุด (20kHz ลงไป) จนถึงย่านทุ้ม หรือ bass (60Hz – 250Hz) แล้วค่อยๆ ลดปริมาณตั้งแต่ทุ้มตอนกลางๆ ลงไปถึงระดับ sub-bass (20Hz – 60Hz) เป็นผลให้ฐานเบสของลำโพงคู่นี้ไม่ได้แน่นหนาแบบแผ่คลุมพื้นที่ แต่ออกไปทางโฟกัสแม่นและกระชับไว สลายตัวเร็ว ทำให้พื้นเสียงสะอาดและโปร่งใส

อัลบั้ม : Paganini Recital (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Ruggiero Ricci (violin) & Louis Persinger (piano)
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/199556916?u)

พอเฟสลงตัว นอกจากโฟกัสและไดนามิกที่จะออกมาดีแล้ว อีกคุณสมบัติคือ เวทีเสียงก็จะออกมาดีด้วย ซึ่งเพลงที่บันทึกสดโดยไม่ผ่านการมิกซ์ อย่างเช่นเพลงแนวคลาสสิกจะได้รับมรรคผลจากคุณสมบัติของเฟสที่ลงตัวมากที่สุด แม้แต่เพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรีแค่ 2 ชิ้นคือไวโอลินกับเปียโนของงานเพลงชุด Paganini Recital ซึ่งเป็นอัลบั้มที่รวมผลงานไวโอลินของ Ruggiero Ricci ที่บันทึกเสียงไว้กับค่าย Decca ลำดับที่ 19 โดยมี Louis Persinger ร่วมเล่นเปียโน

ผมทดลองฟังแทรค Violin Concerto No.2 in B Minor, Op. 7 ซึ่งเป็นงานประพันธ์ของ Paganini ผ่านลำโพง Super Linton คู่นี้ ณ จุด sweet spot ผมรับรู้ได้อย่างชัดเจนเลยว่า เสียงไวโอลินของ Ruggiero Ricci มีตำแหน่งอยู่ทางด้านหน้าของเสียงเปียโนนิดนึง การรับรู้ถึง ตำแหน่งมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทันทีที่เสียงโน๊ตแรกของเปียโนในเพลงนี้ดังขึ้นมา คือรู้สึกได้เลยว่า เปียโนวางตำแหน่งลึกลงไปอยู่หลังระนาบลำโพง และเมื่อเสียงไวโอลินโน๊ตแรกดังขึ้นมารับลูกจากเสียงเปียโน การรับรู้ตำแหน่งของไวโอลินก็บังเกิดขึ้นมาทันทีว่ามันอยู่ด้านหน้าของเปียโน ใกล้เข้ามาทางตำแหน่งนั่งฟังมากกว่าเปียโน และเมื่อเพลงดำเนินลีลาไป เครื่องดนตรีทั้งสองชิ้นก็คงสถิตย์นิ่งอยู่ในตำแหน่งของตัวเองไปตลอดเวลา และยิ่งไปกว่านั้น ผมยังรับรู้ได้ถึงมวลแอมเบี้ยนต์ที่ครอบคลุมและห้อมล้อมอยู่โดยรอบเสียงไวโอลินและเปียโนจนทำให้รู้สึกถึงความโปร่งโล่งที่มีมวลอากาศ (airy) แผ่ขยายออกไปรอบด้านด้วย

สรุป

ตอนที่ทดสอบลำโพง Linton Heritage (REVIEW) เมื่อประมาณ 6 ปี ที่ผ่านมา (กลางปี 2019) นั้น ผมก็รู้สึกตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า เสียงกลางของลำโพง Linton Heritage คู่นั้นมันมีความโดดเด่นมากๆ เหนือกว่าลำโพงสองทางส่วนใหญ่ที่มีราคาพอๆ กัน แต่พอมาได้ฟังรุ่น Super Linton คู่นี้แล้ว บอกเลยว่า อะไรๆ ที่ดีอยู่แล้วมันถูกทำให้ดีขึ้นไปอีกหลายเปอร์เซ็นต์ แถมยังได้อัพเกรดคุณสมบัติข้ออื่นๆ ขึ้นมาอีกด้วย ที่ทำให้ผมตาลุกตาวาวมากเป็นพิเศษก็คือคุณสมบัติทางด้าน โฟกัสกับ ไทมิ่งที่ดีขึ้นไปอีกมาก และเป็นอานิสสงฆ์ที่ส่งต่อไปถึงคุณสมบัติทางด้านเวทีเสียงที่ดีขึ้นด้วย.. สรุปคือ Super Linton ดีกว่า Linton Heritage มากกว่า 30% สมกับเป็นลำโพงที่ทำขึ้นมาเพื่ออัพเกรดสิ่งที่ดีอยู่แล้วของ Linton Heritage อย่างแท้จริง.!!!

********************
Wharfedale : Super Linton + ขาตั้ง
ราคา : 85,000 บาท / คู่
********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย :
. ไฮไฟ ทาวเวอร์ จำกัด
โทร. 02-881-7273-7

facebook: HiFiTower@HiFitowerShop

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า