ใครติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดเครื่องเสียงใหม่ๆ จะรับรู้ได้เลยว่า ตอนนี้ สินค้าเครื่องเสียงประเภท “มิวสิค สตรีมเมอร์” กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด ไล่ไปตั้งแต่ระดับ beginner ขึ้นไปจนถึงระดับกลางสูง ซึ่งในระดับเริ่มต้นที่ราคา ไม่เกิน 20,000 บาท ก็มี WiiM ‘Ultra’ กำลังเขย่าตลาดจนร้อนระอุไปทั่ว (REVIEW) สร้างแรงกระเพื่อมไปจนถึงขนาดที่ทำให้สตรีมเมอร์ที่อยู่ในระดับกลางที่มี ราคาระหว่าง 35,000 – 50,000 บาท ต้องขยับปรับตัวกันอุตลุด เป็นช่วงที่แบรนด์ไหนไม่แข็งจริงจะอยู่ยาก
Bluesound ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ครองตลาดสตรีมเมอร์ในระดับเริ่มต้นขึ้นมาจนถึงระดับกลางก็คงพอจะล่วงรู้สถานการณ์อยู่บ้าง เพราะดูจากผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เพิ่งปล่อยออกมาก็ถือว่าติดอาวุธหนักมาพร้อมสรรพเหมือนกัน โดยเฉพาะรุ่น NODE ICON ซึ่งทาง Bluesound หมายมั่นปั้นมือให้เป็นแม่ทัพออกศึกประจัญบานในตลาดสตรีมเมอร์ปัจจุบัน ซึ่งหลังจากเปิดตัวออกมา ก็ถือว่า NODE ICON ได้สร้างแรงกระเพื่อมไม่เบาอยู่เหมือนกัน ผลตอบรับดี ได้รับคำชมจากสื่อที่ได้สัมผัสกับตัวจริงของ NODE ICON มาแล้วทั่วโลก พูดได้ว่า NODE ICON แม่ทัพสตรีมเมอร์จาก Bluesound ตัวนี้เป็นหนึ่งในสตรีมเมอร์ที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้.!!!
Bluesound ‘NODE ICON’
สตรีมเมอร์ระดับเรือธงจาก Bluesound
ตัวถังของ NODE ICON ทำด้วยอะลูมิเนียมเกรดสูง มาในขนาดกระทัดรัดด้วยหน้ากว้างแค่ 22 ซ.ม. และลึกเพียง 19.3 ซ.ม. กับความสูงที่ 8.4 ซ.ม. ทำให้สามารถนำสตรีมเมอร์ตัวนี้ไปใช้งานได้หลากหลายสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะทำงาน, บนโต๊ะวางทีวีในห้องรับแขก หรือจะยกเข้าห้องฟังเพลงก็ได้ (น้ำหนักเครื่องอยู่ที่ 2.23 กิโลกรัม)
ดีไซน์หน้าตาก็ยังคงรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายสไตล์ Bluesound เหมือนเดิม ทั้งเนื้อทั้งตัวมองหาปุ่มปรับอะไรไม่มีเลย การควบคุมสั่งงานทำได้ 2 ทาง ทางแรกคือใช้วิธีสัมผัสบนตัวเครื่อง ซึ่งที่ด้านหน้าส่วนที่ทำเป็นสโลปเฉียงๆ อยู่ข้างบนนั่นแหละแท้จริงแล้วคือหน้าจอสัมผัสที่มีฟังท์ชั่นหลายอย่างอยู่บนนั้น ส่วนแผงหน้าที่ดูเรียบโล้นเหมือนไม่มีอะไรเลยนั้น เมื่อคุณเสียบไฟเข้าเครื่องและเริ่มต้นใช้งาน พื้นที่บริเวณตรงกลางของแผงหน้าเรียบๆๆ นั้นจะปรากฏกลายเป็นจอภาพขนาดใหญ่ถึง 5 นิ้ว (วัดตามแนวทะแยง) ซึ่งจะแสดงรายละเอียดต่างๆ ที่สอดคล้องกับลักษณะการใช้งานในขณะนั้นๆ ขึ้นมา โดยสัมพันธ์กับการสั่งงานและการปรับตั้งค่าที่ผู้ใช้กระทำผ่านทางแอพลิเคชั่นที่ชื่อว่า BluOS บนอุปกรณ์พกพา
ด้านหน้า
1. ปุ่มเลือก PRESETS จำนวน 5 ปุ่ม
2. ลูกศรชี้ขวาใช้ข้ามเพลงที่กำลังเล่น และลูกศรชี้ซ้ายใช้ถอยกลับไปเล่นเพลงก่อนหน้า
3./4. ตรงตำแหน่งนี้มีอยู่ 2 หน้าที่ เป็นไฟแสดงสถานะของเครื่อง กับใช้กดเพื่อสั่งเล่นหรือหยุดเล่นเพลง
5. ปรับวอลลุ่มดัง–เบา
6. จอสี่สีขนาด 5 นิ้ว ใช้แสดงผลการทำงานของตัวเครื่อง
7. รูเสียบแจ๊คหูฟังขนาดมาตรฐาน 6.3 ม.ม. มีทั้งสองด้านๆ ละ 1 รู
ด้านหลัง
*8. ช่องอินพุต Optical
9. ช่องเอ๊าต์พุต Coaxial
*10. ช่องอินพุต Analog
11. ช่องเอ๊าต์พุต Analog (RCA)
12. ช่องเอ๊าต์พุต Analog (XLR)
13. ช่องเอ๊าต์พุต Subwoofer
14. ช่องเอ๊าต์พุต Optical
*15./*16. ช่องอินพุต/เอ๊าต์พุต USB
*17. ช่องอินพุต HDMI eARC
18. ช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณ trigger
19. ช่องอินพุตสำหรับสัญญาณจากรีโมท IR
*20. ช่องเสียบปลั๊กไฟของสายเอซีแบบ C7
*21. ช่องอินพุต USB-C
*22. ช่องเสียบสายแลน
หมายเหตุ * = อินพุต, * = ทั้งอินพุตและเอ๊าต์พุต
ฟังท์ชั่นการทำงาน
NODE ICON ประกาศตัวว่าเป็น network music streamer ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเชื่อมต่อตัวมันเข้ากับเน็ทเวิร์คก่อนเป็นอันดับแรกหลังจากแกะออกมาจากกล่องแล้วเสียบไฟ ซึ่งคุณสามารถเชื่อมต่อ NODE ICON เข้ากับเน็ทเวิร์คได้ 2 ช่องทาง ทางแรกคือ ผ่านทางคลื่นไร้สาย Wi-Fi กับผ่านทาง Ethernet ด้วยสายแลน
Wi-Fi vs. Ethernet
ต่อเชื่อมแบบไหนดี.?
แม้ว่า NODE ICON จะแสดงความชัดเจนว่าเป็น ‘wireless music streamer’ และแม้ว่าทางผู้ผลิตจะทำการออกแบบและปรับจูนภาครับคลื่นไร้สาย Wi-Fi มาดีขนาดไหน แต่ในการใช้งานจริง คุณภาพของเสียงที่ได้จากการสตรีมไฟล์เพลงผ่านทางคลื่น Wi-Fi แบบไร้สายก็ต้องขึ้นอยู่กับ “ความแรง” ของคลื่นไร้สาย Wi-Fi ที่ส่งออกมาจาก router ที่บ้านของผู้ใช้แต่ละบ้านอยู่ดี
การใช้งาน NODE ICON ผ่านทางคลื่น Wi-Fi จะให้ความสะดวกมากกว่าแบบใช้สาย LAN แต่ถ้าต้องการให้แน่ใจว่าคุณภาพเสียงที่ได้จากการสตรีมด้วยคลื่น Wi-Fi จะออกมาดีในระดับที่ผู้ผลิตสตรีมเมอร์ตัวนั้นต้องการนำเสนอหรือไม่ แนะนำให้ทำการตรวจสอบสถานะความแรงของคลื่น Wi-Fi ที่บ้านของคุณดูด้วย ซึ่งในแอพลิเคชั่น BluOS มีฟังท์ชั่นไว้ให้คุณทำการตรวจสอบความแรงของสัญญาณ Wi-Fi อยู่ คือหลังจากคุณทำการเชื่อมต่อ NODE ICON เข้ากับ Wi-Fi ที่บ้านคุณเสร็จแล้ว ให้เข้าไปที่หน้า Home ของแอพฯ BluOS แล้วจิ้มลงไปที่รูปเฟืองที่อยู่ตรงมุมขวาบนของหน้าแอพฯ (ดูภาพประกอบ) ซึ่งแอพฯ จะพาคุณไปที่หน้าเมนู ‘Settings’ จากนั้นให้ไปจิ้มที่หัวข้อเมนู ‘Diagnostics’ แอพฯ ก็จะพาคุณไปที่หน้าที่โชว์รายละเอียดของสถานะการเชื่อมต่อกับ Wi-Fi เน็ทเวิร์ค
ให้สังเกตที่หัวข้อ ‘Signal Strength’ ซึ่งจะโชว์ระดับความแรงของสัญญาณ (ศรชี้) ที่มีหน่วยเป็น dBm โดยแบ่งออกเป็น 4 สถานะ เรียงไปตามความแรงของสัญญาณ คือ
Excellent (มากกว่า -50dBm) = ความแรงสูงมาก อยู่ในระดับยอดเยี่ยม
Good (-50dBm ถึง -60dBm) = ความแรงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
Fair (-60dBm ถึง -70dBm) = ความแรงอยู่ในระดับพอใช้ได้ และ
Weak ต่ำกว่า -70dBm) = สัญญาณอ่อนมาก
กรณีที่สัญญาณ Wi-Fi ต่ำกว่า -70dBm มีโอกาสที่การทำงานของเครื่องสตรีมเมอร์จะซิ้งค์กับแอพฯ ที่ใช้ควบคุมไม่ได้ หรือถ้ายังซิ้งค์ได้ คือสามารถเล่นไฟล์เพลงๆได้ก็จะได้เสียงออกมาไม่ดี อาจจะถึงขั้นเล่นๆ หยุดๆ และอาจจะสลับกับใช้งานไม่ได้เป็นช่วงๆ ซึ่งระดับความแรงสัญญาณ Wi-Fi “อย่างน้อย” ที่เหมาะสมกับการสตรีมไฟล์เพลงเพื่อการฟังเพลงโดยหวังผลทางด้าน “คุณภาพเสียง” ที่น่าพอใจ จะขึ้นอยู่กับระดับความละเอียดของไฟล์เพลงที่คุณสตรีมมาฟังเป็นหลัก ยิ่งไฟล์เพลงมีความละเอียดสูงยิ่งต้องการความแรงของสัญญาณ Wi-Fi ที่สูงตามขึ้นไปด้วย โดยเทียบเป็นสัดส่วนได้ดังนี้
> กรณีที่ดาวน์โหลดและติดตั้งเพื่ออัพเดต Firmware ต้องการความแรงของ Wi-Fi อย่างต่ำ = -70dBm
> สตรีมไฟล์เพลง 16-bit/44.1kHz ต้องการความแรง Wi-Fi อย่างต่ำ = -70dBm
> สตรีมไฟล์เพลง 24-bit/96kHz ต้องการความแรง Wi-Fi อย่างต่ำ = -55dBm
> สตรีมไฟล์เพลง 24-bit/192kHz ต้องการความแรง Wi-Fi อย่างต่ำ = -45dBm
ปัจจัยที่ทำให้สัญญาณ Wi-Fi มาแรงหรืออ่อน มีอยู่หลายสาเหตุ นอกเหนือจากคุณภาพของอุปกรณ์ฝั่งที่ทำหน้าที่ส่งคลื่น Wi-Fi (transmitter) และฝั่งที่ทำหน้าที่รับคลื่น Wi-Fi (receiver) แล้ว ระยะทางที่ติดตั้งตัว router กับตัวเครื่องสตรีมเมอร์ก็มีส่วน คือถ้า router กับตัวสตรีมเมอร์ยิ่งอยู่ใกล้กันยิ่งดี กับอีกกรณีคือสิ่งกีดขวาง ถ้า router กับตัวสตรีมเมอร์อยู่ในห้องเดียวกันก็จะดีกว่า แต่ถ้ามีผนังห้องเข้ามาขวาง หรือว่าอยู่กันคนละชั้นของบ้านการส่งและรับคลื่น Wi-Fi ก็จะแย่ลงได้ อย่างไรก็ตาม แนะนำให้ทดลองวัดความแรงของคลื่น Wi-Fi ด้วยเพื่อความมั่นใจในคุณภาพเสียงที่ได้ แต่ถ้าสามารถเชื่อมต่อระหว่าง router กับสตรีมเมอร์ด้วยสาย LAN ผ่านเข้าทางช่องรับ Ethernet ของตัวสตรีมเมอร์ได้ ก็จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งในแง่ของการควบคุมใช้งานและหวังผลได้เต็มที่ในแง่ของคุณภาพเสียง
ช่องอินพุต กับระดับสัญญาณที่รองรับได้
I/O terminals หรือช่องเสียบสำหรับรองรับสัญญาณอินพุตและส่งออกสัญญาณเอ๊าต์พุตเป็นตัวกำหนดความหลากหลายในการใช้งานสตรีมเมอร์ตัวนั้นๆ หลักๆ ก็คือ I/O terminals สำหรับสัญญาณดิจิตัล ซึ่งช่องดิจิตัล อินพุต/เอ๊าต์พุตที่ NODE ICON ตัวนี้ให้มาต้องถือว่าอยู่ในระดับที่ครบถ้วนสำหรับการใช้งานของคนทั่วไปกับนักเล่นเครื่องเสียงระดับกลางๆ คือให้ช่องอินพุต optical กับอินพุต HDMI eARC และช่องเอ๊าต์พุต Sub Out มาพร้อมทั้งใส่ความสามารถในการรองรับสัญญาณเสียงแบบมัลติแชนเนลฟอร์แม็ต Dolby Digital มาให้ด้วย นี่ดูเหมือนจะเอนเอียงไปทางดูหนังกับดูคอนเสิร์ต รวมถึงฟังเพลงด้วยระบบเซอร์ราวนด์มัลติแชนเนล ซึ่งเหมาะสำหรับคนที่จะนำ NODE ICON ไปใช้ในห้องรับแขกคู่กับทีวี
อินพุตอีกช่องคือ USB-C ซึ่งอันนี้ทางผู้ผลิตชี้แจงไว้ชัดว่ามีมาให้ใช้รองรับสัญญาณเอ๊าต์พุตจากคอมพิวเตอร์ที่ส่งออกมาเป็นสัญญาณดิจิตัล ซึ่งก็คือการใช้งาน NODE ICON ในลักษณะของซาวนด์การ์ดแทนที่ซาวนด์การ์ดในตัวคอมพิวเตอร์นั่นเอง ในกรณีนี้สามารถใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการณ์ทั้งสองระบบคือทั้ง Windows และ Mac ใครที่อาศัยคอมพิวเตอร์เป็นสตรีมเมอร์ในการฟังเพลงผ่านเน็ทเวิร์คหรือเล่นไฟล์เพลงบนฮาร์ดดิสโดยตรงด้วยโปรแกรมเพลย์เยอร์บนคอมพิวเตอร์ หรือเล่นเกมส์ หรือทำงานที่ต้องอาศัยเสียง ก็สามารถใช้งานอินพุตช่องนี้ได้ ซึ่งอินพุต USB-C นี้มีความสามารถในการรองรับสัญญาณดิจิตัลจากภายนอกได้สูงถึง 24-bit/192kHz
อีกอินพุตที่ทำให้ NODE ICON ฉีกตัวออกไปจากสตรีมเมอร์ระดับล่างๆ อย่างชัดเจน นั่นคืออินพุต Analog in ซึ่งมีมาให้ใช้รองรับสัญญาณอะนาลอกจากแหล่งต้นทางภายนอก ฟังท์ชั่นนี้น่าจะโดนใจคนที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่แล้ว สามารถนำสัญญาณเอ๊าต์พุตจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ผ่านภาคขยายหัวเข็มมาเข้าที่อินพุตนี้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าสัญญาณอะนาลอกที่รับเข้ามาทางอินพุตนี้จะถูกแปลงเป็นสัญญาณดิจิตัลเพื่อเข้าไปใช้ฟังท์ชั่นต่างๆ ของ NODE ICON ก่อนจะแปลงกลับเป็นอะนาลอกด้วยภาค DAC ในตัว NODE ICON อีกที อินพุตนี้อาจจะไม่จำเป็นสำหรับนักเล่นเครื่องเสียงที่ใช้แอมป์ที่มีอินพุตรองรับอยู่แล้ว แต่ก็อาจจมีประโยชน์สำหรับคนที่นำ NODE ICON ไปใช้กับเพาเวอร์แอมป์โดยไม่มีปรีฯ คือใช้วอลลุ่มในตัว NODE ICON กับคนที่นำ NODE ICON ไปใช้กับลำโพงแอ๊คทีฟที่ไม่มีช่องอะนาลอก อินพุต
ช่องเอ๊าต์พุต กับลักษณะของสัญญาณที่ปล่อยออกไป
NODE ICON ให้ช่องเอ๊าต์พุตสำหรับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์มา 2 ชุด ผ่านขั้วต่อสัญญาณแบบซิงเกิ้ลเอ็นด์ RCA กับแบบบาลานซ์ XLR อย่างละชุด..
นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ NODE ICON เขยิบตัวเองขึ้นไปเหนือกว่าสตรีมเมอร์ระดับเริ่มต้นอีกก้าวหนึ่ง นั่นคือใส่ช่องเอ๊าต์พุต XLR มาให้สำหรับสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตแบบบาลานซ์ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกสำหรับผลิตภัณฑ์ของ Bluesound ที่เคยมีมา.!
ระหว่างเอ๊าต์พุตสองช่องนี้ เสียงต่างกันมั้ย.? ถ้าถามทางผู้ผลิตก็คงได้คำยืนยันว่าต่างกันแน่นอน ดูได้จากคำอธิบายความที่ปรากฏอยู่ในสมุดคู่มือที่ผมตัดมาให้ดูข้างบนั้น จะเห็นว่า เมื่อพูดถึงช่องอะนาลอก เอ๊าต์พุตทั้งสองช่องนี้ เขาใช้คำอธิบายขึ้นต้นเหมือนกัน แต่ตรงช่องเอ๊าต์พุตบาลานซ์ XLR เขาตบท้ายเพิ่มเติมด้วยประโยคที่ว่า “..and provide the best possible sound quality” ซึ่งตอนพูดถึงเอ๊าต์พุต RCA เขาไม่มีประโยคนี้กำกับมา
ถ้าถามผม.. ซึ่งผมได้ทดลองฟังเทียบกันแล้ว บอกได้เลยว่า กรณีที่แอมป์ของคุณ ไม่ว่าจะเป็นอินติเกรตแอมป์หรือปรีแอมป์ที่มี “ราคาค่อนข้างสูง” ถ้าให้ช่องอินพุตบาลานซ์ XLR มาด้วย แนะนำให้หาสายบาลานซ์มาใช้เลย แต่ถ้าเป็นแอมป์ที่มีราคาไม่สูงมาก แนะนำให้เช็คดูก่อนว่าภาครับสัญญาณในตัวแอมป์นั้นดีไซน์เป็นวงจรบาลานซ์แท้ (pure discrete) หรือเทียม (IC converter) ซึ่งถ้าเป็นแอมป์ที่มีราคาไม่สูง ประมาณว่าไม่เกินแสนบาท และมีช่อง XLR มาให้แค่ช่องเดียว มีโอกาสที่ช่องอินพุต XLR จะให้เสียงแย่กว่าช่องอินพุต RCA ยิ่งถ้าเป็นแอมป์ที่ใช้สวิทช์โยกเพื่อเลือกระหว่าง RCA กับ XLR ยิ่งมีโอกาสแย่มากขึ้นอีก ซึ่งประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับเอ๊าต์พุต XLR ของ NODE ICON นะ เพราะโดยปกติ เอ๊าต์พุตของชิป DAC จะออกมาเป็นสัญญาณบาลานซ์อยู่แล้ว ดังนั้น การดึงเอาเอ๊าต์พุต XLR ของ NODE ICON ไปใช้จึงเป็นสัญญาณที่มีคุณภาพสูงกว่าทางช่อง RCA ผมทดลองฟังเทียบกับภาคปรีฯ ของตัวสตรีมเมอร์/ปรีแอมป์ของ Esoteric รุ่น N-05XD (ราคาสี่แสนกว่า) พบว่า ใช้เอ๊าต์พุต XLR ของ NODE ICON ให้เสียงออกมาดีกว่าช่องเอ๊าต์พุต RCA จริง (ใช้สายสัญญาณของ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif 3 ทั้ง XLR และ RCA)
ส่วนเอ๊าต์พุตดิจิตัลมีมาให้ 2 ช่องทาง คือ optical out กับ USB out ซึ่งให้มาเพื่อเติมเต็มการใช้งานให้ครอบคลุมได้มากขึ้นมากกว่าที่จะตั้งใจให้ใช้เป็นทรานสปอร์ตสำหรับคนที่ซีเรียสทางด้านเสียงจริงๆ และขณะที่กำลังใช้เอ๊าต์พุต USB ช่องเอ๊าต์พุตอื่นๆ จะไม่มีสัญญาณออก..
Dual-Mono DAC design.!
บอกตามตรงว่า แรกเห็นประโยคนี้แล้วตาลุกโพลง.! เพราะโดยมากแล้ว ลักษณะดีไซน์ของภาค DAC แบบนี้จะพบเห็นอยู่เฉพาะในผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงๆ ระดับไฮเอ็นด์ฯ ทั้งนั้น นึกไม่ถึงว่าสตรีมเมอร์ NODE ICON ที่มีราคา “ไม่ถึงห้าหมื่นบาท” จะใช้ดีไซน์แบบนี้ด้วย.!!
เอาข้อความที่เห็นอยู่ในเว็บไซต์อ๊อฟฟิเชี่ยลของ Bluesound ลงไว้แบบที่ผมทำไฮไล้ท์ A ด้วยแถบสีแดงนั่นแหละ ยืนยันว่าไม่ได้ตาฝาด “..Dual-Mono Dac design. Featuring two cutting-edge ESS SABRE ES9039Q2M DACs” พวกเขาเลือกใช้ชิป DAC ของค่าย ESS Technologies เบอร์ใหม่ล่าสุดคือ ES9039Q2M จำนวน 2 ตัว เพื่อแยกกันแปลงสัญญาณดิจิตัลให้เป็นอะนาลอกระหว่างแชนเนลซ้าย (Left channel) กับแชนเนลขวา (Right channel) อิสระจากกัน
ดีกว่าใช้แค่ตัวเดียวยังไง.? อันที่จริงแล้ว ชิป ES9039Q2M นี้พื้นฐานมันก็เป็นชิปที่ออกแบบมาให้สามารถแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกสำหรับระบบเสียงสเตริโอ 2 แชนเนลในตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อใช้ตัวละแชนเนล ก็เหมือนกันการบริดจ์โมโน คือเอาความสามารถของชิปที่ทำงานกับสัญญาณ 2 แชนเนลมาทำงานกับสัญญาณแชนเนลเดียว มันจึงได้ประสิทธิภาพในการทำงานที่สูงขึ้นเท่าตัว ความแม่นยำในการทำงานสูงขึ้น ผลลัพธ์ทางเทคนิคก็ทำให้ได้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น ที่เห็นชัดๆ ก็อย่างเช่นสเปคฯ ทางด้าน S/N ratio หรือ Signal-to-Noise ratio คืออัตราส่วนระหว่างสัญญาณเสียงหารด้วยสัญญาณรบกวนมีค่าที่สูงขึ้น ซึ่งข้อดีในทางปฏิบัติที่คุณจะได้รับก็คือ ได้ยิน “รายละเอียด” ของเสียงที่ดีขึ้น โดยเฉพาะเสียงที่แผ่นเบาจะผุดขึ้นมาเหนือ noise floor ออกมาให้ได้ยินมากขึ้น
ไม่ใช่แค่นั้นนะ.. ลองดูในไฮไล้ท์แถบสีฟ้าที่ผมทำไว้ในรูปข้างบนหน่อย กับประโยคที่เริ่มต้นว่า “MQA Lab’s groundbreaking QRONO d2a technology..” อ่าา.. QRONO d2a technology คืออะไร.? ทำเอาผมต้องรีบเข้าไปค้นหาความหมายของสิ่งนี้ และก็พบว่า ในเว็บไซต์แห่งนี้มีเอกสาร white paper ที่พูดถึงเรื่อง QRONO d2a อยู่ด้วย ผมเข้าไปโหลดออกมาอ่านและเห็นว่ามีความน่าสนใจ เลยทำการแปลเป็นภาษาไทยเอาไว้ให้คุณที่สนใจเข้าไปลองอ่านดู จะได้รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไร.? มีผลยังไงกับเสียงบ้าง..?? (ลิ้งค์สำหรับบทความเรื่อง QRONO d2a [https://www.allabout.in.th/mqa-qronod2a-qronodsd/]) ถ้ายังไม่อยากจะเข้าไปอ่าน จะสรุปให้ฟังตรงนี้แบบสั้นๆ ก็คือว่า เจ้าตัว QRONO d2a ก็คือเทคโนโลยีทางด้าน digital filter ที่ทาง MQA คิดค้นขึ้นมาเพื่อทำให้เสียงของภาค DAC ที่อาศัยชิป DAC ในการแปลงสัญญาณดิจิตัลเป็นอะนาลอกสามารถถ่ายทอดเสียงออกมาได้ดีขึ้น คือโดยปกติแล้ว ผู้ผลิตชิป DAC แต่ละค่ายจะออกแบบวงจร digital filter มาให้ใช้ ซึ่งเป็นวงจรฟิลเตอร์ที่จะจัดการกับสัญญาณดิจิตัลอินพุตก่อนส่งเข้าภาค DAC อย่างเช่น เอาสัญญาณดิจิตัลอินพุตมาทำการ oversampling แล้วผ่าน digital filter ก่อนส่งเข้าชิป DAC ซึ่ง MQA มองว่า วงจร digital filter ที่ชิปเหล่านั้นออกแบบไว้ให้ใช้มันมีจุดตำหนิที่ส่งผลเสียงต่อเสียง พวกเขาจึงออกแบบวงจรดิจิตัล ฟิลเตอร์ในอุดมคติของพวกเขาขึ้นมา ชื่อว่า QRONO d2a นี่เอง และเนื่องจากชิป DAC ของ ESS Technologies เบอร์ ES9039Q2M ที่ใช้ใน NODE ICON ตัวนี้มันอนุญาตให้ผู้ออกแบสามารถ overwrite หรือเอาวงจรฟิลเตอร์อื่นๆ เขียนทับลงไปบนฟิลเตอร์ที่พวกเขาใส่มาให้ได้ MQA จึงสบโอกาสในการเอาฟิลเตอร์ตัวนี้มาใช้กับ NODE ICON ก็ด้วยประการฉะนี้.. ซึ่งเป็นภาค DAC ตัวแรกซะด้วยที่ใช้เทคโนโลยีของ MQA ตัวนี้.. ว้าวว..!!!
มีปัญหาอะคูสติก เรียกใช้บริการ Dirac Live ซิ..!!
ถ้าคุณนำ NODE ICON ไปใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่ได้มีการจัดการปรับสภาพอะคูสติกใดๆ ยกตัวอย่างเช่นในห้องรับแขกของบ้านทั่วไป ซึ่งคิดว่าน่าจะไม่มีความสมดุลของสภาพอะคูสติกอย่างแน่นอน และสำหรับคนที่รู้เรื่องอะคูสติกมาบ้าง จะเข้าใจได้ว่า ในห้องที่สภาพอะคูสติกไม่สมมาตรและไม่ได้ถูกจัดการที่ดีจะมีปัญหาที่เข้ามาทำให้เสียงของชุดเครื่องเสียงแย่ลง อย่างเช่นคลื่นความถี่ที่สั่นค้างอยู่ในห้อง (standing waves), เสียงก้องสะท้อนที่ไม่เป็นระบบ (reverberations) ฯลฯ ซึ่งจะเข้ามาผสมปนเปื้อนกับสัญญาณเสียง ซึ่ง NODE ICON มีวิธีแก้ปัญหานี้ง่ายๆ ด้วย Dirac Live! ที่ติดตั้งมาให้ด้วย ซึ่งนี่ก็เป็น “คุณค่า” อีกอย่างหนึ่งที่ฝังอยู่ในตัวสตรีมเมอร์ NODE ICON นี้
ถ้าชอบฟังเพลงด้วยหูฟัง ต้อง THX AAA ซิ.!!
บางคนไม่คุ้นชินกับการฟังเพลงผ่านหูฟัง บ้างก็ว่าใส่หูฟังแล้วรู้สึกอึดอัด ไม่สบายตัว ในขณะที่บางคนนั้นชื่นชอบการฟังเพลงผ่านทางหูฟังเป็นชีวิตจิตใจ เหตุผลก็เพราะว่า การฟังเพลงผ่านหูฟังทำให้พวกเขาได้ยิน “รายละเอียด” ในเพลงที่ฟังออกมาได้ “ตรง” กับความจริงมากที่สุด เพราะไม่มีเสียงของห้องฟังเข้ามาผสมด้วย
สัจจธรรมสำหรับโลกใบนี้ก็คือ ไม่มีอะไรดีที่สุด ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีดีและมีด้อยอยู่ในตัวของมันเองเสมอ ขึ้นอยู่กับเราที่รู้จักเลือกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร ซึ่งข้อด้อยของการฟังผ่านหูฟังเมื่อเทียบกับฟังผ่านชุดเครื่องเสียงก็คือ ฟังผ่านหูฟังจะขาดสิ่งที่เรียกว่า energy หรือพลังงานของมวลคลื่นเสียงที่กระจายออกมาจากเสียงเครื่องดนตรีและเสียงร้องแผ่ขยายมาถึงตัวเรา ซึ่งการฟังเพลงผ่านชุดเครื่องเสียงในห้องฟังจะทำให้เราได้รับประสบการณ์ฟังที่มีส่วนประกอบของ “แอมเบี้ยนต์” ออกมาให้รับรู้ไปด้วยซึ่งหูฟังให้ไม่ได้
ลองใช้หูฟัง Beyerdynamic รุ่น T1 ทดสอบภาคขยายหูฟังของ NODE ICON
ลองใช้หูฟัง AKG รุ่น K 70265th ทดสอบภาคขยายหูฟังของ NODE ICON
ลองใช้หูฟัง Sennheiser รุ่น HD 650 ทดสอบภาคขยายหูฟังของ NODE ICON
โดยส่วนตัวผมมีหูฟังแบบครอบหู (over-ear) อยู่ 3 ตัว ที่ใช้บ่อย มีทั้งแบบขับง่ายไปจนถึงขับยากเรียงตามอิมพีแดนซ์ ตัวแรกคือ Beyerdynamic รุ่น T1 (5Hz-50,000Hz/SPL=100dB/32Ω) ตัวที่สองคือ AKG รุ่น K-70265th (8Hz-39800Hz/105dB/62Ω) ตัวที่สามคือ Sennheiser รุ่น HD 650 (10Hz-41000Hz/SPL=103dB/300Ω)
สามารถปรับความดังหูฟังจากวอลลุ่มสไลด์บนตัว NODE ICON ได้เลย ขณะปรับบนหน้าจอจะมีระดับความดังขึ้นมาให้ดูด้วย (ตรงขอบบนของจอ)
ส่วนหนึ่งของการใช้งานหูฟังเหล่านี้ก็คือ ผมใช้ทดลองฟังรายละเอียดที่อยู่ในเพลงก่อนจะใช้เพลงนั้นเป็นเพลงอ้างอิงในการเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงและไฟน์จูนชุดเครื่องเสียงบ้าน ซึ่งบอกเลยว่า นี่คือข้อดีของหูฟังที่นอกเหนือจากการใช้ฟังเพลงเพื่อความบันเทิงแบบไม่รบกวนใคร ถ้าคุณยังไม่เคยใช้หูฟังเข้ามาช่วยในการเซ็ตอัพลำโพงและปรับจูนชุดเครื่องเสียง ผมแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ทดลองหาหูฟังมาใช้สักตัว เอาแค่ระดับดีพอสมควรก็ได้ อย่างในกรณีตอนทดสอบสตรีมเมอร์ของ Bluesound รุ่น NODE ICON ซึ่งมีติดตั้งรูเสียบแจ๊คหูฟังขนาด 6.3mm มาให้ด้วย แถมในตัวมันใช้ภาคขยายหูฟังคุณภาพสูงที่ใช้เทคโนโลยี THX AAA มาด้วย ตอนเอา NODE ICON มาใช้งานร่วมกับชุดเครื่องเสียงในห้องฟัง ผมจะใช้หูฟังคอยเช็คเสียงจากเอ๊าต์พุตหูฟังของ NODE ICON ไปด้วยในขณะเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงและปรับจูนชุดเครื่องเสียงขณะทดสอบ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้การเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพงและไฟน์จูนชุดเครื่องเสียงมีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ไม่ทำให้หลงทางจูนเสียงผิดไปจากเสียงที่มาจากเพลงเหล่านั้นจริงๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ภาคขยายหูฟังของ NODE ICON ช่วยได้มากจริงๆ
เทคโนโลยีของภาคขยายหูฟัง THX AAA มีอะไรดี.? ตามหลักการที่ผู้คิดค้นคือ THX อธิบายความไว้ก็คือ แอมปลิฟายที่ใช้ขับหูฟังทั่วไปจะมีปัญหาความเพี้ยนเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น THD หรือผลรวมของฮาร์มอนิก ดีสทอร์ชั่น, IMD หรืออินเตอร์มอดูเลชั่น ดีสทอร์ชั่น และครอสโอเวอร์ ดีสทอร์ชั่น ซึ่งความเพี้ยนเหล่านี้จะทำให้เสียงที่ออกมามีความผิดเพี้ยนไปจากต้นฉบับที่เข้ามาทางอินพุต วิศวกรของ THX ใช้วงจรพิเศษที่เรียกว่า error correction เข้ามาแก้ไขไม่ให้เกิดความเพี้ยนของเสียงจากสาเหตุต่างๆ ที่กล่าวมา ซึ่งถ้าจะให้ผมเดา ผมคิดว่า วงจรขยาย THX AAA น่าจะมุ่งไปที่เรื่อง “อิมพีแดนซ์” แม็ทชิ่งระหว่างภาคขยายกับอิมพีแดนซ์ของหูฟังแต่ละตัวมั้ง.? เพราะผมสังเกตว่า เมื่อก่อนนี้ ตอนที่ผมเอาหูฟังทั้ง 3 ตัวที่ผมมีอยู่คือ Beyerdynamic ‘T1’, AKG ‘K702/65th’ และ Sennheiser ‘HD 650’ ไปลองฟังภาคขยายหูฟังตัวอื่นๆ ผมมักจะพบว่า ถ้าภาคขยายหูฟังตัวนั้นให้เสียงของ Beyerdynamic ‘T1’ กับ AKG ‘K702/65th’ ออกมานวลเนียนกำลังดี มันมักจะให้เสียงของ Sennheiser ‘HD 650’ ออกมาไม่ดี คือออกไปทางอับทึบและตื้อเพราะขับออกมาไม่เต็ม และในทางกลับกัน ถ้าขับ HD 650 ออกมาได้เปิดกระจ่างดี มันมักจะขับ K702/65th กับ T1 ออกมาได้ไม่ค่อยดี คือจะไปทางสว่างจ้าเกินไป ขาดน้ำหนัก ไปจนถึงเจี้ยวจ้าวไม่น่าฟัง สรุปคือ ถ้าภาคขยายออกแบบมาดีกับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำๆ (ประมาณ 32 – 120 โอห์ม) พอใช้กับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์สูงๆ เสียงจะออกมาแย่ต่ำกว่ามาตรฐานไปเลย และในทางกลับกัน ถ้าเป็นภาคขยายที่ไปได้ดีกว่าหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์สูงๆ (ประมาณ 120 – 300 โอห์ม) ซึ่งมักจะให้กำลังขับเยอะๆ พอเอามาขับหูฟังที่มีอิมพีแดนซ์ต่ำๆ เสียงจะออกมาไม่ดี ประมาณนี้..
เหตุผลที่ผมเพ่งเล็งไปที่เรื่อง “อิมพีแดนซ์” ก็เพราะว่าผมพบว่า ภาคขยายหูฟังของ NODE ICON มันแสดงพฤติกรรมต่างจากภาคขยายหูฟังอื่นๆ ในอดีตที่ผมเคยฟังมา คือมันทำให้เสียงของหูฟังทั้งสามตัวของผมมี “ค่าเฉลี่ย” ออกมาในลักษณะที่ฟังได้ทั้ง 3 ตัว ซึ่งน่าแปลกมาก.. คือตอนที่ลองขับ T1 ผมใช้วอลลุ่มของ NODE ICON ไปประมาณ 50 – 60 เสียงออกมากลมกล่อมดี อัตราสวิงไดนามิกเปิดกว้างแต่ไม่ถึงกับเจิดจ้าเกินไป และพอขับตัว K702/65th เสียงเปิดโปร่งและมีความกังวานน่าฟังมาก ปลายแหลมเปิดและพลิ้ว ผมชอบมาก และพอเปลี่ยนไปขับ HD 650 ทีแรกผมคาดว่าน่าจะออกมาทึบๆ ห้วนๆ แต่กลายเป็นว่า มันไม่ได้ออกมาแย่อย่างที่ผมคาด คือเสียงโดยรวมมันออกไปทาง dark แต่เสียงแหลมไม่ถึงกับห้วน ผมยังได้ยินรายละเอียดของเสียงในย่านแหลมออกมาจาก HD 650 ในระดับที่ยอมรับได้ และที่น่าแปลกใจก็คืออัตราสวิงของไดนามิกที่ดีเกินคาด มันไม่ได้อั้นๆ ตื้อๆ อย่างที่คิดเลย แม้ว่าเสียงที่ออกมาจะยังไม่ถึงกับดีที่สุดสำหรับ HD 650 ตัวนี้ แต่ภาคขยายในตัว NODE ICON ก็ไม่ได้ทำให้เสียงของ HD 650 ออกมาแย่ มันให้ความเป็นดนตรีที่มีลักษณะของความเข้มข้นเจืออยู่ แต่ต้องขยับวอลลุ่มขึ้นมานิดหนึ่งคือสเกลระหว่าง 70 – 80 แต่อย่างไรก็ดี ถ้าคุณต้องการใช้งานภาคขยายหูฟังของ NODE ICON ในการฟังเพลงที่เน้นคุณภาพเสียงมากหน่อย ผมแนะนำให้ใช้หูฟังที่มีอิมพีแดนซ์อยู่ระหว่าง 120 – 250 โอห์ม จะได้ค่าเฉลี่ยของเสียงที่น่าฟังพอดีๆ
‘Sub Out’ – มีไว้อัพเกรดเสียงทุ้มผ่านซับวูฟเฟอร์
ถ้าจะใช้วงจรครอสโอเวอร์เน็ทเวิร์คเพื่อตัดความถี่ให้กับซับวูฟเฟอร์บนตัว NODE ICON คุณต้องใช้วอลลุ่มบนตัว NODE ICON ในการปรับความดังของระบบ ซึ่งลักษณะการเชื่อมต่อสัญญาณให้ดูจากภาพข้างบน คือเอาสัญญาณ Audio Out จาก NODE ICON ไปเข้าที่อินพุตของเพาเวอร์แอมป์ ซึ่งคุณต้องใช้เพาเวอร์แอมป์มารองรับสัญญาณ Audio Out จาก NODE ICON เพื่อนำไปขยายลำโพงคู่หลัก แล้วต่อสัญญาณจากช่อง SUBW OUT ของ NODE ICON ไปเข้าที่อินพุตของลำโพงแอ๊คทีฟ ซับวูฟเฟอร์ ซึ่งการต่อแบบนี้จะทำให้คุณสามารถควบคุมวอลลุ่มของทั้งลำโพงหลักและลำโพงซับวูฟเฟอร์ผ่านทางวอลลุ่มของ NODE ICON ได้ ถ้าแอมป์ที่คุณใช้เป็นอินติเกรตแอมป์ ก็ให้เช็คดูว่า อินติเกรตแอมป์ตัวนั้นมีช่อง Direct Input หรือ Power Amp input มาให้หรือเปล่า.? ถ้ามีก็ให้ใช้อินพุตนั้นเพื่อบายพาสภาคปรีแอมป์และวอลลุ่มของอินติเกรตแอมป์ตัวนั้นออกไป
NODE ICON เอาฟังท์ชั่นการปรับตั้ง “จุดตัดความถี่” สำหรับซับวูฟเฟอร์ไปไว้ที่แอพลิเคชั่น ซึ่งคุณต้องเปิดแอพฯ แล้วไปที่ Device > Settings > Audio > Subwoofer จากนั้นก็เข้าไปแตะให้เป็น ‘ON’ ตามในภาพด้านบน ซึ่งให้สังเกตว่า หลังจากคุณเลือกใช้งานฟังท์ชั่น Subwoofer บนแอพฯ นี้ ที่ใต้หัวข้อ Subwoofer จะปรากฏหัวข้อ ‘Crossover’ พร้อมสไลด์สำหรับการปรับเลือกจุดตัดโผล่ขึ้นมา (ดูในกรอบสีแดง) ซึ่งทางผู้ผลิตได้เตรียมจุดตัดความถี่ไว้ให้คุณเลือกได้ตั้งแต่ 40Hz ขึ้นไปจนถึง 200Hz โดยเลื่อนขึ้น–ลงได้ทีละ 10Hz สมมุติว่าคุณเลือกตั้งไว้ที่ 60Hz สัญญาณเสียงที่ถูกส่งไปที่เพาเวอร์แอมป์ที่ใช้ขับลำโพงหลักจะรับไปตั้งแต่ 60Hz ขึ้นไปทั้งหมด ส่วนลำโพงซับวูฟเฟอร์จะรับไปตั้งแต่ 60Hz ลงไปทั้งหมด ถ้าคุณไม่ได้มีลำโพงซับวูฟเฟอร์ต่ออยู่ในระบบ อย่าลืมคลิ๊กปิดตรงฟังท์ชั่น Subwoofer ด้วย อย่าเปิดทิ้งไว้ เบสจะหาย..!!
เล่นไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์ค
เพราะพื้นฐานของ NODE ICON คือสตรีมเมอร์ และผู้ผลิตก็ออกแบบมาให้มันทำหน้าที่ในการเล่นไฟล์เพลงผ่านการสตรีมมิ่งได้ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะสตรีมไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์พกพามาที่ NODE ICON โดยตรงผ่านทางคลื่น Bluetooth และ AirPlay, หรือสตรีมไฟล์เพลงที่เก็บอยู่ในอุปกรณ์พกพา หรือสตรีมไฟล์เพลงที่เก็บอยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือเก็บอยู่บน NAS ที่เชื่อมต่ออยู่กับเน็ทเวิร์ควงเดียวกับ NODE ICON ผ่านเข้ามาทางเน็ทเวิร์คทั้งแบบไร้สาย (Wi-Fi) และใช้สาย (Ethernet) สตรีมเมอร์ของ Bluesound ตัวนี้ก็สามารถรองรับได้ทั้งหมด แต่การสตรีมไฟล์เพลงที่ทรงพลังที่สุดสำหรับ Bluesound ‘NODE ICON’ ตัวนี้ก็คือการสตรีมผ่านทางเน็ทเวิร์คด้วยแอพลิเคชั่น BluOS หรือ Roon
การสตรีมไฟล์เพลงผ่านเน็ทเวิร์คด้วยแอพ BluOS กับฟังท์ชั่น Roon Ready
แอพลิเคชั่น BluOS เป็นแอพฯ ที่รวมความสามารถในการ “เล่นไฟล์เพลง” กับความสามารถในการ “ควบคุมการทำงาน” ของตัว NODE ICON อยู่ในตัวเดียวกัน ซึ่งตัวปัจจุบันพัฒนามาถึงเวอร์ชั่น 4.0 แล้ว หน้าตาของหน้าหลัก หรือหน้า HOME ก็เป็นแบบภาพข้างบน ซึ่งผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าบนหน้าโฮมนี้จะให้มันโชว์อะไรบ้าง อย่างในภาพตัวอย่างก็มี Most Used = ที่ใช้บ่อย, Presets = การตั้งค่าที่คุณกำหนดไว้, Recently Played = ไฟล์เพลงที่เพิ่งเล่นไปล่าสุด แต่หลักๆ คือหน้าเมนเมนูที่แยกออกเป็น 4 หน้า คือ Favorites, Music, Players และ Search โดยมี “ทางเข้า” (short-cut) อยู่ที่ด้านล่างของหน้าโฮมนั่นเอง (ในกรอบสีแดง) ผมจะพาไปดูว่า ในแต่ละหน้าเมนเมนูมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง.? และจะใช้งานมันอย่างไร.?
หน้าแรกถัดจาก Home คือหน้าเมนเมนู ‘Favorites’ ซึ่งเป็นที่เก็บไฟล์เพลงที่คุณชื่นชอบและคัดเลือกเอาไว้ ซึ่งจะแยกออกเป็นเพลงที่อยู่ใน NAS หรืออยู่ใน TIDAL หรือแหล่งอื่นๆ วิธีเลือกดูแหล่งเก็บไฟล์เพลงต่างๆ ที่คุณเลือกทำ Favorites เอาไว้ก็ให้จิ้มไปที่มุมขวาบนของหน้าเมนเมนู (ลูกศรสีแดง) หลังจากนั้นจะปรากฏแหล่งเก็บไฟล์เพลงที่คุณทำการเลือกเพลงที่ชื่นชอบเอาไว้ขึ้นมาให้เลือก ซึ่งจากตัวอย่างจะมีอยู่ 3 แหล่ง (ในกรอบสีเหลือง) คือ Library, TIDAL และ TuneIn ต้องการเข้าไปดูไฟล์เพลง Favorites ที่คุณเลือกไว้จากแหล่งไหนก็ให้จิ้มเลือกได้เลือก (ในภาพตัวอย่างเลือกดูที่ TIDAL)
ถัดมาคือหน้าเมนเมนู ‘Music’ ถ้าคุณต้องการเลือกเพลงจากแหล่งต่างๆ มาฟัง ให้มาที่หน้าเมนเมนู ‘Music’ นี้ เพราะอินพุตทั้งหมดของ NODE ICON ไม่ว่าจะเป็นจากสตรีมไฟล์เพลงจาก NAS หรือจาก TIDAL ผ่านเน็ทเวิร์ค (ในกรอบสีเหลือง), หรือสตรีมไฟล์เพลงจากมือถือผ่านคลื่นไร้สาย Bluetooth, หรือดึงเสียงจากทีวีผ่านเข้ามาทางอินพุต HDMI eARC หรือแม้แต่ดึงสัญญาณอะนาลอกจากเครื่องเล่นแผ่นเสียงเข้ามาทางอินพุต Analog In (ในกรอบสีแดง) อินพุตทั้งหมดเหล่านี้จะถูกรวมไว้ในหน้าเมนูนี้
ข้างบนนี้คือภาพของแอพฯ BluOS ขณะที่เลือกเล่นไฟล์เพลงจาก TIDAL (วงรีสีแดง) ที่กรอบสีเหลืองด้านซ้ายมือนั้นคือ “ทางลัด” ไปที่หน้าเมนเมนูอื่นๆ
เนื่องจาก NODE ICON รองรับ ‘Roon Ready’ นั่นก็หมายความว่า ใครที่ใช้ระบบสตรีมมิ่งของ Roon อยู่แล้ว หลังจากเอา NODE ICON เข้าไปใช้ คุณสามารถนำ NODE ICON ไปใช้งานร่วมกับระบบสตรีมมิ่งของ Roon ได้เลย
ข้างบนนั้นเป็นหน้าแอพ Roon เมื่อใช้งานร่วมกับ NODE ICON ซึ่งผมทดลองสตรีมไฟล์เพลงจากแหล่งเดียวกันคือ TIDAL และเลือกเล่นไฟล์เดียวกัน ซึ่งเสียงออกมาไม่เหมือนกัน ซึ่งถ้าจิ้มเข้าไปดูเส้นทางเดินของสัญญาณเสียง (signal Path) เมื่อเล่นผ่านระบบสตรีมมิ่งของ Roon (ลูกศรชี้) จะเห็นว่า โปรแกรม Roon ได้เพิ่มคำสั่งให้ NODE ICON ทำการปรับ “อีคิว” (equalizer) ด้วยเครื่องมือในส่วนที่ NODE ICON ใช้ในการทำ Bass Management ลงไปในสัญญาณที่ส่งไปให้ NODE ICON ด้วย ทำให้เสียงของไฟล์เดียวกันเมื่อเล่นด้วยแพลทฟอร์ม Roon (โปรแกรม Roon + ฮาร์ดแวร์ nucleus+) ไปที่ NODE ICON จะมีลักษณะที่อวบหนากว่าเสียงที่ได้จากการเล่นด้วยแอพของ BluOS เอง แบบไหนดีกว่ากัน.? หลังจากทดลองฟังเทียบกันแล้ว พบว่ามีดี/ด้อยไปคนละทาง คือเล่นด้วย BluOS จะได้รายละเอียดความเป็นตัวตนของแต่ละเสียงที่เด่นชัดกว่า โดยรวมจะรู้สึกได้ว่าเล่นผ่าน BluOS ให้เสียงที่ราบเรียบกว่า ในขณะที่เล่นผ่านระบบของ Roon จะให้เสียงที่อิ่มหนาและรู้สึกว่าดังกว่านิดหน่อย แต่ความคมของอิมเมจจะลดลงเล็กน้อย
เซ็ตอัพ + ทดลองฟังเสียงของ NODE ICON ในห้องรับแขก
ผมเริ่มต้นด้วยการนำ NODE ICON ไปทดลองใช้งานกับชุดเครื่องเสียงที่ผมใช้ดูหนัง/ฟังเพลงอยู่ในห้องรับแขกโดยมี OLED ทีวีขนาด 65 นิ้วของ Sony เป็นศูนย์กลางของระบบภาพและเสียง โดยผมเชื่อมต่อสัญญาณกิจิตัลจากทีวีเข้าไปที่อินพุต Optical ของ NODE ICON จะทำงานนิ่งกว่าเข้าทางอินพุต HDMI eARC ซึ่งไม่ใช่ปัญหาของ NODE ICON แต่เป็นเพราะทีวีผมมันค่อนข้างจะอายุเยอะแล้ว เวอร์ชั่นฮาร์ดแวร์ของ HDMI มันไม่ค่อยนิ่ง และต่อสาย LAN เข้ากับ NODE ICON เพื่อใช้ในการสตรีมไฟล์เพลงจาก NAS และ TIDAL เข้ามาฟังด้วยการป้อนสัญญาณอะนาลอก เอ๊าต์พุตทางช่อง RCA ไปเข้าที่อินพุต AUX1 ของอินติเกรตแอมป์ LEAK รุ่น Stereo 230 ขับลำโพง PSB รุ่น Alpha P3 เสียงโดยรวมออกมาดีมาก พูดได้เลยว่า สูงกว่ามาตรฐานของระบบเสียงในห้องรับแขกขนาดเล็กที่ได้ยินทั่วไป จุดเด่นมากๆ ของซิสเต็มนี้คือ “มิติเสียง” ที่เปิดกว้าง แผ่กระจายออกไปได้เต็มพื้นที่ ไม่ว่าจะดูหนังจาก Netflix หรือดูคอนเสิร์ตจาก YouTube มันได้เสียงที่ช่วยเพิ่มอรรถรสในการรับชมได้เยอะมาก ตอนชมภาพยนตร์จาก Netflix ตอนกลางคืนผมจะหรี่ไฟในห้องลงให้สลัวๆ จะรับรู้ถึงมิติเวทีเสียงที่แผ่กว้างออกไปได้ชัดขึ้นมาก เมื่อเทียบกับเสียงที่ออกมาจากลำโพงทีวีแล้ว บอกเลยว่าห่างกันหลายขุม.!!! ถ้าคุณได้ลองฟังผ่าน NODE ICON ในซิสเต็มนี้แล้ว รับรองว่าถอดไม่ออกแน่นอน..!!!
ตอนกลางวันผมทดลองสตรีมไฟล์เพลงจาก TIDAL มาฟังบน NODE ICON ผ่านแอมป์กับลำโพงชุดนี้ เสียงที่ออกมาก็ให้การแยกแยะที่ชัดเจนมากเป็นพิเศษ โดยรวมแผ่กว้าง รายละเอียดแต่ละชิ้นดนตรีปรากฏตัวออกมาให้ได้ยินแบบไม่ต้องเพ่งเลย ไม่แน่ใจว่านี่เป็นมรรคผลที่ได้มาจากฟิลเตอร์ QRONO d2a ของ MQA ที่ใช้อยู่ใน NODE ICON ตัวนี้หรือเปล่า.. ผมรู้สึกว่าพื้นเสียงมันใสสะอาดมาก ยิ่งฟังเพลงที่บันทึกเสียงอย่างพิถีพิถันจะยิ่งแยกรายละเอียดออกมาได้ชัดมากขึ้นไปอีก
เซ็ตอัพ + ทดลองฟังเสียงของ NODE ICON ในห้องฟังเพลง
หลังจากทดลองฟังในห้องรับแขกแล้ว ผมก็ยก NODE ICON เข้าห้องฟังเพลงหลักของผม เพราะอยากรู้ว่า ถ้าทดลองฟังกันแบบเอาจริงเอาจังตามมาตรฐานของคนเล่นเครื่องเสียงแล้ว สตรีมเมอร์ Bluesound ตัวนี้จะมีความสามารถอยู่ในระดับไหน อยากรู้ว่าศักยภาพของมันไปได้ไกลแค่ไหน.?
ผมจัดการเซ็ตอัพ NODE ICON ด้วยการจับคู่มันกับอินติเกรตแอมป์ของ WiiM รุ่น Vibelink Amp (REVIEW) ที่ผมเพิ่งจะทดสอบไป บวกกับลำโพงสองทางวางบนขาตั้งของ Focal รุ่น Vestia No.1 ซึ่งแม็ทชิ่งกับกำลังขับของ Vibelink Amp กำลังดี ส่วนเพลงที่ผมทดลองฟังก็คือเพลงที่ผมจัดทำเป็น playlist เอาไว้ใน TIDAL เพื่อใช้สำหรับทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องเสียงทั่วไป ซึ่งในการประเมินผลนั้น ผมทดลองเปรียบเทียบเสียงของ NODE ICON กับสตรีมเมอร์ของ WiiM รุ่น Ultra ที่ผมเคยทดสอบไป (REVIEW) เป็นสตรีมเมอร์คู่ขาของอินติเกรตแอมป์ Vibelink Amp ซึ่งชุด Ultra + Vibelink Amp + Vestia No.1 ให้เสียงออกมาเกินคาดมาก เป็นซิสเต็มราคาไม่สูง แต่ให้เสียงออกมาได้เกินราคามาก ซึ่งแกนหลักของซิสเต็มอยู่ที่อินติเกรตแอมป์ Vibelink Amp + ลำโพง Vestia No.1 ที่แม็ทชิ่งกันดี ช่วยส่งเสริมให้เสียงของสตรีมเมอร์ Ultra ออกมาดี เมื่อผมทดลองเปลี่ยนเอา NODE ICON เข้าไปทำหน้าที่แทน Ultra โดยคงที่อย่างอื่นไว้เหมือนเดิมทั้งหมด ปรากฏว่า เสียงโดยรวมพุ่งขยับขึ้นไปอีกระดับเลย ทุกเสียงมี “ความเป็นตัวตน” ที่เด่นชัดมากขึ้น ชิ้นดนตรีและเสียงร้องปรากฏขึ้นมาในลักษณะที่มีทรวดทรงของอิมเมจที่เด่นชัดมากขึ้น มวลเนื้อของแต่ละเสียงมีความเข้มข้น แน่นและให้น้ำหนักมากขึ้น อาการทอดเอื้อนของเสียงร้องก็มีความต่อเนื่องลื่นไหลมากขึ้น สรุปคือ NODE ICON ทำให้เสียงของ Vibelink Amp + Vestia No.1 ก้าวล้ำขึ้นไปอีกระดับ และทำให้ได้เห็นถึงศักยภาพที่เป็นตัวตนของลำโพงได้ชัดเจนมากขึ้น
คุณจะได้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของอุปกรณ์เครื่องเสียงชิ้นใดๆ ก็ต่อเมื่อคุณได้จับมันเข้าไปแม็ทชิ่งอยู่ในซิสเต็มที่อยู่ใน “ระดับเดียวกัน” เท่านั้น เมื่อ NODE ICON เข้าไปอยู่ในซิสเต็ม Vibelink Amp + Vestia No.1 แม้ว่ามันจะเข้าไปช่วยยกระดับเสียงของซิสเต็มนั้นขึ้นมาเยอะมากก็จริง แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ “ตัวตน” ที่แท้จริงของสตรีมเมอร์ Bluesound ตัวนี้ ต่อเมื่อผมทดลองจับมันเข้าไปอยู่ในอีกซิสเต็มที่ประกอบด้วยภาคปรีแอมป์ของ Audiolab รุ่น 9000A (REVIEW) + เพาเวอร์แอมป์ QUAD รุ่น Artera Stereo + ลำโพง Wharfedale รุ่น Super Linton (REVIEW) ผมจึงได้เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริงของสตรีมเมอร์ Bluesound ตัวนี้.!
ในการทดลองฟัง NODE ICON กับซิสเต็มนี้ ผมทำการเชื่อมต่อสัญญาณระหว่างเอ๊าต์พุตของ NODE ICON กับอินพุตของ 9000A ผ่านทางช่องบาลานซ์ XLR โดยใช้สายบาลานซ์ของ Nordost รุ่น Blue Heaven Leif 3 เป็นสะพานเชื่อมต่อ ผลออกมาเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง เสียงโดยรวมออกมาในลักษณะที่ต้องใช้คำว่า “พอดีๆ” คือไม่ว่าจะฟังเพลงแนวไหนมันก็ให้อารมณ์ดนตรีออกมาได้น่าฟังเสมอกัน เมื่อพิจารณาทางด้านคุณสมบัติต่างๆ ของเสียงที่ได้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นทางด้าน โฟกัส > ไดนามิก > โทนัลบาลานซ์ และ เวทีเสียง ผมพบว่า คุณสมบัติเหล่านี้จะแปรผันไปตามคุณภาพการ บันทึก+มิกซ์+มาสเตอร์ ของแต่ละเพลง และมีสิ่งหนึ่งที่ผมพบว่า น่าจะเป็นจุดเด่นของสตรีมเมอร์ NODE ICON โดยเฉพาะ สิ่งนั้นก็คือ “ความโปร่งใส” ของพื้นเสียง ซึ่งฝรั่งเรียกมันว่า Transparency ไม่ใช่ลักษณะเสียง แต่เป็น “ประสบการณ์ตอบสนอง” ของตัวเราที่มีต่อเสียงที่ได้ยิน คือฟังแล้วทำให้เกิดความรู้สึกเหมือนระหว่างตัวเรากับเสียงเพลงที่ดังอยู่ข้างหน้ามันไม่มีอะไรมาขวางกั้น และมีความรู้สึกว่า แต่ละเสียงที่ประกอบอยู่ในเพลงมันมี “โฟกัส” ที่ชัดเจนมากเป็นพิเศษ ทำให้สามารถติดตามลีลาการบรรเลงของศิลปินที่กระทำกับเครื่องดนตรีชิ้นนั้นๆ ไปได้แบบไม่ขาดห้วน มันคือความรู้สึก “คมชัด” แต่ “ต่อเนื่อง” ที่มาพร้อมกัน เป็นประสบการณ์ที่แปลกอยู่ ผมไม่มั่นใจว่าสิ่งนี้จะเป็นอิทธิพลที่มาจากฟิลเตอร์ QRONO d2a ของ MQA Labs หรือเปล่า.??
ความชัดเจน + โปร่งใสที่เสียงที่ได้ยินจาก NODE ICON ผ่านทางซิสเต็มนี้ มันทำให้รับรู้ได้ถึงทรวดทรงของแต่ละเสียงที่มีความกระทัดรัด เพียว เหมือนร่างกายของนักกีฬาที่ไม่มีไขมันส่วนเกิน ซึ่งความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับเสียงตลอดทั้งย่าน ตั้งแต่แหลมลงไปถึงทุ้ม ซึ่งไม่ใช่ลักษณะของเสียงบางนะ คนละแบบกัน ทุกเสียงมีมวลเนื้อของมันเอง แต่เป็นมวลเนื้อที่มีลักษณะเฮลตี้ คือกระชับ ไม่หย่อนและไม่บวม ยิ่งถ้าคุณได้ลองฟังกับหูฟังจะสัมผัสกับสิ่งนี้ได้ชัดมาก ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมถือว่านี่เป็นคุณสมบัติในแง่ดี คือฟังแล้วรู้สึกเลยว่า มัน (NODE ICON) ไม่ได้พยายามที่จะไปเพิ่มเติมสีสันให้กับเสียง ไม่ได้พยายามที่จะทำให้เสียงอวบหนาเอาใจหู ไม่ได้พยายามที่จะไปเพิ่มปริมาณเสียงทุ้มให้มากขึ้นเพื่อทำให้รู้สึกว่าเสียงอิ่มแน่น แต่เมื่อเจอกับเพลงที่บันทึกเสียงในย่านทุ้มออกมาเยอะๆ คุณก็จะได้ยินอะไรแบบนั้นออกมาครบตามที่เพลงให้มาจริงๆ ผลลัพธ์สุดท้ายมันทำให้เสียงของ NODE ICON มีบุคลิกของ “ความสมจริง” ผสมออกมามากกว่าผลิตภัณฑ์ตัวอื่นๆ ของ Bluesound ที่ผ่านมาซึ่งมีลักษณะของความนุ่มเนียนเป็นพื้นฐาน
อัพเกรดให้ NODE ICON
ในการทดสอบอุปกรณ์เครื่องเสียงประเภทอิเล็กทรอนิคส์ทุกครั้ง ผมจะเริ่มด้วยสายไฟที่แถมมากับตัวเครื่องในขั้นตอนทดลองฟังเสียงขณะเบิร์นฯ เพื่อค้นหาแนวเสียงของอุปกรณ์ตัวนั้น และเมื่อเครื่องผ่านเบิร์นฯ แล้ว ตอนฟังผลลัพธ์ในการทำงานร่วมกับอุปกรณ์อื่นๆ ในซิสเต็มที่ใช้ทดสอบ ผมจะทำการแม็ทชิ่งอีกครั้งด้วยการทดลองเปลี่ยนสายไฟเอซีของแบรนด์ที่ออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะเข้าไปเพื่อประเมินศักยภาพของอุปกรณ์เครื่องเสียงตัวนั้นอีกที
เนื่องจาก NODE ICON ถูกออกแบบมาให้ใช้สายไฟมาตรฐาน C7 แบบที่มีขั้วต่อแค่ 2 ขั้ว ไม่แยกกราวนด์ ในขั้นตอนทดสอบผมจึงขอยืมสายไฟเอซีที่เป็นมาตรฐาน C7 จากตัวแทนจำหน่ายที่มีสายไฟแบบนี้อยู่ เพื่อนำมาทดลองใช้ในการแม็ทชิ่งกับ NODE ICON ตัวนี้ ได้รับคำตอบมาจากตัวแทนของแบรนด์ Shunyata Research กับแบรนด์ Pangea Audio ว่าจะส่งสายไฟตัวอย่างมาให้ทดลองฟังกับ NODE ICON
แต่เนื่องจากผมมีคิวที่จะลงโพสต์รีวิวของ NODE ICON วันศุกร์ที่ 2 พฤษภาคม ตอนแปดโมงเช้า ซึ่งขณะที่กำลังปิดรีวิว NODE ICON นี้ สายไฟ C7 ของแบรนด์ Shunyata Research เดินทางมาถึงผมก่อน ส่วนสายไฟของ Pangea Audio กำลังตามมา (ติดวันแรงงาน) ผมจึงขอรายงานผลของการทดลองฟังสายไฟ Shunyata Research ก่อน เดี๋ยวสายไฟของ Pangea Audio มาถึงผมจะเอามาทดลองแล้วไปอัพเดตผลลัพธ์ให้บนหน้า facebook ของผมอีกที
สายไฟ C7 ของ Shunyata Research ชื่อรุ่น Venom V14 ลักษณะเป็นสายที่ต่อสำเร็จมาจากโรงงาน ตัวสายมีขนาดใหญ่พอสมควร ขั้วต่อหล่อมาสำเร็จ ดูแน่นหนามาก หลังจากเสียบทิ้งเบิร์นฯ สายไฟเส้นนี้ไว้ประมาณ 20 ชั่วโมง ผมก็เอามาทดลองเปลี่ยนแทนสายแถมที่มากับ NODE ICON แค่โน๊ตแรกออกมาเท่านั้น ถ้าเป็นผมก็ยอมซื้อมาใช้ล่ะครับ.! อย่างแรกที่รู้สึกได้ทันทีคือพลังเสียงที่เพิ่มขึ้น ไดนามิกก็สวิงได้หนักแน่นและฉับไวขึ้นด้วย รู้สึกเลยว่านักดนตรีมีความตั้งใจเล่นกันมากขึ้น เอาจริงเอาจังมากขึ้น ความใสโปร่งของพื้นเสียงที่ผมเคยคอมเม้นต์ไปก่อนหน้านี้มันเพิ่มดีกรีขึ้นไปอีกระดับเลย แต่มีทริคอยู่นิดหนึ่งในการใช้งาน คือแนะนำให้ทดลองสลับปลั๊กดูด้วย มีผลกับเสียง เลือกด้านที่ให้ “โฟกัส” ของเสียงที่ดีกว่าเป็นเกณฑ์ ช่วงที่ยังเบิร์นฯ ไม่มากพอ (น่าจะ 100 ชั่วโมงขึ้นไป) เสียงจะออกตึงๆ แข็งๆ หน่อย ให้เบิร์นฯ ไปเรื่อยๆ โทนเสียงจะนวลและอุ่นขึ้น..
สรุป
เป็นรีวิวที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกไปกับมันมาก สนุกในการค้นหาคำตอบจากคำถามหลายๆ ประเด็นที่เกิดขึ้น เนื่องเพราะ NODE ICON เป็นผลิตภัณฑ์ที่ “แหวกกฏ” ออกมาหลายแง่ ไม่ว่าจะแง่ของความเป็นสตรีมเมอร์ระดับเรือธงตัวแรกของ Bluesound, เป็นสตรีมเมอร์ตัวแรกในราคาไม่เกิน 50,000 บาทที่ใช้ชิป DAC สองตัวทำงานแยกซ้าย–ขวา, เป็นสตรีมเมอร์ตัวแรกของ Bluesound ที่ติดตั้งเอ๊าต์พุต XLR มาให้ และเป็นสตรีมเมอร์ตัวแรกที่ใช้ดิจิตัลฟิลเตอร์ QRONO d2a ของ MQA Labs. ทั้งหมดเหล่านี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกสนุกไปกับการค้นหาคำตอบจากสตรีมเมอร์ตัวนี้
แต่สุดท้ายแล้ว คำตอบจากการค้นหาด้วยการทดลองฟังจริง มันกลับมาในรูปแบบของ “ประสบการณ์ตรง” ที่อธิบายอะไรๆ ได้มากกว่าและลึกซึ้งกว่าคำอธิบายทางเทคนิคมากมายมหาศาล บางเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อได้ลองฟังแล้ว ผลลัพธ์มันยิ่งใหญ่กว่าคำอธิบายใดๆ ถ้าแค่ถามสั้นๆ ว่า สรุปได้ลองทดสอบแล้วเป็นไง.? ผมก็จะขอตอบแค่สั้นๆ ว่า ดีครับ.. ดีเกินราคาค่าตัวของมันไปเยอะ.! ส่วนรายละเอียดว่าดียังไง คุณต้องไปขยายความด้วยการหาโอกาสทดลองฟังเอาเองแล้วล่ะ..!!!
**********************
ราคา : 49,500 บาท / ตัว
**********************
นำเข้าและจัดจำหน่ายโดย
บ. Conice Electronic
โทร. 02-276-9644
ส่งซื้อได้ที่ conice.co.th