รีวิว Canton รุ่น Reference 5

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พลังที่ใช้ขับดันวงการเครื่องเสียงของเราก็คือ passion หรือ ความหลงไหลในสิ่งที่ทุกคนในวงการเครื่องเสียงตามหากันอยู่ ซึ่งนั่นก็คือ เสียงที่ใช่โดยมี อรรถรสของดนตรีเป็นเดิมพัน ทางฝั่งของซาวนด์เอ็นจิเนียร์นั้น พวกเขาทุ่มเทอย่างหนักเพื่อหาวิธี capture หรือจับบันทึก เสียงที่ใช่จากการบรรเลงดนตรีในธรรมชาติเอามาเก็บใส่ไว้ในมาสเตอร์ ในขณะที่วิศวกรที่ออกแบบและผลิตอุปกรณ์เครื่องเสียงก็ทุ่มเททรัพยากรและมันสมองอย่างหนักเพื่อสร้างระบบเพลย์แบ็คที่สามารถดึงเอา เสียงที่ใช่ออกมาจากสื่อบันทึกที่ซาวนด์เอ็นจิเนียร์ก็อปปี้มาจากสตูดิโอ และห่วงโซ่สุดท้ายก็คือกลุ่มนักเล่นเครื่องเสียงอย่างพวกเรา ที่เพียรพยายามจัดการกับอุปกรณ์เครื่องเสียงที่ใช้เล่นเพลงจากสื่อบันทึกเหล่านั้นด้วยสารพันเทคนิคในการแม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูนเพื่อคืนความเป็น เสียงที่ใช่ออกมาพร้อมกับเพลงที่เล่น

หรือถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ในแง่ที่ว่า เสียงเพลงหรือดนตรีเป็น งานศิลปะชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นมาจากความคิดสร้างสรรของศิลปินนักร้อง+นักดนตรี ซึ่งคนที่ชื่นชอบการฟังเพลงก็จะรู้สึกกระหายอยากที่จะเสพเพลงที่มีคุณภาพ ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่มีความชอบทางด้านอิเล็กทรอนิค เขาก็จะมองว่า อุปกรณ์เครื่องเสียงก็เป็นงานศิลปะอีกชนิดหนึ่งที่เกิดจากความคิดสร้างสรรของวิศวกรที่ออกแบบและผลิตมันขึ้นมา บางคนที่ชอบงานอิเล็กทรอนิคที่เกี่ยวกับระบบเสียงจึงชอบ สะสมอุปกรณ์เครื่องเสียงและจะมีความสุขกับการได้ครอบครอง และมีความสุขที่ได้สัมผัส แม้ว่าเครื่องเสียงเหล่านั้นจะไม่ได้อยู่ใน condition ที่ให้เสียงดีที่สุดก็ตาม

ผมเองก็มีความชอบทั้งฟังเพลง และชอบอุปกรณ์เครื่องเสียง คือในการฟังเพลงนั้นผมชอบที่จะพยายาม เข้าให้ถึงความหมายที่ศิลปินต้องการสื่อสารกับเราโดยวิธีซ่อนนัยยะมาในเพลง ส่วนความชอบอุปกรณ์เครื่องเสียงของผมนั้นจะเป็นมุมของ การออกแบบมากกว่าอย่างอื่น คือผมชอบที่จะอยากรู้ว่า พวกเขามีวิธีคิดอย่างไรในการออกแบบเพื่อให้ได้ เสียงที่ใช่ออกมา ผมชอบที่จะเรียนรู้วิธีคิดก่อนที่จะนำไปสู่กระบวนการออกแบบ เพราะผมเชื่อว่า ถ้าวิธีคิดถูกต้อง เมื่อนำไปใช้ออกแบบอุปกรณ์เครื่องเสียงใดๆ ก็จะทำให้อุปกรณ์เครื่องเสียงเหล่านั้นสามารถถ่ายทอด เสียงที่ใช่ออกมาจากสื่อบันทึกได้อย่างถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนตัวแล้ว ผมอาศัยผัสสะของ ความเป็นดนตรีในตัวผมเป็นเครื่องวัดผล.. เหตุผลก็เพราะว่า เพลงหรือดนตรี เป็นงานศิลปะที่ต้องใช้ความรู้สึกสัมผัสเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึงได้

CantonReference 5
งานศิลปะทางเสียงที่ออกแบบมาเพื่อถ่ายทอดศิลปะของเพลง

Canton เป็นแบรนด์ผู้ผลิตลำโพงสัญชาติเยอรมนี ก่อตั้งมาตั้งแต่ ปี 1972 สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง Weilrod ประเทศเยอรมนี ผู้ก่อตั้งมีชื่อว่า Gunther Seitz ซึ่งจนถึงปัจจุบัน ธุรกิจของแบรนด์นี้ก็ยังคงอยู่ในมือของครอบครัวผู้ก่อตั้ง บริหารโดยคนเยอรมันทั้งทีม

แบรนด์นี้มีทำลำโพงออกมาเยอะมาก แยกย่อยออกมาได้ถึง 11 ซีรี่ย์ ในนั้นมีทั้งลำโพงไฮไฟฯ สำหรับนักเล่นเครื่องเสียงที่ต้องการ เสียงที่ใช่ไปจนถึงระบบลำโพงสำหรับคนที่ชอบดูหนังฟังเพลงทั่วไป ซึ่งซีรี่ย์ Reference เป็นซีรี่ย์ที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่มของนักเล่นเครื่องเสียงที่แสวงหาเสียงที่ดีที่สุดโดยตรงและเป็นซีรี่ย์สูงสุดของแบรนด์ ซึ่งลำโพงในซีรี่ย์ Reference เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้วิทยาการและเทคโนโลยีระดับสูงสุดของแบรนด์ เป้าหมายก็เพื่อนำเสนอความเป็นดนตรีอย่างเข้มงวดนั่นเอง

สวย ขรึม และคมเข้ม สไตล์เยอรมัน

ซีรี่ย์ Reference ของ Canton เป็นครอบครัวใหญ่ที่มีสมาชิกมากถึง 11 รุ่น ไล่ตั้งแต่พี่ใหญ่สุดคือรุ่น Reference GS Edition รองลงมาคือ Reference 1, 2, 3, 5, 7 ไปจนถึง Reference 9 (เว้น 4, 6 และ 8) และในซีรี่ย์นี้ยังมีลำโพงเซ็นเตอร์กับลำโพงเซอร์ราวนด์และลำโพงซับวูฟเฟอร์ออกมาด้วย สามารถจัดกลุ่มทำเป็นชุดลำโพงสำหรับระบบเสียงมัลติแชนเนลได้เลย

รุ่นที่ทางบริษัท inventive AV ซึ่งเป็นผู้นำเข้าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Canton ในประเทศไทยส่งมาให้ทดสอบนี้เป็นลำโพงตั้งพื้นรุ่น Reference 5 ซึ่งอยู่ในลำดับกลางๆ ของซีรี่ย์ ส่วนสัดตัวตู้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับห้องฟังขนาดกลางคือ 4 x 6 ถึง 5 x 7 ตรม. ถือว่ากำลังสวย

ลุคภายนอกของ Reference 5 คู่นี้ดูคมเข้มเพราะตัวตู้เป็นสีดำเปียโน (ข้อมูลจากเว็บไซต์เห็นว่ามีอยู่ 3 สี คือ ดำ, ขาว และลายไม้ ไม่แน่ใจว่าทางตัวแทนจะนำเข้ามาทั้งสามสีหรือเปล่า สอบถามเพิ่มเติมที่ . Inventive AV เบอร์ 02-238-4079) และเมื่อเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ พบว่า ตัวตู้ของ Reference 5 ถูกทำให้มีลักษณะโค้งมนทุกด้าน มองหาเหลี่ยมไม่เจอเลย แม้กระทั่งด้านบนของตัวตู้ก็ไม่เรียบ มีลักษณะที่โค้งลาดจากด้านหน้าที่สูงกว่าแล้วค่อยๆ ลดต่ำลงมาทางด้านหลัง ซึ่งแน่นอนว่า การทำตัวตู้แบบนี้ย่อมมีเป้าหมาย อย่างแรกที่ชัดเจนมากก็คือเพื่อลดปัญหา diffraction หรือปัญหาที่เกิดจากคลื่นเสียงหักเหเมื่อไปตกกระทบลงบนมุมตู้ที่เป็นเหลี่ยมหรือแบนราบแล้วสะท้อนย้อนเข้ามารบกวนคลื่นเสียงที่แผ่ออกมาจากไดเวอร์โดยตรง ทำให้เสียงจากไดเวอร์สูญเสียความบริสุทธิ์ลงไป

เมื่อได้ลองเข้าไปพิจารณาใกล้ๆ ใช้มือลูบๆ คลำๆ บนผิวตู้ดูแล้ว ก็ต้องยอมรับว่า แบรนด์นี้ทำตัวตู้ได้เนี๊ยบมากๆ ความโค้งมนของส่วนที่เป็นมุมทำได้เนียนสุดๆ ทราบว่าตัวตู้ของรุ่นนี้ทำด้วยไม้ MDF หลายๆ ความหนาประกบเข้าด้วยกันโดยมีกาวพิเศษเป็นตัวประสานแล้วกลึงด้วย CNC แบบ 5 แกน จนได้ออกมาเป็นทรวดทรงที่โค้งมนสวยงาม ก่อนจะขัดซะจนเรียบและชุบเคลือบสี ลงวานิชหลายชั้น ขัดซ้ำจนเงาวับ ถ้ามีการจัดประกวดผมว่างานทำตู้ของ Canton ต้องเข้ารอบลึกๆ อย่างแน่นอน.!

3 ทาง กับ 4 ไดเวอร์

Reference 5 เป็นลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางที่ออกแบบให้มีสมรรถนะในการถ่ายทอดเสียงเต็มตามมาตรฐาน Hi-Res Audio จริงๆ โดยติดตั้งไดเวอร์ไว้บนแผงหน้าจำนวน 4 ตัว เพื่อช่วยกันสร้างความถี่เสียงตั้งแต่ 21Hz ขึ้นไปจนถึง 40kHz โดยมีวงจรเน็ทเวิร์คทำหน้าที่แจกจ่ายความถี่แต่ละช่วงให้กับไดเวอร์ทั้งสี่ตัวผ่านจุดตัดที่ 170Hz กับ 3.0kHz

วูฟเฟอร์ขนาด 6.85 นิ้ว จำนวน 2 ตัวต่อข้าง รับหน้าที่ในการสร้างความถี่เสียงตั้งแต่ 170Hz ลงไปจนถึง 21Hz โดยมีไดเวอรืมิดเร้นจ์ทรงกรวยไดนามิกขนาด 6.85 นิ้ว อีกข้างละหนึ่งตัวรับหน้าที่สร้างความถี่ในช่วงตั้งแต่ 170Hz ขึ้นไปจนถึง 3.0kHz และช่วงความถี่ในย่านสูงตั้งแต่ 3.0kHz ขึ้นไปจนถึง 40kHz เป็นหน้าที่ของทวีตเตอร์ทรงโดมขนาด 0.98 นิ้ว ในการสร้างความถี่ออกมา

สำหรับนักออกแบบลำโพงแล้ว เขาทราบกันดีว่า ไดเวอร์แต่ละตัวมิได้มีเฉพาะหน้าที่ในการ สร้างความถี่เสียงออกมาเท่านั้น แต่ไดเวอร์แต่ละตัวยังมีหน้าที่ในการกำหนด บุคลิกเสียงของความถี่ที่พวกมันสร้างขึ้นมาด้วย โดยมีอิทธิพลของชิ้นส่วนที่เรียกว่า ไดอะแฟรม” (diaphragm) ของไดเวอร์ตัวนั้นกำหนดทิศทาง ยกตัวอย่างเช่น ไดอะแฟรม (หรือกรวย) ของวูฟเฟอร์จะมีอิทธิพลต่อบุคลิกของเสียงทุ้มที่วูฟเฟอร์ตัวนั้นสร้างออกมา ถ้าเป็นไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ที่ทำมาจากโลหะ เสียงทุ้มของลำโพงคู่นั้นก็จะมีลักษณะที่กระชับ หนักแน่น และฉับไว ในทางตรงข้าม ถ้าไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ตัวนั้นทำมาจากกระดาษเคลือบน้ำยา เสียงทุ้มที่วูฟเฟอร์ตัวนั้นสร้างขึ้นมาก็จะมีลักษณะที่อิ่มและหนานุ่ม ซึ่งที่ผ่านๆ มา นักออกแบบลำโพงพบว่า วัสดุที่ใช้ทำไดอะแฟรมของไดเวอร์แต่ละชนิดจะมีทั้งจุดดีและจุดด้อยปรากฏออกมา คือถ้าวัสดุที่มีความแกร่งสูงๆ อย่างเช่นโลหะ เสียงจะเร็วกระชับดี แต่จะด้อยในแง่ของความอิ่มและนวลเนียน ในทางกลับกัน วัสดุที่มีความอ่อนนุ่มในตัวอย่างเช่นกระดาษ หรือพลาสติกประเภทโพลีฯ จะให้เนื้อเสียงที่อ่อนนุ่มและนวลเนียนแต่จะด้อยในแง่ของไดนามิกทรานเชี้ยนต์ที่ไม่หนักแน่นและกระชับไวเหมือนกรวยโลหะ ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สิ่งที่นักออกแบบวิเคราะห์, วิจัย และทดลองมามากที่สุดก็คือวัสดุที่ใช้ทำไดอะแฟรมนี่แหละ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะแค่ไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์ที่สร้างเสียงในย่านต่ำ แต่ได้รวมถึงไดอะแฟรมของมิดเร้นจ์ที่ใช้สร้างเสียงกลางและทวีตเตอร์ที่ใช้สร้างเสียงแหลมด้วย

ไดอะแฟรม
Black Ceramic Tungsten

วูฟเฟอร์และมิดเร้นจ์ทั้งหมดที่ใช้ในลำโพง Canton รุ่น Reference 5 นี้ ใช้ไดอะแฟรมที่ทำมาจากวัสดุชนิดเดียวกัน ซึ่งพวกเขาเรียกมันว่า ‘black ceramic tungstenคือแผ่นโครงหลักของไดอะแฟรมทำมาจากโลหะผสมระหว่างอะลูมิเนียม + เซรามิก 25% + ทังสเตน และยังผสมด้วยผงโลหะอีกจำนวนหนึ่ง ทำให้มีความแกร่งสูงเมื่อเทียบสัดส่วนกับน้ำหนัก และแผ่นกรวยไดอะแฟรมยังถูกทำให้มีลักษณะเป็นชิ้นเดียว ตีโค้งเว้าเข้าด้านใน ไม่มีรอยต่อ ไม่มีดัสแค๊ป ทั้งหมดนั้นทำให้แผ่นไดอะแฟรมมีความสามารถคงรูปได้อย่างมั่นคงแม้ในขณะที่ต้องขยับตัวอย่างรุนแรงและรวดเร็วในการสร้างความถี่ต่ำออกมา นอกจากนั้น เพื่อให้การขยับเคลื่อนตัวของไดอะแฟรมมีประสิทธิภาพสูงสุด แทนที่จะออกแบบวงแหวนยางที่ใช้ยึดโยงระหว่างแผ่นไดอะแฟรมกับโครงของไดเวอร์ให้มีขนาดใหญ่จะได้ขยับเคลื่อนแผ่นไดอะแฟรมได้เยอะๆ พวกเขากลับออกแบบวงแหวนเซอร์ราวนด์ให้มีขนาดเล็กแต่ เบิ้ล 2 ชั้น (ศรชี้) ซึ่งวิธีนี้เป็นที่นิยมในกลุ่มของผู้ผลิตลำโพงระดับไฮเอ็นด์หลายๆ เจ้า เพราะนอกจากจะทำให้ไดอะแฟรมเคลื่อนตัวเข้าออกได้ระยะทางที่มากขึ้นแล้ว วงแหวนสองชั้นลักษณะนี้ยังช่วยให้แผ่นไดอะแฟรมหยุดตัวได้ดีกว่าแบบวงแหวนใหญ่ๆ ด้วย มีผลกับเสียงทุ้มที่สะอาดและกระชับแน่น

ส่วนตัวมิดเร้นจ์นั้น ไม่ใช่แค่ใช้ไดอะแฟรมแบบเดียวกับตัววูฟเฟอร์เท่านั้น แต่ทางผู้ผลิตยังตั้งใจที่จะใช้ขนาดเดียวกันอีกด้วย และเมื่อมิดเร้นจ์ของ Reference 5 มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่ (ลำโพงอื่นๆ ทั่วไปมักจะใช้มิดเร้นจ์แค่ 5 หรือ 6 นิ้ว) ทำให้มันกระจายคลื่นเสียงได้กว้างมาก คือตั้งแต่ 170Hz ขึ้นไปจนถึง 3000Hz สามารถครอบคลุมการกระจายความถี่หลัก (fundamental frequency) ของย่านเสียงกลางได้เกือบทั้งหมด คือไล่ตั้งแต่ระดับ Low-Midrange (250Hz500Hz) > Midrange (500Hz2kHz) ไปจนถึงระดับ Upper Midrange (2kHz4kHz) ซึ่งนั่นมีข้อดี คือเมื่อเสียงกลางที่มีความไวต่อหูของมนุษย์ ถูกสร้างขึ้นโดยไดเวอร์ตัวเดียว ทำให้เสียงกลางที่เกิดขึ้นนั้นมีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวในทุกด้าน โดยเฉพาะทางด้าน timing response

นอกจากนั้น ตัวไดเวอร์มิดเร้นจ์ยังใช้เทคนิคที่เรียกว่า dual surround หรือวงแหวนคู่แบบเดียวกับตัววูฟเฟอร์ (ศรชี้สีแดง) และตรงกลางของแผ่นไดอะแฟรมยังถูกแด้มป์ด้วยแผ่นดัสแค็ป (ศรชี้สีเขียว) เพื่อควบคุมเรโซแนนซ์, ควบคุมมุมกระจายเสียง และเพิ่มความแกร่งให้กับไดอะแฟรมด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ภายในตัวตู้ยังได้กั้นห้องสำหรับไดเวอร์มิดเร้นจ์แยกออกมาต่างหากด้วย เป็นการควบคุมค่า Q ของตัวมิดเร้นจ์เพื่อทำให้การขยับเคลื่อนตัวของไดอะแฟรมมีความเสถียรสูงสุด ซึ่งแน่นอนว่า คุณสมบัติเหล่านี้ย่อมสร้างความโดดเด่นบางแง่ต่อเสียงในย่านกลางของลำโพงคู่นี้อย่างแน่นอน (ตอนทดลองฟังเสียงเราจะได้รู้กัน.!!)

โดมทวีตเตอร์ขนาด 0.98 นิ้ว ทำมาจากวัสดุอะลูมิเนียมที่รมผิวด้วยเซรามิกอ็อกไซด์เพิ่มความแกร่งและปรับจูนโทนเสียงในย่านความถี่ตั้งแต่ 3kHz ขึ้นไปจนถึง 40kHz ซึ่งส่งผลต่อคุณสมบัติทางด้าน ฮาร์มอนิกและ แอมเบี้ยนต์ของลำโพงคู่นี้โดยตรง

ท่อระบายเบส..

Reference 5 เป็นลำโพงตู้เปิด (Bass Reflect) ที่ยิงความถี่ต่ำที่เกิดขึ้นภายในตัวตู้ออกมาทางด้านล่างของตัวตู้ ซึ่งมีแผ่น bass guide คอยควบคุมทิศทางของคลื่นความถี่ต่ำให้ถ่ายเทออกมาทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวตู้อย่างเป็นระบบ ศรชี้ในภาพข้างบนนั้นคือช่องระบายเบสที่ยิงออกทางด้านหลัง ซึ่งจะมีลักษณะของท่อที่แตกต่างกับท่อที่ระบายเบสออกทางด้านหน้า คือท่อระบายทางด้านหน้าจะกว้างและเตี้ย ในขณะที่ท่อระบายที่ยิงออกด้านหลังมีลักษณะที่แคบกว่าแต่สูงกว่า

ขั้วต่อสายลำโพงที่จูนเสียงได้..!!

มีลำโพงระดับไฮเอ็นด์จัดๆ เท่านั้นแหละที่จะมีฟังท์ชั่นให้ปรับจูนการทำงานของวงจรเน็ทเวิร์คได้ และ Canton ก็ไม่ทำให้เสียงชื่อซีรี่ย์ Reference ซึ่งเป็นอนุกรมสูงสุดของแบรนด์ด้วยการให้ฟังท์ชั่นปรับจูนการทำงานของวงจรเน็ทเวิร์คมาด้วย นอกเหนือจากใช้ขั้วต่อสายลำโพงคุณภาพสูงของ WBT รุ่น nextgenth โดยแยกมาสองชุดเพื่อเปิดโอกาสให้คุณสามารถปรับการทำงานของลำโพงคู่นี้ได้หลากหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นการเชื่อมระหว่างแอมป์กับลำโพงคู่นี้ผ่านทางสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลก็ได้, ผ่านทางสายลำโพงแบบไบไวร์ 2 ออก 4 ก็ได้ หรือจะขยับขึ้นไปถึงระดับ bi-amp ที่แยกแอมป์ 4 แชนเนลขับกลาง/แหลมกับทุ้มของทั้งสองข้างแบบแยกเด็ดขาดก็ได้ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบ bi-amp ถือว่าเป็นอ๊อปชั่นระดับสูงสุดสำหรับลำโพงคู่นี้ ถ้าคุณต้องการทั้งประสิทธิภาพและคุณภาพเสียงระดับสูงสุดจากลำโพงคู่นี้ ถ้าสามารถทำได้ แนะนำให้เชื่อมต่อด้วยวิธี bi-amp โดยใช้เพาเวอร์แอมป์สเตริโอที่ เหมือนกันทุกประการจำนวน 2 ตัว พร้อมสายลำโพงแบบซิงเกิ้ลจำนวน 4 เส้น ที่ เหมือนกันทุกประการในการเชื่อมต่อ ยอมรับว่ายาก แต่ถ้าทำได้ก็สุด.!!

เครื่องมือที่ผู้ผลิตให้มาเพื่อใช้ในการปรับจูนเสียงของ Reference 5 คือหมุดสีทองๆ ที่ติดตั้งอยู่เหนือขั้วต่อสายลำโพงนั่นเอง พวกเขาออกแบบมาในลักษณะของ จั๊มเปอร์ที่แยกเป็น 2 ชุด สำหรับปรับจูน มิดเร้นจ์กับ ทวีตเตอร์อย่างละชุด ซึ่งในแต่ละชุดคุณสามารถเลือกจูนได้ 2 อ๊อปชั่น คือปรับ ลดความดังลง 1.5dB กับปรับ เพิ่มความดังขึ้นมา 1.5dB เหมือนกันทั้งมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์

หมุดสีทองๆ นั้นหมุนออกมาได้ง่ายๆ ณ ตำแหน่งที่มาจากโรงงานคือตำแหน่งที่ความดังของทั้งมิดเร้นจ์และทวีตเตอร์อยู่ที่ระดับปกติคือ 0dB ซึ่งในการเซ็ตอัพภายในห้องของผม ร่วมกับแอมปลิฟายของ Esoteric รุ่น S-05 ผมพบว่า เมื่อปรับ ลดความดังของทวีตเตอร์ลงตามเกณฑ์คือ 1.5dB (ศรชี้) พบว่าได้โทนเสียงที่ผมชอบมากกว่า (แสดงว่ามันเวิร์ค..!!)

แม็ทชิ่ง

ทีแรกที่เห็นตัวเลขกำลังขับในสเปคฯ ของลำโพงคู่นี้แล้วผมใจหายแว๊บ นึกว่าเขาแนะนำกำลังขับต่ำสุดที่ 200W และสูงสุดที่ 370W แต่จริงๆ แล้ว ตรงหัวข้อ ‘Nominal Wattageเขาหมายความถึงระดับสูงสุดที่รองรับได้ในสภาวะปกติ ซึ่งหมายถึงกำลังของเพลง ส่วน 370W นั้นคือทนได้สูงสุดในทุกสภาวะ แต่สิ่งที่เขาละไว้คือไม่ได้ระบุกำลังขับ ต่ำสุดเอาไว้ คงมองว่ามันเป็นสเปคฯ ที่ไม่มีประโยชน์ในการนำไปใช้จริง ซึ่งผมเห็นด้วยร้อยเปอร์เซ็นต์ บอกแค่กำลังขับสูงสุดที่ลำโพงรับได้ก็พอ

ช่วงที่ผมได้รับลำโพง Canton คู่นี้มาทดสอบ ในห้องผมมีแค่เพาเวอร์แอมป์ของ QUAD รุ่น Artera Stereo แค่ตัวเดียวที่มีสมรรถนะสูงที่สุด คือให้กำลังขับข้างละ 140W ที่ 8 โอห์ม ซึ่งจากที่ผมเคยจับคู่กับภาคปรีฯ ของอินติเกรตแอมป์ Audiolab รุ่น 9000A (REVIEW) พบว่ามันแม็ทชิ่งไปด้วยกันได้ดีเลยโดยเฉพาะทางด้าน gain ที่สอดคล้องกัน

เมื่อได้ลำโพง Reference 5 มา ผมได้ทดลองยก 9000A + Artera Stereo มาทดลองขับ Reference 5 ด้วย พบว่าโดยกำลังขับ มันสามารถผลักดันลำโพงคู่นี้ออกมาได้น่าพอใจพอสมควร ในหลายๆ แง่กับเพลงที่มีไดนามิกย่านต่ำที่ไม่หนักมากและมีโครงสร้างดนตรีไม่ซับซ้อนมาก ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้เลย เมื่อเอาราคาค่าตัวของชุด 9000A + Artera Stereo ซึ่งอยู่ในระดับไม่เกิน 200K ไปเทียบกับราคาค่าตัวของลำโพง Reference 5 พบว่า แอมป์ Audiolab + QUAD คู่นี้มันขับ Reference 5 ออกมาได้ดีกว่าที่คาดไว้มาก ถ้าห้องไม่ใหญ่มากก็ถือว่าพอไหว แสดงว่า Reference 5 คู่นี้ก็ไม่ได้ขับยากเย็นอะไรเลย

พอดีว่าคุณคริส iAV เอาตัวสตรีมเมอร์ Esoteric รุ่น N-05DX เข้ามาให้ทดสอบด้วย ผมเลยขอยืมเพาเวอร์แอมป์รุ่น S-05 ที่เป็นคู่ขาของสตรีมเมอร์ตัวนั้นมาลองจับคู่กับสตรีมเมอร์ขับ CantonReference 5ดูด้วย ผลคือมันไปด้วยกันได้ดีเลย กำลังขับของ S-05 แม้ว่าจะแจ้งไว้แค่ 30W ที่ 8 โอห์ม และ 60W ที่ 4 โอห์ม แต่เพราะวงจรขยายของ S-05 เป็น class-A แท้ๆ ที่มาพร้อมภาคจ่ายไฟขนาดใหญ่สำรองเหลือเฟือ จึงสามารถผลักดันตัวตนของลำโพงคู่นี้ออกมาให้เห็นได้ค่อนข้างชัดเจน

เซ็ตอัพ

ท่อระบายเบสของ Reference 5 ยิงลงด้านล่าง และแยกออกจากตัวตู้เป็น 2 ทิศทาง คือแผ่ออกทางด้านหน้าและด้านหลัง ทำให้ไม่ส่งผลกระทบกับสภาพห้องมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นห้องฟังที่มีการจัดการสภาพอะคูสติกไว้ดีพอสมควรอยู่แล้วก็แทบจะไม่ส่งผลกับการทำงานของลำโพงคู่นี้เลย เหลือตัวแปรแค่ 2 อย่างที่ส่งผลต่อคุณภาพและลักษณะเสียงของลำโพงคู่นี้ นั่นคือ แม็ทชิ่งกับ ตำแหน่งลำโพง

หลังจากวาง Reference 5 ลงไปบนจุดเริ่มต้นก่อนไฟน์จูน คือจุดที่ระยะห่างซ้ายขวา = 180 .. และห่างหนังหลัง = 180 .. (ในห้องของผม = ความลึกของห้องหารด้วย 3) แล้ว ผมก็เริ่มต้นไฟล์จูนเพื่อค้นหาระยะห่างของข้างซ้ายและข้างขวาที่ให้โฟกัสของเสียงที่คมชัดมากที่สุด ซึ่งมาได้ตำแหน่งที่น่าพอใจมากที่สุด คือซ้ายขวาห่างกัน = 151 .. ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ได้โฟกัสของเสียงที่ครอบคลุมความถี่มากที่สุด ตั้งแต่แหลมลงถึงทุ้มต้นๆ หลังจากนั้นผมก็ทดลองขยับลำโพงทั้งสองข้างให้ชิดลงไปหาผนังหลังทีละนิดเพื่อปรับโฟกัสของเสียงทุ้มและจัดโทนัลบาลานซ์ ซึ่งพบว่า ตำแหน่งที่ได้เสียงทุ้มที่กลมและกระชับนิ่งมากที่สุดพร้อมทั้งได้โทนัลบาลานซ์ที่น่าพอใจมากที่สุดก็คือระยะห่างผนังหลังอยู่ที่ 176 .. คือดันลำโพงทั้งสองข้างถอยหลังไปข้างละ 4 .. โดยวัดจากผนังหลังมาถึงแผงหน้าของลำโพง (ดูภาพประกอบ)

ผมสังเกตว่า ลำโพง Canton คู่นี้เซ็ตอัพไม่ยาก โดยเฉพาะตอนหาโฟกัสของเสียง ซึ่งฟังง่ายกว่าลำโพงหลายๆ คู่ที่ผมเคยเซ็ตอัพมา น่าจะเป็นเพราะตัวตู้ของลำโพงคู่นี้มีความสงัดสูง แด้มป์มาดี เลยไม่มีเสียงของตู้ออกมากวน ทำให้เสียงที่ออกมาจากดอกลำโพงมีความชัดเจนและไม่มีเสียงสะท้อนขอบตู้เข้ามากวนด้วย ทำให้หาโฟกัสได้ง่าย ซึ่งพบว่า ระยะโฟกัสของลำโพงคู่นี้ต้องการระยะห่างซ้ายขวาค่อนข้างแคบ บางคนไม่คุ้นชินกับการเซ็ตอัพที่ขยับลำโพงเข้ามาชิดกันมากขนาดนี้ ถ้ามีโอกาสอยากจะแนะนำให้ลองเซ็ตอัพดู คุณอาจจะค้นพบอะไรดีๆ ก็ได้

เสียงของ Reference 5

หลังจากทดลองฟังเสียงของ Reference 5 ที่ขับด้วยซิสเต็มทั้งสองแล้ว ผมก็พอจะมองเห็น บุคลิกเฉพาะตัวของลำโพงคู่นี้ได้เลาๆ แล้ว ในช่วงท้ายของการฟังเพื่อเก็บรายละเอียดและสรุปผล ผมตัดสินใจเลือกใช้ซิสเต็มที่สองซึ่งประกอบด้วยสตรีมเมอร์+เพาเวอร์แอมป์ของ Esoteric ในการฟังสรุป

ในมุมของคนเล่นเครื่องเสียงที่มีความเชี่ยวชาญมากพอในการปรับจูนเสียงจะชอบลำโพงที่มี เครื่องมือที่ช่วยให้การปรับจูนเสียงมาด้วย เพราะมันเปิดโอกาสให้เราสามารถปรับจูนเสียงได้อย่างละเอียดมากขึ้น ซึ่งจากการทดลองไฟน์จูนลำโพง Canton คู่นี้ผมพบว่า ฟังท์ชั่นที่ติดตั้งมาให้อย่างเช่น ขั้วต่อที่เปิดโอกาสให้ปรับจูนการเชื่อมต่อสายลำโพงได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลก็เชื่อมต่อได้มากถึง 4 รูปแบบ ซึ่งก็เป็นช่องทางในการปรับจูนถึง 4 อ๊อปชั่น หรือจะใช้สายลำโพงแบบไฟไวร์ 2 > 4 ก็ได้ ในจุดนี้ ผมเริ่มต้นด้วยการทดลองใช้สายลำโพงที่ผมมีอยู่ทั้งหมด (Purist Audio Design, Kimber Kable และ Nordost) มาสลับกันเชื่อมต่อกับลำโพงคู่นี้แล้วสรุปด้วยการฟังจากนั้นก็เลือกผลลัพธ์ที่ดีที่สุดไว้ก่อน ซึ่งผลไปลงตัวที่สายลำโพงแบบซิงเกิ้ลรุ่น Blue HeavenLeif 3ของ Nordost โดยต่อเชื่อมเข้าที่ขั้วต่อ คู่บนและใช้จั๊มเปอร์ที่ให้มากับลำโพงเชื่อมโยงสัญญาณลงไปที่คู่ล่าง จากนั้นก็ไปไฟน์จูนจั๊มเปอร์ของวงจรเน็ทเวิร์คของ Reference 5 เข้ามาเสริม โดย ปรับลดตรงเน็ทเวิร์คของทวีตเตอร์ลงไป 1.5dB เป็นการไฟน์จูนที่ให้เสียงโดยรวมที่มีค่าเฉลี่ยออกมาน่าพอใจมากที่สุดสำหรับผม

จากการทดลอง แม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพ+ปรับจูนลำโพงคู่นี้ ผมพบว่า ลำโพงคู่นี้ให้ gain output ค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในย่านกลางต่ำ (Low Midrange) ที่ต่อเชื่อมกับทุ้มตอนต้น (Upper Bass) ซึ่งเป็นย่านความถี่ที่มีอิทธิพลกับเสียงโดยรวมของลำโพงคู่นี้มากเป็นพิเศษ ซึ่งผมมองว่าเป็นคุณสมบัติที่ดี เป็นต้นทุนที่ดี เปิดโอกาสให้สามารถไฟน์จูนเสียงออกมาให้ดีได้ง่าย เพราะความถี่ในย่านดังกล่าวจะทำให้เสียงโดยรวมออกมาอิ่มหนา มีมวล ไม่แห้งบาง และเนื่องจากลำโพงคู่นี้ให้ความถี่ออกมากว้างมาก คือตั้งแต่ 21Hz – 40kHz นี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลต่อโทนเสียงของลำโพงคู่นี้ กรณีนี้ปัจจัยที่ต้องพิจารณาก็คือแม็ทชิ่ง แอมป์ที่ใช้ขับ ซึ่งคุณสมบัติทางด้าน กำลังขับของแอมป์จะมีความสำคัญน้อยกว่าความสามารถในการตอบสนองความถี่ที่ควรจะกว้างและราบเรียบ (EsotericS-05ตอบสนองความถี่ตั้งแต่ 5Hz – 100kHz, +0dB & -3dB @8 โอห์ม) ซึ่งคุณต้องใช้ สายลำโพงเข้ามาช่วยเกลี่ยเพื่อให้แอมป์กับลำโพงมีความแม็ทชิ่งกันมากที่สุดด้วย

อัลบั้ม : Three Shades of Gray (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Betty Johnson, Elisabeth Gray & Lydia Gray
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/30611997?u)

อัลบั้ม : Rocking Chair (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Matt Monro
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/252029326?u)

เพลง Danny Boy ในอัลบั้มชุด Three Shades of Gray ขับร้องโดยนักร้องหญิง 3 คน ประสานเสียงกันในแนว a cappella ที่โชว์เสียงร้องเพียวๆ ไม่มีดนตรีเสริม แทรคนี้บันทึกเสียงมาดีมาก มีความถูกต้องทางด้านโทนเสียงที่อยู่ในย่านกลางสูงของศิลปินทั้งสามคนที่มีโทนเสียงเหลื่อมกันเล็กน้อย ซึ่ง Reference 5 สามารถแกะสลักทั้งสามเสียงออกมาได้อย่างแม่นยำ รับรู้ได้ว่ามีเสียงประสานที่คลออยู่ตลอด แต่ละตัวเสียงมีมวลที่ใหญ่อิ่ม เพราะมีออร่าของฮาร์มอนิกที่แผ่เป็นรัศมีโอบอุ้มตัวเสียงร้องของแต่ละคนเอาไว้ ทำให้ได้ความรู้สึกโอ่อ่าและลอยเด่น มีรายละเอียดของการขับร้องปรากฏออกมาตลอดเวลา สามารถรับรู้ได้ถึงลักษณะของการควบคุมคำร้องที่เคร่งครัด เป็นระบบ

ในโทนเสียงกลางลงต่ำ (Low Midrange) ของผู้ชายอย่างเสียงร้อง Matt Monro ที่ร้องเพลง Stardust ในอัลบั้มชุด Rocking Chair ก็มีเนื้อมวลของลูกคอคอยหล่อเลี้ยงแต่ละคำร้อง ทำให้ได้ความรู้สึกอบอุ่น อิ่มหนา..

อัลบั้ม : Hoist The Colours (A Cappella)(TIDAL HD/FLAC-24/44.1)
ศิลปิน : The Wellermen
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/350788225?u)

กับเสียงกลางที่ต่ำลงไปถึงระดับ baritone และ bass อย่างเสียงร้องของคณะนักร้องประสานเสียงแนว อะ แคปเปลล่า The Wellermen ในงานชุด Hoist The Colours พิสูจน์ให้เห็นถึงความแข็งแรงในย่านกลางต่ำต่อด้วยทุ้มตอนต้นๆ ที่เป็นจุดเด่นของลำโพง Canton คู่นี้ ทำให้ผมทึ่งกับเสียงร้องของนักร้องประสานเสียงในเพลงนี้มากเป็นพิเศษ ทึ่งกับเสียงลูกคอที่เค้นออกมาได้ต่ำลึกมากๆ เป็นการตอบสนองในย่านทุ้มที่ให้ทั้งความลึกและความแน่นออกมาพร้อมกัน เป็นคุณสมบัติที่หายากจากลำโพงที่มีขนาดตู้ประมาณนี้ (สูงไม่ถึงหน้าอก)

อัลบั้ม : Nameless (TIDAL MAX/MQA-24/88.2)
ศิลปิน : Dominique Fils-Aime
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/82811588?u)

หลังจากฟังเพลงร้องประสานเสียงที่ไม่มีเสียงดนตรีมาแล้ว มันทำให้ผมสงสัยว่า ถ้าเป็นเพลงร้องที่มาพร้อมเบสหนักๆ ล่ะ ลำโพงคู่นี้จะตอบสนองออกมาแบบไหน.? มันจะไปกับเพลงแบบนั้นได้มั้ย.?? ผมเลือกเพลง Birds จากอัลบั้มชุด Nameless ของ Dominique Fils-Aime ขึ้นมาทดสอบความสงสัยตรงประเด็นนี้ทันที..!

ทันทีที่เสียงโน๊ตเบสแรกของเพลง Birds พุ่งผ่านไดเวอร์ของ Reference 5 ออกมาทำเอาสะดุ้งเฮือก.! โอ้โห.. พลังเบสของลำโพงคู่นี้มันล้นเหลือจริงๆ หัวเบสของเพลงนี้ทั้งกระชับ แน่น และมีมวลที่เข้มหนา และอยากจะเพิ่มคำว่า อวบอิ่มเข้าไปด้วยสำหรับเสียงทุ้มของลำโพงคู่นี้ ใครที่ไม่ชอบเสียงเบสบางๆ ไม่มีเนื้อ ไม่อิ่มแน่น ลำโพงคู่นี้จะทำให้คุณหลงรักอย่างแน่นอน มันให้เสียงทุ้มที่อวล อิ่ม หนา และแน่นแบบที่ไม่ต้องง้อซับวูฟเฟอร์เลย.. ขอบอก.!!!

มัวแต่หลงไหลได้ปลื้มกับเสียงทุ้มในเพลง Birds ที่ลำโพงคู่นี้ประเคนให้อย่างเต็มอิ่ม แต่ต้องบอกนะว่า เสียงกลางอย่างเสียงร้องในเพลงนี้ก็ยังคงมีความโดดเด่นเป็นหลักของเพลงอยู่ ซึ่งผมคิดว่า คุณสมบัติข้อนี้คือจุดเด่นของลำโพงคู่นี้ ซึ่งไม่ได้ถูกเสียงทุ้มเบียดบังแต่อย่างใด ทั้งเสียงร้องและเสียงเบสของเพลงนี้ต่างก็ชิงดีชิงเด่นกันมาตลอด ซึ่งเป็นอะไรที่น่าทึ่ง เพราะที่ผ่านมา เวลาฟังเพลงนี้กับลำโพงที่มีตัวตู้ขนาดนี้ ผมมักจะพบว่า ถ้าลำโพงคู่นั้นให้เสียงเบสที่ดีมากกับเพลงนี้ เสียงร้องมักจะออกมาไม่เต็มที่ ในทางกลับกัน ลำโพงคู่ไหนที่ให้เสียงร้องในเพลงนี้ออกมาดีมาก ดีทั้งเสียงร้องหลักและเสียงประสาน เสียงเบสที่ลำโพงคู่นั้นให้ออกมามักจะอยู่ในระดับแค่พอใช้ได้ แต่กับ CantonReference 5คู่นี้ มันไม่ได้ให้เสียงกลางกับเสียงทุ้มออกมาในลักษณะที่เรียกว่า ได้อย่างเสียอย่างแต่มันพยายามที่จะให้ออกมาเสมอกัน ดีเด่นไปคู่กัน นี่ก็คงเป็นผลที่มาจากการเลือกใช้ไดเวอร์มิดเร้นจ์ที่มีขนาดใหญ่ถึงเกือบ 7 นิ้ว จึงสามารถให้เสียงกลางที่มีความเข้มข้นสูง ปะทะกับความแน่นและหนักของเสียงทุ้มที่ออกมาจากวูฟเฟอร์ 6.85 นิ้ว ทั้งสองตัวนั้นได้อย่างสาสมและคู่ควรกัน

อัลบั้ม : Convergence (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Malia & Boris Black
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/25029965?u)

อัลบั้ม : Winter Song (TIDAL HIGH/FLAC-16/44.1)
ศิลปิน : Terje Isungset
สังกัด : TIDAL (https://tidal.com/browse/album/3343902?u)

แล้วก็มาถึงเร้นจ์เสียงที่ท้าทายความสามารถของลำโพงมากที่สุด นั่นคือความสามารถในการถ่ายทอดความถี่ในย่าน Deep Bass (80Hz60Hz) ในเพลง Celestial Echo จากอัลบั้ม Convergence ของ Malia, Boris Blank กับย่าน Sub-Bass (60Hz20Hz) ในเพลง Fading Sun จากอัลบั้ม Winter Songs ของ Terje Isungset ซึ่งผมบอกตามตรงว่า รู้สึกมาตั้งแต่ตอนลองฟังเพลง Birds แล้วล่ะว่า ลำโพง CantonReference 5คู่นี้น่าจะสอบผ่านกับการทดสอบด่านเสียง deep bass กับ Sub-Bass แน่ๆ เพราะประเมินจาก gain output ในย่านทุ้มที่ลำโพงคู่นี้ให้ออกมา ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากที่คาด เสียงซินธ์ฯ ในระดับ deep bass ของเพลง Celestial Echo มันออกมากลมและนุ่ม พร้อมกับโฟกัสที่คมชัดจนชี้ตำแหน่งได้ทุกเม็ด ลำโพงคู่นี้โชว์การจัดวางตำแหน่งของเสียงเบสในเพลงนี้ออกมาได้เยี่ยมยอดมาก ทุกเสียงถูกกำหนดตำแหน่งและน้ำหนักเอาไว้เป็นอย่างดี เป็นการเรียบเรียงดนตรีที่เป๊ะมาก มีการจัดวางเลย์เอ๊าต์ของเวทีเสียงไว้อย่างสวยงาม สนามเสียงที่แผ่ออกมามีทั้งมิติของความกว้าง ความลึก และความสูงครบถ้วน ซึ่งจากเพลงนี้ทำให้ผมรับรู้ถึงคุณสมบัติของลำโพงคู่นี้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ น้ำหนักเสียงที่ทำให้เพลงมีลักษณะที่ไม่ล่องลอย เพราะมีฐานของความถี่ในย่านต่ำคอยอุ้มประคองไว้ตลอดเวลา

ลำโพงคู่นี้ส่งมวลพลังงานมหาศาลที่เป็นเสียงซับเบสต่ำๆ ในเพลง Fading Sun ออกมากระแทกร่างของผมอย่างแรง แม้ว่าการรับรู้ด้วยหูจะรู้สึกว่าเสียงนั้นไม่ได้ดังมาก แต่จากแรงสัมผัสที่มันแผ่มาปะทะผิวหนังมันฟ้องว่าเสียงนั้นมีพลังงานมากกว่าที่หูรับรู้ได้ ถ้าพิจารณาเฉพาะเสียง sub-bass ในเพลงนี้มีอยู่แค่จุดเดียวที่ผมอยากให้ออกมาดีกว่านี้ จุดนั้นคือ หัวเสียงที่อยากให้ออกมา คมกว่านี้อีกหน่อย ส่วนความแน่นของบอดี้กับหางเสียงนั้นพอได้แล้ว ซึ่งผมคิดว่า ลักษณะของหัวเบสที่ออกนุ่มนั้นน่าจะมีส่วนที่เป็นผลมาจากเพาเวอร์แอมป์ S-05 ด้วย คิดว่าถ้าได้แอมป์ที่ใช้วงจรขยาย class-A/B และมีกำลังขับสัก 150 – 200W ต่อข้างก็น่าจะช่วยจูนหัวเสียงหรืออิมแพ็คของเสียงในย่านทุ้มต่ำๆ ให้ออกมาคมกระชับมากขึ้นได้ แต่ถ้าแอมป์ตัวนั้นราคาไม่ถึงระดับ S-05 ก็ต้องชั่งน้ำหนักให้ดีว่าจะยอมแลกกับความหวานละมุมของเสียงกลางที่ S-05 ให้ออกมามั้ย.? (S-05 ราคาตัวละ 440,000 บาท)

สรุป

เมื่อประเมินจากลักษณะเฉพาะของ CantonReference 5ข้างต้น ก็พอจะสรุปได้ว่า ความอิ่มหนาของเสียงในย่านกลางและทุ้มคือจุดขายของลำโพงคู่นี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เสียงแหลมของมันจะออกมาแย่นะ เพียงแต่ว่า เสียงแหลมของลำโพงคู่นี้ถูกออกแบบมาให้ทำหน้าที่สร้างส่วนที่เป็นฮาร์มอนิกและแอมเบี้ยนต์เป็นหลัก ทวีตเตอร์ของลำโพงคู่นี้จึงไม่ได้แสดงตัวออกมาโดดเด่นมากเท่ากับมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์นั่นเอง

Reference 5 ให้เสียงทุ้มที่เชื่อว่าหลายๆ คนอยากได้ ผมชอบตรงที่มันให้ gain เอ๊าต์พุตของเสียงตลอดทั้งย่านออกมาค่อนข้างเข้มข้น ซึ่งทำให้เรามีเร้นจ์ในการปรับจูนโทนเสียงให้ออกมาตรงตามที่ต้องการได้มากกว่าลำโพงที่ให้เอ๊าต์พุตออกมาเบา และชอบที่ผู้ผลิตเขาใส่เครื่องมือที่ช่วยในการปรับจูนเสียงมาให้ด้วย ผมทดลองใช้ดูแล้ว พบว่ามันช่วยให้การปรับจูนโทนเสียงทำได้กว้างมากขึ้นโดยไม่ทำให้คุณภาพเสียงแย่ลง คุณสามารถใช้งานเครื่องมือนั้นร่วมไปกับการแม็ทชิ่งอุปกรณ์ข้างเคียงเข้ามาเสริม อย่างเช่น สายไฟ, สายสัญญาณ และสายลำโพง เพื่อปรับจูนให้ได้โทนเสียงออกมาอย่างที่ต้องการได้ เมื่อพิจารณาจากคุณสมบัติหลายๆ ด้านของลำโพงคู่นี้ โดยไล่ตั้งแต่ รูปลักษณ์และเนื้องานของตัวตู้, ดีไซน์ไดเวอร์และวงจรเน็ทเวิร์ค, สเปคฯ ในการตอบสนองความถี่ มาจนถึงปัจจัยข้อสุดท้ายคือ ราคาของลำโพงคู่นี้ เมื่อนำไปเทียบกับมาตรฐานราคาของลำโพงระดับไฮเอ็นด์แบรนด์อื่นๆ ในปัจจุบันนี้ ก็ต้องยอมรับเลยว่า ภายใต้งบประมาณเท่าๆ กันคือ คู่ละ 400,000 บาท น่าจะหาลำโพงตั้งพื้นขนาดกลางที่ให้อะไรๆ ออกมาครบๆ เหมือน CantonReference 5คู่นี้ได้ยากมาก.!!

************************
ราคา : 400,000 บาท / คู่
************************
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
. Inventive AV
โทร. 02-238-4079

facebook: inventiveAV

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า