พรีวิว Primare รุ่น i35 Prisma DM36

เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม ปี 2022 เกือบสามปีที่แล้ว ผมได้ทดสอบอินติเกรตแอมป์ของ Primare รุ่น i35 Prisma ไป ซึ่งอินติเกรตแอมป์ตัวนั้นมีลักษณะเป็น all-in-one แบบโมดูล่าร์ คือเป็นอินติเกรตแอมป์ที่เอาภาค DAC กับภาค Streaming ที่อยู่ในลักษณะของโมดูลเข้ามารวมอยู่ในตัวถังเดียวกัน

ที่มาของแบรนด์ Primare

โลโก้แบรนด์ Primare

Bo Christensen ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Primare (ชอบคุณภาพจากสื่อออนไลน์ Inner Magazines)

แบรนด์ Primare เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องเสียงที่กำเนิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ ปี 1985 ด้วยความหลงไหลในเสียงเพลงของนักออกแบบผลิตภัณฑ์ระดับอุตสาหกรรมนามว่า Bo Christensen โดยที่เขาตั้งใจให้ Primare เป็นแบรนด์ชั้นนำทั้งทางด้านวิศวกรรมและรูปร่างหน้าตา มุ่งเน้นตลาดไฮเอ็นด์ฯ เป็นหลัก ซึ่งผลิตภัณฑ์ในยุคแรกๆ ของ Primare มีดีไซน์ที่สวยแปลกตามากในยุคนั้น รวมถึงดีไซน์วงจรก็ถือว่ามีความพิเศษอยู่ในตัว

หน้าตาของผลิตภัณฑ์ Primare ยุคแรกๆ

ทว่า หลังจากดำเนินกิจการมาได้เพียงไม่กี่ปี Bo Christensen ก็แตกคอกับนายทุนที่หนุนหลังอยู่ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่เขาทำออกมายังไม่สร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ นายทุนจึงมีแนวคิดที่จะเบนเข็มเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาแบรนด์ Primare ลงสู่ตลาดล่างให้มากขึ้น เพื่อหวังกอบกู้ยอดขายให้มีกำไร ซึ่งเป็นแนวทางที่ Bo ไม่เห็นด้วย และได้ตีจากแบรนด์ Primare ไปใน ปี 1994 หลังจากที่เขาเริ่มออกแบบผลิตภัณฑ์ ซีรี่ย์ 300 ได้ไม่นาน

หลังจาก Bo Christensen ออกจาก Primare เขาก็ไปก่อตั้งแบรนด์ Bow Technologies ขึ้นมาใหม่ ในขณะที่นายทุนก็นำ Primare ไปจับมือกับบริษัท Xena ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Copland กับ QLN ร่วมกันพัฒนาแบรนด์ Primare ต่อ โดยมี Bent Nielsen ซึ่งเป็นอิเล็กทรอนิค เอ็นจิเนียร์ที่ช่วย Bo Christensen มาตั้งแต่แรกและยังคงอยู่กับ Primare กับ Lars Pedersen จาก Xena ร่วมมือกันตั้งทีมพัฒนา Primare ต่อมาจนถึงปัจจุบัน

ผลิตภัณฑ์ที่ Bent Nielsen กับ Lars Pedersen นำมาเป็นสารตั้งต้นในการพัฒนาสำหรับแบรนด์ Primare ก็คือผลิตภัณฑ์ ซีรี่ย์ 300 ที่โบ คริสเท็นเซ็นทิ้งเป็นมรดกไว้ให้ ซึ่งพวกเขานำมาปรับปรุงและตั้งต้นใหม่เป็น ซีรี่ย์ 30

Ultra-Fast Power Delivery 2 (UFPD 2)
พลังบริสุทธิ์..!!!

โดยเนื้อแท้แล้ว i35 เป็นอินติเกรตแอมป์ระบบเสียง stereo 2 channel ที่ใช้ภาคขยาย class-D ทำหน้าที่ขยายสัญญาณให้กับลำโพง สาเหตุที่ดีไซเนอร์ของ Primare เลือกใช้ภาคขยาย class-D ก็เพราะว่าเป็นภาคขยายที่เหมาะสมกับระบบเสียงดิจิตัล ออดิโอยุคใหม่ที่มีทั้ง dynamic range และ frequency bandwidth ที่เปิดกว้างมากกว่ามาตรฐาน Hi-Fi (delity) แบบเดิมที่เราใช้กันมานานหลายสิบปี

UFPD หรือ Ultra-Fast Power Delivery เป็นภาคขยาย class-D ที่ Bent Nielsen กับ Lars Pedersen และทีมวิศวกรของ Primare ร่วมกันผู้คิดค้นและพัฒนาขึ้นมาเมื่อ ปี 2007 เพิ่อใช้กับผลิตภัณฑ์ของ Primare ทั้งหมด โดยเริ่มใช้กับอุปกรณ์เครื่องเสียง AV Integrated Amp รุ่น SPA 22 เป็นตัวแรกใน ปี 2008

ต่อมาใน ปี 2017 ทีมวิศวกรของ Primare ได้ทำการปรับปรุง UFPD ใหม่เป็นเวอร์ชั่น UFPD 2 ที่มีการพัฒนาเพิ่มเติมประสิทธิภาพขึ้นมาจาก UFPD เวอร์ชั่นแรกหลายจุด เริ่มจากการปรับปรุงให้สามารถจ่ายกำลังขับได้เร็วขึ้น และมากพอในขณะที่ยังคงระดับความเพี้ยนที่ต่ำมากๆ ทำให้ UFPD 2 สามารถจ่ายกำลังสูงๆ ออกมาได้อย่างฉับพลัน ให้ค่า slew rate ที่พุ่งสูง และยังคงรักษาความเป็นเชิงเส้นของภาคขยายเอาไว้ได้ตลอดย่านความถี่ที่มันถ่ายทอดออกมาพร้อมความเพี้ยนที่ต่ำมากๆ ด้วย UFPD 2 จึงเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถขับลำโพงได้กว้างขวางอย่างมีคุณภาพ

นอกจากผลลัพธ์ทางด้านกำลังขับแล้ว ในการปรับปรุงเป็น UFPD 2 ยังได้มีการแก้ไขที่ส่งผลทางด้าน คุณภาพเสียงด้วย ซึ่งในรีวิว Primarei35 Prismaเวอร์ชั่น DM35 ก่อนหน้านี้ผมมีลงรายละเอียดเกี่ยวกับภาคขยาย UFPD 2 เอาไว้ครบถ้วนทุกประเด็นแล้ว รวมถึงลักษณะการใช้งานแต่ละด้านด้วย ถ้าคุณสนใจอยากรู้ให้เข้าไปอ่านรีวิว Primarei35 Prisma DM35ได้จากลิ้งค์นี้นะครับ (REVIEW)

Primare รุ่น i35 Prisma DM36
ปรับปรุงภาค DAC ใหม่.!!

ที่จริงแล้ว ชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการของอินติเกรตแอมป์รุ่นนี้ก็คือ i35 ส่วนคำที่ห้อยท้ายตามมาคือ ‘Prismaนั้นหมายถึง i35 ที่ใส่โมดูลสตรีมมิ่งรุ่น Prisma มาให้ ส่วนคำว่า DM35 หรือ DM36ก็หมายถึงว่ามีการติดตั้งโมดูลของภาค DAC (ตัวย่อ DM มาจาก Digital Module นั่นเอง) รุ่น DM35 ซึ่งเป็นรุ่นเก่า หรือรุ่น DM36 ซึ่งเป็นโมดูล DAC ที่อัพเกรดขึ้นมาใหม่ล่าสุดมาให้นั่นเอง ซึ่งใน Preview สำหรับตัว i35 เวอร์ชั่นใหม่ครั้งนี้ ผมจะขอโฟกัสไปที่ภาค DAC ที่เปลี่ยนมาเป็นโมดูลรุ่น DM36 เป็นหลักเท่านั้น

เนื่องจากโครงสร้างภายใน i35 Prisma ประกอบด้วยการทำงานของส่วนต่างๆ ที่มีลักษณะแยกออกเป็นโมดูล โดยมีอยู่ 4 ส่วนหลักๆ นั่นคือ

1. โมดูลของภาคแอมปลิฟาย class-D
2. โมดูลของภาคเพาเวอร์ซัพพลาย
3. โมดูลของภาค DAC (DM36)
4. โมดูลของสตรีมเมอร์

ก่อนจะเริ่มทดสอบโมดูล DM36 ของ i35 Prisma DM36 ผมก็ทำการทดลองแม็ทชิ่ง i35 Prisma DM36 ตัวนี้เข้ากับลำโพงที่จะใช้ทดสอบ ซึ่งก็ถือว่าเป็นการทดสอบภาคขยาย class-DUFPD 2ไปในตัว

จากการทดลองจับคู่ i35 Prisma DM36 กับลำโพงที่ผมมีอยู่ในห้องขณะนั้น พบว่า มันไปกันได้ดี ให้ผลรวมของเสียงออกมาในระดับที่น่าพอใจสำหรับมาตรฐานของผมอยู่ 2 คู่ คือ Wharfedale รุ่น Super Linton (REVIEW) กับ Audio Physic รุ่น Classic 8 (REVIEW) ซึ่งพิจารณาจากสเปคฯ ของลำโพงทั้งสองคู่นี้จากตารางข้างบนนั้นแล้ว จะพบว่าคู่ของ Super Linton จะขับง่ายกว่า Classic 8 อยู่นิดหน่อย แต่ในการรับฟังจริง i35 Prisma DSM36 ก็ไม่ได้แสดงอาการให้เห็นว่ามีปัญหาในการขับดันลำโพงทั้งคู่แต่อย่างใด ซึ่งก็ควรจะเป็นเช่นนั้น เพราะกำลังขับของ i35 Prisma DM36 ที่ระดับ 150W ที่ 8 โอห์ม และ 300W ที่ 4 โอห์ม ถือว่ามากพอที่จะหิ้วปีกของลำโพงทั้งสองคู่นี้แล้วโบยบินขึ้นสวรรค์ได้อย่างสบาย เสียงที่ได้ออกมาหลุดตู้กระจาย ไดนามิกสวิงได้เต็ม gain รวมมากพอทำให้ใช้ระดับวอลลุ่มที่แอมป์ไม่เกินเที่ยงก็สามารถขุดรายละเอียดของลำโพงทั้งสองคู่นี้ออกมาให้ได้ยินจนหมดไส้หมดพุงแล้ว..!!

ภาค DAC กับโมดูลใหม่ DM36 นี่สิคือไฮไล้ท์.!!

สิ่งที่ i35 Prisma DM36 ได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปจากเวอร์ชั่น i35 Prisma DM35 ก็คือโมดูลภาค DAC นี่แหละ ซึ่งถือว่าเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญอย่างมากต่อคุณภาพเสียงที่ได้จากอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ เนื่องจาก ทุกช่องทางขาเข้าของ i35 Prisma DM36 ที่รับเข้ามาเป็นสัญญาณดิจิตัล ไม่ว่าจะเข้ามาทางอินพุต optical, coaxial, USB-A, USB-B (PC/MAC), Blurtooth และ Ethernet สัญญาณอินพุตเหล่านั้นจะต้องถูกส่งไปที่ภาค DAC ทั้งหมด เพื่อแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอกก่อนส่งต่อไปที่ภาคเพาเวอร์แอมป์เพื่อนำไปขยายออกลำโพงต่อไป ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่า ต่อให้ภาคแอมป์เยี่ยมยอดแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์ถ้าภาค DAC ไม่ได้เรื่อง เพราะสุดท้ายปลายทางก็คือแย่ไปตามภาค DAC ที่เป็นต้นทางนั่นเอง.!!

โมดูลภาค DAC

องค์ประกอบบนโมดูล DM36 ที่ได้รับการเปลี่ยนมาจากเวอร์ชั่น DM35 ก็คือชิป DAC ซึ่งในเวอร์ชั่น DM35 ใช้ชิป DAC ของค่าย AKM เบอร์ AK4497EQ ได้ถูกเปลี่ยนมาใช้ของค่าย ESS Technologies เบอร์ ES9068A ซึ่งเป็นสเตริโอชิปเซ็ตที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยี QUAD DAC และมาพร้อมเทคโนโลยีแวดล้อมอีกมาก อาทิ HyperStream II, Time Domain Jitter Eliminator และเทคโนโลยี SABRE HIFI ซึ่งเป็นสิทธิบัตรของ ESS Technologies ทั้งหมด และทางผู้ผลิตคือ Primare ให้การยืนยันว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มีผลทำให้เสียงของ i35 Prisma DM36 ออกมาดีกว่าเวอร์ชั่นก่อนที่ใช้โมดูล DAC รุ่น DM35 อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นแง่ของรายละเอียดที่มากกว่าและให้ความรู้สึกเข้าใกล้เสียงจริงมากขึ้น รวมถึงให้ซาวนด์สเตจที่กว้างและมีความเป็นสามมิติมากกว่าด้วย

รองรับการถอดรหัส MQA เต็มรูปแบบ.!!

นอกจากนั้น โมดูล DAC รุ่น DM36 ยังมีฮาร์ดแวร์ที่ใช้ในการถอดรหัสสัญญาณ MQA ได้ด้วย และเป็นการถอดรหัสได้สูงสุด (studio master) คือถึงระดับ 384kHz อีกด้วย มาช้าไปมั้ย.? บางคนอาจจะคิดแบบนี้ เพราะว่าทาง TIDAL ประกาศไม่สนับสนุนฟอร์แม็ต MQA แล้ว และจะเริ่มเปลี่ยนไฟล์เพลงที่เคยเป็น MQA ไปเป็นไฟล์ไฮเรซฯ ตระกูล FLAC แต่จนถึงตอนนี้ ปรากฏว่า ก็ยังมีไฟล์ MQA หลงเหลืออยู่ในคลังเพลงของ TIDAL จำนวนไม่น้อยที่ยังสามารถสตรีมมาฟังผ่านดีโค๊ดเดอร์ MQA ได้

ผมทดลองใช้แอพฯ PRISMA ของ Primare เองเล่นไฟล์เพลง Bird ของ Dominique Fils-Aime ใน TIDAL ตามที่เห็นในรูปข้างบน จะเห็นว่า ไฟล์เพลงนี้ยังเป็นไฟล์ MQA ซึ่งแอพฯ PRISMA แสดงสัญลักษณ์เป็นจุดสีฟ้า (ศรชี้สีเขียว) แสดงว่าไฟล์ MQA ของเพลงนี้เป็นไฟล์ MQA ระดับ studio master ที่เข้ารหัสมาจากสตูดิโอด้วยสัญญาณต้นฉบับฟอร์แม็ต PCM ที่ระดับแซมปลิ้งเรต 88.2kHz ซึ่งฮาร์ดแวร์ดีโค๊ดเดอร์ในตัว i35 Prisma DM36 จะทำการถอดรหัสของไฟล์เพลงตัวนี้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM 88.2kHz ก่อนส่งเข้าไปที่ชิป ES9068A เพื่อให้แปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอก

เสียงที่ออกมามีวรรณะอ่อนแก่ และมีความลื่นไหลมากกว่าที่เคยฟังผ่าน DAC ที่ไม่รองรับ MQA อย่างชัดเจน.! เสียงร้องของดอมินิกมีคอนทราสน์ ไดนามิกที่เชื่อมโยงระหว่างคำต่อคำที่สวิงมากขึ้น แต่ไหลลื่นไม่กระตุก เหล่านี้ช่วยทำให้เข้าถึง อารมณ์ของเพลงได้ลึกซึ้งมากขึ้น นวลเนียนมากขึ้น ฟังแล้วทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือว่าเราตัดสิน MQA เร็วเกินไป.? ก่อนที่มันจะค่อยๆ พัฒนาไปถึงจุดที่ดีที่สุดตามที่เทคโนโลยีของมันสามารถทำได้.??

ไฟล์เพลง MQA ใน TIDAL ส่วนใหญ่จะเป็นแซมปลิ้งเรต 192kHz แต่ในสเปคฯ ของ i35 Prisma DM36 เคลมไว้ว่า โมดูล DAC ตัวใหม่คือ DM36 ที่อัพเกรดมาในอินติเกรตแอมป์ตัวนี้ใช้ชิป ES9068A พร้อมฮาร์ดแวร์ดีโค๊ดเดอร์ MQA ที่สามารถถอดรหัส MQA ไปได้ถึงระดับ 384kHz ผมเลยทดลองเลือกไฟล์เพลงใน NAS ที่ผมริปมาจากแผ่น MQA-CD ชุด Dire Straits ซึ่งเป็นไตเติ้ลอัลบั้มของวงร็อคชื่อเดียวกัน และระบุว่าเข้ารหัสมาด้วยอัตราแซมปลิ้ง 352.8kHz ปรากฏว่าแอพฯ PRISMA อ่านไฟล์นี้ออกมาเป็น MQA 352.8kHz แล้วส่งให้ฮาร์ดแวร์ดีโค๊ดเดอร์ในตัวแอมป์ถอดรหัสออกมาเป็นสัญญาณ PCM 352.8kHz ก่อนจัดส่งให้ชิป ES9068A แปลงออกมาเป็นสัญญาณอะนาลอกก่อนส่งให้ภาคขยายของแอมป์ ซึ่งเสียงที่ออกมาก็อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก เรื่องรายละเอียดไม่ต้องพูดถึง ออกมาดีกว่าฟังจากเวอร์ชั่นที่ริปมาจากแผ่นซีดี 44.1kHz มาก และที่แตกต่างไปจากการถอดรหัส MQA ในยุคแรกๆ ก็คือ เนื้อเสียงที่มีน้ำมีนวลมากกว่ายุคแรกๆ ที่มักจะออกมาบางๆ ไม่อวบอิ่ม นั่นเป็นเพราะดีโค๊ดเดอร์ MQA ทำงานของมันจนจบกระบวนการแล้ว แต่ชิป DAC กับภาค DAC ที่ต้องทำหน้าที่รับเอาสัญญาณ PCM ที่ระดับแซมปลิ้งเรตสูงๆ ไปทำการแปลงให้เป็นสัญญาณอะนาลอกนี่แหละที่ยังพัฒนาตามมาอยู่เรื่อยๆ เมื่อภาค DAC ในตัว i35 Prisma DM36 ให้เสียงของไฟล์เพลง MQA ออกมาดีขนาดนี้ นี่ก็น่าจะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการแปลงสัญญาณ Digital-to-Analog ของชิป ES9068A ที่สูงกว่าชิป ESS Technologies เบอร์ก่อนๆ นั่นเอง จึงทำให้ได้เสียงอะนาลอกที่มีคุณภาพสูงกว่าออกมาแบบนี้

นอกจากนั้น i35 Prisma DM36 ยังได้รับการรับรองว่ามีคุณสมบัติเป็น Roon Ready ด้วย ผมจึงลองใช้ระบบเพลย์แบ็คของ Roon (แอพ Roon Remote บน iPad + ฮาร์ดแวร์ Roonnucleus+’) ลองเล่นไฟล์เพลง Besame Mucho ของ Chantal Chamberland ที่อยู่ใน TIDAL ซึ่งเข้ารหัส MQA ดู ปรากฏว่า Roon ก็สามารถส่งโค๊ด MQA มาให้ดีโค๊ดเดอร์ในตัว i35 Prisma DM36 ทำการถอดรหัสออกมาได้ เสียงดีพอสมควร (***แต่ผมลองฟังเทียบกันแล้ว เล่นด้วยแอพฯ PRISMA ให้เสียงออกมาดีกว่า เล่นด้วยระบบของ Roon เสียงจะออกมาทางแหลมมากเกินไป ในขณะที่เล่นด้วยแอพ PRISMA ให้สมดุลเสียงดีกว่า)

เพื่อทดสอบดูว่า โมดูล DM36 ซึ่งเป็นภาค DAC ที่อัพเกรดขึ้นมาใหม่มีประสิทธิภาพดีกับทุกอินพุตหรือเปล่า.? ผมเลยทดลองใช้ network bridge ของ Wattson Audio รุ่น Emerson DIGITAL (REVIEW) มาทดลองแปลงสัญญาณดิจิตัลจากการสตรีมผ่านเน็ทเวิร์คให้ออกมาเป็นสัญญาณ PCM S/PDIF แล้วป้อนให้อินพุต coaxial ของ i35 Prisma DM36 ปรากฏว่าการทำงานร่วมกันเป็นไปด้วยความราบลื่น อินพุต coaxial ของ i35 Prisma DM36 รองรับสัญญาณจาก Emerson DIGITAL ได้แบบไม่สะดุด แถมยังรองรับสัญญาณที่แนบโค๊ด MQA ได้ด้วย เสียงที่ออกมาก็มีความอิ่มและนวลหูตามแนวทางของสัญญาณ S/PDIF แต่รับรู้ถึงแตกต่างจากการฟังผ่านอินพุต coaxial ทั่วไปอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือรู้สึกว่า อินพุต coaxial ของ i35 Prisma DM36 ตัวนี้จะให้ความกระชับตึงตัวมากกว่า คือไม่ได้ออกไปทางนุ่มนวลมากจนติดเบลอนิดๆ เหมือนช่องอินพุต S/PDIF ทั่วไป คือตัวเสียงของอินพุต S/PDIF ของ i35 Prisma DM36 มันให้โฟกัสที่เป็นตัวเป็นตนมากกว่า อันนี้ค่อนข้างแปลกหู ซึ่งคิดว่าน่าจะเป็นอิทธิพลของชิป ES9068A นั่นเอง.. ประเด็นนี้ผมชอบนะ.!

สรุป

เป็นเพราะพื้นฐานของภาคแอมป์ของ i35 มันมีประสิทธิภาพสูงอยู่แล้ว ซึ่งผมจัดให้เป็นหนึ่งในภาคขยาย class-D ที่ให้เสียงดีไม่แพ้ class-D ของใครในปัจจุบัน ประกอบกับการออกแบบที่ชาญฉลาดโดยแยกการทำงานของแต่ละส่วนออกเป็น โมดูลจึงทำให้สามารถพัฒนาแต่ละส่วนแยกจากกันได้ ส่งผลให้การอัพเกรดเวอร์ชั่นใหม่ทำได้เร็วกว่าการที่ต้องออกแบบใหม่ทั้งหมด

โทนเสียง class-D ของ Primare ให้บอดี้ของเสียงที่มี texture เหมือนแอมป์ class-A และ class-A/AB ที่มีคุณภาพสูงๆ คือมันไม่ได้ให้เสียงที่มีลักษณะมนๆ ทู่ๆ ผิวเป็นมันเหมือนพลาสติก ซึ่งเป็นลักษณะของภาคขยายที่ boost เกนเยอะๆ แล้วใช้ฟิลเตอร์ที่มากเกินไปในการเกลี่ยไม่ให้เสียงออกมาหยาบ ผมคิดว่าเทคนิคในการออกแบบฟีดแบ็คด้วยวงจร error amplifier แบบใหม่ที่ไม่ส่งผลกระทบกับ gain และไม่ทำให้ bandwidth ของสัญญาณถูกบีบแคบลง ส่งผลให้ไม่เกิดปัญหา phase shift ในย่านความถี่ตอบสนอง.. อันนี้นี่แหละที่เป็นหัวใจสำคัญทำให้เสียงของ i35 Prisma SM36 มีลักษณะเปิดเผยแต่เนียนสะอาดคล้ายเสียงของแอมป์ class-A ในขณะที่มีกำลังสำรองที่สามารถจ่ายออกมาได้อย่างทันทีทันใดคล้ายภาคขยาย class-B ที่ทำได้ตามอุดมคติ

คุณต้องหาโอกาสทดลองฟังเสียงของ i35 Prisma DM36 ตัวนี้ให้ได้ แล้วคุณจะเข้าใจว่า เสียงของแอมป์ class-D ที่ Dจริงๆ นั้นเป็นอย่างไร.??

*************************
ราคา : 228,000 บาท / ตัว
*************************
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Primare Thailand
โทร. 088-932-4456

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า