วิจารณ์เพลง ‘Bohemian Rhapsody’ – Queen [part : 1] “ขายวิญญาณให้กับปีศาจ”

ในยุคทศวรรษที่ 70 ของศตวรรษที่ 20 หรือเมื่อ 43 ปีมาแล้ว ยุคที่ดนตรีร๊อคเบ่งบานในเชิงสร้างสรรค์ให้หลุดพ้นไปจากเขตแดนที่เป็นอยู่ ไปสู่ความสุดโต่งในอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคคลในนามของวงดนตรีได้อย่างไม่มีขอบเขต

ด้วยความดีเด่นและเป็นเอกเทศของ ‘Bohemian Rhapsodyบทเพลงที่เขียนโดย เฟรดดี้ เมอร์คิวรี นักร้องนำ กับมือกีตาร์โซโล่ ไบรอัน เมย์ วง Queen ซึ่งมีการแบ่งออกเป็นส่วนๆ ความคลุมเครือในอารมณ์ความรู้สึกแบบปัจเจกบุคคล ตัวละครในโอเปร่าคลาสสิค ความเชื่อและศรัทธาทางศาสนา

“.. ผมกำลังอยู่ในภาพมายาหลอกลวงเฝ้าหลอกหลอนที่แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ส่วนนั้นได้เป็นส่วนหนึ่งที่ผมเขียนเพลงลงในอัลบั้ม เขียนในชุดเพลงส่วนตัวของผม ในช่วงแรกๆ บนเวทีการแสดง ผมเกือบจะทิ้งมันไป แต่บทเพลงเหล่านี้กลับเติบโตงอกงาม พวกเราทั้งวงเลยตัดสินใจตัดเป็นซิงเกิลออกมา แต่ก็มีการโต้เถียงกันเล็กน้อย พวกเราคิดว่าเป็น ‘บทเพลงแห่งทวยเทพดลใจ’ และ ‘Bohemian Rhapsody’ ก็เป็นหนึ่งในบทเพลงเหล่านั้น…”

เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ได้กล่าวถึงบทเพลงนี้ไว้ในปี 1976 หลังออกมาได้ 1 ปีและประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น

แม้ว่าก่อนหน้านั้นจะมีวิบากกรรมซึ่งทางต้นสังกัดค่อนข้างที่จะตกตะลึงกับบทเพลงความยาว 6 นาที และคิดว่าเป็นเรื่องล้อเล่น แต่ด้วยความเชื่อมั่นของทางวงเอง พวกเขาสามารถผลักดันให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยความเชื่อมั่นและกล้าได้กล้าเสีย โลกดนตรีจึงได้นวัตกรรมของดนตรีร๊อคที่ไม่มีมาก่อน

เมื่อออกสู่สาธารณชน ผู้คนต่างต้อนรับและชอบบทเพลงอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


Bohemian Rhapsodyถูกบรรจุอยู่ในบทเพลงลำดับที่ 11 ในสตูดิโออัลบั้มชุดที่ 4 ของวง Queen การออกมาในปี 1975 ในครั้งแรกและได้รับความชื่นชมจากนักวิจารณ์ และกลายเป็นบทเพลงยอดนิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ติดอันดับเพลงฮิตในตารางหรือชาร์ตเพลงยอดนิยมทั่วโลกที่วัฒนธรรมเพลงแบบอุตสาหกรรมดนตรีตะวันตกร่วมสมัยเข้าไปถึง และติดอันดับ 1 ในยูเคชาร์ตหรือตารางเพลงฮิตของสหราชอาณาจักรถึง 9 สัปดาห์

Bohemian Rhapsodyจึงได้รับการยอมรับและถูกสถาปนาให้เป็นหนึ่งในบทเพลงร๊อคที่มีความหมายและนัยยะสำคัญในการรังสรรค์ขึ้นมาอย่างมีความใหม่เฉพาะตัว ที่ไม่มีใครก้าวไปถึงขอบเขตนั้นในการสร้างสรรค์ดนตรีร๊อคมาก่อนในประวัติศาสตร์ดนตรีร่วมสมัย และอยู่ยั้งยืนยงเป็นอมตะนิรันดร์กาลมาถึงปัจจุบันอย่างมิยอมเสื่อมคลายมนต์ขลัง ถือเป็นเสน่ห์ของบทเพลงและดนตรีที่ไม่มีใครเสมอเหมือนและเลียนอย่างได้ งานชิ้นเอกและดีเยี่ยมเป็นหนึ่งในเพลงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล

หนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ค ไทม์ แสดงความคิดเห็นว่า บทเพลงนี้มีความพิเศษและชัดเจนอย่างแจ่มชัดถึงลักษณะเฉพาะของเนื้อร้องที่เกี่ยวกับชะตากรรม ซึ่งเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ ออกมาปฏิเสธและอธิบายถึงความหมายว่ามันเกี่ยวกับเรื่องความสัมพันธ์ และทางสมาชิกในวง Queen ก็ร่วมกันปกปิดความลับของบทเพลงนี้

ไบรอัน เมย์ มือกีตาร์ของวง เคยออกมาตั้งข้อสังเกตว่าบทเพลงนี้ได้บรรจุสิ่งที่ปิดบังมิอาจะเปิดเผยออกมาของความชอกช้ำทางจิตส่วนตัวของเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ โดยรำลึกว่า เฟรดดี้ เป็นคนที่มีบุคลิกซับซ้อนมาก เปลือกหน้าข้างนอกดูเป็นคนทะเล้นทะลึ่งและสนุกสนาน แต่ปิดซ่อนความไม่มั่นคงทางจิตและไม่มั่นใจในตัวเองเอาไว้ และปัญหาเหล่านี้ก็ตีกรอบมาจากชีวิตในวัยเด็กของเขา

ไบรอัน เมย์ บอกว่า เฟรดดี้ไม่เคยชี้แจงหรืออธิบายเกี่ยวกับเนื้อร้อง แต่คิดว่าเขาใส่ตัวเองลงไปในเพลงนี้ โดยทางวงยินดีที่จะให้เนื้อร้องเพลงนี้เป็นแก่นของความเป็นส่วนตัวที่แสดงออกของผู้เขียนเพลง

หากกลับไปค้นหาความหมายของบทเพลงที่เป็นทางการ ออกมาจากทางวงคงต้องไปดูในอัลบั้ม ‘Greatest Hitsซึ่งออกเป็นเทปคลาสเส็ตต์ในปี 2000 ในประเทศอิหร่าน

ใบแทรกในปกอัลบั้มมีการแนบการแปลและคำอธิบายของบทเพลงนี้ ซึ่งการตีพิมพ์ในอิหร่านเรียกชื่ออัลบั้มว่า ขบวนพาเหรดของราชินีดำ‘ (The March of the Black Queen) ซึ่งแปลโดย ซาราห์ เซฟาติ กับฟาฮัด อาร์คนี รวมประวัติทั้งหมดของวง เนื้อร้องทั้งหมด ซึ่งแปลเป็นภาษาเปอร์เซี่ยน

ในคำอธิบายชี้แจงเนื้อหาของบทเพลง ‘Bohemian Rhapsodyว่าเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กหนุ่มที่พลาดพลั้งไปฆ่าใครคนหนึ่งโดยบังเอิญ และคล้ายกับ เฟาสท์‘ (Faust) ซึ่งขายวิญญาณให้กับปีศาจ ในค่ำคืนก่อนการประหารชีวิต เด็กหนุ่มได้เพรียกร้องถึงพระเจ้าว่า “บิสมิลลาห์” ซึ่งเป็นชื่อของพระเจ้าในภาษาอารบิกและด้วยความช่วยเหลือของเหล่าทูตสวรรค์ วิญญาณของเขาได้คืนกลับมาจากเงื้อมมือของ ไชตานปีศาจในศาสนาอิสลาม หรือคือซาตานนั่นเอง

แม้ว่า นักวิจารณ์ทั้งสองทางคือสายสื่อมวลชนด้านดนตรี กับสายอคาเดมิค หรือสายทฤษฎีและวิชาการ ต่างพิจารณาเห็นพ้องกันว่า มีความหมายหรือนัยยะซ่อนอยู่เบื้องหลังเนื้อร้องของบทเพลงนี้ โดยเชื่อว่าเนื้อร้องได้บรรยายถึงการอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตายของฆาตกรหนุ่มซึ่งถูกครอบงำโดยปีศาจ โดยพรรณนาให้เห็นเหตุก่อนที่จะประหารชีวิต

หากมาพิจารณาถึงแรงบันดาลใจจาก เฟาสท์‘ (Faust) หรือสัญญาปีศาจ ซึ่งเนื้อเรื่องเป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตากรรมของบัณฑิตผู้ใฝ่รู้นามว่า เฟาสท์และด้วยความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะพบแก่นแท้ความหมายของชีวิต วันหนึ่งโชคชะตาชักนำให้เขาเรียกปีศาจ เมฟิสโทฟิลีส (Mephistopheles) มาเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าว

ปีศาจเสนอตัวว่าจะรับใช้เขาตราบเท่าที่เขามีชีวิตอยู่ และจะเอาวิญญาณของเฟาสท์ก็ต่อเมื่อเขาได้บรรลุถึงจุดสูงสุดของความสุขทะเยอทะยานที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ต่อมาเฟาสท์ได้ไปมีความสัมพันธ์กับ มาร์กาเร็ตเต้ สาวบริสุทธิ์ และทำให้เธอตั้งท้อง แต่ทว่าเธอก็ต้องถูกประหารเพราะฆ่าลูกของตัวเอง เฟาสท์เสียใจยิ่งนัก เลยทำให้แผนการของปีศาจเมฟิสโทเฟลีส ที่จะทำให้เฟาสท์รู้สึกสมประสงค์จึงต้องผิดพลาดไป

จากนั้นเฟาทส์ก็ถูกพาย้อนเวลาไปสมัยโรมัน โดยให้เจอกับทั้งจักรพรรดิโรม และสาวงามอย่าง เฮเลน แต่เฟาทส์ก็ไม่รู้สึกพอใจมีความสุขแต่อย่างใด กลับยิ่งทำให้เขาเศร้าโศกขึ้นไปอีก เมฟิสโทฟิลีสจึงพาเฟาสท์กลับมาที่เยอรมนี และที่นั่นได้ทำให้เฟาสท์บรรลุถึงจุดสูงสุดของความสุขในสิ่งที่เขาต้องการ จึงถึงเวลาปีศาจจะทวงสัญญาจากเขาแล้ว แต่ในขณะที่เมฟิสโทฟิลีสจะนำวิญญาณของเขาไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็ปรากฏฑูตสวรรค์มาขัดขวาง และนำดวงวิญญาณของเขาไปหาพระแม่มารีแทน

เมื่อมาดูให้ลึกเข้าไปใน สัญญากับปีศาจ (deal with the Devil, pact with the Devil หรือ devil’s contract) หรือ การต่อรองแบบเฟาสท์ (Faustian bargain) ซึ่งเป็นตามความเชื่อดั้งเดิมในเรื่องแม่มดของชาวคริสต์

สัญญากับปีศาจเป็นสัญญาระหว่างมนุษย์ ซึ่งเรียก ‘ผู้ขันต่อ(wagerer) ฝ่ายหนึ่ง กับซาตาน (Satan) หรือปีศาจอื่นๆ อีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งมนุษย์เสนอจะยกวิญญาณของตนให้แก่ปีศาจ เพื่อแลกกับการที่ปีศาจจะกระทำบางสิ่งบางอย่างให้

เป็นความเชื่อทางวัฒนธรรมที่แพร่หลายในโลกตะวันตก และได้รับการเสริมเติมแต่งเป็นอันมากจาก ตำนานของเฟาสท์ (legend of Faust) และตำนานเรื่องปีศาจเมฟิสโทฟิลีส แต่พบมากในนิทานพื้นบ้านที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์

เมฟิสโทฟิลีส คือปีศาจผู้สงสัยในอำนาจของพระเจ้า และเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีชีวิตที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ หากไม่หลงเชื่อในภาพลวงตาแห่งสวรรค์ ที่พระเจ้าเสกสรรปั้นแต่งขึ้น ด้วยความต้องการจะสนองตัณหาของตนเอง เฟาสท์จึงยอมขายวิญญาณให้แก่เมฟิสโทฟิลีส เพื่อแลกกับความเป็นหนุ่มอีกครั้ง

การตอบแทนของปีศาจนี้ว่ากันว่าแตกต่างกันไปแล้วแต่ความเชื่อ อาทิ ความเยาว์วัย ความมั่งมี ความรู้ หรืออำนาจวาสนา ยังเชื่อกันด้วยว่า บางคนทำสัญญาเช่นนี้เพียงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าจะนับถือปีศาจเป็นนาย และไม่ต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยนเลย

อย่างไรก็ดี การต่อรองเช่นนี้นับเป็นสิ่งอันตรายมากสิ่งหนึ่ง ด้วยว่าค่าตอบแทนแรงงานของปีศาจนั้นคือวิญญาณของผู้ขันต่อกับมันนั่นเอง เรื่องเล่ามักจบแบบสอนใจว่า นักเสี่ยงโชคผู้บ้าระห่ำพบความวิบัติชั่วกัลปาวสาน หรือในทางตรงกันข้าม อาจจบแบบตลกขบขันว่า ไพร่ที่หลักแหลมเอาชนะปีศาจด้วยอุบายอันแยบยล

นี่เป็นการตีความที่ปรากฏอยู่ในอัลบั้มรวมเพลงฮิตที่ออกในอิหร่านเมื่อปี 2000 และอธิบายเพลงนี้ซึ่งสามารถนำไปผูกโยงกับการขายวิญญาณให้กับปีศาจ

ความจริงแล้ว เฟาสท์ แต่เดิมนั้นเป็นนิทานพื้นบ้านของชาวเยอรมัน เล่าเรื่องของ ดร.โยฮานน์ จอร์จ เฟาสท์ ที่คาดว่ามีตัวตนอยู่จริงในช่วงปลายศตวรรษที่ 14 ถึงต้นศตวรรษที่ 15 ผู้ซึ่งนำชีวิตเข้าไปข้องเกี่ยวกับปีศาจเมฟิสโทฟิลีส นิทานเรื่องเฟาสท์ถูกนำมาใช้เป็นพื้นของเรื่องเล่าต่างๆ โดยนักเขียนหลายคนรวมถึงนักเขียนและกวีเอกชื่อก้องโลกชาวเยอรมันนาม โยฮานน์ โวล์ฟกัง ฟอน เกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe) ด้วย ที่นำมาดัดแปลงเป็นบทประพันธ์เรื่อง ‘Faust

มีการประพันธ์แบ่งออกเป็นสองตอน คือ Faust. Der Tragödie erster Teil” (โศกนาฏกรรมของเฟาสต์ ตอนที่ 1 ตีพิมพ์ปี 1808) และ Faust. Der Tragödie zweiter Teil” (โศกนาฏกรรมของเฟาสท์ ตอนที่ 2 ตีพิมพ์ปี 1832) บทละครของเกอเธ่ได้รับการดัดแปลงเป็นอุปรากรหรือโอเปร่าที่มีชื่อเสียงสองเรื่อง คือ ‘Faustโดย ชาร์ล กูโนด์ และ ‘Mefistofeleโดย อาร์ริโก โบอิโต

เมื่อสืบเสาะถึงต้นตอของเรื่องคือ ดร.เฟาสท์ ซึ่งเป็นนักเล่นแปรธาตุพเนจร โหราจารย์ และหมอผีชาวเยอรมัน เป็นคนขี้โอ่ ชอบอวดอ้างว่าสามารถบันดาลสิ่งมหัศจรรย์ได้ เพราะมีพญามารเป็นพวก เขาได้รับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยคราโคว์ ชีวิตของเขามีเรื่องเล่ามากมายทำให้ยากที่จะหาข้อเท็จจริงในประวัติชีวิตของเขาได้

ตำนานมีอยู่ว่าเขาต้องการมีชีวิตที่มีแต่ความเป็นหนุ่ม ความรู้และอำนาจ เลยเรียนเรื่องไสยศาสตร์และวิธีการเรียกปีศาจ โดยสองเพื่อนสนิทของเขา ได้เป็นพยานในพิธีทำสัญญาผูกพันเฟาสท์และซาตานด้วย

วรรณกรรมเรื่องนี้ได้รับการกล่าวขวัญถึงอย่างมาก เป็นวรรณกรรมชิ้นเอกของเยอรมันที่มีความสำคัญเทียบเท่ากับงานชิ้นเยี่ยมโลก เนื่องจากเป็นเรื่องราวของมนุษย์ที่ตกเป็นทาสของกิเลสจนถึงกับขายวิญญาณให้ปีศาจ

ที่จริงทฤษฎีและความเชื่อเรื่องขายวิญญาณให้ปีศาจมีอย่างแพร่หลายในแถบชาติตะวันตก แนวคิดนี้มาจากความเชื่อของแม่มด และซาตานที่ปรากฏอยู่ในคัมภีร์ไบเบิล

นี่เป็นแค่จิ๊กซอว์หรือตัวต่อแรกๆ ของบทเพลงนี้ ซึ่งมีหลายตัวต่อที่จะมาประกอบกัน แน่นอน ในวงการดนตรีตำนานเพลงบูลส์ อย่าง โรเบิร์ต จอห์นสัน ราชาบลูส์แห่งมิสซิสซิปปี้ หรือราชันย์แห่งเดลต้า บลูส์ ก็มีตำนานเล่าขานถึงการขายวิญญาณให้กับปีศาจบนทางสี่แพร่ง การกลับมาเป็นเทพกีตาร์และการเขียนเพลงร้องจนประสบความสำเร็จอย่างมากมาย หลังจากหายตัวไป

ในความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์ของโรเบิร์ต จอห์นสัน ก็มีการเอาคืนจากปีศาจจนเขาต้องจากไปในวัยหนุ่มก่อนเวลาอันควรในคืนที่สายลมโบกโบยหวีดหวิว

อีกโสตหนึ่งในการขายวิญญาณให้กับปีศาจผ่านทางอุปรากรหรือโอเปร่าที่มีต่อเฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ มิสามารถปฏิเสธถึง ‘Faustโดย ชาร์ล กูโนด์ และ ‘Mefistofeleโดย อาร์ริโก โบอิโต สองเรื่องของอุปรากรที่เกี่ยวกับการขายวิญญาณให้กับปีศาจ และเป็นรากฐานต้นแบบในการแผลงคลี่คลายมาสู่ความเป็นโอเปร่า ร๊อค ของบทเพลง ‘Bohemian Rhapsodyนี้

การวิวัฒน์ของดนตรีร๊อคในยุคทศวรรษที่ 70 โดยเฉพาะแนวดนตรีที่เรียกว่า โอเปร่าร๊อค บุคคลที่เป็นต้นแบบและวางรากฐานไว้ในฐานะปัจเจกบุคคลก็น่าจะเป็น เฟรดดี้ เมอร์คิวรี่ และวง Queen ของเขา มิเช่นนั้นดนตรีร็อคก็ไม่มีทางพัฒนาก้าวไกลแตกย่อยแยกแขนงไปอีกมากมายในอีกสายทางหนึ่ง

โอเปร่าหรืออุปรากรที่เกี่ยวกับการขายวิญญาณให้กับปีศาจผ่านวรรณกรรมชิ้นเอกของโลก ‘เฟาสท์’ เป็นความสนใจคลั่งใคล้ที่มาผนวกกับจริตและความกดดันภายในส่วนตัวของชีวิต ทำให้ถูกร้อยรัดพัฒนการหลอมรวมสู่สิ่งใหม่ออกมาทางดนตรีร๊อคให้มีความร่วมสมัยในยุคเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษที่แล้ว

ยังไม่หมดแค่นี้ ที่กล่าวมาเป็นแค่จุดเริ่มต้น มีอีกมากถึงแรงเหวี่ยงและโมเมนตัมของยุคสมัยที่ต้องแกะรหัสนัยกันต่อในบทเพลง ‘Bohemian Rhapsody

คราวหน้ามาว่ากัน… /

ตอนที่ 2 : ‘Bohemian Rhapsody’ – Queen [part: end]
“บทเพลงแพร้วเพริศของคนนอก”
| Link

***************
พอล เฮง

paulheng_2000@yahoo.com

mm

About พอล เฮง

นักวิพากษ์-นักวิจารณ์ที่ชอบขุดคุ้ยสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในเพลงออกมาตีแผ่

View all posts by พอล เฮง