รีวิวเครื่องเสียง PSB รุ่น Synchrony T600 ลำโพงตั้งพื้น ทรงทาวเวอร์

PSB (Paul & Sue Barton) เปิดตัวลำโพงระดับเรือธงของแบรนด์ออกมาเมื่อเดือน กันยายน 2021 ที่ประเทศแคนาดา ชื่อซีรี่ย์ว่า ‘Synchronyซึ่งตอนแรกนั้น พวกเขาปล่อยรุ่น Synchrony T600 (ต่อไปในรีวิวนี้ผมจะเรียกสั้นๆ ว่า T600) ที่เป็นแบบตั้งพื้นกับรุ่น Synchrony B600 ที่เป็นแบบวางขาตั้งออกมาแค่ 2 รุ่น หลังจากนั้นมาถึงเดือน สิงหาคม ปี 2022 พวกเขาก็ทำการเปิดตัวซีรี่ย์ Synchrony อีกครั้ง เป็นการเปิดตัวแบบเวิร์ลไวด์ ซึ่งคราวนี้พวกเขามีทำรุ่น Synchrony T800 ซึ่งเป็นลำโพงตั้งพื้นรุ่นใหญ่กว่า T600 ออกมาอีกรุ่น สามารถจับผสมกันเป็นชุดเซอร์ราวนด์ได้

รุ่น T800 ที่ออกมาเพิ่มเติมมีลักษณะเหมือนกับรุ่น T600 โดยเฉพาะลักษณะการจัดวางตำแหน่งของไดเวอร์ที่ออกมาทรงเดียวกัน ตัวทวีตเตอร์และมิดเร้นจ์ก็เป็นตัวเดียวกัน ที่ต่างกันมีแค่ 2 อย่าง นั่นคือ สัดส่วน+น้ำหนักของตู้ซึ่งรุ่น T800 ใหญ่กว่าและหนักกว่าหน่อย กับอีกอย่างคือ ขนาดของตัววูฟเฟอร์ซึ่งในรุ่น T600 ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 6.5 นิ้ว จำนวน 3 ตัว จัดการกับเสียงทุ้มตั้งแต่ 340Hz ลงไปถึง 24Hz ในขณะที่รุ่น T800 ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 8 นิ้ว จำนวน 3 ตัว จัดการกับเสียงทุ้มในย่านเดียวกันคือ ตั้งแต่ 340Hz ลงไปถึง 24Hz

รุ่นรองท็อป T600 ลำโพงตั้งพื้นทรงทาวเวอร์

ลำโพงในซีรี่ย์ Synchrony ของ PSB นี้เป็นลำโพงที่ออกแบบพื้นฐานใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่ตัวตู้, ไดเวอร์ และวงจรครอสโอเว่อร์เน็ทเวิร์ค โดยมุ่งเป้าหมายในการออกแบบไปตามสโลแกนของแบรนด์ที่ว่า “True to Natureซึ่งเป็นอุดมคติที่แทบจะทุกแบรนด์พยายามมุ่งหน้าไปแนวนั้น

T600 มาในตัวตู้สี่เหลี่ยมทรงสูงที่นิยมเรียกว่าทรงทาวเวอร์ที่มีแผงหน้าแคบกว่าความลึก ผิวตู้มี 2 สีให้เลือกคือสีดำเงาแบบผิวตัวบอดี้ของเปียโน กับผิววีเนียร์ลายไม้วอลนัท ไดเวอร์ทั้งหมดติดตั้งอยู่บนแผงหน้าโดยมีแผ่นอะลูมิเนียมบางๆ วางคั่นอยู่ระหว่างไดเวอร์กับแผงตู้ที่เป็นไม้ ซึ่งทางผู้ผลิตแจ้งว่าเป็นเทคนิคที่ช่วยเพิ่มความแน่นหนาและมั่นคงให้กับตัวไดเวอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่บนแผงหน้าของตัวตู้ ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีผลกับเสียงด้วย นอกจากนั้น พวกเขายังให้หน้ากากที่ทำด้วยผ้าโปร่งสีดำมาใช้ปิดคลุมไดเวอร์ทั้งหมดไว้ เวลาฟังสามารถดึงหน้ากากออกได้ง่ายๆ เพราะโครงกรอบของตัวหน้ากากถูกยึดติดอยู่กับแผงหน้าด้วยแม่เหล็กแท่งเล็กๆ

งานประกอบตัวตู้มีความปราณีตดี โดยเฉพาะงานสีและเคลือบผิวตู้ที่ดูเรียบและเงาวับ มาตรฐานเดียวกับงานเฟอร์นิเจอร์ น้ำหนักของแต่ละข้างอยู่ที่ 34.9 กิโลกรัม ไม่ถือว่าหนักมาก พอจะเคลื่อนย้ายด้วยตัวคนเดียวได้

ระบบตู้ของ T600 ถูกออกแบบมาด้วยเทคนิค ตู้เปิด” (open port) คือมีท่อระบายอากาศที่ยิงออกทางด้านหลังจำนวน 3 ท่อ

ถ้าพิจารณาลงไปในรายละเอียดการออกแบบเจาะลงเป็นจุดๆ คุณจะพบว่า Paul Barton ให้ความใส่ใจเกี่ยวกับการขจัดเรโซแนนซ์ออกไปจากระบบลำโพงอย่างมาก หลักฐานชิ้นหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนให้เห็นถึงความตั้งใจของเขาเกี่ยวกับความพยายามดังกล่าวก็คือ ระบบ isolate ที่ใช้ยกตัวตู้ลำโพงให้สูงขึ้นจากพื้นเพื่อตัดการเชื่อมโยงพลังงานจากคลื่นแรงสั่นสะเทือนจากพื้นไม่ให้หลุดขึ้นไปถึงตัวลำโพง ซึ่งแทนที่จะใช้แค่เดือยแหลมหรือทิปโทปลายแหลมแบบที่ลำโพงส่วนใหญ่เขาใช้กัน คุณพอลแกกลับไปเอาตัว isolators รุ่น GAIA II ของแบรนด์ isoAcoustics มาใช้รองแทน ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นอุปกรณ์เสริมที่กำลังโด่งดังอยู่ในวงการ โดยใช้ข้างละ 4 ตัว แยกติดตั้งไว้ที่มุมทั้ง 4 มุม ของแผ่นฐานของตู้ที่ทำมาจากแผ่นโลหะหนา

ตัวรอง GAIA II มีโครงสร้างที่ออกแบบมาให้ช่วยรองรับและสลายคลื่นความสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างพื้นห้องกับตัวลำโพงไม่ให้ถ่ายเทถึงกัน เป็นการป้องกันเรโซแนนซ์ที่จะเกิดขึ้นบนตัวตู้ไม่ให้ไปทำลายคุณภาพเสียงที่สร้างขึ้นโดยไดเวอร์ และเนื่องจากแกนในของตัว isoAcoustics มีลักษณะเป็นแท่งเกลียวที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1.0 .. ทางผู้ผลิตลำโพงจึงออกแบบหมุดเกลียวขนาดใหญ่ขึ้นมาใช้หมุนล็อคแท่งเกลียวจากด้านบน เพื่อความสวยงามและความแน่นหนาไปในตัว

ไดเวอร์ และโครงสร้างของตัวตู้

ในเอกสารของ PSB ระบุว่า T600 เป็นลำโพง 5 ทาง แบบ “transitional arrayที่ใช้วูฟเฟอร์ขนาด 6.5 นิ้ว จำนวนสามตัว, มิดเร้นจ์ขนาด 5.25 นิ้ว หนึ่งตัว และทวีตเตอร์ไตตาเนี่ยมขนาด 1 นิ้ว อีกหนึ่งตัว ทำงานร่วมกันในการติดตั้งบนแผงหน้าของตัวตู้เรียงกันลงมาในแนวดิ่งด้วยหลักการ transitional array ตามที่ผู้ผลิตกล่าวอ้าง

ไดอะแฟรมของมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์ทำมาจากเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์นำมาสานขึ้นรูป จึงมีน้ำหนักเบาแต่มีความแกร่งสูง มีคุณสมบัติในการตอบสนองความถี่ที่กว้างกว่าไดเวอร์สีเหลืองๆ แบบที่ใช้ในซีรี่ย์ Image เดิม แถมยังมีความไวสูงกว่า และมีความเพี้ยนต่ำกว่าด้วย ส่วนโครงของไดเวอร์ทำด้วยอะลูมิเนียมหล่อที่ให้ทั้งความมั่นคงแข็งแรงและไม่เกิดเรโซแนนซ์ออกมารบกวนการขยับตัวของไดอะแฟรม มีการใช้วงแหวนฟาราเดย์ (faraday rings) เข้ามาควบคุมสนามแม่เหล็กที่เกิดขึ้นในช่องว่างระหว่างกระบอกวอยซ์คอยกับแท่งแม่เหล็กให้มีความเสถียรตลอดเวลาด้วย อันนี้ส่งผลกับการผลักดันอากาศของไดอะแฟรมของวูฟเฟอร์และมิดเร้นจ์ให้มีพลังเต็มที่ตลอดเวลา และด้วยความนิ่งในการชักเข้าชักออกของไดอะแฟรม บวกกับกระบอกวอยซ์คอยที่ยาวเป็นพิเศษ ทำให้เสียงกลางและเสียงทุ้มที่ออกมาจากมิดเร้นจ์และวูฟเฟอร์มีความเพี้ยนฮาร์มอนิกรวม (THD) และความเพี้ยน IMD (intermodulation distortion) อยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำมาก

โดมไตตาเนี่ยมของทวีตเตอร์ถูกขับดันด้วยแม่เหล็กนีโอไดเมี่ยม โดยใช้แม่เหล็กเหลวระบายความร้อนของวอยซ์คอย ช่วยให้โดมทวีตเตอร์สามารถรองรับกำลังขับได้เยอะ ให้เสียงที่มีความดังสูง สวิงไดนามิกได้เต็มที่โดยไม่มีอาการอั้น และไม่ทำให้มีความเพี้ยนของฮาร์มอนิกเกิดขึ้น

ตู้ของ T600 ทำด้วยไม้ MDF ภายในมีการดามโครงเพิ่มความแข็งแรง บนแผงหน้าปิดทับด้วยแผ่นอะลูมิเนียมหนา 5 .. เพื่อลดเรโซแนนซ์บนแผงหน้า ด้านในตัวตู้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ห้อง โดยห้องที่ใช้ติดตั้งไดเวอร์มิดเร้นจ์และทวีตเตอร์มีลักษณะที่ปิดมิดชิด (ตู้ปิด) ส่วนอีกสามห้องมีขนาดเท่ากันทั้งหมด ด้านหลังมีช่องระบายอากาศทั้งสามห้อง แต่ละห้องเป็นที่ติดตั้งวูฟเฟอร์ห้องละตัว ซึ่งวิธีการแยกห้องที่ติดตั้งวูฟเฟอร์เด็ดขาดจากกันแบบนี้ช่วยขจัดโอกาสที่จะเกิดคลื่นสั่นค้าง (standing waves) ที่มักจะเกิดขึ้นภายในตัวตู้ให้หมดไป

วงจรตัดแบ่งความถี่

ดีไซน์ของวงจรครอสโอเวอร์ เน็ทเวิร์คที่ใช้ตัดแบ่งความถี่ระหว่าง มิดเร้นจ์กับ ทวีตเตอร์เป็นแบบ Linkwitz-Riley กำหนดจุดตัดแบ่งความถี่อยู่ที่ 1800Hz โดยใช้ฟิลเตอร์ออเดอร์ที่ 4 (LR4) ให้อัตราลดทอนความดัง ณ จุดตัดที่ชันมาก คือวูบลงเร็วระดับ 24dB/octave ทำให้ทวีตเตอร์รับภาระในการสร้างความถี่เสียงอยู่ในช่วง 1800Hz ขึ้นไปจนถึง 20,000Hz ส่วนจุดตัดระหว่างมิดเร้นจ์กับวูฟเฟอร์ตัวบนถูกกำหนดไว้ที่ 450Hz โดยใช้ฟิลเตอร์แบบ Butterworth ออเดอร์ที่ 3 (B3) ให้อัตราลดทอนความดัง ณ จุดตัดด้วยสโลปที่ 18dB/octave ส่วนวูฟเฟอร์อีกสองตัวที่อยู่ถัดลงมาถูกกำหนดให้ตอบสนองความถี่ต่ำในย่านที่แคบลงเรื่อยๆ และด้วยการจัดวางวูฟเฟอร์ที่มีระยะห่างเท่ากันในแนวดิ่ง แต่มีระยะใกล้กับพื้นห้องที่ต่างกัน มีผลทำให้คลื่นความถี่ต่ำที่สะท้อนขึ้นมาจากพื้นไม่เข้ามารบกวนคลื่นความถี่ที่ปล่อยออกไปจากตัววูฟเฟอร์ตัวบน

ผสมกับการจัดวางทวีตเตอร์ไว้ด้านล่างของมิดเร้นจ์ แล้วต่อด้วยวูฟเฟอร์ทั้งสามตัวที่ไล่เรียงกันลงไปทางด้านล่างด้วยระยะห่างที่เท่ากัน แต่ห่างจากพื้นห้องไม่เท่ากัน เป็นการประจายความถี่ต่ำ ทำให้เสียงทุ้มจากลำโพงวูฟเฟอร์ทั้งสามตัวไม่อัดกันขึ้นมารบกวนเสียงในย่านกลางแหลม ซึ่งทางผู้ผลิตเรียกรูปแบบการจัดวางไดเวอร์ลักษณะนี้ว่าเป็นดีไซน์แบบ “transitional-arrayซึ่งมีผลทำให้ได้ความยืดหยุ่นต่อตำแหน่งของผู้ฟัง ไม่ว่ายืนหรือนั่งก็จะได้โทนัลบาลานซ์ที่ไม่ต่างกัน จะนั่งฟังใกล้แบบ nearfield หรือนั่งฟังห่างแบบ far-field ก็จะได้โทนัลบาลานซ์ที่ไม่ต่างกันมาก

ขั้วต่อสายลำโพง

วงจรเน็ทเวิร์คของ T600 กำหนดจุดตัดแบ่งความถี่ออกเป็น 3 ท่อน ด้วยจุดตัดความถี่สองจุด คือที่ 1800Hz กับ 450Hz และพวกเขาได้แยกขั้วต่อสายลำโพงที่จะป้อนกำลังขับจากแอมป์ไปที่ไดเวอร์ทั้ง 3 ท่อนนั้นออกจากกันเป็น 3 ชุด โดยที่คู่บนเป็นขั้วต่อสำหรับสายลำโพงที่จะลำเลียงกำลังขับจากแอมป์ไปที่ตัวทวีตเตอร์, ขั้วต่อชุดที่สองถัดลงมาไปที่มิดเร้นจ์ ส่วนชุดที่สามที่อยู่ด้านล่างสุดสำหรับลำเลียงกำลังขับจากแอมป์ไปเลี้ยงวูฟเฟอร์ทั้งสามตัว

ทางผู้ผลิตคือ PSB ได้จัดจั๊มเปอร์มาให้ 4 อัน เป็นจั๊มเปอร์แบบสี่ขาที่ใช้เชื่อมโยงขั้วต่อสองชุดเข้าด้วยกัน กับจั๊มเปอร์แบบหกขาที่ใช้เชื่อมโยงขั้วต่อทั้งสามชุดเข้าด้วยกัน ให้มาอย่างละ 2 อันสำหรับลำโพงซ้ายขวา กรณีที่ระบบของคุณใช้แอมป์สเตริโอตัวเดียว คุณต้องใช้สายลำโพงแบบซิงเกิ้ล คือ 2 (ออกจากแอมป์) > 2 (เข้าลำโพง) คุณต้องใส่จั๊มเปอร์แบบ 6 ขาทั้งสองข้าง แล้วใช้สายลำโพงเสียบเข้าที่ขั้วต่อลำโพงขั้วไหนก็ได้ (เสียบแต่ละขั้วให้เสียงออกมาต่างกัน)

กรณีที่ระบบของคุณใช้แอมป์สเตริโอตัวเดียว (2 แชนเนล) แต่สายลำโพงที่คุณใช้เป็นแบบไบไวร์ 2 (ออกจากแอมป์) > 4 (เข้าลำโพง) คุณต้องใส่จั๊มเปอร์แบบ 4 ขา เชื่อมโยงระหว่างขั้วกลางกับขั้วล่าง หรือขั้วบนกับขั้วกลาง อย่างใดอย่างหนึ่ง ในการทดสอบครั้งนี้ผมใช้สายลำโพงไบไวร์ 2 > 4 รุ่น Hiemdall ของ Nordost ในการต่อเชื่อมระหว่างอินติเกรตแอมป์ 2 ตัวที่ใช้ทดลองขับ T600 คือรุ่น 40n ของ Marantz กับรุ่น MAC7200 ของ McIntosh โดยใช้วิธีต่อเชื่อมตามภาพประกอบข้างบนเพราะทดลองฟังเทียบแล้ว พบว่าเป็นวิธีเชื่อมต่อที่ให้ค่าเฉลี่ยของคุณภาพเสียงออกมาดีที่สุด

ถ้าคุณเข้าไปอ่านในคู่มือของลำโพงคู่นี้ จะพบว่าผู้ผลิตเขามีพูดถึงการเชื่อมระหว่างแอมป์กับลำโพงคู่นี้ในลักษณะที่เรียกว่า ไตรแอมป์” (tri-amp) ไว้ด้วย เป็นลักษณะของการใช้แอมป์จำนวน 6 แชนเนลเชื่อมต่อกับลำโพงคู่นี้ ซึ่งอาจจะเป็นเพาเวอร์แอมป์สเตริโอ 3 ตัว หรือแอมป์โมโนบล็อก 6 ตัวก็ได้ ซึ่งการเชื่อมต่อแบบไตรแอมป์น่าจะเป็นวิธีเชื่อมต่อในอุดมคติเพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลำโพงคู่นี้ แต่ก็ค่อนข้างยากในทางปฏิบัติอยู่เหมือนกัน เพราะต้องใช้เอ๊าต์พุตจากปรีแอมป์ที่เป็นระบบเสียงสเตริโอถึง 3 ชุดพร้อมกัน ไม่รู้จะไปหาจากไหน.? ถ้าคุณเลือกใช้ลำโพงคู่นี้แล้วนึกอยากจะทดลองเชื่อมแบบไตรแอมป์ก็ลองปรึกษาบริษัท Conice ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายลำโพงแบรนด์นี้ดู.. (ถามคุณสุราช โทร. 089-927-6878)

แม็ทชิ่ง

ในเว็บไซต์ของ PSB เขาจัดสเปคฯ ของลำโพงในซีรี่ย์ Synchrony ทั้ง 3 รุ่นคือ B600, T600 และ T800 ไว้รวมกัน ในภาพข้างบนนั้น สเปคฯ ของรุ่น T600 อยู่ตรงกลาง ซึ่งในนั้นมีตัวเลขที่เอามาใช้ประโยชน์ในการประเมินการแม็ทชิ่งและเซ็ตอัพอยู่ 4 ตัว ได้แก่ Sensitivity (ความไว), Impedance (ความต้านทาน), Input Power หรือ Power Handling (กำลังขับที่รับได้) และ Frequency Response (ความถี่ตอบสนอง)

เห็นตัวเลขความไวของ T600 แล้วอุ่นใจ เพราะตัวเลข 91dB ที่ระบุไว้ถือว่าค่อนไปทางสูง (เกิน 90dB ขึ้นไป) ตัวเลขแบบนี้ในทางพฤติกรรมแล้วถือว่าขับไม่ยาก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาระบุตัวเลขกำลังขับที่แนะนำไว้ว่าเริ่มจาก 20W ไปจนถึง 300W แต่มางงนิดๆ ตรงตัวเลขความต้านทานหรือ Impedance ซึ่งแปลกตรงที่ว่า ความต้านทานปกติ (nominal) กับความต้านทานต่ำสุด (minimal) ออกมาเท่ากัน.? ซึ่งโดยปกติแล้ว ความต้านทานปกติมักจะสูงกว่าความต้านทานต่ำสุด แต่เพิ่งจะเคยเห็นลำโพงรุ่นนี้ที่ระบุค่าความต้านทานแบบนี้..??

ผมลองทดสอบแบบง่ายๆ เพื่อดูว่า T600 คู่นี้จะไปกันได้ดีกับแอมป์ที่มีกำลังขับ ค่อนไปทางต่ำหรือแอมป์ที่มีกำลังขับ ค่อนไปทางสูงโดยคะเนเอาจากตัวเลขกำลังขับสูงสุดที่รองรับได้คือ 300W หารด้วยสอง ได้เป็น 150W คือตรงกลาง ผมทดลองใช้อินติเกรตแอมป์ Marantz รุ่น 40n ที่มีกำลังขับข้างละ 70W ที่โหลด 8 โอห์ม (ภาพข้างบน) และปั๊มเพิ่มได้เป็น 100W ที่โหลด 4 โอห์ม ซึ่งถือว่าเป็นแอมป์ที่มีกำลังขับ ค่อนไปทางต่ำคือต่ำกว่า 150W ซึ่งเป็นค่ากลางที่ลำโพงต้องการ..

ส่วนทางด้านกำลังขับที่ ค่อนไปทางสูงคือสูงกว่า 150W ผมใช้อินติเกรตแอมป์ของ McIntosh รุ่น MAC7200 (สองภาพข้างบน) เป็นตัวทดสอบ เพราะแอมป์ตัวนี้มีกำลังขับสูงถึง 200W ต่อข้างที่โหลด 2, 4 และ 8 โอห์มเท่ากันตลอด เป็นแอมป์โซลิดสเตทที่ใช้หม้อแปลงเอ๊าต์พุตควบคุมอิมพีแดนซ์ขาออกเพื่อให้ได้กำลังขับเท่ากันทุกโหลดตั้งแต่ 2-8 โอห์ม

จากการทดลองฟังเทียบกันแบบ A/B test ได้ความว่า T600 ไปได้แอมป์วัตต์ที่มีกำลังขับค่อนไปทางสูงได้ดีกว่าแอมป์ที่มีกำลังขับค่อนไปทางต่ำมาก คือตอนขับกับ Marantz 40n เสียงที่ออกมาก็ฟังดีพอสมควร เพลงที่มีสปีดช้าไปถึงปานกลางผ่านได้หมดเกือบทุกเพลง ส่วนเพลงเร็วที่เน้นไดนามิกรุนแรง ออกมาในระดับพอรับได้ รู้สึกได้ว่าพลังเสียงยังไม่เต็มที่ สาเหตุน่าจะเป็นเพราะกำลังขับของแอมป์ที่น้อยไป เพราะเมื่อฟังเพลงเดียวกันกับ McIntosh MAC7200 เห็นได้ชัดว่าเสียงออกมาเร็วและกระชับแน่นมากกว่า ทรานเชี้ยนต์ของหัวเสียงออกมาคมกว่า เก็บตัวดีกว่า ประเมินคร่าวๆ ดูแล้ว ถ้าคุณภาพเสียงสูงสุดของ T600 อยู่ที่ระดับ 100% เสียงโดยรวมที่ได้จากการขับด้วย Marantz 40n น่าจะทำได้ประมาณ 60-65% ในขณะที่ McIntosh MAC7200 ทำได้ประมาณ 80-85%

ตอนลองขับด้วย MAC7200 ผมทดลองเปรียบเทียบระหว่างเอ๊าต์พุตที่ 4 โอห์ม กับเอ๊าต์พุตที่ 2 โอห์ม ของ MAC7200 ด้วย โดยใช้สายลำโพง Heimdal ต่อแบบไบไวร์ฯ เสียบเข้าที่ขั้วบนกับขั้วกลาง แล้วจั๊มจากขั้วกลางลงไปที่ขั้วล่างด้วยสายจั๊มเปอร์ของ Nordost ผลปรากฏว่า ที่เอ๊าต์พุต 4 โอห์มของ MAC7200 + T600 เสียงโดยรวมจะออกมาบางและมีอาการแตกปลายตอนพีค ได้ยินชัดที่เสียงกลาง อย่างเช่นเสียงร้องตอนโหนขึ้นไปสูงๆ แต่เมื่อย้ายสายลำโพงฝั่งที่เสียบกับ MAC7200 ไปที่เอ๊าต์พุต 2 โอห์ม เสียงกระชับและควบคุมจังหวะได้ดีกว่า อาการแตกปลายหายไป หัวเบสคมและมีน้ำหนักมากขึ้น เวทีเสียงเปิดกว้างมากขึ้น ช่องว่างระหว่างชิ้นดนตรีถ่างออกจากกันมากขึ้น รับรู้ได้ถึงมวลฮาร์มอนิกที่กังวานแผ่ออกไปจากหัวเสียงเป็นระลอก ไทมิ่งของเพลงก็ถูกต้องมากขึ้น สรุปว่า เมื่อขับด้วย McIntosh MAC7200 แล้วเชื่อมต่อระหว่าง MAC7200 กับ T600 ด้วยสายลำโพงไบไวร์ฯ เลือกเอ๊าต์พุตของ MAC7200 ไปที่ 2 โอห์ม ได้เสียงออกมาดีที่สุด คุณภาพเสียงน่าพอใจในทุกด้าน ผมสรุปใช้ McIntosh MAC7200 ขับ T600 ในขั้นตอนฟังเพื่อประเมินเสียงของ T600

เซ็ตอัพ

ระยะความลึกของห้อง /3ของห้องฟังของผมอยู่ที่ 180 .. (5.4/3) ผมเริ่มต้นเซ็ตอัพโดยวางตำแหน่งซ้ายขวาของ T600 ไว้ที่ 180 .. และระยะห่างหลัง = 180 .. (ความลึก/3) จากนั้นก็เปิดเพลงที่เตรียมไว้แล้วปรับวอลลุ่มที่ MAC7200 ให้มีความดังขึ้นมาในระดับที่ผมฟังปกติ (ซึ่งค่อนข้างดัง เพราะผมต้องการดึงไดนามิกเร้นจ์ของลำโพงให้สวิงได้เต็มสเกลจริงๆ) จากนั้นก็เริ่มขยับตำแหน่งลำโพงทั้งสองข้างทีละนิด จนมาได้ตำแหน่งลงตัวที่ระยะห่างซ้ายขวาอยู่ที่ 188 .. ส่วนระยะห่างผนังหลังมาลงตัวที่ระยะ 182 .. เลยระยะห่างผนังหลังตรงจุดความลึกหารสามขึ้นมา 2 .. ตอนที่ทดลองขับด้วย Marantz 40n ผมได้ระยะห่างผนังหลังอยู่ที่ 175 .. และได้ระยะซ้ายขวาอยู่ที่ 168 .. ซึ่งเป็นระยะที่หุบเข้ามากกว่าตอนขับด้วย MAC7200 ที่ต้องถ่างลำโพงออกไปมากกว่า เข้าใจว่าเป็นอิทธิพลมาจากกำลังขับของแอมป์นั่นเองที่ทำให้จุดโฟกัสของเสียงไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งเดียวกัน

ในกล่องที่ใส่ลำโพงมีจุกยางทรงกระบอกกลมๆ สีดำขนาดใหญ่อยู่ 4 อัน (ภาพบนสุด) ให้มาเพื่อใช้จูนเสียงทุ้ม เพราะว่าจุกยางแต่ละอันจะมีขนาดฟิตพอดีๆ กับรูระบายอากาศของลำโพง กรณีที่คุณพบว่าเสียงเบสมีปริมาณโด่งล้นเกินกลางแหลม แต่พอใจทางด้านอื่นๆ อย่างเช่น เวทีเสียงโอเคแล้ว คุณก็สามารถใช้จุกยางอุดที่ท่อระบายอากาศเพื่อลดปริมาณเสียงทุ้มได้ มีมาให้ข้างละ 2 อัน ผมทดลองดูแล้ว มันลดได้เยอะมาก ถ้าใส่ทั้งสองอันคืออุด 2 ท่อพร้อมกัน เสียงทุ้มจะบางลงอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ดี ตอนเริ่มต้นเซ็ตอัพตำแหน่งลำโพง แนะนำว่าอย่าเพิ่งใส่จุกยางที่ว่านี้ ควรใช้กรณีที่มีปัญหาเสียงเบสล้นจริงๆ เท่านั้น ถ้าไม่มีปัญหาก็ไม่ต้องใช้

เสียงของ Synchrony T600

จะด้วยลักษณะการจัดวางตำแหน่งของไดเวอร์.? หรือจะเป็นเพราะการกำหนดจุดตัดความถี่ของวงจรเน็ทเวิร์ค.? หรือจะเป็นทั้งสองอย่างรวมกัน.?? ที่ทำให้เสียงของ T600 สามารถแสดงความสมดุลของโทนัลบาลานซ์ออกมาได้แม้ว่าจะนั่งฟังที่ระยะ nearfield (เลยจุด sweet spot มาแค่ฟุตนิดๆ) ซึ่งโดยปกติแล้ว ลำโพงตั้งพื้นที่มีขนาดตู้ใหญ่ประมาณนี้ ระยะนั่งฟังที่ให้ความถี่ที่มีความสมดุลมักจะอยู่เลยจุด sweet spot ออกไปเป็นเมตร เกินระยะ far-field ซะด้วยซ้ำไป แต่กับ T600 คู่นี้ คุณสามารถนั่งฟังได้ใกล้โดยที่เสียงทุ้มไม่ล้นขึ้นมากวนกลางแหลม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า คุณสามารถเซ็ตอัพ T600 ภายในพื้นที่ฟังที่จำกัดได้นั่นเอง

เมื่อขับด้วยแอมป์ที่มีกำลังขับน้อยกว่า 150W ที่ 8 โอห์ม เสียงที่ออกมาจะเอนเอียงไปทางนุ่ม เพราะไดนามิกสวิงได้ไม่เต็มสเกล ในขณะที่คุณสมบัติอื่นๆ ของเสียงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ นี่เป็นมรรคผลที่ได้มาจากความไวที่ระดับ 91dB ของลำโพงคู่นี้ทำให้มันไปกับแอมป์ที่มีกำลังขับระดับปานกลาง 100W +/- ได้ผลลัพฑ์ทางเสียงที่อยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้ ฟังเพลงช้าๆ ถือว่าผ่าน แต่ถ้าจะให้เล่นเพลงทุกแนวได้อรรถรสออกมาเต็มที่มากที่สุด แนะนำให้ใช้แอมป์ที่มีกำลังขับสูงๆ 200-250W ต่อข้างจะดีมาก หรือหากเป็นไปได้ ถ้าสามารถจัดเซ็ตไบแอมป์ หรือถึงขนาดไตรแอมป์ขับลำโพงคู่นี้ก็น่าจะได้เสียงที่ดีมากๆ

อย่างไรก็ดี เสียงของ T600 ที่ผมได้ยินจากการขับด้วย McIntosh MAC7200 ก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจมากแล้ว แม้ว่าเข้าใจว่าเสียงของ T600 จะไปได้ไกลกว่านี้ได้อีก แต่จะให้บอกว่าจะดีกว่านี้ยังไง ผมบอกไม่ได้ (*น่าเสียดายที่เพาเวอร์แอมป์ Audiolab รุ่น 8300XP ไม่อยู่ ผมเลยไม่ได้ลองใช้ชุดไบแอมป์ Audiolab 9000A + 8300XP ลองขับ T600 คู่นี้ เข้าใจว่าผลลัพธ์น่าจะออกมาดีทีเดียว.!)

อัลบั้ม : Unplugged (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Eric Clapton
สังกัด : Reprise

ลำโพงบางคู่ฟังอัลบั้มนี้แล้วรู้ว่าเป็นงานบันทึกการบรรเลงสดก็เพราะว่า ได้ยินเสียงคนปรบมือดังออกมาตอนเพลงจบ แต่ T600 คู่นี้มันทำให้ รู้สึกตลอดเวลาเลยว่า เพลงที่กำลังฟังมันเป็นเพลงที่บันทึกมาจากการบรรเลงสดๆ เพราะไม่ใช่แค่มีเสียงคนดูแทรกออกมา แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงออกถึงลักษณะของการบรรเลงสดจะถูกถ่ายทอดออกมาด้วย อาทิเช่น เสียงกระแทกปลายเท้าของเอริคดังตึ้กๆ พร้อมไปกับเสียงเบสรวมกันเป็นเสียงทุ้มต่ำๆ ตอนที่เล่นเพลง ‘Hey Heyซึ่งดังออกมาเบาๆ แต่เน้นๆ แน่นๆ คลอไปกับเพลงตลอด ซึ่งลำโพงบางคู่โดยเฉพาะลำโพงเล็กๆ จะไม่มีเสียงนี้ ถ้าเล่นเพลงนี้ผ่านลำโพงเล็กคุณจะได้อย่างเสียอย่าง คือถ้าเป็นลำโพงเล็กที่จูนเสียงกลางแหลมเด่นกว่าทุ้ม คุณจะได้ยินเสียงกีต้าร์ที่ชัดใสและลอยเด่นออกมา แต่เสียงทุ้มที่ว่าจะออกมาบางๆ ไม่ตึ้บ ในทางกลับกัน ถ้าเล่นผ่านลำโพงเล็กที่จูนเสียงทุ้มมาเด่นกว่ากลางแหลม คุณจะได้ยินเสียงกระแทกเท้าตึ้บๆ นี้ชัดขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน เสียงกีต้าร์ก็จะมีลักษณะที่หม่นทึมลงไป ไม่พุ่งใสออกมาเท่าที่ควร

ลำโพงใหญ่บางคู่ เล่นเพลงในอัลบั้มนี้แล้วเสียงโดยรวมจะออกทึมๆ ไม่ใสกระจ่าง ส่วนมากจะเป็นเพราะการออกแบบที่จัดการกับเสียงทุ้มได้ไม่ดีพอ ซึ่งจุดนี้คือไฮไล้ท์ของ T600 คู่นี้ ด้วยเทคนิคการจัดวางตำแหน่งของวูฟเฟอร์ทั้งสามตัวแบบ transitional array ผสมกับการออกแบบวงจรพาสซีฟฟิลเตอร์ที่มีเทคนิคพิเศษเฉพาะตัว ทำให้เสียงทุ้มของลำโพงคู่นี้ไม่มีการซ้อนทับกัน ส่งผลให้รายละเอียดของเสียงในย่านทุ้มทั้งหมด ตั้งแต่ ทุ้มตอนต้น (upper bass), ทุ้มตอนกลาง (mid bass) และ ทุ้มตอนล่าง (low bass) มีการแยกตัวออกจากกัน ไม่ผสมรวมกัน เสียงทุ้มของ T600 คู่นี้จึงออกไปทางโชว์รายละเอียดและแสดงความเป็นตัวตนโดยแยกหัวเสียงบอดี้ และหางเสียงออกจากกันอย่างชัดเจน ต่างจากลำโพงใหญ่บางคู่ที่ให้เสียงทุ้มออกมาในลักษณะที่ เน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ มีแต่เบสหนาๆ ทึบๆ ออกมา ซึ่งไม่ใช่แนวของ T600 คู่นี้.!

อัลบั้ม : AYA – Authentic Audio Check (WAV–16/44.1)
ศิลปิน : Various Artists
สังกัด : Stockfisch

ฟังเสียงทุ้มในแทรคที่ 3 เพลงPercussion ImprovisationTIEFBASSกับเพลง Percussion Improvisationแทรคที่ 11 ในอัลบั้มนี้ผ่านลำโพงคู่นี้แล้วแทบหงายหลัง..! มันเป็นเสียงทุ้มที่มีความถี่ต่ำมากๆ ตอนที่มันเกิดขึ้น เสียงของมันไม่ได้ดังมากนะ แต่มันเขย่าห้องจนรู้สึกได้ถึงพลังงานที่มันปลดปล่อยออกมา เป็นเสียงคลื่นความถี่ต่ำที่มีตัวตน มีพลัง และปรากฏชัดเจน แถมแยกอิสระออกไปจากความถี่อื่นๆ คือตอนมันแสดงตัวออกมา มันไม่ได้ส่งผลกระทบไปที่ความถี่อื่นเลย กลางกับแหลมยังคงลอยตัวออกมาเหมือนเดิม แสดงว่าตัวลำโพง T600 จัดการกับความถี่ตลอดย่านได้เยี่ยมยอดมาก ไม่ทำให้เกิดการซ้อนทับกันจนเบลอมัว ต่างคนต่างแสดงตัวตนและบทบาทในเพลงออกมาได้อย่างอิสระ ตัวตนของทุ้มไม่ไปกลบทับกลางและแหลม

เสียงเพอร์คัสชั่นที่มีลักษณะคล้ายเสียงเขย่ากระพรวนเคลื่อนที่ไปทางซ้ายทีขวาทีฟังออกชัดมาก แสดงถึงความสามารถในการรักษาความถูกต้องเชิงเฟสของสัญญาณที่ดีเยี่ยม จังหวะที่เคลื่อนที่ก็ฟังจับทิศทางได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแง่ ความชัดของอิมเมจชิ้นดนตรีในย่านกลางแหลมที่ได้ยินจากลำโพงใหญ่คู่นี้ต้องบอกเลยว่า อยู่ในระดับที่เยี่ยมยอดไม่แพ้ลำโพงขนาดเล็กระดับเซียนทั้งหลาย

อัลบั้ม : The Long Run (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Eagles
สังกัด : Asylum Records

The Long Run เป็นงานสตูดิโออัลบั้มลำดับที่ 6 ของวงดนตรียอดนิยมของโลกวงนี้ ซึ่งเป็นงานอัลบั้มที่มีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมาย อาทิเช่น เป็นงานชุดแรกของวงที่มีสมาชิกใหม่คือ Timothy B. Schmit เข้ามาทำหน้าที่เล่นเบสและร้องนำแทนสมาชิกดั้งเดิมคือ Randy Meisner ที่ลาออกไป, เป็นสตูดิโออัลบั้มชุดสุดท้ายที่มีสมาชิกหลักอย่าง Don Felder ทำหน้าที่โซโล่กีต้าร์, เป็นอัลบั้มสุดท้ายที่ Eagles ทำออกมากับค่าย Asylum และชุด The Long Run นี้ยังเป็นงานสตูดิโออัลบั้ม ชุดสุดท้ายที่เป็นผลงานของสมาชิกเต็มวงก่อนที่พวกเขาจะแยกวงกันไปใน ปี 1980 เมื่อโลกดนตรีเบนเข็มเข้าหาแนวเพลงดีสโก้กับอิเล็กทรอนิคพ๊อพ/แด๊นซ์เต็มรูปแบบ

นักวิจารณ์ไม่ค่อยปลื้มกับงานเพลงอัลบั้มนี้ แต่ผมชอบนะ.. แทบทุกเพลงในอัลบั้มนี้มันมีฟอร์มที่เป็นแบบ สูตรสำเร็จของเพลงพ๊อพที่ชัดเจน โครงสร้างดนตรีไม่ซับซ้อน ออกจะเรียบง่ายซะด้วยซ้ำไป เมื่อเทียบกับอัลบั้มยุคแรกๆ ของพวกเขาจะเห็นชัดเลยว่า ลักษณะ ซาวนด์จะต่างกันมาก คือซาวนด์ของชุด The Long Run นี้จะไม่มีเสียงกีต้าร์โปร่งๆ ใสๆ เหมือนในยุคแรก แต่จะไปเน้นหนักที่เสียงทุ้มหนาๆ แทน ทำให้เพลงส่วนใหญ่ในอัลบั้มนี้มีโทนออกไปทาง dark

การเรียบเรียงดนตรีที่มีลูกเล่นสอดแทรก เน้นจังหวะแน่นๆ กระชับๆ ทำให้หลายๆ ฟังดูมีสีสันน่าสนใจ ผมชอบเพลง ‘Those Shoesมาตั้งแต่ตอนเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ตอนนั้นฟังกับวิทยุกระเป๋าหิ้ว Sanyo ก็รู้สึกได้ว่าเสียงเบสเพลงนี้มันแน่นดีจัง วันนี้เอามาลองฟังกับลำโพง PSB คู่นี้แล้วพูดได้คำเดียวว่า หลุดไปอีกโลกเลย.!กลายเป็นเพลง Those Shoes เวอร์ชั่นที่ผมไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามันคือเพลงเดียวกันกับที่ผมเคยฟังมาสมัยเรียนมหาวิทยาลัย.! เพราะไม่ใช่แค่เสียงทุ้มที่มันทั้งแน่น กระชับ และนุ่มหนามากกว่าเท่านั้น ทว่า ทุกเสียงไม่ว่าจะเป็นเสียงร้อง และเสียงดนตรีทั้งหมดที่พุ่งผ่าน T600 ออกมา มันมีทั้งความสด และ จริงกว่าตอนฟังสมัยก่อนโน้นเยอะมาก… มากมายจนทำให้รู้สึกเหมือนดูการเล่นสดมากกว่าฟังจากไฟล์ที่ริปมาจากแผ่นซีดี

ที่สำคัญที่สุดที่ได้จากการฟังทดสอบด้วยอัลบั้ม The Long Run คือได้เห็นว่า T600 คู่นี้ตอบสนองต่อ ไทมิ่งของเพลงออกมาได้ดีมาก ทำให้ได้จังหวะจะโคนของเพลงที่แม่นยำ ที่น่าชื่นชมคือแม้ว่ามันจะให้เบสที่มีมวลหนาและแน่น แต่กลับไม่ทำให้เบสเฉื่อย เสียงเบสยังคงเด้งและขยับตัวได้เร็วสอดคล้องไปกับจังหวะของเพลงทุกขณะ อันนี้พิสูจน์ได้ถึงความสามารถในการถ่ายทอดคุณสมบัติของ ความเป็นดนตรีที่ลำโพง PSB คู่นี้ให้ออกมา ซึ่งคุณไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าลำโพงคู่ไหนที่มีความสามารถแบบนี้ ถ้าไม่ได้ลองฟังจากเพลงคอมเมอร์เชี่ยลทั่วไป โดยเฉพาะเพลงที่คุณคุ้นเคยมาก่อน..

อัลบั้ม : Audiophile Selection (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Tony O’Malley
สังกัด : Premium Records

อัลบั้ม : Come Away With Me (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : Norah Jones
สังกัด : Capital Records

ทุ้มเด่นมาก.. แล้วเสียงกลางล่ะ.? โดยปกติแล้ว ผมจะให้ความสำคัญกับเสียงกลางเป็นพิเศษ ก่อนการทดสอบฟังเสียง ในขั้นตอนแม็ทชิ่งเซ็ตอัพ และปรับจูน ผมจะพยายามทำให้ได้เสียงกลางออกมาดีที่สุดก่อนเสมอ ซึ่งครั้งนี้ผมใช้สองอัลบั้มนี้เป็นเพลงอ้างอิงในการปรับจูนเสียงกลางของ T600

Tony O’Malley เป็นนักร้องชายที่มีโทนเสียงอยู่ในย่านกลางคาบเกี่ยวลงมากลางต่ำ ในขณะที่เสียงร้องของ Norah Jones จะอยู่ในย่านกลางที่สูงกว่าโทนเสียงของนักร้องชายทั่วไปนิดนึง ซึ่ง T600 ก็ถ่ายทอดออกมาได้ตรงกับโทนเสียงของนักร้องทั้งสองคน ฟังแล้วไม่ได้รู้สึกว่ามีเสียงของใครเพี้ยนโทนไป เผลอๆ ผมว่า T600 จะถ่ายทอดเสียงร้องของทั้งสองคนนี้ออกมาได้ตรงกว่าลำโพงสองทางตัวเล็กๆ ซะอีก อย่างเสียงร้องของนอร่า โจนส์ที่ได้ยินจากลำโพงคู่นี้มันมีเนื้อมีนวลกว่าที่ผมได้ยินจากลำโพงเล็กๆ มาก ฟังรวมๆ แล้วให้ความรู้สึกเหมือนฟังเสียงคนร้องจริงๆ มากกว่า ในขณะที่เสียงของโทนี่ โอมอลลี่ ก็มีเสียงลูกคอปรากฏออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน ต่างกับตอนฟังผ่านลำโพงเล็กส่วนใหญ่จะได้ยินแค่บางๆ นั่นเป็นเพราะว่าลำโพงเล็กมีข้อจำกัดในการถ่ายทอดความถี่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มต้นๆ แต่นี่คือจุดแข็งของลำโพงใหญ่อย่าง T600 คู่นี้ ซึ่งพอเสียงร้องมันออกมาเต็มสเปคตรัม ได้เสียงกลางสูงกลางกลางต่ำออกมาครบย่านเสียงแบบนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือ อารมณ์ของเพลงที่ถ่ายทอดออกมาให้สัมผัสได้มากขึ้น ถือว่าเป็นคุณสมบัติที่ดีของลำโพงคู่นี้ ดีใจที่พอล บาร์ตันยังคงให้ความสำคัญกับเสียงกลางอย่างเหนียวแน่นอยู่เหมือนเดิม

อัลบั้ม : Now The Green Blade Riseth (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The Stockholm Cathedral Choir
สังกัด : LIM

อัลบั้ม : Plays Bizet, Beethoven, Pachelbel And Berlioz (WAV-16/44.1)
ศิลปิน : The All Star Percussion Ensemble
สังกัด : FIM (GS DXD 002)

จุดอ่อนของลำโพงใหญ่ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาก็คือ ความสามารถในการถ่ายทอดเวทีเสียงนี่แหละ ซึ่งจากที่รับรู้มาในอดีตก็มักจะออกมาในทำนองว่า ลำโพงใหญ่สู้ลำโพงเล็กไม่ได้ก็ตรงที่ลำโพงใหญ่ให้มิติเสียงได้ ไม่หลุดตู้เหมือนลำโพงเล็ก.. แต่จะว่าไปแล้ว ช่วงหลังๆ มานี้หลังจากที่ให้ความคร่ำเคร่งกับการเซ็ตอัพลำโพงที่เข้มข้นมากขึ้น ประกอบกับได้ห้องฟังใหม่ที่มีทั้งสัดส่วนและสภาพอะคูสติกที่เอื้อกับการทำงานของลำโพงใหญ่มากขึ้น ผมพบว่า ลำโพงใหญ่ยุคใหม่หลายๆ คู่ที่มีโอกาสทดสอบมา หลังจากเซ็ตอัพจนลงตัวแล้ว ผมว่าประเด็นเรื่อง เสียงหลุดตู้สำหรับลำโพงใหญ่มันทุเลาลงไปเยอะแล้วนะ หลายๆ คู่ทำได้ดีไม่แพ้ลำโพงเล็กแล้ว และเมื่อมองในแง่ของความถี่ที่ออกมาครบย่านเสียงมากกว่า เลยทำให้ลำโพงใหญ่บางคู่ (รวมถึง T600 คู่นี้ด้วย) ให้ สนามเสียงออกมาโอ่อ่าและหลุดตู้กระจายออกไปเกินปริมณฑลของห้องฟังออกไปอีก.!

ใครไม่เชื่อที่ผมว่ามา ต้องมาลองฟังทั้งสองอัลบั้มข้างบนนี้ บอกเลยว่าฟังแล้วจะขนลุก โดยเฉพาะชุด Now The Green Blade Riseth นั้น สนามเสียงทะลุทลวงมาก ทันทีที่เสียงแรกของแผ่นนี้ดังผ่านลำโพงออกมา รู้สึกได้เลยว่ามันผุดสนามเสียงขึ้นมาในห้องที่มีขนาดใหญ่เหมือนลูกโป่งที่มีขอบกว้างเลยผนังห้องออกไปไกล ให้ความรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในโบสถ์ และด้วยฐานเสียงทุ้มที่ T600 ให้ออกมาได้ทั้งเบสลึกๆ และมวลต่ำๆ ยิ่งทำให้ได้ บรรยากาศที่เปิดกว้างเหมือนอยู่ในห้องโถงใหญ่ๆ มากยิ่งขึ้น โดยมีเสียงฟรุ๊ท เสียงออร์แกน และเสียงร้องประสานแผ่กระจายออกไปไกลๆ ก้องสะท้อนผนังโบสถ์ย้อนกลับมาอบอวลอยู่โดยรอบ ซึ่งประเด็นนี้ต้องยกเครดิตให้ลำโพงใหญ่อย่าง T600 คู่นี้ เพราะลำโพงเล็กทำแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด.!!

เสียงเพอร์คัสชั่นของวง All Star Percussion Ensemble ออกมามันมากกับลำโพงคู่นี้.!! ปกติแล้ว ตอนฟังชุดนี้กับลำโพงเล็กๆ จะรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับมิติเสียงที่หลุดตู้กระจายออกไปรอบด้าน กับรู้สึกตื่นเต้นไปกับทรานเชี้ยนต์ไดนามิกของเสียงเครื่องเคาะต่างๆ แต่พอเอามาลองฟังกับ T600 คู่นี้ ผมกลับได้ยินอะไรที่ออกมามากกว่านั้นไปอีก กลายเป็นว่า รายละเอียดที่อยู่ในย่านกลางต่ำลงไปถึงทุ้มตอนล่างๆ ซึ่งเป็นย่านเสียงที่ลำโพงเล็กให้ไม่ได้มันพรั่งพรูออกมาให้ได้ยินเยอะมาก กอปรกับเสียงในย่านกลางและแหลมเข้าไป ออกมาเป็นมิติเสียงที่ใหญ่ขึ้น ครบเครื่องมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงเครื่องเคาะที่อยู่ในย่านต่ำปรากฏออกมา ก็ทำให้ได้ ขนาดของวง All Star Percussion Ensemble ที่แผ่กว้างและโอ่อ่ามากขึ้น ฟังแล้วน่าเกรงขามจริงๆ ถ้าชอบเพลงแนวนี้ คุณไม่มีทางพอใจกับเสียงที่ได้จากลำโพงขนาดเล็กอย่างแน่นอน ยิ่งถ้าได้มีโอกาสลองฟังกับลำโพงขนาดใหญ่ที่ให้เสียงครบๆ อย่าง T600 คู่นี้รับรองว่า.. จบ!!

สรุป

ผมใช้เวลาอยู่กับ PSB Synchrony T600 คู่นี้เกือบหนึ่งเดือนเต็มๆ หลังจากแม็ทชิ่ง+เซ็ตอัพจนลงตัวแล้ว ผมยอมรับเลยว่า ผมได้รับความบันเทิงใจกับการทดลองฟังเพลงผ่านลำโพงคู่นี้มากเป็นพิเศษ เพราะเมื่อลองฟังแผ่นเพลงไฮเอ็นด์ฯ ลำโพงคู่นี้ก็แสดงให้เห็นถึง สมรรถนะในการบันทึกเสียงที่เยี่ยมยอดของแผ่นไฮเอ็นด์ฯ เหล่านั้น และเมื่อเปลี่ยนมาลองฟังเพลงตลาดทั่วไปซึ่งเป็นเพลงที่ผมชอบและคุ้นเคยตั้งแต่สมัยก่อนมาเล่นเครื่องเสียง ซึ่งลำโพงคู่นี้ก็ไม่ได้พยายามที่จะ ฟ้องตำหนิของเพลงเหล่านั้นออกมามากซะจนทำให้เกิดความรู้สึกไม่อยากฟัง มันยังคงนำเสนอส่วนที่เป็น อารมณ์ของเพลงเหล่านั้นออกมาให้ได้ยินอย่างครบถ้วน ไม่บกพร่อง ในขณะที่ชี้ให้เห็นถึงความไม่สมบูรณ์ของกระบวนการบันทึกและมิกซ์ออกมาให้รับรู้ โดยไม่ไปบดบังอรรถรสของเพลงลงไป คือฟังแล้วบอกกับตัวเองได้ว่า รู้ว่าเพลงนั้นอัดไม่ดีตรงไหน แต่ก็ยังฟังแล้วได้อารมณ์เพลงออกมาอย่างที่เคยฟังสมัยก่อน

ตอนเริ่มต้นทดสอบลำโพงคู่นี้ ผมรู้สึกว่า Paul Barton ทำอะไรลงไปเยอะมากกับลำโพงคู่นี้ แต่ทุกอย่างที่เขาบอกมามันก็คือเทคนิคและหลักการในการออกแบบ ถ้าไม่ได้ลองฟังของจริงก็คงฟังหูซ้ายทะลุออกหูขวาแล้วก็ลืมมันไป แต่เมื่อได้ลองใช้ชีวิตอยู่กับลำโพงคู่นี้มานานแรมเดือน ฟังเพลงผ่านลำโพงคู่นี้ไปมากกว่าร้อยเพลง ผมก็บอกกับตัวเองเลยว่า ถ้าชาตินี้จะต้องเลือกลำโพงสักคู่มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปตลอด PSB Synchrony T600 คู่นี้จะอยู่ในรายชื่อที่ผมพิจารณาเลือกแน่นอน..!!! /

************************
ราคา : 285,000 บาท /
คู่
************************
สนใจติดต่อ/
สอบถามได้ที่
. โคไน้ซ์ อีเล็คโทรนิค
โทร. 02-276-9644

อีเมล: conice@conice.co.th
ติดต่อทาง
ติดต่อทาง Facebook

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า