รีวิวหูฟัง SOUL รุ่น OpenEar S-Clip หูฟังไร้สาย Air Conduction แบบหนีบใบหู

หันหลังให้แค่แว๊บเดียว เหลียวกลับมาอีกที.. โลกเปลี่ยนไปแล้ว! ช่วงสี่ห้าปีที่ผ่านมานี้ วงการหูฟังมีความเคลื่อนไหวเยอะมาก มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง บางอย่างชี้ให้เห็นถึงทิศทางของการพัฒนาหูฟังที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างชัดเจน ยกตัวอย่างประเด็นเรื่อง Air Conduction vs. Bone Conduction ที่กำลังเป็นที่มึนงงของผู้บริโภคในช่วงนี้

Air Conductionกับ ‘Bone Conduction
มันคืออะไร.?

คำว่า ‘Conductionแปลตรงตัวได้ว่า นำเมื่อเอามาใช้ในกรณีนี้ หมายถึงสิ่งที่เป็น ตัวกลางหรือ สื่อที่มีคุณสมบัติในการนำพา คลื่นเสียงเข้ามาสู่ประสาทการรับฟังของเรานั่นเอง

เครดิตภาพ Wikipedia

โดยธรรมชาติแล้ว เราได้ยินเสียงต่างๆ เนื่องจากคลื่นเสียงนั้นเดินทางเข้ามาที่หูของเราโดยมีอากาศเป็นตัวกลางนำพามา เมื่อคลื่นเสียงเดินทางผ่านเข้ามาในช่องหู (auditory canal) จนเลยมาถึงส่วนที่เป็นประสาทหูส่วนกลาง คลื่นเสียงนั้นจะส่งพลังไปกระตุ้นให้เยื่อ tympanic membrane เกิดการสั่นแล้วส่งเป็นพลังงานคลื่นความสั่นสะเทือนต่อเนื่องไปที่กระดูกทั่งและโคนเรื่อยไปจนเข้าไปถึงส่วนที่เรียกว่า “คอกเคลีย(cochlea) ที่อยู่ในหูชั้นใน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือลักษณะการ ได้ยินเสียงโดยปกติของคนเรา ซึ่งเกิดจากคลื่นเสียงอาศัย อากาศเป็นพาหะ” (Air Conduction) เดินทางเข้ามาที่หูของเรา (เส้นสีฟ้า ในภาพล่างนี้)

เครดิตภาพ IPSnews

ในขณะที่การได้ยินอีกรูปแบบ ที่คลื่นเสียงอาศัย โครงกระดูกเป็นพาหะเรียกว่า Bone Conduction (เส้นสีส้ม) เกิดขึ้นโดยอาศัยอุปกรณ์ที่เรียกว่า transducers ทำการเปลี่ยนสัญญาณเสียง (audio data) ให้ออกมาเป็นพลังงานความสั่นสะเทือน (vibrationแบบเดียวกับที่สร้างขึ้นโดย tympanic membrane แล้วส่งพลังงานความสั่นสะเทือนที่ว่านี้เดินทางไปถึงประสาทหูชั้นในโดยอาศัยโครงกระดูกที่เป็นส่วนของกระโหลกศีรษะเป็นตัวกลางนำพาไป ซึ่งวิธีนี้ทำให้สัญญาณเสียงไม่ต้องเดินทางผ่านช่องหูและประสาทหูชั้นกลาง.. เรียกว่ายิงตรงจากแหล่งกำเนิดคลื่นเข้าสู่ประสาทหูชั้นในกันเลย ว้าวว..!!!

แบบไหนดีกว่ากัน.? เมื่อนำลักษณะการส่งผ่านคลื่นเสียงทั้งสองรูปแบบนี้มาทำเป็นหูฟัง แบบ Bone Conduction ได้เปรียบเรื่องต้นทุนในการผลิต ทำให้ราคาต่ำกว่า แต่ถ้าวัดกันที่คุณภาพของเสียงที่ได้จากการฟังเพลงแล้ว แบบส่งผ่านอากาศหรือ Air Conduction ให้คุณภาพเสียงออกมาดีกว่า เพราะการส่งผ่านอากาศจะให้แบนด์วิธ (ความถี่) ของเสียงออกมากว้างกว่าโดยเฉพาะในย่านความถี่สูงจะมีความสดใสกว่า

หูฟังแบบ “Open Ear” ??

การสวมใส่หูฟังในปัจจุบันจะให้ความใส่ใจเรื่อง ความปลอดภัยมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้ หูฟังได้กลายเป็นอุปกรณ์เครื่องใช้ที่มีความจำเป็นสำหรับการสื่อสารไปแล้ว โดยเฉพาะหูฟังตัวเล็กๆ ที่ผู้ใช้สามารถสวมใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะเดินทาง, ออกกำลังกาย หรือแม้แต่เล่นกีฬา ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการคิดค้นหูฟังประเภทหนึ่งขึ้นมา เรียกว่า “Open Earคือแบบที่ขณะใช้งาน บอดี้ของตัวหูฟังจะไม่ไปอุดขวางอยู่ในช่องหู ทำให้ผู้สวมใส่ยังคงสามารถได้ยินเสียงแวดล้อมรอบข้างได้ ทำให้เกิดความปลอดภัยมากขึ้น

SOUL OpenEar S-Clip
หูฟังไร้สายที่ส่งคลื่นเสียงผ่านอากาศขนาดเล็กจิ๋ว.!

หูฟังตัวนี้มีขนาดเล็กจิ๋วมาก ลักษณะของตัวหูฟังก็ดูแปลกตากว่าหูฟังแบบเอียร์บัดที่เห็นอยู่ทั่วไป คือส่วนของไดเวอร์กับส่วนของวงจรภาครับสัญญาณบลูทูธและแบตเตอรี่ถูกแยกออกจากกันเป็น 2 ส่วน แต่ละส่วนถูกบรรจุอยู่ในบอดี้พลาสติกทรงกลมสีดำ โดยมีก้านเล็กๆ ที่มีลักษณะโค้งเชื่อมโยงบอดี้ที่ห่อหุ้มชิ้นส่วนทั้งสองส่วนไว้ มองเผินๆ จะคล้ายกับหูฟังแบบครอบหูที่ย่อส่วนลงมา

บนตัวหูฟังไม่มีปุ่มปรับใดๆ นอกจากจุดโลหะสัมผัส 2 จุด สำหรับชาร์จไฟเข้าตัวหูฟัง (ศรชี้ > ภาพบนสุด), ช่องที่ปล่อยคลื่นเสียงออกไปเข้าหู (ศรชี้ > ภาพกลาง) และจุดสัมผัสสั่งงานด้วยระบบ Touch Controls (ศรชี้ > ภาพล่างสุด)

ตรงก้านที่เชื่อมโยงบอดี้ของหัวฟังทั้งสองส่วนจะมีไฟ LED สีฟ้าอยู่หนึ่งดวง (ศรชี้ > ภาพบน) ซึ่งจะติดสว่างและกระพริบขึ้นตอนหยิบออกมาจากกล่อง แสดงภาวะการทำงานของโหมด ‘Auto Pairของตัวหูฟัง ซึ่งเป็นฟังท์ชั่นในการเชื่อมต่อ Bluetooth แบบอัตโนมัติ

ตัวหูฟังมาในกล่องกระดาษแข็ง ซึ่งในนั้นนอกจากจะมีตัวหูฟังทั้งสองข้างที่แพ็คอยู่ในตลับแล้ว ภายในกล่องยังมีสายชาร์จไฟ USB-A > USB-C มาให้หนึ่งเส้น กับคู่มือเล่มเล็กๆ อีกหนึ่งเล่ม

ตลับที่ใส่หูฟังมีลักษณะเป็นตลับสี่เหลี่ยม ขอบโค้งมน ขนาดเล็กกระทัดรัด สีดำ บนตัวตลับมีลักษณะเรียบเกลี้ยงเกลามาก ที่ฝาเปิด/ปิดมีโลโก้แบรนด์ตัว S อยู่ในแป้นสีเงินติดอยู่ ส่วนที่ด้านล่างฝั่งตรงข้ามกับฝามีรูเสียบขั้วต่อ USB-C สำหรับชาร์จไฟ (ศรชี้ > ภาพล่าง) แค่นั้น

แบตเตอรี่

ขณะชาร์จแบตเตอรี่ (โดยมีหูฟังอยู่ในตัวตลับ) บนตัวตลับจะมีไฟ LED ดวงเล็กๆ สีขาวสว่างขึ้นและจะกระพริบขณะชาร์จไฟ เมื่อชาร์จเต็มแล้ว ไฟดวงนี้จะหยุดกระพริบ และหูฟังที่ชาร์จไฟเต็มจะใช้งานได้ 9 ชั่วโมงต่อเนื่อง เมื่อแบตฯ หมดสามารถชาร์จจากตลับได้อีก 3 ครั้ง รวมแล้วสามารถใช้งานได้ถึง 36 ชั่วโมง ต่อการชาร์จหูฟังพร้อมตลับจนเต็มหนึ่งครั้ง

คุณสมบัติ และสมรรถนะ

ไดเวอร์ที่ใช้สร้างความถี่เสียงในหูฟังรุ่นนี้เป็นไดเวอร์แบบไดนามิก ทรงกลมรี ขนาด 17 x 12 .. สามารถตอบสนองความถี่ได้กว้างขวาง ครอบคลุมความสามารถในการได้ยินของมนุษย์ได้ครบ นั่นคือตั้งแต่ 20Hz ขึ้นไปจนถึง 20kHz จึงใช้ฟังเพลงได้ด้วย ไม่ใช่แค่รับโทรศัพท์อย่างเดียวเหมือนสมอลทอล์คที่ตอบสนองความถี่แคบกว่า

ทางด้านสมรรถนะของหูฟังตัวนี้ เมื่อพิจารณาจากตัวเลขความต้านทาน (Impedance) ของหูฟังตัวนี้อยู่ที่ 18 โอห์ม ผนวกกับตัวเลขของความไว (Sensitivity) ซึ่งระบุไว้ที่ 92dB (+/-3dB) ก็นับว่าเป็นหูฟังที่มีสมรรถนะสูง ขับง่าย ไม่กินกำลังของแอมป์มาก สื่อสารกับอุปกรณ์อื่นผ่าน Bluetooth v. 5.2 จากการทดลองเชื่อมต่อ Bluetooth ใช้งานร่วมกับ iPhone 12 พบว่า เกนสัญญาณใน iPhone 12 มีมากพอที่จะทำให้หูฟังตัวนี้มีความดังในระดับที่เพียงพอต่อการใช้งานในสภาพที่มีเสียงแวดล้อมค่อนข้างดัง แสดงว่ากำลังขับในตัวหูฟังก็ให้มามากพอ สามารถสู้กับเสียงแวดล้อมได้ดี ผมทดสอบด้วยการทดลองใช้ฟังเพลงในห้องรับแขกที่มีเสียงของทีวีเปิดดังๆ พบว่า ผมใช้วอลลุ่มที่ iPhone 12 แค่ประมาณ 75% ก็ได้ยินรายละเอียดในเพลงที่ฟังออกมาครบ ในขณะที่ยังได้ยินเสียงทีวีคลอไปพร้อมกัน

และเนื่องจากเป็นหูฟังที่ตั้งใจออกแบบมาให้ใช้ขณะออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาซึ่งมีโอกาสที่จะโดนน้ำได้ ซึ่งผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเพราะหูฟังตัวนี้ผ่านมาตรฐานกันน้ำในระดับ IPX6 มาแล้ว สามารถใส่ออกกำลังกายได้สบายมาก

การเชื่อมต่อ

หูฟังตัวนี้ใช้ Bluetooth เวอร์ชั่น 5.2 ซึ่งมาพร้อมฟังท์ชั่น Auto Pair Mode เมื่อหยิบหูฟังออกมาจากตลับ ตัวหูฟังจะพร้อมเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกทันที ซึ่งการเชื่อมต่อก็ทำได้ง่ายมาก หลังจากหยิบตัวหูฟังออกมาจากตลับแล้ว จากนั้นก็แค่เปิดเข้าไปในเมนู Bluetooth ของสมาร์ทโฟน ซึ่งจะเห็นชื่อของหูฟังตัวนี้โชว์ขึ้นมา (SOUL OPENEAR S-CLIP) พร้อมให้คุณเลือกเชื่อมต่อทันที แค่จิ้มเลือกลงไปที่ชื่อของหูฟังตัวนี้ก็เชื่อมต่อได้เรียบร้อย ถือว่าเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้ง่ายมาก..!!

การควบคุมสั่งงาน

หูฟังตัวนี้รองรับฟังท์ชั่น HFP, A2DP และ AVRCP จึงสามารถรองรับการปรับวอลลุ่มจากอุปกรณ์ภายนอกที่เชื่อมต่อกับหูฟังตัวนี้ได้ (อย่างเช่น สมาร์ทโฟนหรือแท็ปเล็ต)

ระบบสั่งงานแบบสัมผัส (Touch Control) ของหูฟังตัวนี้ครอบคลุมการสั่งงานได้ถึง 5 ฟังท์ชั่น เริ่มจากฟังท์ชั่น เปิด/ปิดการทำงานของตัวหูฟัง (กดที่แป้นของหูข้างไหนก็ได้ แช่ไว้นานมากกว่า 2 วินาที), ฟังท์ชั่น โทรศัพท์” (กดที่แป้นข้างใดก็ได้ 2 ครั้งเพื่อรับสายโทรเข้า / หลังจากนั้น กดค้างไว้ข้างใดก็ได้ มากกว่า 2 วินาที), ฟังท์ชั่น “Low Latencyสำหรับเล่นเกมส์ (กดที่แป้นข้างซ้าย 3 ครั้ง), ฟังท์ชั่น ฟังเพลง” (แตะที่แป้นใดก็ได้ 2 ครั้ง = เล่นและหยุดชั่วคราว, กดแป้นขวาแช่เกิน 2 วินาที = ข้ามแทรคไปข้างหน้า, กดแป้นซ้ายแช่เกิน 2 วินาที = ถอยไปแทรคก่อนหน้า) และสุดท้ายคือฟังท์ชั่น สั่งงานด้วยเสียง” (แตะที่แป้นข้างขวา 3 ครั้ง เพื่อใช้ฟังท์ชั่นสั่งงานด้วยเสียงผ่าน Siri / Google Assistant)

โหมดที่ใช้เล่นเกมส์มีชื่อว่า “Entertainment Modeซึ่งออกแบบมาให้ใช้กับการเล่นวิดีโอเกมส์โดยเฉพาะ ซึ่งโหมดนี้จะทำให้เสียงจากหูฟังตัวนี้สามารถซิ้งค์กับภาพของวิดีโอเกมส์ได้ทัน ไม่มีปัญหาหน่วงช้า เพราะทำให้ Latency ลดต่ำเหลือเพียงแค่ 40ms เท่านั้น

เสียงของ OpenEar S-Clip

ที่ถูกที่ควรนั้น เวลาหนีบตัวหูฟัง OpenEar S-Clip ตัวนี้เข้ากับใบหูของผู้ใช้ ช่องระบายเสียงของบอดี้ส่วนที่ติดตั้งไดเวอร์จะต้อง ชี้ตรงเข้าไปที่รูหูของผู้สวมใส่ให้มากที่สุด และต้องเข้าอยู่ ใกล้กับรูหูให้มากที่สุด จะทำให้คลื่นเสียงจากตัวหูฟังพุ่งเข้าสู่หูของผู้ใช้งานได้อย่างเต็มที่ แต่ในชีวิตจริงนั้น ใบหูของคนเราจะลักษณะที่นิ่ม และแต่ละคนก็มีรูปแบบของใบหูไม่เหมือนกัน ทำให้เมื่อหนีบตัวหูฟังตัวนี้เข้าไปแล้ว ในบางคนช่องระบายเสียงของตัวหูฟังอาจจะไม่ได้เข้าไปใกล้กับรูหูของผู้ใช้มากอย่างที่ควร ซึ่งของผมเองก็มีลักษณะเช่นนั้น คือหลังจากหนีบตัวหูฟังเข้ากับใบหูและลองขยับตำแหน่งจนคิดว่าหูฟังไม่หลุดร่วงแน่ๆ แล้ว ปรากฏว่า ตัวหูฟังมันมีลักษณะที่ห้อยตัวลงไปตามใบหู ทำให้ช่องระบายเสียงของหูฟังห่างออกจากรูหูนิดนึง ไม่แนบชิดเหมือนอย่างที่แนะนำไว้ในคู่มือ แต่เมื่อผมลองเปิดเพลงฟัง พบว่า เสียงเพลงที่ได้ยินออกมาชัดกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ

ในสภาพที่มีเสียงแวดล้อมเล็กน้อย คือในห้องรับแขกที่นั่งห่างออกมาจากทีวีเกือบหกเมตร และเปิดเสียงของทีวีระดับปกติ ผมใช้วอลลุ่มที่ iPhone 12 ประมาณ 75% ของระดับความดังสูงสุดที่สามารถใช้ได้เท่านั้น ก็ได้ยินรายละเอียดของเพลงที่ฟังออกมาครบ โดยเฉพาะเสียงกลางและแหลมอยู่ในเกณฑ์ที่พอใช้ได้ ฟังเอาเพลินๆ ได้เลย แต่ถ้าเทียบกัน เสียงที่ได้จากหูฟังเอียร์บัดที่อุดเข้าไปในรูหูตรงๆ จะออกมาเต็มกว่า โดยเฉพาะเบสออกมาแน่นกว่า แต่หูฟังเอียร์บัดจะบล็อกเสียงภายนอกเอาไว้หมด ในขณะที่หูฟัง OpenEar ตัวนี้จะปล่อยให้เสียงแวดล้อมแทรกปนเข้ามาให้ได้ยินด้วย ข้อดีคือความปลอดภัย ซึ่งเป็นวัตถุประสงค์ของหูฟังประเภทนี้อยู่แล้ว

พอได้ทดลองใช้งานมาสักพัก ผมพบว่า เสียงของหูฟังตัวนี้ออกมาดีกว่าที่ผมคาดไว้จริงๆ ไม่นึกว่าแค่เหน็บไว้ใกล้ๆ หูจะได้ยินชัดมากขนาดนี้ แต่มานึกๆ ดูแล้ว ลักษณะนี้ก็ไม่ต่างจากการฟังเสียงจากลำโพงบลูทูธในสภาพปกติ ซึ่งลำโพงบลูทูธเหล่านั้นก็ไม่ได้มาอยู่ใกล้กับหูของเรามาก และมีเสียงจากสภาพแวดล้อมเข้ามาปนอยู่ด้วย ซึ่งการที่จะทำให้ได้ยินเสียงชัดๆ ต้องเปิดวอลลุ่มเยอะ แต่หูฟัง OpenEar ของ SOUL ตัวนี้ไม่ต้องเปิดดังจนเสียงไปรบกวนคนอื่นก็ได้ยินชัดพอแล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะหูฟังตัวนี้มีระบบตัดเสียงรบกวนจากภายนอกเข้ามาช่วยอยู่ด้วยนั่นเอง แบตเตอรี่ก็ใช้ได้นานหายห่วง แถมกันเหงื่อได้ด้วย ใส่ออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาได้สบายเลย

สรุป

หูฟัง OpenEar S-Clip ของ SOUL ตัวนี้เหมาะสมมากกับการใช้งานแบบเหน็บติดอยู่กับใบหูไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะใช้ฟังเพลงหรือรับสายโทรฯ ก็ได้เสียงที่มีความชัดเจน ดังพอสำหรับสภาพแวดล้อมที่มีเสียงในระดับปานกลาง และด้วยน้ำหนักที่เบามาก ทำให้ไม่รู้สึกรำคาญแม้ว่าจะหนีบทิ้งไว้นานๆ /

*********************
ราคา : 1,590 บาท / ชุด
*********************
สนใจสั่งซื้อได้ที่
อัศวโสภณ ออนไลน์สโตร์

mm

About ธานี โหมดสง่า

View all posts by ธานี โหมดสง่า