บางคนไม่ชอบเอาซะเลยกับความรู้สึกอึดอัดเวลาสวมใส่หูฟังแบบ “อินเอียร์” (in-ear) ลักษณะที่สอดเข้าไปรูหู ในขณะที่บางคนไม่ชอบมากถึงขนาดทนไม่ได้กับความรู้สึกอึดอัดที่ว่านั้นก็มี ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้มีหูฟังอีกประเภทที่ถูกทำออกมาทดแทนกัน นั่นคือหูฟังแบบ “เอียร์บัด” (Earbuds) ซึ่งใช้วิธีสวมใส่ด้วยการวางแปะไว้ในช่องหู ไม่ต้องสอดเข้าไปในรูหูเหมือนหูฟังแบบอินเอียร์
แต่เนื่องจากตัวบอดี้ของหูฟังแบบ Earbuds วางอยู่ในช่องหู ไม่ได้สอดเข้าไปในรูหูเหมือนหูฟังแบบอินเอียร์ จึงทำให้ผู้ใช้ยังคงได้ยินเสียงรอบข้างขณะสวมใส่ ซึ่งข้อดีคือช่วยให้เกิดความปลอดภัย แต่ก็มีข้อด้อยคือ ขณะฟังเพลงหรือสนทนาโทรศัพท์ เสียงจากภายนอกที่เล็ดลอดเข้ามาจะทำให้เกิดปัญหาในการสื่อสารและฟังเพลงได้เหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อนำไปใช้งานในสถานที่ที่มีเสียงรอบข้างที่ดังมากๆ เสียงภายนอกที่แทรกเข้ามาก็จะส่งผลเสียมากยิ่งขึ้น จะสู้แบบอินเอียร์ไม่ได้ในสถานะการณ์แบบนี้
Edifier รุ่น W320TN
ออกแบบมาเพื่อ “อุดข้อเสีย” ของหูฟังเอียร์บัดโดยเฉพาะ.!!
เมื่อเสียงแวดล้อมจากภายนอกเป็นต้นเหตุรบกวนเสียงของหูฟัง ก็จัดการลดมันลงซิ.. วิศวกรของ Edifier คงจะคิดตรงไปตรงมาแบบนี้ พวกเขาจึงคิดค้นเทคโนโลยีที่ใช้ลดเสียงรบกวน (noise reduction) จากภายนอกเข้ามาใช้กับหูฟังรุ่น W320TN คู่นี้ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไล้ท์ของหูฟังรุ่นนี้ก็ว่าได้ เพราะระบบ noise reduction ที่วิศวกรของ Edifier นำมาใช้กับหูฟังรุ่นนี้ ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีพื้นๆ ทั่วไป แต่พวกเขาได้พัฒนาเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence = AI) เข้ามาช่วย ด้วยการใช้ AI คำนวนจากตัวอย่างข้อมูลจำนวนมากที่ได้มาจากลักษณะโครงสร้างช่องหูของมนุษย์ + ลักษณะการสวมใส่ เพื่อกำหนด “ระดับ” การทำงานของฟังท์ชั่น Noise Cancellaion ในการตัดเสียงรบกวนจากภายนอกที่เหมาะสมกับการรั่วไหลของอากาศภายในช่องหูที่แยกออกเป็น 20 ระดับ ซึ่งเป็นระบบ noise reduction ที่มีความละเอียดมาก.!
เป้าหมายของการพัฒนาระบบ noise reduction ของ Edifier ครั้งนี้ก็เพื่อทำให้หูฟัง W320TN ตัวนี้สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้สวมใส่ด้วยคุณภาพในการฟังเพลงและสนทนา ควบคู่ไปกับความปลอดภัยในเวลาเดียวกัน
มาตรฐานตั้งแต่ “ภายนอก” ถึง “ภายใน“
W320TN เป็นผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ Edifier จากประเทศจีน..
ของจีน.!! มันจะดีเหรอ..?? ฟังท์ชั่นมันจะใช้ได้จริงเหรอ.??? เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะเคยมีความคิดแบบนี้มาก่อน ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ในอดีตนั้น คุณภาพของสินค้าเครื่องเสียงที่ผลิตมาจากประเทศจีนยังอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของประเทศอื่นๆ ที่เป็นผู้นำทางด้านนี้มาก่อน แต่สมัยนี้คุณคงต้องปรับเปลี่ยนความคิดความเข้าใจใหม่ซะแล้ว ถ้าไม่เชื่อ เรามาดูเนื้องานของหูฟังจีนตัวนี้กัน..!
ดูดีตั้งแต่กล่อง..
เพราะจีนเป็นแหล่ง OEM ให้กับผู้ผลิตสินค้าคุณภาพสูงของประเทศซีกตะวันตกและยุโรปมานาน ทำให้มาตรฐานการออกแบบแพ็คเกจจิ้งของหูฟังจากประเทศจีนตัวนี้เข้าขั้นเทียบชั้นกับแพ็คเกจจิ้งของสมาร์ทโฟนระดับไฮเอ็นด์ชั้นนำของโลกได้เลย (*สมาร์ทโฟนไฮเอ็นด์อย่าง iPhone ก็ทำในจีน)
ตัวหูฟังทั้งสองข้างถูกบรรจุมาในตลับพลาสติกสีเทาเข้ม ซึ่งตัวตลับก็ถูกบรรจุอยู่ในกล่องกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมสีดำอีกที โดยมีฝาที่หงายเปิด/ปิดด้วยบานพับ และมีซองที่ทำด้วยกระดาษแข็งสีขาวสวมทับอยู่บนกล่องสีดำอีกชั้น มีชีลด์พลาสติกใสบางๆ ปกคลุมอยู่ชั้นนอกสุด เมื่อเปิดกล่องสีดำเข้าไปจะพบตลับหูฟังอยู่ด้านในโดยมีแผ่นกระดาษไขห่อหุ้มเอาไว้อย่างปราณีต ดูแลปกป้องกันแน่นหนาหลายชั้นกว่าจะลงไปถึงตัวหูฟัง เป็นแพ็คเกจจิ้งที่ดูดีพอๆ กับสมาร์ทโฟนและเครื่องเล่นไฟล์เพลงที่ขายกันหลักหมื่น..!
ตลับใส่เล็กกระทัดรัด + น้ำหนักเบา ดีไซน์สวย..
ตลับใส่หูฟังทำด้วยพลาสติกแข็ง ดีไซน์ทรงสี่เหลี่ยมแต่ลบมุมทุกมุมจนออกมาโค้งมน ลื่นมือ ขนาดกว้างและสูงไม่ถึง 6 x 6 ซ.ม. กำอยู่ในอุ้งมือได้สบายๆ สำหรับคุณผู้หญิงถ้าจะพกพาไปไหนเอาใส่ไว้ในกระเป๋าถือก็ยังได้เพราะน้ำหนักเบา ส่วนคุณผู้ชายก็สามารถใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงได้เลย สะดวกสำหรับการหยิบใช้งาน (*ศรชี้ในภาพคือปุ่มกดเพื่อเชื่อมต่อบลูทูธระหว่างหูฟังกับอุปกรณ์ตัวอื่น)
กลไกที่ใช้เปิด/ปิดฝาตลับใส่หูฟังควบคุมด้วยบานพับที่มีความแข็งแรง เมื่อฝาถูกเปิดขึ้นมา ไฟ LED ดวงเล็กๆ ที่อยู่ใต้ฝา (ศรชี้) จะสว่างขึ้นมาเป็น “สีเขียว” ซึ่งแสดงให้รู้ว่าตัวหูฟังกำลังเริ่มกระบวนการเชื่อมต่อด้วย Bluetooth กับอุปกรณ์อื่นที่อยู่ใกล้เคียง ในกรณีที่มีอุปกรณ์ที่เคย pair บลูทูธกับหูฟังตัวนี้มาก่อนเปิดใช้งานอยู่ใกล้ๆ บริเวณนั้น ตัวหูฟังจะทำการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวนั้นโดยอัตโนมัติ “อย่างรวดเร็ว” เพราะหูฟังตัวนี้ใช้เทคโนโลยี “Fast Pair” ของกูเกิ้ลในการเชื่อมต่อบลูทูธกับอุปกรณ์อื่นที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android ซึ่งหลังจากเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ตัวอื่นได้แล้ว ไฟ LED ดวงนั้นจะแจ้งสถานะให้เรารู้ด้วยการเปลี่ยนเป็นสีขาว ก่อนจะดับลง นั่นก็คือหูฟังพร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว
ความรวดเร็วในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกเป็นจุดเด่นของหูฟังตัวนี้ มันสร้างความประทับใจให้กับผมมากเป็นพิเศษ แถมหูฟังตัวนี้ยังมีฟังท์ชั่น Dual Device Connection คือสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกได้สองเครื่องพร้อมกันด้วย ทำให้สะดวกกับการใช้งานเพราะสามารถสลับไป–มาได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น เชื่อมต่อกับโน๊ตบุ๊คกับโทรศัพท์มือถือพร้อมกัน เวลาทำงานบนโน๊ตบุ๊คก็ใช้ฟังเสียงจากโน๊ตบุ๊ค เมื่อมีสายโทรศัพท์เข้ามาก็สามารถสวิทช์หูฟังไปทำหน้าที่เป็นสมอลทอล์ครับสายโทรฯ ได้ทันที (*ฟังท์ชั่นนี้ต้องเข้าไปปรับตั้งเปิดใช้งานในเมนูของแอพฯ Edifier Connect)
บนตัวตลับใส่หูฟังมีความเรียบโล่งมาก นอกจากปุ่มกดเพื่อเชื่อมต่อบลูทูธระหว่างหูฟังกับอุปกรณ์ตัวอื่นแล้ว ที่ด้านล่างของตลับก็มีแค่รูเสียบแจ๊ค USB-C ที่ให้ไว้สำหรับเสียบสายชาร์จแบตเตอรี่เท่านั้น (*ในกล่องมีแถมสาย USB-A > USB type C มาให้หนึ่งเส้นสำหรับใช้ชาร์จแบตเตอรี่)
ตัวหูฟังเล็กและเบา
ตัวบอดี้ของหูฟังตัวนี้รวมถึงส่วนที่เป็นก้านทำด้วยพลาสติกแข็งเกรดดี เคลือบผิวซะเรียบและลื่นละมุน ตอนใส่จะไม่ระคายหู บอดี้ของตัวหูฟังมีขนาดเล็ก ใกล้เคียงกับขนาดช่องหูของคนปกติ
ไมโครโฟน
แต่ละข้างของตัวหูฟังจะมีไมโครโฟนขนาดจิ๋วฝังอยู่ทั้งหมด 3 ตัว (รวมสองข้างก็ 6 ตัว) โดยที่ 2 ตัวตรงตำแหน่ง ‘Feedforward’ กับ ‘Feedback’ ตามภาพด้านบนเป็นไมโครโฟนที่ใช้สำหรับฟังท์ชั่น noise reduction ซึ่งจะทำงานร่วมกับอัลกอรึธึ่ม AI ซึ่งจะเลือกรูปแบบการใช้ “ระดับ” ของการปรับลดเสียงรบกวนในสภาวะต่างๆ อัตโนมัติ โดยขึ้นอยู่กับระดับเสียงรบกวนรอบข้างในขณะนั้น ซึ่งระบบ AI ที่ใช้จัดการกับระบบ noise reduction นี้จะมีความสามารถในการแยกส่วนระหว่างเสียงรบกวนกับสียงพูดของผู้สวมใส่ออกจากกัน เพื่อเลือกใช้ระดับการปรับลดเสียงรบกวนที่ไม่ส่งผลกระทบกับเสียงพูดของผู้สวมใส่ มีผลให้เสียงรบกวนลดลงแต่ในขณะเดียวกันเสียงสนทนาของผู้สวมใส่หูฟังจะชัดขึ้น
เทคโนโลยีที่หูฟังตัวนี้นำมาใช้ปรับลดเสียงรบกวนขณะโทรศัพท์เรียกว่า ‘Adaptive call noise cancellation’ ซึ่งจะเปิดทำงานอัตโนมัติเมื่อผู้สวมหูฟังพูดโทรศัพท์ นี่คือเคล็ดลับที่ทำให้การคุยโทรศัพท์ผ่านหูฟังตัวนี้มีความชัดเจนมากกว่าหูฟังตัวอื่นๆ ในระดับใกล้เคียงกัน..!!
แบตเตอรี่
เวลาที่ใช้ในการชาร์จตัวตลับใส่หูฟังด้วยสาย USB-C (กินไฟ 5V/1A) โดยมีหูฟังอยู่ข้างใน จะตกอยู่ราวๆ 1 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อเสียบสาย USB-C เข้าที่ช่องเสียบบนตัวตลับใส่หูฟัง ไฟ LED บนตัวตลับจะสว่างขึ้นเป็นสีส้ม ค้างอยู่อย่างนั้นจนเมื่อแบตเตอรี่ถูกชาร์จจนเต็ม ไฟดวงนั้นจะดับลง ส่วนตอนชาร์จหูฟังกับตลับโดยไม่ต่อสาย USB-C ที่ตลับ (หูฟังกินไฟ 5V/200mA) จะใช้เวลาอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมง (เริ่มจากแบตเตอรี่ที่หูฟังหมดเกลี้ยงเหลือ 0%)
ส่วนเวลาในการใช้งานแบตเตอรี่ของตัวหูฟังจะขึ้นอยู่กับลักษณะการใช้งาน อย่างเช่น ถ้าใช้งานโดยเปิดโหมดลดเสียงรบกวน ANC ไว้ตลอด และใช้แบตเตอรี่ของตัวหูฟังกับแบตเตอรี่ที่ตลับรวมกัน จะใช้งานรวมกันได้นาน 17.5 ชั่วโมง แต่ถ้าปิดโหมด ANC ตลอดการใช้งานจะได้นานถึง 27.5 ชั่วโมง และเมื่อแบตเตอรี่ที่ตลับหมดลง เขายังมีฟังท์ชั่น Quick Charge มาให้ด้วย คือเสียบ USB-C ชาร์จไว้แค่ 10 นาที คุณจะสามารถใช้งานหูฟังได้นานถึง 1 ชั่วโมง
ไดเวอร์ กับ คุณภาพเสียง
ไดเวอร์ที่ใช้ในหูฟังรุ่น W320TN ตัวนี้เป็นไดเวอร์แบบไดนามิกที่วิศวกรของ Edifier พัฒนาขึ้นมาใหม่ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 13 ม.ม. ไดอะแฟรมที่ใช้ผลักอากาศทำด้วยวัสดุที่ประกอบขึ้นมาหลายชั้น เมื่อทำงานร่วมกับระบบช่องอากาศด้านหลังไดเวอร์ที่ออกแบบให้สร้างความถี่ต่ำที่กลับเฟสกับความถี่ที่สร้างขึ้นมาจากตัวไดเวอร์ ผสมกันออกมาจนได้ความถี่ตอบสนองที่กว้างมาก คือครอบคลุมตั้งแต่ 20Hz ขึ้นไปจนถึง 40kHz
ตัวหูฟังให้ความดังสูงสุดอยู่ที่ 94dB ซึ่งประสิทธิภาพสูงสุดของเสียงที่ได้จากหูฟังตัวนี้ถูกปรับจูนมากับความละเอียดของสัญญาณที่ระดับ 990kbps เพื่อให้ได้เสียงที่มีไดนามิกและรายละเอียดเต็มที่ ซึ่งทางผู้ผลิตแนะนำไว้ว่า ถ้าคุณต้องการ “คุณภาพเสียง” ในระดับ lossless จากคลื่นบลูทูธ เขาแนะนำให้ใช้อุปกรณ์เครื่องเล่น (smart phone หรือ DAP) ที่รองรับ LDAC
เนื่องจากภายในตัวหูฟัง W320TN ติดตั้งภาคถอดรหัส (decoder) ของฟอร์แม็ต LDAC อยู่ในตัว ถ้าคุณใช้อุปกรณ์เล่นไฟล์เพลงที่รองรับการเข้ารหัสเสียงผ่านบลูทูธด้วยฟอร์แม็ต LDAC กับหูฟังตัวนี้ คุณจะได้คุณภาพเสียงจากหูฟังตัวนี้สูงถึงระดับ 96kHz/24bit ซึ่งจะให้รายละเอียดเสียงสูงกว่าฟอร์แม็ตพื้นฐานอย่าง SBC ถึง 3 เท่า.!
การควบคุมสั่งงาน
W320TN ตัวนี้ใช้ระบบสัมผัสในการควบคุมสั่งงาน ซึ่งวิธีปฏิบัติคือใช้ปลายนิ้วแตะแบบจิกๆ ลงบนก้านของหูฟัง ส่วนฟังท์ชั่นที่สามารถสั่งงานได้ก็คือ เปิด/ปิดโหมด ANC, รับสายโทรฯ, วางหู, เล่นเพลง, เลือกข้ามเพลงไปข้างหน้า หรือย้อนถอยหลัง
การตั้งค่าผ่านแอพฯ Edifier Connect
ทางผู้ผลิตได้ออกแบบแอพลิเคชั่นที่ใช้ปรับตั้งค่าสำหรับหูฟังของ Edifier เอาไว้ชื่อว่า “Edifier Connect” ซึ่งมีทั้งเวอร์ชั่น iOS และ Android
หน้าตาของหน้าแรก (หน้า Home) ของแอพฯ ‘Edifier Connect’ บนสมาร์ทโฟน iPhone 12
กรณีที่สมาร์ทโฟนกับหูฟังผ่านการจับคู่ (pair) ด้วย Bluetooth มาก่อนแล้ว เมื่อเปิดแอพฯ Edifier Connect บนสมาร์ทโฟน แล้วเปิดฝาตลับหูฟังขึ้นมา ตัวหูฟังก็จะทำการเชื่อมต่อ Bluetooth กับสมาร์ทโฟนทันที หลังจากหูฟังเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนแล้ว หน้าแรกของแอพฯ จะปรากฏขึ้นมาตามแบบรูปที่ 1 ตามภาพด้านบน ซึ่งหน้าแรกนี้จะแสดงชื่อรุ่นของหูฟังที่เชื่อมต่อและแสดงสภาพวะของแบตเตอรี่ทั้งของตัวหูฟังทั้งสองข้างและสถานะแบตเตอรี่ของตลับด้วย นอกจากนั้นก็ยังมีปุ่มปรับตั้งค่าสำหรับฟังท์ชั่น Adaptive noise cancellation, Ambient sound และ Noise cancellation off พร้อมทั้งปุ่มควบคุมการเล่นไฟล์เพลง กับปุ่ม ‘Soothing sounds’ ซึ่งเป็นช่องทางเข้าไปเลือกดนตรีที่เอาไว้ฟังเพื่อความผ่อนคลายที่มีให้ฟังฟรีอยู่ในแอพฯ
ถ้าคุณเอาปลายนิ้วปัดหน้าจอจากขวาไปซ้ายจะพบว่ายังมีเมนูอีก 2 หน้าซ้อนอยู่ ซึ่งหน้าที่สอง (2) เป็นฟังท์ชั่น ‘Sound Effects’ มีไว้ให้เลือกแนวเสียงที่แอพฯ ทำการปรับตั้งสำเร็จรูป (preset) ไว้ให้ มีทั้งหมด 4 รูปแบบ ได้แก่ Classic (รูปแบบมาตรฐานของ Edifier), Pop, Classical และ Rock ซึ่งทั้งสี่รูปแบบจะมีลักษณะเสียงที่ต่างกัน แนะนำให้ทดลองเปิดเพลงแล้วเลือกโหมดเสียงลองฟังดูตามที่ชอบ ส่วนหน้าที่สาม (3) เป็นฟังท์ชั่น ‘Game Mode’ ใช้เปิด/ปิดการใช้งานโหมดเกมส์โดยเฉพาะ
การตั้งค่า (settings)
ด้านบนขวามือที่หน้าแรกของแอพฯ (ศรชี้) ที่เป็นรูปฟันเฟืองจะเป็นที่รวมของหัวข้อการปรับตั้งค่าต่างๆ ของตัวหูฟัง เมื่อจิ้มลงไปหน้าเมนูของแอพฯ จะเปลี่ยนไปตามรูปขวามือ แสดงหัวข้อเมนูที่มีมาให้คุณทำการปรับตั้งค่าและใช้งานทั้งหมด 11 หัวข้อ ไล่ตามลำดับดังนี้ :
User manual
เป็นคู่มือการใช้งาน W320TN
Control settings
ปรับตั้งคำสั่งที่ใช้กับการสั่งงานด้วยวิธีสัมผัสบนก้านหูฟัง ซึ่งสามารถแยกกำหนดสำหรับหูฟังทั้งสองข้างได้ มีให้กำหนดคำสั่งที่ตรงกับการแตะสองที (Double pinch), แตะสามที (triple pinch) และแตะและกดค้างไว้ (Pinch and hold)
Presure sensitivity
ใช้ปรับตั้ง “ความไว” ต่อการสัมผัสของก้านหูฟัง เพื่อรองรับคำสั่งด้วยการสัมผัส ซึ่งจะแบ่งออกเป็นระดับ ตั้งแต่ 0-15 ซึ่งค่าที่ตั้งมาจากโรงงานจะอยู่ระดับกลางๆ คือ 8 คุณสามารถปรับตั้งได้ตามต้องการด้วยการใช้ปลายนิ้วรูดให้เกิดแถบสีเข้ม (ศรชี้) ซึ่งตัวแอพฯ จะแสดงระดับความไวออกมาเป็นตัวเลขให้สังเกต
Wearing detection
เป็นการเลือกวิธีปฏิบัติให้กับหูฟังเมื่อถูกถอดออกจากหู ซึ่งมีคำสั่งให้เลือกปรับตั้งอยู่ 3 อ๊อปชั่น ได้แก่ (บนสุด) ปิดการใช้งานฟังท์ชั่นนี้, (ตรงกลาง) สั่งให้หูฟังกยุดเล่นเพลงเมื่อถอดอกจากหู และเริ่มเล่นต่อเมื่อสวมกลับเข้าไปในหู และ (ล่างสุด) สั่งให้หูฟังกยุดเล่นเพลงเมื่อถอดอกจากหู และไม่ต้องเล่นต่อเมื่อสวมกลับเข้าไปที่หู
Dual-device connection
ใช้เปิด/ปิดฟังท์ชั่นที่ใช้เชื่อมต่อ Bluetooth ระหว่างหูฟัง W320TN กับอุปกรณ์ภายนอกได้ 2 ตัวพร้อมกัน ซึ่งเหตุผลที่ผู้ผลิตต้องมีเมนูให้ผู้ใช้เข้ามาทำการเปิด/ปิดการทำงานของฟังท์ชั่นนี้ก็เพราะว่า ถ้าคุณเปิดใช้ฟังท์ชั่นนี้เพื่อเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ 2 ชิ้นพร้อมกัน คุณจะไม่สามารถใช้งานดีโค๊ดเดอร์ LDAC ได้ นั่นคือถ้าคุณต้องการฟังเพลงด้วย LDAC คุณต้องสั่ง “ปิด” การทำงานของฟังท์ชั่นนี้ก่อน (*LDAC ใช้ได้เฉพาะอุปกรณ์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Android เท่านั้น)
Find my headphones
อันนี้มีประโยชน์มาก.!! เหมาะกับคนที่ชอบลืมวางหูฟังไว้แล้วจำไม่ได้ว่าวางไว้ที่ไหน พอกดที่ปุ่ม ‘Search’ (ค้นหา – ศรชี้) ที่ตัวหูฟังจะมีเสียงปี๊บๆ ดังออกมา ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะค้นหาเฉพาะข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างพร้อมกัน *ถ้าสวมหูฟังอยู่ไม่ควรกดเล่น
Prompt volume
ใช้ปรับตั้งความดังของเสียงตอบสนองของหูฟังตอนที่ใช้งาน
Power off
ใช้ “ปิด” การทำงานของตัวหูฟัง
Shutdown timer
ตั้งเวลาปิดการทำงานของหูฟังอัตโนมัติ
Bluetooth settings
ตั้งการเชื่อมต่อ Bluetooth
Factory settings
เปลี่ยนค่าที่ปรับตั้งไว้ทั้งหมดกลับไปที่ค่าที่ตั้งมาจากโรงงาน
ทดลองใช้งาน + ทดสอบฟังเสียงของ Edifier W320TN
ความประทับใจแรกจากการทดลองใช้งานหูฟังตัวนี้เกิดขึ้นจาก “ความเร็ว” ในการต่อเชื่อมกับอุปกรณ์อื่นๆ ซึ่งผมยอมรับเลยว่า Bluetooth เวอร์ชั่นใหม่ๆ อย่างเวอร์ชั่น v5.3 ที่หูฟังตัวนี้ใช้อยู่มันถูกพัฒนาทางด้านประสิทธิภาพขึ้นมาหลายด้าน โดยเฉพาะที่เห็นได้ชัดก็คือความเร็วในการเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อื่นนี่แหละ ผมทดลองเชื่อมต่อ W320TN กับ iPhone 12 ซึ่งหลังจากเชื่อมต่อครั้งแรกแล้ว จากนั้นทุกครั้งที่เปิดฝาตลับหูฟังขึ้นมา ตัวหูฟังจะเชื่อมต่อกับ iPhone 12 ของผมทันที มันใช้เวลาเชื่อมต่อแค่แว๊บเดียวเท่านั้น สะดวกมาก..!!
อีกจุดที่ประทับใจ นั่นคือลักษณะการออกแบบตัวบอดี้ของหูฟังที่ทำให้ตัวบอดี้ของหูฟังสามารถยึดติดอยู่กับช่องหูได้อย่างแน่นกระชับ ไม่หลุดง่าย ซึ่งปกติแล้ว ตัวผมเองจะไม่ชอบหูฟังแบบเอียร์บัดลักษณะนี้ ด้วยเหตุผล 2 ประการ ข้อแรกคือ ที่เคยลองใช้หูฟังเอียร์บัดมา ผมพบว่ามันหลุดจากหูง่าย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะลักษณะร่องหูของผมที่ยึดบอดี้ของหูฟังไม่อยู่ แต่พอมาลองใช้ W320TN ตัวนี้กลับไม่หลุด ผมสามารถใส่คาหูไว้ได้หลายชั่วโมงติดกันโดยไม่หลุด ซึ่งตลอดการใส่ผมก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ ขยับตัวเคลื่อนไหวตลอด เร็วบ้างช้าบ้าง หูฟังตัวนี้ไม่หลุดออกจากหูเลย ผมมาลองพิจารณาลักษณะบอดี้ของ W320TN ตัวนี้แล้ว ผมพบว่ามันมีรูปทรงที่แตกต่างจากหูฟังเอียร์บัดสมัยก่อนที่ผมเคยลองใช้ คือบอดี้ของ W320TN มันจะมีลักษณะที่บางเรียว ไม่ได้กลมๆ แบนๆ เหมือนหูฟังเอียร์บัดสมัยก่อน คงเป็นเพราะรูปทรงของ W320TN นี่เองที่ทำให้บอดี้ของหูฟังตัวนี้สามารถตรึงอยู่ในร่องหูของผมได้โดยไม่หลุดออกมา
ส่วนความประทับใจอีกข้อ ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้ในอดีตผมไม่ค่อยชอบหูฟังแบบเอียร์บัด เนื่องจากการใช้งานส่วนใหญ่ผมจะเน้นฟังเพลงมากกว่าใช้โทรศัพย์ เมื่อลองฟังหูฟังเอียร์บัดผมพบว่า แม้ว่าหูฟังแบบเอียร์บัดจะให้ความรู้สึกสบายในการสวมใส่ ไม่อึดอัดและไม่ปวดหูถ้าต้องใส่นานๆ แต่ผมมาติดตรงที่เสียงของมันไม่ชัดและไม่ดังพอเมื่อเทียบกับเสียงของหูฟังแบบอินเอียร์ สาเหตุก็คงเป็นไปตามลักษณะการสามใส่ เพราะหูฟังเอียร์บัดไม่ได้แยงท่อเสียงเข้าไปในรูหูเหมือนแบบอินเอียร์นั่นเอง
แต่พอมาได้ลองเอียร์บัด W320TN ตัวนี้ ผมยอมรับเลยว่า มันให้ประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับหูฟังแบบเอียร์บัดกับผม ผมพบว่า เสียงของ W320TN ตัวนี้มัน “ดังกว่า” หูฟังเอียร์บัดตัวอื่นๆ ที่ผมเคยฟังมา.! ซึ่งข้อดีในแง่คุณภาพเสียงก็คือทำให้ได้ยิน “รายละเอียด” ของเสียงชัดเจนและครบถ้วนมากขึ้น W320TN ทำให้ได้ยิน “ความถี่” ออกมาครบ ทั้งแหลม–กลง และทุ้ม ซึ่งที่ผ่านมาผมมักจะพบว่าหูฟังเอียร์บัดให้เสียงทุ้มออกมาบางมาก ซึ่งสาเหตุก็น่าจะเป็นเพราะบอดี้ของหูฟังเอียร์บัดเหล่านั้นมันไม่ฟิตกับหูของผมนั่นเอง แสดงว่า Edifier แก้ปัญหานี้สำเร็จด้วยการออกแบบรูปทรงของบอดี้ให้ฟิตเข้ากับร่องหูของผมได้ดีขึ้นมาก มีผลให้ “ท่อเสียง” ของตัวหูฟังมันส่องตรงเข้าตำแหน่งรูหูพอดีๆ
จากภาพด้านบนจะเห็นว่า ส่วนของบอดี้ของตัวหูฟัง W320TN ตัวนี้มันถูกออกแบบให้มีลักษณะเรียวบางกว่าส่วนอื่น ท่อเสียงของหูฟังจึงส่องตรงเข้ารูหูและฟิตอยู่อย่างนั้นตลอดเพราะส่วนของบอดี้ที่หนากว่ามันช่วยยันผนังร่องหูเอาไว้
อีกอย่างที่ชอบมากคือ “แอพ Edifier Connect” ที่ให้มา มันง่ายต่อการใช้งานและให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจน ตรงประเด็น อย่างเช่นลักษณะแนวเสียงในฟังท์ชั่น ‘Sound Effects’ ที่ทำไว้ให้เลือกใช้มันก็มีความแตกต่างชัดเจน ใช้แล้วเวิร์ค อีกอย่างที่ชอบคือเสียงดนตรีเอ็ฟเฟ็กต์ ‘Soothing sounds’ ใช้เปิดตอนงีบดีเลย ช่วยให้เกิดความผ่อนคลาย..
สำหรับการสั่งงานด้วยการสัมผัส ถ้าคุณยังไม่เคยใช้งานหูฟังที่ใช้ระบบสัมผัสประเภทนี้มาก่อน คุณอาจจะต้องใช้เวลาในการฝึกฝนนิดนึงถึงจะชำนาญ รู้สึกถึงน้ำหนักในการสัมผัส อย่าลืมเข้าไปตั้งระดับของการสัมผัสในเมนู settings ให้เหมาะสมกับตัวคุณด้วย จะทำให้คุณใช้งานหูฟังตัวนี้ได้ง่ายขึ้น ส่วนคุณภาพเสียงในการรับสายโทรฯ ผมก็ยอมรับว่า W320TN ตัวนี้ทำได้ดีกว่าหูฟังเอียร์บัดรุ่นเก่าๆ มาก และผมพบว่า ฟังท์ชั่น ANC noise cancellation ก็มีส่วนมากที่ช่วยทำให้ผมได้ยินเสียงสนทนาของคู่สนทนาที่มีความชัดเจนมากขึ้น รวมถึงไมโครโฟนที่ให้มาก็มีคุณภาพในการรับเสียงได้ดี จากการทดลองรับสายโทรฯ พบว่า ผมไม่ต้องออกแรงพูดดังกว่าปกติทางปลายสายก็ได้ยินชัด
สรุป
Edifier W320TN เป็นหูฟังเอียร์บัดที่ให้ความพอใจกับผมมากที่สุดในจำนวนหูฟังเอียร์บัดทั้งหมดที่ผมเคยทดลองใช้งานมา โดยเฉพาะใช้ฟังเพลง มันให้เสียงที่มีความเข้มข้นมากกว่าเอียร์บัดตัวอื่นๆ น้ำหนักเสียงดี ไม่บางมาก ส่วนการรับสายโทรฯ ก็ใช้งานได้ดี เสียดายอย่างเดียวคือใช้เล่นเกมส์ซึ่งผมไม่ใช่คอเกมส์เลยไม่ได้ทดลอง
เมื่อเอา “ราคา” ขายเป็นที่ตั้ง เทียบกับ (1) คุณภาพการออกแบบ+ผลิต, (2) ฟังท์ชั่นการใช้งาน และ (3) คุณภาพเสียง ผมสรุปฟันธงให้เลยว่า “คุ้ม เกินราคามาก” !!! /
**********************
ราคา : 2,990 บาท / ชุด
**********************
สนใจสั่งซื้อได้ที่
425degree.com